นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน พฤหัสฯ. 09 พ.ค. 2024 5:13 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: หลวงปู่สอนว่า....
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 17 ก.ย. 2008 4:44 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586
หลวงปู่สอนว่า...

อันความตายนั้น จงระลึกดูให้รู้แจ้งด้วยสติปัญญาของตนเอง ยกจิตใจตั้งให้มั่นอย่าได้หวั่นไหว เจ็บจะเจ็บไปถึงไหนก็แค่ตาย อยู่ดีสบายอยู่ไปถึงไหนก็แค่ตาย แก่ชราแล้วไม่ตายไม่ได้ เมื่อมาถึงบุคคลผู้ใดจะให้ผู้อื่นช่วยไม่ได้ ต้องภาวนาให้พ้นจากความตาย ความตายนั้นมีทางพ้นไปได้อยู่ที่การละกิเลส ล้างกิเลสในใจให้หมดสิ้น

อบรมจิตใจด้วยการบริกรรมภาวนา ด้วยการนึกถึงความทุกข์ความเดือดร้อนในโลกนี้ นึกถึงความแก่ความชรา ความเจ็บไข้ได้ป่วย เมื่อมันมาถึงแล้วมันมีความเจ็บปวด ทุกขเวทนา ต้องฝึกฝนอบรมจิตใจของเราในทางสมาธิภาวนา ทำใจให้สงบระงับด้วยการนึกน้อมเอาพุทธคุณคือคุณพระพุทธเจ้ามาเป็นอารมณ์ แม้เราจะนึก พุทโธ... พุทโธ... อยู่ก็ตาม ก็ให้ถือว่า ธัมโมก็อยู่ที่นั่น สังโฆก็อยู่ด้วยกัน

อย่าไปคิดว่าเวลาเราแก่หรือเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย หรือใกล้ ๆ จะแตกจะตายแล้วจึงภาวนา ถ้าคิดอย่างนั้นก็เป็นอันว่าคิดผิด เพราะเวลาอยู่ดีสบายนี้แหละเป็นเวลาที่เราจะต้องริเริ่มภาวนาให้ได้ ให้ถึง กิเลสอะไรที่ยังไม่ออกจากจิตใจเรา ก็จะได้ละกิเลสนั้นเสีย

การภาวนาอย่าเข้าใจว่าเป็นของยาก ไม่ว่ากิจกรรมการงานอะไรอย่างหยาบ ๆ ก็ดี ถ้าเราไม่ทำไม่ประกอบก็ยิ่งเป็นอุปสรรค แต่ถ้าเราตั้งใจทำจริง ๆ แล้ว มันมีทางออก ภาวนาไปรวมจิตใจลงไป จนกระทั่งจิตใจเชื่อตามความเป็นจริง เชื่อต่อคุณพระพุทธเจ้าจริง ๆ เชื่อต่อคุณพระธรรมจริง ๆ เชื่อต่อคุณพระสงฆ์จริง ๆ แล้ว บุคคลผู้นั้นก็มีทางที่จะได้บรรลุมรรคผลเห็นแจ้งในธรรม ในปัจจุบันชาตินี้

อะไร ๆ ทุกอย่าง ถ้าคนเราลงทำแล้วมันต้องได้ไม่มากก็น้อย ถ้าไม่ทำเลิกล้มความเพียร ชอบอยู่สบายเฉย ๆ แต่เราอย่าเข้าใจว่าเราจะอยู่เฉยได้ ในเมื่อความเจ็บไข้ได้ป่วยปัจจุบันกะทันหันขึ้นมา จะเฉยอยู่ไม่ได้เป็นอันขาด เมื่อความเจ็บมา อุบายธรรมไม่ทันเราก็หลง ยึดไปถือไปวุ่นวายไป ถ้าเรารู้เท่ารู้ทันปล่อยวางได้ทุกลมหายใจเข้าออก จิตใจก็เย็นสบายเป็นสุขไม่ทุกข์ร้อนประการใด



วันคืนเดือนปี หมดไป สิ้นไป แต่อย่าเข้าใจว่าวันคืนนั้นหมดไป วันคืนไม่หมด ชีวิตของแต่ละบุคคลหมดไปสิ้นไป มันหมดไปทุกลมหายใจเข้าออก ฉะนั้นให้ภาวนาดูว่าวันคืนล่วงไป เราทำอะไรอยู่ ทำบุญหรือทำบาป เราละกิเลสได้หรือยัง เราภาวนาใจสงบหรือยัง

เรามัวเพลิดเพลินอะไรอยู่ ไปมัวเสียอกเสียใจอะไรอยู่ ทำไมไม่ภาวนา ทำไมไม่ละกิเลส ภาวนาให้มันหมดสิ้นไป เวลาความแก่มาถึงเข้าหรือเวลาความเจ็บไข้มาถึงเข้า จิตก็ว้าวุ่น ยิ่งความตายจะมาถึง เราละกิเลสไว้ก่อนหรือยัง ก็ตอบได้ด้วยตนเองว่ายังไม่หมด เมื่อยังไม่หมดเรามัวไปทำอะไรอยู่ ชีวิตของคนเราหมดไปเหมือนจุดเทียนขึ้นมาแล้วไฟมันก็ไหม้ไส้เทียนจนหมด เราทำอะไรอยู่ ไม่พินิจพิจารณา ต้องเตือนใจของตนเองว่าเราภาวนาแล้วหรือยัง อย่าประมาทคือภาวนาทุกลมหายใจเข้าออก

จงตั้งใจปฏิบัติภาวนาในจิตใจของตนให้ได้ ใจคนอื่นผู้อื่นเขาจะดีก็เรื่องของเขา เขาจะชั่วก็เรื่องของเขา เราจะไปแก้ไขบางอย่างมันแก้ไม่ได้ เพราะกรรมที่เขาทำมันให้ผล เขาทำบุญบุญก็ให้เขา เขาทำบาปบาปก็ให้เขา เราทำบุญบุญก็ให้เรา เราทำบาปบาปก็ให้เรา ฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงเตือนว่าให้รีบเร่ง ตั้งใจภาวนาละกิเลส จนอะไร ๆ ทั้งหมดนั้นรวมลงไปที่คำว่า ปัญญา ปัญญา คือความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง หรือว่า นัตถิ ปัญญา สมา อาภา แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี

คำว่าตั้งใจนั้นต้องตั้งหมดทั้งตัว ใจจะตั้งได้กายก็ต้องตั้ง จุดสำคัญก็ให้เอาจิตเอาใจของตนให้อยู่ มั่นคงในศีลในธรรม อย่าเป็นคนใจเบาหูเบา ถูกติเตียนนินทาก็เลิกล้มความดีงาม เคยทำบุญให้ทานก็ทำไม่ได้ เคยรักษาศีลก็รักษาไม่ได้ ใครจะติเตียนนินทาก็เป็นเรื่องของผู้ติเตียนนินทาคนไม่ถูกนินทาไม่มีในโลก คนเกิดมาแล้วหูต้องได้ยินเสียง เสียงดีเสียงชั่วก็ต้องมีเข้ามาในหู ไปห้ามไม่ให้ผู้อื่นว่าไม่ได้ ภาวนาพุทโธ ตั้งใจลงไปให้เหมือนแผ่นดิน แผ่นดินไม่หวั่นไหวฉันใด ใจเราก็อย่าได้หวั่นไหวฉันนั้น

ทุกข์อยู่ที่ไหน ทุกข์อยู่ที่ใจยึดมั่นถือมั่น ยึดมั่นถือมั่นในชาติ ในตระกูล ในตัว ในตน ในสัตว์ ในบุคคล ความยึดอันนี้แหละที่จะยึดไม่ให้มีทุกข์ให้มีความสุข มันเป็นไปไม่ได้ เหมือนกับว่าเราจะไม่ให้มันแก่ก็แก่เรื่อยไป ต้องรู้ว่าแก่เพราะอะไร ก็เพราะว่าจิตมายึดมาถือ จิตจึงมาเกาะอยู่ มาเกิด มาแก่ชรา เจ็บไข้ได้พยาธิ ผลที่สุดก็ถึงซึ่งความตาย

เจ็บไข้ได้ป่วยก็ร่างกายรูปขันธ์เขาเจ็บไข้ได้ป่วย จิตใจของคนเราจะเจ็บที่ไหน มันเป็นธาตุนามธรรม ฆ่าก็ไม่ตาย ขายก็ไม่ได้เงิน มันเรื่องของจิตใจของเราให้มั่นคงหนักแน่นลงไปในตัวในใจ จะนึกเจริญอะไรก็ให้มีสติ ทำอะไรก็ให้มีสมาธิให้มั่นคง จริงจัง ไม่ใช่ให้เลื่อนลอยไปมาหวั่นไหวสั่นสะเทือน กลัวตายอยู่ไม่ได้ ต้องให้เลยตาย คำว่าเลยตายคือให้แจ้งชัดในใจของตัวเอง จนกระทั่งความตายมาถึงเราก็จะไม่ให้หลงในที่ภาวนา ในที่ตั้งใจนี้ เมื่อทำได้ในใจของตนแล้ว ไม่ต้องไปหาที่อื่น มีอยู่ในกาย ในวาจาจิตของทุก ๆ คน

เราได้ตั้งใจสักวันสักคืนไหม นั่งสมาธิให้มันตายสักชาติหนึ่ง มีแต่นั่งพอเป็นพิธีแล้วก็นอน คือมันบ่ตั้งใจ ตั้งใจภาวนาให้มันได้อย่างขนาดหลวงปู่มั่น ท่านนั่งภาวนาเดินจงกรมท่านแบ่งเวลา อย่างว่าคืนหนึ่งตั้งแต่พลบค่ำมาแล้วก็เดินจงกรม เดินสองชั่วโมง ประมาณสองทุ่มขึ้นไหว้พระ สวดมนต์ นั่งสมาธิภาวนา อีกสองชั่วโมงก็พอดีสี่ทุ่ม ท่านก็จำวัด จำวัดสี่ชั่วโมงอย่างช้า ตีสองท่านก็ตื่น ตื่นตอนเช้าท่านก็เดินจงกรมสองชั่วโมง ขึ้นไหว้พระ สวดมนต์ นั่งภาวนาอีกสองชั่วโมงก็พอดีแจ้งสว่างไปบิณฑบาต อันนี้คือว่าใจท่านมั่นคง ไม่หวั่นไหว

ไหว้พระให้ได้ทุกคืน ทำวัตรเช้า-เย็นด้วยตนเอง สวดมนต์ด้วยตนเอง นั่งสมาธิภาวนาด้วยตนเอง และทุกคราวที่นั่งต้องให้จิตใจสงบตั้งมั่นแล้วจึงค่อยกราบพระ ไหว้พระ ก่อนจะหลับจะนอนก็ตั้งใจว่าเราจะตื่นเวลานั้นเวลานี้ ไม่ใช่นอนจนกระทั่งตื่นเอง เวลาเรามาเกิด มาปฏิสนธิในท้องแม่ รู้หรือไม่ว่านั่งนอนอยู่ในท้องแม่สิบเดือนมันทุกข์ขนาดไหน ทำไมไม่ตาย เวลานั่งสมาธิภาวนาสองสามชั่วโมงกิเลสก็บอกว่าอย่าไปนั่งนานเดี๋ยวตายนะ ให้มันตายสักชาติก็ยังนั่งภาวนา จึงจะสู้กิเลสในใจของตัวได้

การเจ็บปวดอย่าไปยึดถือก็แล้วกัน ให้ถือเสียว่าทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นมันไม่คงทน ถ้าใจของเราเข้มแข็งไม่มายึดถือทุกขเวทนาที่เราว่าเจ็บปวดนั้น มันก็หายไปได้ คือจิตไม่มาสำคัญผิดคิดว่าเราเจ็บ ธาตุทั้งสี่ขันธ์ทั้งห้ามันเจ็บ เจ็บไปถึงไหนมันก็เป็นเรื่องของสังขาร เจ็บมากที่สุดก็ไม่ถึงตาย บอกจิตใจไว้เพื่อมิให้จิตใจกระวนกระวาย ให้วางเฉยได้ ภาวนาอุเบกขาจิต จิตวางเฉย เมื่อจิตวางเฉยได้ จะภาวนาบทใดข้อใดจิตใจก็รวมได้ คือไม่มายึดหน้าถือตา ไม่มายึดตัวถือตน ยึดตระกูล




สติ ก็จิตนั่นแหละ ระลึกขึ้นมาเตือนจิตดวงที่รู้อยู่ภายในนั้นให้รู้สึกตัวอยู่ ความเจ็บไข้ได้ป่วย ความแก่เกิดขึ้นก็เตือนให้รู้ รู้จนกระทั่งว่าตาย อย่าไปกังวลอะไร คนอื่นเขาตายให้เราเห็นทั้งโลกไม่รู้ไม่เห็นหรือ ตัวเราจะไม่เจ็บไข้ไม่ตายมีที่ไหน ไม่ต้องวุ่นวาย วางให้ได้ ถอนให้ได้ เมื่อวางได้ถอนได้ก็ไม่ทุกข์ร้อน

อาศัยผู้อื่นเป็นอยู่ เราจึงได้เจริญวัยใหญ่โตมาได้จนบัดนี้ ต้องนึกถึงคุณบิดามารดาผู้บังเกิดเกล้า ผู้ทำนุบำรุงให้ทุกอย่างทุกประการ จนกระทั่งตัวเราทั้งกายทั้งจิต เจริญวัยใหญ่โตมาจนเลี้ยงดูรักษาตนเองได้ ก็เรียกว่าเป็นบุญเป็นกุศล

การที่เรากราบไหว้บูชาสักการะพระพุทธเจ้าด้วยศรัทธาความเชื่อ ความเลื่อมใสนี้ ท่านว่าเป็นบุญกุศลอันมหาศาล เป็นนิสัยปัจจัยต่อเนื่องถึงนิพพาน ฉะนั้นเราต้องฝึกหัดจิตใจของเราให้เลื่อมใสในคุณพระพุทธเจ้า ในคำว่า พุทโธ พุทโธ พุทธังหมายถึงพระพุทธเจ้า จิตใจของเราถ้าเลื่อมใสในคุณพระพุทธเจ้าแล้ว นึกน้อมให้ดี เจริญให้ดี เอามามัดจิตมัดใจของเราให้อยู่ ใจของเราจะสงบระงับ เยือกเย็นสบาย ไม่ทุกข์ร้อนประการใด

นั่งสมาธิภาวนา ทำอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ ตั้งใจทำได้ ครั้นทำไปนาน ๆ ความขี้เกียจขี้คร้านเกิดขึ้น ก็เลิกล้มความพากเพียรพยายาม ผลที่สุดก็มาบ่นให้แก่ตัวเองว่า “ทำไมหนอ เราก็ตั้งอกตั้งใจฟังเทศน์ฟังธรรมนั่งสมาธิภาวนา แต่มรรคผลนิพพานก็ไม่มาบังเกิดขึ้นในจิตในใจของเราเลย” หรือว่า “ทำบุญทำทานมามากมายเยอะแยะแล้ว แต่ทำไมภัยอันตรายต่าง ๆ จึงมักมาเกิดให้แก่ตัวเราเอง ความสุขมีน้อย ความทุกข์มีมาก” ก็เข้าใจว่า ผลทาน ผลศีล ของตนคงไม่ให้ผลจึงได้รับแต่ความทุกข์ทรมาน อันนี้ถือว่า ไม่กำหนดภาวนาให้ดี บาปอกุศลที่คนเราได้รับอยู่นั้น ไม่เฉพาะแต่ชาตินี้อย่างเดียว บาปใดที่เราไม่ได้ทำมาในชาตินี้ ก็ให้เข้าใจว่าชาติก่อนหนหลังเราเคยทำบาปอกุศลไว้มาก ความทุกข์ที่เราไม่ปรารถนาก็มีเกิดขึ้นได้

มรณกรรมฐาน เห็นคนก็ให้เห็นความตายของคน เห็นสัตว์ก็ให้เห็นความตายของสัตว์ มันอยู่ช่วงเวลาน้อยนิดเดียวเท่านั้น เหลือชีวิตของคนเราไว้แค่ลมหายใจ สูดเข้าไปแล้วออกมาไม่ได้ก็ตาย ออกมาแล้วสูดเข้าไปไม่ได้ก็ตาย ให้นึกให้เจริญอยู่ทุกลมหายใจว่า “เราต้องตาย” ตัวของเราไม่มี มีแต่ตาย อย่าได้พากันประมาท ผู้ใดไม่นึกถึงความตายที่จะมาถึงตน ชื่อว่าเป็นผู้ประมาท



อันคนอื่นสรรเสริญเยินยอก็อย่าไปดีใจ คนอื่นติเตียนนินทาก็อย่าไปเสียอกเสียใจ เพราะความสรรเสริญนินทามีอยู่ในโลกนี้ ก่อนพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ก็มีอยู่อย่างนี้ พระพุทธเจ้ามาตรัสจนดับขันธ์เข้าสู่นฤพานนานสองพันปีกว่าก็มีอยู่อย่างเก่า เราเกิดมาชาตินี้ ความสรรเสริญนินทาก็มีอยู่อย่างเก่านั้นเอง

การนั่งสมาธิภาวนา ต้องทำให้ติดต่อเนื่องกันไป ไม่ใช่ใจดีก็ทำ ใจร้ายก็เลิกล้มไป อย่างนี้ไม่ได้ ในวันหนึ่ง ๆ คืนหนึ่ง ๆ มีเวลาเมื่อใดก็ให้รีบนึกรีบเจริญ โดยเฉพาะความตายมันใกล้เข้าแล้ว มันชิดอยู่ในตัวคนเราก็ว่าได้ อาศัยความประมาทมัวเมามันหลอกลวงอยู่ในใจ ก็เข้าใจว่าความแก่ ความเจ็บไข้ ความตายมันยังอยู่ข้างหน้า

ให้มีความรู้สึกอยู่ทุกลมหายใจ เวลาลมออกมามันเคลื่อนจากไหนก็ตามรู้ออกมา พ้นจมูกไปแล้วก็แล้วไป สูดเข้ามาใหม่ก็ตามดูเข้าไป ความจริงก็ไม่ได้ตามไปที่ไหน จิตดวงผู้รู้มันอยู่ในที่เก่า ธาตุลมมันผ่านเข้าผ่านออก ถ้าจิตนิ่งแน่วเป็นดวงเดียวนึกอยู่ในคุณพระพุทธเจ้า พุทโธในตัวในใจก็จะมีความรู้สึกอยู่ในตัวในใจนั้นแหละ

คนที่เขาตายให้เราเห็น เขาเอาอะไรไปได้ เมื่อเอาอะไรไปไม่ได้ทำไมจิตคนเรามันถึงไปห่วงคนโน้นคนนี้ ทั้ง ๆ ที่เกิดมาก็ตัวคนเดียว เวลาตายไปตัวคนเดียวตายไป รูปร่างกายตัวเองก็เอาไปไม่ได้ เอาไปได้แต่จิตใจที่เป็นบุญ-บาป พาให้เกิดให้ตายอยู่ในโลกนี้มา

การภาวนาอย่าไปเลือกเวลา อย่าไปเลือกว่าเราเด็กอยู่ เราแก่แล้วภาวนาไม่ได้ การภาวนาไม่ใช่การแบกเสาหามต้นไม้ เป็นการนึกการเจริญ ทำจิตใจให้สงบ ประพฤติดี ปฏิบัติชอบ ประกอบในสิ่งที่เป็นบุญกุศลอยู่ทุกเวลา เมื่อทำอยู่เสมอก็เปรียบเหมือนตักน้ำใส่ตุ่ม ตักได้มากเท่าไร ใส่ได้เรื่อย มันก็เต็มง่าย ถ้าไปคอยน้ำฟ้าน้ำฝนมาตกใส่ก็ไม่ทันการ

ชีวิตของเราเป็นของไม่ยั่งยืน เป็นของที่จะต้องตายลงโดยแน่นอน เวลานี้เราอาจได้ยินข่าวมรณกรรมของผู้อื่นของพระอื่น แต่อีกไม่นานข่าวนั้นจะต้องเป็นของเราบ้าง เพราะชีวิตทุกชีวิตจะต้องเป็นไปในลักษณะนี้ทั้งนั้น
ฉะนั้น อย่าประมาทในเรื่องความตาย ให้เร่งภาวนาทำจิตใจให้หมดกิเลส หมดทุกข์หมดร้อนให้ได้ก่อนความตายจะมาถึง...



จากคำเทศนาของ

พุทธาจาโร รีไซส์.jpg



พระญาณสิทธาจารย์ (หลวงปู่สิม พุทธาจาโร) วัดถ้ำผาปล่อง ต.บ้านถ้ำ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่

_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
 หัวข้อกระทู้: Re: หลวงปู่สอนว่า....
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 17 ก.ย. 2008 11:30 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 15 ก.ย. 2008 2:39 am
โพสต์: 44
:P มาแล้ววววจ้า...เดี๋ยวมาใหม่น๊า


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
 หัวข้อกระทู้: Re: หลวงปู่สอนว่า....
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 17 ก.ย. 2008 4:33 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 1:41 pm
โพสต์: 215
สาธุ...
สงสัยว่าต้องรีบซะแล้ว เวลาเหลือน้อยลงทุกที
:oops:


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
 หัวข้อกระทู้: Re: หลวงปู่สอนว่า....
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 28 ต.ค. 2008 9:10 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร 14 ต.ค. 2008 9:22 pm
โพสต์: 832
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทนา ด้วยคับ

_________________
"สติเป็นบ่อเกิดของธรรม ใครอยากให้ธรรมเกิด พึงมีสติอยู่ทุกเมื่อ"


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 2 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO