นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน พุธ 15 พ.ค. 2024 5:02 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: เรื่องราว
โพสต์โพสต์แล้ว: จันทร์ 27 ส.ค. 2012 8:18 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4558
ว่า "นี่แน่ะเธอ ฉันจะบอกอะไรให้นะ ฉันไม่เคยบอกใครเลย ฉันบอกเธอคนเดียว รู้แล้วนิ่งไว้อย่าแพร่งพราย เขาจะเสียขวัญกัน อีก ๑๔ วัน ฉันจะมรณภาพแล้ว ขอให้เธอจำคำฉันไว้ให้ดี ๆ" หลวงพ่อกล่าวจบแล้วก็หลับตาลงนิ่งไปเป็นครู่ ลมหายใจระบายออกเหมือนโล่งใจ ก่อนจะกล่าวกับอาตมาว่า "ฉันต้องการมอบวิชาการอย่างหนึ่งให้เธอไว้เป็นคนแรก และคนสุดท้าย ฉันเห็นว่าเธอนั้นเหมาะที่สุดแล้ว" อาตมาได้ยินก็ดีใจ เพราะคิดว่าเป็นคาถาเรียกพระเข้าตัวแน่ เพราะต้องการนัก แต่ผิดคาด หลวงพ่อเดิมท่านกล่าวว่า "วิชาที่หลวงพ่อจะมอบให้แก่เธอคือวิชาคชศาสตร์ การต่อช้างป่า การกำราบช้างตกน้ำมัน การดูแลช้าง วิชาคชศาสตร์ต้องคนมีวาสนาบารมีพอจึงจะเรียนได้ ฉันเห็นว่าเธอนี่แหละจะรับไว้ได้ ฉันจึงมอบให้" อาตมาได้ยินก็เลยตอบไปตรง ๆ ว่า "ไม่เอาล่ะครับหลวงพ่อ ผมไม่อยากได้เลยครับ ผมอยากได้คาถาเมตตามหานิยม และเรียกพระเข้าตัวครับ" หลวงพ่อเดิมท่านเปลี่ยนจากท่านอนให้นวด มานั่งตัวตรงประกายตาท่านที่ต้องกับแสงตะเกียงเป็นแววแห่งอำนาจอย่างเต็มเปี่ยม ท่านยกนิ้วมืออันเหี่ยวย่นตามวัยของท่าน ขึ้นชี้หน้าอาตมาแล้วกล่าวด้วยเสียงอันมีอำนาจสะท้านเข้าไปถึงหัวอกว่า "นี่แน่ะเธอ ฉันจะบอกให้ เธอยังเป็นเด็ก เป็นผู้อ่อนอาวุโส ผู้ใหญ่เขาให้อะไรก็รับไว้ซี ไปปฏิเสธทำไมกัน อย่าจองหองไม่เข้าเรื่องซี" อาตมาก็ว่า "ต่อทำไมครับ ช้างป่ามันอยู่ในป่าก็เรื่องของมัน มันตกน้ำมันก็ไม่เกี่ยวกับผมนี่ครับ แล้วเดี๋ยวนี้บ้านเมืองเจริญมากแล้ว ไม่ต้องใช้ช้างป่าแล้วล่ะครับหลวงพ่อ" หลวงพ่อเดิมท่านจึงใช้คำคมมาพูดกับอาตมา ซึ่งทำให้อาตมาถึงกับนิ่งอึ้ง เพราะท่านมาไม้สูงจริง ๆ ท่านถามว่า "นี่คุณ คุณมีเสื้อตัวเดียวกับมีเสื้อสิบตัว อย่างไหนดีกว่ากันล่ะ ลองบอกมาซิ" "สิบตัวก็ดีกว่าซีครับหลวงพ่อ" "ก็นั่นนะซิ ยังไม่ได้ใส่ก็รีดเก็บแขวนไว้ เวลาจะใช้ก็หยิบมาสวมง่ายไม่ต้องไปรีดให้เปลืองเวลา พ่อแม่ปู่ย่าตายายเขาให้อะไรก็เอาไว้ก่อนเลย อย่าไปจองหอง รับไว้ ของดีทั้งนั้นเลย แม้แต่ไม้แคะหูที่เขาให้ก็เก็บไว้ มันเป็นประโยชน์ในเวลาข้างหน้านะ" อาตมาก็ไม่ยอมท่าน เถียงต่อไปอีกเพราะไม่อยากได้ มีอย่างที่ไหนวิชาต่อช้าง บังคับช้าง ไม่เห็นเข้าท่าเลยจริง ๆ เลยบอกหลวงพ่อเดิมไปว่า "ผมไม่เรียนครับ ผมจะสึกอยู่วันนี้ พรุ่งนี้ แล้วเรียนไปทำไมกัน ผมจะสึกครับหลวงพ่อ" หลวงพ่อเดิมท่านถอนหายใจใหญ่แล้วกล่าวกับอาตมาว่า "เธอฟังหลวงพ่อให้ดีนะหลวงพ่อจะว่าให้ฟัง อันผู้ใหญ่น่ะเขาเห็นการณ์ไกลกว่าเด็กมาก ไม่ใช่เขาพูดอะไรส่งเดชก็หาไม่" อาตมาก็นิ่งไม่ตอบอะไร เพราะใจนั้นไม่อยากเรียน หลวงพ่อเดิมก็พูดต่อไปว่า "ที่หลวงพ่อมอบวิชาคชศาสตร์ให้นี้ เพื่อตอบแทนที่เธอมาช่วยปฏิบัติฉันมาเป็นเวลานาน ฉันไม่เคยให้ใครเลย คนหนองโพหรือคนที่อื่น ฉันไม่เคยสอนให้ใครมาก่อนเลย ต้องการให้เธอสืบวิชาไว้ไม่ให้ตายตามหลวงพ่อไปพร้อมกันเข้าใจหรือยังล่ะ" อาตมาได้แต่นิ่ง นั่นเท่ากับเป็นการยอมรับ หลวงพ่อเดิมท่านก็ว่า "เอาล่ะ ๆ คืนนี้เธอกลับไปนอนก่อน พรุ่งนี้หลวงพ่อจะเริ่มสอน" อาตมาจึงได้เรียนวิชาคชศาสตร์ เริ่มต้นด้วยการนั่งสมาธิตามที่ท่านสอน โดยท่านควบคุมเอง และยังได้สอนกสิณให้อีกด้วย หลวงพ่อเดิมท่านสอนกสิณอย่างละเอียดทีละขั้นตอน แล้วให้ทดลองทำ อาตมาก็ทำตามได้ความรู้ทางด้านการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ทำกสิณอย่างเต็มที่พอได้ความรู้อย่างดีแล้ว หลวงพ่อเดิมท่านกล่าวว่า "เห็นไหมล่ะ ถ้าเธอไม่เรียนวิชาคชศาสตร์แล้ว เธอก็จะไม่ได้กสิณจากหลวงพ่อและไม่ได้อะไรเลย มามือเปล่าก็กลับไปมือเปล่า อย่าเป็นคนหยิ่งยะโสแมงป่องเลย ผู้ใหญ่เขารู้ว่าอะไรเป็นอะไร เขาไม่พูดเรื่อยเปื่อยไปหรอก" อาตมาซาบซึ้งใจเหลือเกิน ตั้งแต่นั้นมา พระเถระผู้ใหญ่ให้อะไร สอนอะไร ก็เอาไว้หมด ไม่เคยรังเกียจหรือถือดีว่าเคยได้ยินได้ฟังหรือเคยทำมาแล้ว ไม่ว่าท่านจะให้อะไรก็น้อมรับไว้หมดเลย ทำให้กลายเป็นคนว่านอนสอนง่าย และเข้ากับคนได้ดีจนทุกวันนี้ อาตมาก็ยังระลึกถึงพระคุณหลวงพ่อเดิมไม่หาย เพราะถ้าไม่ได้ท่าน อาตมาก็คงสึกไปเป็นฆราวาส ไม่ได้นุ่งเหลืองมาสั่งสอนธรรมะกับญาติโยมหรอก อันว่าของที่เขาให้มานั้นนะ ถ้าไม่ได้ใช้เองเห็นคนไหนสมควรก็ให้ไปใช้ ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหนเลย มีของไว้มาก ๆ แจกเป็นทานก็ได้" การเรียนกสิณนั้น เรียนหลายอย่าง กสิณ ดิน น้ำ ลม ไฟ กสิณในวิชากสิณ หลวงพ่อเดิมท่านสอนให้หมดไม่ปิดบัง ทำให้อาตมาเพลินเรียนไม่รู้ว่าเอากำลังมาจากไหน รับไว้อย่างเต็มที่ ความคิดเรื่องสึกเริ่มเลือนหายไป คิดแต่ว่าเรียน ๆ ๆ ให้มากที่สุด พอได้ที่แล้ววันหนึ่งหลวงพ่อเดิมท่านก็เรียกอาตมาไปเรียนวิชาคชศาสตร์ง่าย ๆ ก่อนท่านสอนว่า "ช้างนั้นเขาว่ามีหูทิพย์จริงไหม" หลวงพ่อขอตอบว่า "จริง" "มีทุกตัวไหม" "ไม่ทุกตัว" แล้วรู้ได้อย่างไรว่าหูทิพย์ อาตมาก็งงเลยถามหลวงพ่อเดิมท่านไปตามประสาคนไม่รู้เรื่องว่า "นั่นนะซีครับ ช้างก็เหมือนช้าง ไม่ผิดกันนี่ครับ" หลวงพ่อเดิมจึงได้ไขปัญหาต่อไป "ให้ดูที่เทวดารักษาตัวช้างอยู่ก็ด้วยกสิณที่เธอได้เรียนไปนั่นแหละ เป็นตัวกำหนดเอา" อาตมาจึงมารู้ตอนนี้เองว่า หลวงพ่อเดิมท่านต้องการให้เรียนกสิณก่อน เพราะกสิณคือหลักในการทำให้จิตแข็งแกร่งเป็นภูมิต้านทานเชื้อโรคสึกที่กำลังเกาะกินใจอาตมาจนกร่อนไปด้วยความเร่าร้อน กสิณดับได้เหมือนเอาน้ำเย็น ๆ สาดลงบนกองไฟอันร้อนรนให้มอดดับ "กำหนดเห็นแล้วทำอย่างไรครับจึงจะทำให้ช้างละพยศหายตกมันได้" "ไม่ยากแล้ว กำหนดเห็นเทวดารักษาช้าง แล้วก็แผ่เมตตาให้เทวดา เทวดารับแล้วเขาก็จะบังคับช้างให้เชื่องแล้วไม่ตกมันต่อไป พระที่ท่านมีกสิณท่านจึงแผ่เมตตาให้เทวดา ไม่ใช่แผ่ให้ช้าง แผ่ให้ช้างล่ะก็แบนเป็นกล้วยปิ้งหมด" อาตมาก็นิ่งฟังหลวงพ่อเดิมท่านว่าจะว่าอะไรต่อไปอีก ท่านก็เล่าความหลังเมื่อท่านเป็นเด็กว่า "ตอนที่หลวงพ่อตามโยมพ่อไปทำไร่ที่ท่าตะโก ที่นั่นช้างป่ามาก มันเข้ามากินของในไร่เสียหายมาก พวกชาวไร่พอเช้าขึ้นก็ด่าพ่อล่อแม่ช้างกันเป็นการใหญ่ เคียดแค้นที่ช้างมันเข้ามากินของในไร่ พอตกดึกไม่มากินเปล่า ๆ มาช่วยกันรื้อกระท่อมแล้วรื้อถูกด้วย กระท่อมไหนด่าว่าก็รื้อกระท่อมนั้น เจ้าของวิ่งหนีกันอย่างสุดชีวิต ทำไมจึงรู้เพราะเทวดาบอกเขานำมาเล่นงานเอา" อาตมาจึงเข้าใจในที่สุด ก็เรียนเรื่องช้างในวิชาคชศาสตร์ไปเรื่อย ๆ จนมาถึงการสยบช้างตกมัน หลวงพ่อเดิมท่านก็สอนว่า "ช้างตกมันนั้นมันดุและร้ายที่สุด จะสยบได้ต้องเพ่งเมตตาพระกรรมฐานให้มากที่สุด จะเผลอไม่ได้เลยต้องแน่วแน่อย่างที่สุด ไม่อย่างนั้นแล้วจะต้องเอาชีวิตไปสังเวยมัน มันไม่เห็นแล้วตอนนั้นว่าใครเป็นใคร เพราะมันตกมัน มันมืดบอดไปหมด เทวดาที่รักษาช้างเท่านั้น จะต้านช้างและเอาช้างนั้นไว้ได้ ถ้าเทวดาเขาไม่เอาด้วยล่ะก็ตาย" อาตมาจดจำไว้ หลวงพ่อเดิมท่านก็สอนต่อไปอีก ท่านสอนถึง การกำหนดจิตเพ่งกสิณและเจริญเมตตาพระกรรมฐาน ซึ่งการเพ่งกสิณและเจริญเมตตาพระกรรมฐานไปสยบช้างตกมันนั้น มันต้องเพ่งให้ได้ถึง ๘๐ เปอร์เซ็นต์ เป็นอย่างน้อย ต่ำกว่านั้นไม่ได้ ต้องรีบถอนหนี เพราะช้างเป็นสัตว์ร้ายมันเอาตายแน่ จะแผ่เมตตาจะปราบช้าง ต้องดูกาลเทศะด้วย ไม่ใช่แผ่ดะไป อันนี้ขอบอกขอเตือน พระธุดงค์มือหัดใหม่อย่าได้ริอ่านทำเข้า พลาดแล้วจะกลายเป็นเหยื่อช้างตกมันไปง่าย ๆ ควาญที่เคยเลี้ยงดูมันมา เวลามันตกมัน มันยังขยี้เสียยับเยิน นับประสาอะไรกับคนอื่น เทวดารักษาช้างนั้นสำคัญที่สุด ช้างบางตัวก็มีเทวดารักษา บางตัวก็ไม่มี ต้องกำหนดจิตให้เห็นจึงจะสามารถแผ่เมตตาให้กับเทวดารักษาช้างนั้นได้ ถ้าไม่แผ่เมตตาให้เทวดาแล้วล่ะก็เป็นอันตรายอย่างยิ่ง เมื่อได้เข้าป่าได้ผจญช้างตกมัน หรือช้างป่าที่ดุร้ายหมายชีวิตต้อนเจริญกสิณ ให้จิตหยั่งลงลึก ประมาณแปดสิบเปอร์เซ็นต์ให้จงได้ แล้วเพ่งดูเทวดาที่รักษาช้าง เมื่อเห็นแล้วก็ให้กำหนดจิตแผ่เมตตาออกไปให้เต็มที่ เพื่อให้เทวดารักษาช้างได้รับ และจัดการกำราบช้าง บทที่แผ่ออกไปว่าดังนี้ "เมตตัญจะสัพพะโล กัสสะหมิง มานะสัมภาวะเย อปริมาณัง" ในจังหวะเดียวกันก็แผ่กระแสแห่งเมตตาธรรมออกไปให้กว้างใหญ่ไพศาล ไร้ขอบเขตเหมือนคำบาลีที่แผ่ออกไปว่า "เมตตัญจะ อปริมาณัง อันหมายความว่า เมตตานั้นไร้ขอบเขตจำกัดสรรพสัตว์ ตลอดจนอินทร์ พรหม ยม ยักษ์ ย่อมได้รับกระแสแห่งความเมตตานี้ได้ทั่วกัน กสิณคุมเอาไว้ให้มั่น นั่นแหละ คือ การกำราบช้าง" การคุมจิตในการแผ่เมตตานั้น หลวงพ่อเดิมท่านให้ใช้คาถาภาวนาในช่วงลมหายใจว่า "เมตตาคุณณัง อะระหังเมตตา" เจริญไว้ทุกลมหายใจอย่าให้ขาดตกหล่น เพราะเป็นช่วงสำคัญมาก เมื่อเทพยดาที่รักษาช้างได้รับเมตตานั้นแล้วก็จะบังคับช้างให้เบี่ยงเบนแล้วออกไปให้พ้นจากที่ ๆ ประจันหน้าอยู่ พูดง่าย ๆ ก็คือเหมือนกับนักเลงโต สั่งลูกน้องว่า คนนี้เขาเป็นคนดี อย่าได้ไปทำร้ายเขา ไปที่อื่นเสียอย่างนี้แหละ เมตตาหลวงพ่อเดิมท่านว่า เป็นสุดยอดแห่งคุณธรรม เป็นเครื่องค้ำจุนโลก จะพินาศหมดเพราะเข่นฆ่ากั้นจนไม่มีใครเหลือ อันนี้อาตมาขอแทรกไว้ตรงนี้ว่า เวลาไปมีเรื่องกับใครอย่าใช้ความโกรธ เราต้องดูว่าเขามีผู้ใหญ่คอยคุมอยู่ มีผู้บังคับบัญชา ต้องเข้าไปให้ถึงคนใหญ่ไปบอกเขา มีเรื่องกับลูกเขา เขามีพ่อมีแม่ก็ต้องบอกพ่อบอกแม่เขาให้รู้เอาไว้ จะได้ห้ามปรามไม่ให้มามีเรื่องอีก ต้องเข้าให้ถูกตามช่องจึงจะใช้ได้ ไม่อย่างนั้นแล้วเรื่องไม่จบ ช้างก็เหมือนกัน เราไม่บอกเทวดาที่รักษาช้าง เขาก็วางเฉย เอ็งจะทำอะไรก็ตามใจ ไม่วิ่งหนีให้ทัน ก็มีหวังแบนแต๋อยู่ใต้อุ้งเท้าช้างแน่ นี่แหละหลวงพ่อเดิมท่านให้วิชาคชศาสตร์แก่อาตมา เพราะอาตมาปรารภจะสึกลูกเดียว ถ้าท่านสอนให้เรียนกสิณ ก็จะไม่สำเร็จเพราะไม่ต้องการได้ แต่ท่านวิชาคชศาสตร์โดยสอนว่า ถ้าจะปราบช้างให้เจริญกสิณแล้วจึงจะปราบช้างได้ เรียนกสิณแล้วใจก็ไม่คิดสึก เรียกว่าลืมเรื่องสึกไป ท่านจึงได้สองสองต่อคือ ต่อแรกทำให้อาตมาเป็นพระมาได้จนทุกวันนี้ ต่อที่สองคือ วิชาคชศาสตร์ไม่ตายแต่อาตมารับทอดเอาไว้จนได้ในที่สุด อาตมาจึงว่าเหลวงพ่อเดิมท่านไม่ใช่ธรรมดา แต่ท่านเป็นอัจฉริยะจริง ๆ อาตมายอมรับว่าหลวงพ่อเดิมท่านเป็นผู้รอบรู้หมดทุกด้านสมกับที่ได้รับการถ่ายทอดวิชามาจากยอดขุนศึกของพระเจ้ากรุงธนบุรีมหาราช อันเป็นปฐมสมภารของวัดหนองโพโดยแท้ และวิชานี้ได้ตกทอดมายังหลวงพ่อเดิม และถ่ายทอดมายังอาตมาให้สืบทอดเอาไว้จนทุกวันนี้ นอกจากนั้นแล้ว ยังทำให้อาตมาได้ดำรงสมณเพศมาจนวินาทีที่ได้เล่าให้โยมฟังด้วยบารมีท่าน" วิชาที่อาตมาได้รับการถ่ายทอดอีกอย่างหนึ่งก็คือ วิชาการกำหนดรู้สภาวะของผู้คน ยกตัวอย่างเช่น อาตมาเดินผ่านบ้านหลังหนึ่ง ต้นไม้เขียวสดชื่น ไม่ดอกก็งดงาม แต่เมื่อกำหนดจิตเข้าไปสิ่งที่กระทบคือ ความรู้สึก ซู่ ซู่ วาบ วาบ สลับกัน อย่างนี้ท่านว่าไม่นานนักจะมีคนตายในบ้านนั้น คนไข้หนักก็จักไม่รอดได้ บางบ้านผ่านไป ต้นไม้ก็กรอบแห้ง ไม่น่าดูเสียเลย แต่ได้กำหนดจิตเข้าไปดู ปรากฏว่ามีสัมผัสว่า ซู่ซู่ ซู่ซู่ ติดต่อกัน ท่านว่าบ้านนั้นกำลังจะรวยและมีโชคมีลาภ อีกอย่างหนึ่งก็คือเมื่อตื่นจากที่นอนแล้วถ้าหมั่นสังเกตจะพบว่า ถ้าจิตเป็นอย่างนี้จะได้เงิน ถ้าจิตเป็นอย่างนี้จะเสียเงิน และจิตเป็นอย่างนี้จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป อารมณ์ที่อยู่ในจิตจะบอกเหตุดีร้าย อาตมาก็เรียนเอาไว้ จดเอาไว้ และแล้ววันหนึ่งก็ได้ใช้ ตอนนั้นเขานิมนต์ไปที่เชียงราย อาตมาก็ออกเดินทางจากวัดตั้งแต่ตีหนึ่ง คนขับชื่อนายวิรัช อาตมาก็บอกกับเขาว่า "นี่แน่ะวิรัช ถ้าเกิดอารมณ์อย่างนี้เมื่อใดให้บอกกับฉันนะ ฉันจะได้นั่งสมาธิเข้าควบคุมไว้ ถ้าไม่บอกแล้วจะเกิดอันตราย" พอเลยตัวเมืองเชียงรายไปได้ไม่มากนัก นายวิรัชก็บอกว่า หลวงพ่อ ๆ เกิดอารมณ์อย่างที่หลวงพ่อสอนเอาไว้แล้ว "หลวงพ่อ เอาไงดี" อาตมาก็บอกว่า "หยุดพักเสียไม่ต้องเดินทางต่อไป มันเกิดอาเพทแล้วจะมีอันตราย" จอดพักผ่อน พอได้เวลาก็ให้ออกเดินทางไปเพียงอีกสามกิโลเมตรเท่านั้น รถโดยสารประสานงากับรถบรรทุกแหลกยับ คนกระเด็นออกมาตายเกลื่อนกลาด เลือดแดงไปหมด นี่หลวงพ่อเดิมท่านพูดจริง ถ้าอาตมาไม่มีความรู้ รถแล่นไปก็คงจะโดนเข้าให้ด้วย ถึงได้บอกว่า ผู้ใหญ่ให้อะไรล่ะก็รับไว้หมด อย่ารังเกียจ อย่าจองหอง อาตมาประทับใจคำหลวงพ่อเดิมว่า "อย่าจองหอง ผู้ใหญ่ให้ของ อย่าจองหองพองขน ให้รับเอาไว้ เด็กสมัยใหม่นี้มันจองหองกันนัก ให้อะไรก็ไม่เอา ๆ แล้วผลสุด้ายก็ไม่ได้ดีกันสักเท่าไร" อาตมาจะเล่าให้ฟังอีกเรื่อง เรื่องนี้ไม่ขอเอ่ยชื่อ แม่ให้ของที่ระลึก แม่ก็ไม่มีสตางค์เพราะส่งลูกเรียนหมดแล้ว พี่สาวได้ก่อน แม่เอาไม้แคะหูที่แม่เคยใช้ทำด้วยนาคมอบให้ลูกสาวคนโต เพราะไม่มีอะไรจะให้ พี่สาวคนโตแสนจะแค้น จึงพูดกับแม่ว่า "โธ่เอ๊ย! นึกว่าจะให้อะไร อีแค่ไม้แคะหูทำด้วยนาคแค่นี้ ราคาไม่ถึง ๑๐๐ บาท ไม่เอาล่ะ แม่เอาไว้ใช้เหอะ" ว่าแล้วก็โยนไม้แคะหูใส่หน้าแม่อย่างหมดความเกรงใจ น้องสาวคนรองก็คลานเข้าไปเก็บไว้บอกกับแม่ว่า "หนูขอเก็บเป็นที่ระลึกก็แล้วกัน" แม่ก็น้ำตาคลอบอกกับลูกว่า "เอาไปเถอะแม่ก็มีอยู่แค่นี้เองแหละ เอาไปไว้เป็นที่ระลึกก็แล้วกัน" ต่อมาพี่สาวก็ออกเรือน น้องสาวก็ตามไปอยู่ด้วย เพราะยังไม่ได้ออกเรือน แม่ก็ตายไปแล้ว คืนหนึ่งมีแมงคาเรืองเข้าหูพี่สาว ตื่นขึ้นมาร้องโอดโอย จะไปรักษาก็ไม่ได้ เพราะมันดึก และพาหนะที่จะไปก็ไม่มี น้องสาวเห็นพี่สาวดิ้นร้องอย่างนั้นก็เอาไม้แคะหูของแม่ขึ้นมา จบที่หน้าผาก ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วบอกดวงวิณญาณแม่ว่า "ด้วยความรักของแม่ที่มีต่อลูก ขอให้วิญญาณแม่มาสิงที่ไม้แคะหูนี้ หนูควานไปจงทำให้แมงคาเรืองมันตายด้วยเถอะ" เมื่อน้องสาวแหย่ไม้เข้าไปแล้วควักคว้าน ติดเอาแมงคาเรืองขาดออกมาค่อนตัว แมงคาเรืองก็ตาย หูก็หายปวด รุ่งเช้าก็ค่อย ๆ เอาน้ำหยอดแล้วแมงคาเรืองที่เหลือแต่หัวกับตัวอีกนิดหน่อยก็ออกมา ไหมล่ะ ถ้าไม่ได้แคะหูนาคที่พี่สาวโยนทิ้งรดหัวแม่ก็คงจะตายเพราะความเจ็บปวดไปแล้ว อาตมาขอพูดถึงเรื่องการที่ผู้ใหญ่ให้ของแล้วเด็กไม่รับหรือไม่รู้จักว่าผู้ใหญ่เขาเมตตาขนาดไหน อาตมาจะเล่าให้ฟังเรื่องมีอยู่ว่า มีญาติโยมอยู่รายหนึ่งมาเล่าให้อาตมาฟังว่า ที่เขาร่ำรวยมาได้ทุกวันนี้ เพราะเขาได้ของดีมาโดยไม่คาดฝัน เรื่องมีอยู่ดังนี้ เขาเองนั้นเป็นเพื่อนกับหลานชายของคุณย่า ซึ่งรักหลานชายคนนี้มาก แต่สมบัติที่มีนั้นแบ่งให้ลูก ๆ ไปหมดแล้ว เหลือแต่หลานชายคนนี้ จึงได้เรียกไปมอบสมบัติที่ย่าสุดจะหวง "หลานเอ๊ย! ย่ามีของจะให้หลาน เป็นของที่ย่ารักมากที่สุด เอาเก็บไว้นะหลาน เก็บไว้ให้ดี ย่าให้เจ้าเพราะเป็นหลานที่ย่ารักที่สุด" เจ้าหลานชายคิดว่าถ้าไม่ใช่เงินสดก็คงเป็นเครื่องเพชรเครื่องทองโบราณ แต่พอเห็นสิ่งที่ย่ายื่นมาให้ก็หน้าเสีย เพราะมันเป็นเพียงตลับเงินโบราณเล็ก ๆ ใบหนึ่งเท่านั้น "ตลับสีผึ้งที่ย่ารักมาก เป็นของมีค่าเหนือกว่าอะไรทั้งสิ้น เก็บไว้ให้ดีนะ" หลานรับตลับสีผึ้งมาแล้วด้วยความแค้นเคืองแต่ไม่กล้าแสดงออก พอกลับมาถึงบ้านก็บอกกับภรรยาว่า ดูนี่ซิ เห็นไหมล่ะ ย่าของฉันท่านมีเมตตามาก แบ่งสมบัติให้ลูกหมดแล้ว เหลือตลับสีผึ้งอันนี้ไว้ให้ ว่าแล้วก็โยนตลับสีผึ้งลงไปกับพื้นตรงหน้าภรรยา ซึ่งมองด้วยความไม่พอใจเหมือนสามี แล้วพูดว่า "โธ่เอ๋ย! ให้หลานทั้งทีให้มันดีกว่านี้ไม่ได้เชอะ เอาไปไหนก็เอาไปไป๊ เอาไปให้พ้นเลย" หลานผู้นั้นเก็บตลับสีผึ้งไว้ระยะหนึ่ง พอเพื่อนมาเห็นเข้าก็ชอบใจ จึงได้ออกปากขอเอาไปใช้ ผู้เป็นหลานกำลังเคืองอยู่พอดี ก็ให้เป็นการประชดไปทันทีโดยไม่ได้คิดว่าตลับสีผึ้งนั้นผู้ให้คือมารดาของผู้ให้กำเนิดตัวเอง เพื่อนได้ตลับสีผึ้งไปแล้วก็เอาไปสีปาก ทำมาค้าขึ้น ก็ทำบุญอุทิศให้ผู้เป็นเจ้าของตลับสีผึ้งทุกเข้า ฐานะก็ดีขึ้นทันตาเห็น ทำให้ชาวบ้านถึงกับออกปากว่าครอบครัวนี้ทำมาค้าขึ้นจริง ๆ เรื่องรู้ไปเข้าหูของเจ้าของเก่าเข้า ก็พูดว่าดวงมันดีก็รวยนะซี ตลับสีผึ้งขี้กะโล้โท้แบบนั้นจะมีอะไร วิญญาณย่าได้รับการอุทิศกุศลหนักเข้าก็ไปเข้าฝันคนที่บูชาตลับสีผึ้งว่า "สีผึ้งธรรมดาน่ะ ไม่มีอิทธิฤทธิ์อะไร แต่ที่อยู่ก้นตลับนั้นให้นำขึ้นมาเป็นเครื่องประดับให้เหมาะสม เพราะเป็นเพชรตาแมวที่เจ้าของหวงมาก ตั้งใจจะให้หลานได้ไว้ แต่หลานก็กลับไม่ใส่ใจ ความมาแตกรู้ถึงหูของหลาน ก็มาขอคืน แต่เพื่อนก็ไม่ยอมให้คืน เพราะเจ้าของให้มาด้วยความเสน่หาแล้ว ถือว่าถูกต้อง ฟ้องร้องกัน ก็ปรากฏว่า เจ้าของเดิมแพ้คดีด้วยพยานรู้เห็นกันอยู่เป็นการให้ด้วยเสน่หา จึงได้แต่น้ำตาตกเพราะไม่เฉลียวใจ ดูถูกปู่ย่าตายายตัวเอง ดังนั้นโปรดจำไว้ ผู้ใหญ่ให้ของอะไรอย่าไปรังเกียจ เก็บเอาไว้ให้ดี วันนี้ไม่มีประโยชน์ วันพรุ่งนี้มีประโยชน์ วันพรุ่งนี้ไม่มีประโยชน์ วันมะรืนไม่มีประโยชน์ ปีหน้าอาจมีประโยชน์ ตั้งแต่อาตมาอยู่กับหลวงพ่อเดิมได้รับฟังคำสั่งสอนของท่านแล้ว อาตมาก็จำเอาไว้เลย พระผู้ใหญ่ให้อะไรอาตมารับหมดไม่ยอมทิ้งเลย จึงได้บอกว่า ผู้ใหญ่ให้ของล่ะก็อย่าปฏิเสธ รับเอาไว้เลย เขาให้น่ะเขาเห็นแล้วว่าต่อไปได้ใช้ สำหรับอาตมานั้น ใครมีวิชาก็เรียนเอาไว้ แม้แต่เขมรมาจากสุรินทร์ พวกส่วยเอาผ้าไหมทอมาขายที่แถววัดอัมพวัน นักเลงใหญ่มีลูกสาวซื้อผ้าไหมซิ่นและเสื้อไหมไว้แล้วไม่ให้สตางค์เขา เขาก็เลยใช้วิชาปิดประตู กำลังท้องใช้วิชาไม่ให้ลูกคลอดออก ก่อนจะไปส่วยเขามาพักกับอาตมา เขาเรียกอาตมาว่า หลวงพี่ เขาว่า "บ้านนักเลงนั้นซื้อของแล้วไม่ให้เงิน มันโกงฉันก็เลยเอากุญแจใส่ไม่ให้มันคลอดลูกออกมาได้" อาตมาก็เลยขอเรียนรู้เจ้าส่วยนั้นก็สอนให้ สอนทั้งวิธีใส่กลอนลั่นกุญแจ และการเปิด การถอนให้ เขาคิดค่ายกครู ๑๒ บาท อาตมาก็หาให้ เรียกว่า เรียนเอาไว้เพราะว่าเวลาจำเป็นจะได้ช่วยเหลือสัตว์ผู้ยาก ก็เพราะถือคติของหลวงพ่อเดิมนั่นแหละ เรียนแล้วส่วยคนนั้นก็กลับไป อาตมาก็เฉยไว้ พอได้กำหนดคลอดเท่านั้นแหละ หมอตำแยห้าหมอส่ายหน้าดิก บอกว่ายอมแพ้ เพราะไม่ว่าจะใช้ความรู้ที่เล่าเรียนมาจนหมดไส้หมดพุง เด็กมันก็ไม่กลับหัวลงมา ลมเบ่งมีแต่มันช่วยไม่ได้ ร้องได้ยินไปสามบ้านแปดบ้าน อาตมาจึงรู้ว่า อ้อ! บ้านนี้เองที่ส่วยทำวิชาเอาไว้ อาตมาก็จะช่วย ช่วยไม่ได้เพราะวิชาที่เรียนมามีเคล็ดว่าต้องให้เข้าออกปากเชิญจึงจะช่วย ถ้าอยู่ ๆ ไม่มีใครขอร้อง ไปช่วยวิชามันเสื่อมหมด อาตมาก็บอกให้เจ้าศิษย์วัดไปทำลับ ๆ ล่อ ๆ แล้วก็พูดเปรย ๆ ว่า ไปให้หลวงพ่อจรัญท่านรักษาซี ได้การแห่กันมาทั้งบ้าน มาบอก "หลวงพ่อขา ช่วยทีเถอะเด็กน่ะตายแน่แล้ว ก็เอาเด็กออกไม่ได้ แม่มันก็ต้องตายอีกคนหนึ่ง" อาตมาก็ทำน้ำมนต์ตามที่เจ้าส่วนสอน ก็ยังไม่เคยทำสักที ถ้ามันหลอกก็คงจะหน้าแตก แต่มันพูดจริง พอทำน้ำมนต์แล้วเพ่งพลังจิตลงไปแล้วก็ให้เอาไปกินที่บ้านของเขา ปรากฏว่าพอน้ำมนต์ถึงท้อง เด็กที่ตายก็ออกมาพร้อมรก ตัวแม่รอดชีวิตได้ นี่แหละอาตมาจึงว่า รู้ไว้ ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม หลวงพ่อเดิมท่านสอนอย่างนั้น เดี๋ยวนี้อาตมาไม่ได้ใช้แล้ว คาถาอาคม เพราะเรามาเป็นอาจารย์สอนวิปัสสนากรรมฐาน แล้วก็ละทิ้งเสียทั้งหมด เพราะไม่รู้จะใช้ไปทำไม แต่ก็ยังอยู่ในไส้พุงนะ ไม่ใช่ทิ้งแล้วลืมเลย คือไม่ทำเท่านั้น เมื่ออาตมาเรียนจบแล้ว หลวงพ่อเดิมท่านอาพาธหนัก ทรุดลงทันที เหมือนกับว่าท่านทรงสังขารอยู่เพื่อสอนวิชาคชศาสตร์ให้กับอาตมาเป็นครั้งสุดท้าย หลวงพ่อเดิมท่านอาพาธคราวนี้อาตมาได้ใกล้ชิดอยู่จนมรณภาพ เพราะอยู่กับท่านมาตลอดหกเดือนจนคุ้น ลูกหลานหลวงพ่อเขาช่วยกันพยาบาลอย่างใกล้ชิด อาตมาก็อยู่หน้ากุฏิ เพราะไม่มีที่และหลวงพ่อก็อาพาธหนัก ปีพุทธศักราช ๒๔๙๔ อาตมาอยู่กับหลวงพ่อเดิมจนวาระสุดท้ายมาถึง วันนั้นท้องฟ้าแจ่มใส เมฆไม่มี อากาศร้อนอบอ้าว มันแล้งจริง ๆ แต่แล้วจู่ ๆ ก็มีเมฆฝนตั้งเค้าทะมึนมาเหนือท้องฟ้าบ้านหนองโพ และฝนก็เทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา มันเป็นปรากฏการณ์ที่แปลกมาก อาตมารู้ตอนหลังนี้ว่า หลวงพ่อเดิมท่านปรารภก่อนหน้าที่ฝนจะตกว่า "น้ำในสระบ้านหนองโพมีกินกันพอหรือ" ลูกหลานก็บอกว่า "ถ้าฝนไม่ตกในสี่ห้าวันนี้ก็ต้องอดกันแน่ เพราะน้ำแห้งลงไปมาก" หลวงพ่อเดิมท่านก็ให้ลูกหลานช่วยแต่งจีวรครองให้ท่านให้รัดกุม แล้วท่านก็หลับตา มือสองข้างพนมไว้ที่หน้าอก ปากสวดพร่ำภาวนาคาถาและเจริญกสิณของท่านไปเพียงไม่นาน เมฆฝนก็ก่อตัวขึ้นดำมืดไปหมด แล้วก็ตกลงมาอย่างหนักจนน้ำไหลลงสระถึงค่อนสระจึงขาดเม็ด และเมื่อฝนขาดเม็ด หลวงพ่อเดิมท่านก็ขาดใจเหมือนสายฝน อาตมารู้ว่าหลวงพ่อสิ้นเมื่อได้ยินเสียงลูกหลานหลวงพ่อที่อยู่ด้านในห้องร้องไห้ และออกมาร้องบอกคนข้างนอกว่า หลวงพ่อเดิมท่านมรณภาพแล้ว ให้ตีกลองและระฆังเป็นสัญญาณ อาตมารู้สึกใจหาย แม้จะเป็นศิษย์เพียงหกเดือนสุดท้าย แต่อาตมาได้รับสมบัติตกทอดจากหลวงพ่อเดิมอย่างมหาศาล คือ กสิณ และความเป็นพระมาจนทุกวันนี้ ถ้าไม่ได้หลวงพ่อเดิม ป่านนี้อาตมาก็คงไม่ได้มาเล่าเรื่องนี้ทั้งที่ครองผ้าเหลืองหรอกนะ อาตมาอยู่ช่วยงานศพหลวงพ่อเดิมตลอดเจ็ดวันเจ็ดคืนที่มีการตั้งศพหลวงพ่อเพื่อสวดพระอภิธรรม ท่านเจ้าคุณพระเทพสิทธินายก (เดิมเป็นมหาห้อง) เจ้าคณะจังหวัดเป็นประธานจัดงานศพ เพราะเลื่อมใสในองค์หลวงพ่อเดิมอย่างยิ่ง ตอนนั้นอาตมาได้เข้าใกล้ชิดท่าน เพราะท่านเคยมาเยี่ยมหลวงพ่อเดิม และหลวงพ่อเดิมก็คงจะบอกกับท่านว่า พระจรัญรูปนั้นเขาจะสึกไปเป็นฆราวาสแล้วท่านยับยั้งเอาไว้ พอว่างแขกท่านก็เรียกอาตมาเข้าไป อาตมาก็เข้าไปกราบท่านพูดว่า "เธอใช่ไหมชื่อ จรัญ มาจากพรหมบุรี" "ขอรับกระผม หลวงพ่อบอกกับพระคุณท่านหรือขอรับ" "นี่เธอฟังฉันนะ ฟังให้ดี ๆ เธอเคารพหลวงพ่อเดิมหรือเปล่า" "ขอรับ กระผมเคารพขอรับ" "ดีแล้วฉันจะบอกกับเธอตรงนี้โดยไม่ปิดบังว่า ฉันเป็นเจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ ฉันนี่แหละคือศิษย์ของหลวงพ่อเดิมองค์หนึ่ง ได้ดีมาทุกวันนี้ก็ด้วยบารมีหลวงพ่อเดิมนี่แหละ เธอเป็นศิษย์ที่หลวงพ่อเลือกสรรแล้ว" อาตมาก็งงนอกจากเจ้าคณะจังหวัดจะเป็นศิษย์หลวงพ่อเดิมแล้ว จึงเรียนถามเจ้าคณะจังหวัดไปตามประสาซื่อว่า "กระผมไม่เข้าใจขอรับว่าทำไมพระคุณท่านจึงว่า หลวงพ่อเดิมเลือกสรรกระผมแล้ว" "เธอฟังฉันให้ดี ๆ นะ วิชาคชศาสตร์นี้ไม่ว่าฆราวาสหรือสงฆ์ในหรือนอกบ้านหนองโพ หลวงพ่อเดิมไม่เคยถ่ายทอดให้ แต่คุณคนเดียวนี่แหละที่หลวงพ่อมอบให้ จึงนับเป็นวาสนาบารมีของคุณโดยแท้ มีผู้มาขอเรียนกับหลวงพ่อเดิมตรง ๆ แต่หลวงพ่อเดิมก็ได้แต่หัวเราะ อย่างเก่งก็บอกว่า รอไปก่อนนะ ยังไม่ถึงเวลาจนแล้วจนรอด หลวงพ่อท่านก็ไม่พูดถึง เป็นอันว่าไม่ได้เรียน" อาตมาจึงเข้าใจในทันทีว่า หลวงพ่อเดิมท่านเมตตาต่อตัวอาตมามากเป็นพิเศษ จึงถ่ายทอดวิชาคชศาสตร์ให้จนครบถ้วนกระบวนความ เหมือนท่านจะมีญาณวิเศษหยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าเมื่อท่านมรณภาพแล้ว อาตมาจะได้เข้าไปในป่าเรียนวิชากับพระอาจารย์อีกองค์หนึ่งของท่านแล้ว ออกเดินธุดงค์เดี่ยวหาความชำนาญ วันนั้นก็ได้พบกับช้างป่าตัวเบ่อเริ่มส่งเสียงร้องแปร๋น ๆ กางหูชูงารี่เข้ามาจะกระทืบอาตมาให้แบนติดเท้า อาตมาจึงเข้าที่เจริญพระกรรมฐานและกสิณจนแน่วแน่ แล้วแผ่เมตตาให้เทวดาประจำตัวช้าง ช้างที่กำลังวิ่งแปร๋นเข้ามามีอันเป็นหน้าหงายสะบัดหูชูงา สะบัดงวงไปมาเข้ามาไม่ได้ เทวดาเขารั้งเอาไว้จนอยู่ บอกว่าอย่าไปทำร้ายพระสงฆ์ท่านไม่ใช่ผู้เบียดเบียน เจ้ามาเกิดเป็นเดรัจฉานก็นับว่ากรรมแล้ว ถ้าไปแทงท่านตายก็กรรมหนักเข้าไปอีก ไม่ต้องมีโอกาสได้เป็นคนกัน มันเป็นเสี้ยวชีวิตแห่งความเป็นความตายทีเดียว เพราะช้างมันแล่นเข้ามาเกือบจะถึงอยู่แล้ว มันจึงเบนออกจากอาตมา หลังจากนั้นได้มองเห็นภาพหลวงพ่อเดิมทุกอิริยาบถ นึกถึงคำที่ท่านว่า ผู้ใหญ่เข้าให้อะไรอย่างหยิ่งยะโสโอหัง เอาไว้ก่อน วันหน้าจะเป็นประโยชน์ อาตมายกมือขึ้นจบที่หน้าผาก ระลึกถึงพระคุณหลวงพ่อเดิมว่า "หลวงพ่อครับ ถ้าหลวงพ่อไม่สอนวิชาคชศาสตร์ให้กระผมในวันนั้น วันนี้ผมต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี้แน่ ๆ ดีแต่ว่าหลวงพ่อสอนวิชาคชศาตร์ให้จึงรอดมาได้ หลวงพ่อครับ ชาตินี้ผมไม่ลืมหลวงพ่อเด็ดขาด" อาตมายังย้อนไปถึงคำหลวงพ่อเดิมว่า "ฉันรู้นะว่าเธอน่ะต้องการสึกและเมื่อก่อนเธอเกลียดผู้หญิงมาก แต่เธอจะกลับสึกไปหาผู้หญิง ต่อไปเธอจำไว้นะ จำคำหลวงพ่อไว้" "ยิ่งเกลียดยิ่งเข้าใกล้ ยิ่งรักยิ่งออกห่าง เมื่อเรามีความเกลียดแล้ว แผ่เมตตาความเกลียดก็หายไป ความรักใคร่ก็เข้ามาแทนที่ต่อไป" ไม่แต่เท่านั้นนะ อาตมาจะเล่าต่อให้ฟัง วิชาคชศาสตร์นี้ อาตมายังนำเอามาใช้ประโยชน์ได้อีกเรื่องเมื่อแม่ชีอายุ ๖๐ ปี เคยเกิดเป็นช้างมาก่อน ระลึกชาติได้ พอมาที่วัดอาตมาก็สอบสวนได้ความอย่างนี้ว่า พรานทองดีมีช้างตัวเมียอยู่ตัวหนึ่ง เป็นลูกช้างเก็บจากป่ามาตั้งแต่เล็ก ๆ พรานทองดีเลี้ยงไว้ เจ้าช้างนี้ประหลาดชอบตามพรานทองดีไปวัด ไปฟังเทศน์ ไปหมอบฟังพระเทศน์จนโตก็ยังทำอย่างนั้นเป็นประจำ พรานทองดีแกรักของแกมาก เลี้ยงดูไม่ให้อดอยาก แต่พรานทองดีแกบุญน้อย เมื่อพรานทองดีเสียชีวิต ช้างก็ต้องตกเป็นของลูกหลาน ลูกหลานเห็นอยู่ไปก็ไร้ประโยชน์ ต้องหาหญ้าหาของกินให้ช้างกิน จึงขายต่อไป แม่ช้างน้ำตาไหล ร้องไห้ไม่อยากจากบ้านพรานทองดี ซึ่งเหมือนพ่อของมันไป แต่ควาญช้างที่ซื้อไปก็เอาตะขอสับลากไปจนได้ มันเดินไปร้องไห้ไป ตรอมใจไป ไม่ยอมกินอาหาร พอไปถึงเมืองศรีเทพ (เพชรบูรณ์เก่า) ก็ล้มลงขาดใจตายอยู่ตรงนั้นเอง เพราะมันเสียใจ พอช้างตายแล้วจึงได้กลับมาเกิดเป็นผู้หญิงอยู่ข้างบ้านพรานทองดีที่ภูพาน อายุได้ ๑๒ ปีก็ร่ำลาพ่อแม่ บวชชีแล้วระลึกชาติได้ อายุ ๖๐ ปี มาที่วัด อาตมาก็สอบสวนอย่างไร ก็เอานิสัยที่หลวงพ่อเดิมท่านสอบว่าช้างตัวผู้มีนิสัยอย่างไร ช้างตัวเมียมีนิสัยอย่างไรแล้ววันหนึ่ง ๆ ทำอะไรบ้าง คนที่นั่งฟังอาตมาถามให้แม่ชีก็ตอบเป็นข้อ ๆ ก็งงไม่รู้ว่าอาตมาเอาอะไรมาถาม จนที่สุด อาตมาก็ยอมรับว่า จริงเพราะถ้าคนไม่เคยเป็นช้างและไม่เคยรู้เรื่องคชศาสตร์ที่อาตมาได้รับการถ่ายทอดจากหลวงพ่อเดิมมาแล้ว จะไม่รู้เลยว่าอะไร แต่แม่ชีตอบได้ฉะฉานว่าอะไรเป็นอะไร แต่แม่ชีตอบได้ฉะฉานและขาวสะอาดเป็นอันว่าระลึกชาติได้จริง นี่เห็นไหมล่ะว่า หลวงพ่อเดิมท่านเหมือนมีตาทิพย์ มองเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ อาตมาขอแทรกคำกลอนไว้ตรงนี้ เป็นคาถาแก้จน คาถาทำให้มีกินมีใช้ คาถามีอยู่ว่า "ไม่ยอมเรียนหรือจะรู้ ไม่ยอมดูหรือจะเห็น ไม่ยอมทำหรือจะเป็น ก็ลำเค็ญย่ำแย่จนแก่ตาย" ดังนั้น ต้องเรียน ต้องรู้ ต้องทำให้เป็นตัวอย่าง อย่าดูถูกวิชาการเรียน เขาให้อะไรก็เรียนไว้ไม่เสียหาย ช่วยตัวได้เวลาจำเป็นนี่เป็นตัวอย่าง เมตตาที่หลวงพ่อเดิมท่านสอนให้นี้ ท่านให้อาตมาไว้ผจญภัยจริง ๆ เพราะแม้แต่ไปต่างแดนก็ได้ใช้เมตตานี้เหมือนกันที่ศรีลังกาโน่นมันร้ายกาจกว่าช้าง เพราะเข้าเป็นคนที่มีใจอำมหิตโหดร้าย เมตตาที่หลวงพ่อเดิมสอนนี้ ทำให้อาตมากำราบได้แม้แต่คนใจทมิฬ อาตมาออกจากวัดหนองโพแล้วก็ปวารณาตัวเองเลยว่า ข้าแต่หลวงพ่อเดิม ท่านพระครูนิวาสธรรมขันธ์ แห่งวัดหนองโพ ศิษย์ขอบบวชจนตายไม่ยอมสิกหาลาเพศ เพราะหลวงพ่อเดิมคือดวงประทีป คือตัวอย่างที่ทำให้ผมได้รู้ว่าพระคือใคร พระมีหน้าที่อะไร พระทำอะไรได้บ้าง และพระที่ดีนั้นควรทำอย่างไร อาตมากบอกกับโยมตรง ๆ เลยว่า อาตมานับถือหลวงพ่อเดิมมาก เพราะท่านให้ชีวิตอันเป็นอมตะในสมณเพศแก่อาตมา ถ้าท่านไปประทังไว้ อาตมาก็คงจะสึก ไม่ได้มานั่งคุยกับโยมในผ้าเหลืองอย่างนี้หรอก อาตมาสวดมนต์ไหว้พระแล้วก็กราบหลวงพ่อเดิมทุกวัน ระลึกถึงพระคุณของท่านที่ได้สร้างอาตมาให้เป็นสงฆ์ที่ดี อัฐิของท่านอาตมาก็แบ่งเอามาไหว้ มากราบระลึกถึงพระคุณ ท่านเป็นพระที่ลึกซึ้งและเยี่ยมยอดจริง ๆ จะหาพระอาจารย์อย่างท่านได้ยาก วันพระราชทานเพลิงศพนั้น จะเล่าให้ฟัง ผู้คนล้อมรอบเมรุที่เผาท่านเบียดเสียดยัดเยียดกัน ตำรวจก็เข้าไปกัน ไฟยังไม่ทันดับสนิท ผู้คนต่างเฮโลเข้ามาจะเก็บอัฐิเพราะความนับถือ


เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 8 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO