นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อาทิตย์ 12 พ.ค. 2024 7:53 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: เรื่องราว
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 18 ส.ค. 2012 9:15 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4555
สัตว์ที่ให้เขาตายด้วยไฟในชาติก่อน วนเวียนในภูเขาไฟแต่ภูเขาไฟ ในยมวิสัยแต่ยมวิสัย มีตัวไหม้แล้วและไหม้แล้ว ย่อมตายเมื่อเด็กบ้าง กลางคนบ้าง แก่บ้าง ด้วยไฟนั่นแล สิ้นแสนปีเป็นอันมาก; ความตายนี้ของสัตว์นั้นควรได้โดยสมัย.
สัตว์ที่ให้เขาตายด้วยน้ำในชาติก่อน มีตัวอันน้ำเบียดเบียนแล้ว กำจัดแล้ว ทำลายแล้ว และทุรพล มีจิตกำเริบ ย่อมตายเมื่อเด็กบ้าง กลางคนบ้าง แก่บ้าง ด้วยน้ำนั่นแล สิ้นแสนปีเป็นอันมาก ความตายนี้ของสัตว์นั้นควรได้โดยสมัย.
สัตว์ที่ให้เขาตายด้วยหอกในชาติก่อน เป็นผู้ถูกเขาตัดทำลายทุบตี ถูกเขาเบียดเบียนด้วยปลายหอก ย่อมตายเมื่อเด็กบ้าง กลางคนบ้าง แก่บ้าง ด้วยหอกนั่นแล สิ้นแสนปีเป็นอันมาก; ความตายนี้ของสัตว์นั้นควรได้โดยสมัย."
ร. "พระผู้เป็นเจ้านาคเสน พระผู้เป็นเจ้ากล่าวคำใดว่า 'ความตายในสมัยไม่ใช่กาลมีอยู่' ดังนี้ เชิญพระผู้เป็นเจ้าแสดงเหตุในคำนั้นแก่ข้าพเจ้า."
ถ. "ขอถวายพระพร กองเพลิงใหญ่ไหม้หญ้าและไม้กิ่งไม้ใบไม้ มีเชื้อติดแล้ว ย่อมดับเพราะความสิ้นเชื้อ, เพลิงนั้นโลกกล่าวว่า ไม่มีเหตุร้ายหาอันตรายมิได้ ชื่อว่าย่อมดับในสมัย' ฉะนี้ ฉันใด, บุคคลผู้ใดผู้หนึ่งเป็นอยู่สิ้นพันวันเป็นอันมาก แก่แล้วด้วยอำนาจความชรา ไม่มีเหตุร้ายหาอันตรายมิได้ ย่อมตายเพราะสิ้นอายุ บุคคลนั้นอันโลกกล่าวว่า 'เป็นผู้เข้าถึงความตายในสมัย' ฉะนี้ ฉันนั้นนั่นเทียวแล."
อีกนัยหนึ่ง ครั้นหญ้าและไม้กิ่งไม้ใบไม้ไหม้แล้ว มหาเมฆตกลงดับเพลิงใหญ่นั้นเสีย กองเพลิงใหญ่นั้นชื่อว่าดับในสมัยหรือหนอแล?"
ร. "หาไม่เลย."
ถ. "เพราะเหตุไร ขอถวายพระพร กองเพลิงมีในภายหลังไม่เป็นของมีคติเสมอกันกับกองเพลิงก่อน?"
ร. "กองเพลิงนั้นอันเมฆจรมาเบียดเบียน จึงดับแล้วในกาลไม่ใช่สมัยซิ."
ถ. "บุคคลผู้ใดผู้หนึ่งตายในสมัยไม่ใช่กาล บุคคลนั้นเป็นผู้อันโรคจรมาเบียดเบียนแล้ว คือ อันโรคตั้งขึ้นพร้อมแต่ลม อันโรคตั้งขึ้นพร้อมแต่ดี อันโรคตั้งขึ้นพร้อมแต่เสมหะ อันโรคเกิดแต่ความประชุมพร้อมแห่งลมและดีเสมหะ อันโรคเกิดแต่ความแปรเปลี่ยนแห่งฤดู อันโรคเกิดแต่บริหารอิริยาบถไม่เสมอ อันโรคเกิดแต่ความเพียรแห่งผู้อื่นหรืออันความหิวอาหาร อันความอยากน้ำ อันงูกัด อันความกินยาพิษ อันไฟ อันน้ำ อันหอกเบียดเบียนแล้ว ชื่อว่าย่อมตายในสมัยไม่ใช่กาลฉันนั้นนั่นเทียวแล. อันนี้เป็นเหตุในข้อที่สัตว์ตายในสมัยไม่ใช่กาลนี้.
ขอถวายพระพร อนึ่ง มหาวลาหกตั้งขึ้นแล้วในอากาศตกลงยังที่ลุ่มและที่ดอนให้เต็ม มหาวลาหกนั้นโลกกล่าวว่า 'เมฆไม่มีเหตุร้ายหาอันตรายมิได้' ดังนี้ ฉันใด, บุคคลผู้ใดผู้หนึ่งเป็นอยู่นาน คร่ำคร่าแล้วด้วยอำนาจความชรา เป็นผู้ไม่มีเหตุร้ายหาอันตรายมิได้ ย่อมตายเพราะสิ้นอายุ บุคคลนั้นโลกกล่าวว่า 'เข้าถึงความตายในสมัย' ฉะนี้ ฉันนั้นนั่นเทียวแล.
อนึ่ง เหมือนอย่างว่า มหาวลาหกตั้งขึ้นแล้วในอากาศพึงถึงความอันตรธานไปด้วยลมมากในระหว่างนั่นเทียว, วลาหกนั้นเป็นของชื่อว่าหายแล้วในสมัยบ้างหรือ ขอถวายพระพร?"
ร. "หาไม่."
ถ. "ขอถวายพระพร ก็เพราะเหตุไรวลาหกมีในภายหลังไม่เป็นของมีคติเสมอกันกับด้วยวลาหกก่อนเล่า?"
ร. "วลาหกนั้นอันลมที่จรมาเบียดเบียนแล้ว ถึงซึ่งกาลไม่ใช่สมัยหายแล้วซิ."
ถ. "ขอถวายพระพร บุคคลผู้ใดผู้หนึ่งตายในสมัยไม่ใช่กาล บุคคลผู้นั้นอันโรคที่จรมาเบียดเบียนแล้ว คือ อันโรคตั้งขึ้นพร้อมแต่ลม... และอันกำลังแห่งหอกเบียดเบียนแล้ว ย่อมตายในสมัยมิใช่กาล ฉันนั้นนั่นเทียวแล. ความตายในสมัยมิใช่กาลมีอยู่ด้วยเหตุใด เหตุนั้นอันนี้.
ขอถวายพระพร อีกอย่างหนึ่ง อสรพิษมีกำลังโกรธแล้วกัดบุรุษคนหนึ่ง, พิษของอสรพิษไม่มีเหตุร้ายหาอันตรายมิได้ ยังบุรุษนั้นให้ถึงความตาย, พิษนั้นโลกกล่าวว่า 'ไม่มีเหตุร้ายหาอันตรายมิได้ ถึงที่สุด' ฉะนี้ ฉันใด;บุคคลผู้ใดผู้หนึ่งเป็นอยู่นาย แก่แล้วด้วยอำนาจความชรา ไม่มีเหตุร้ายหาอันตรายมิได้ ย่อมตายเพราะสิ้นอายุ บุคคลนั้น โลกกล่าวว่า 'ไม่มีเหตุร้ายหาอันตรายมิได้ ถึงที่สุดแห่งชีวิต เข้าถึงความตายที่ควรได้ในสมัย' ฉะนี้ ฉันนั้นนั่นเทียวแล.
ขอถวายพระพร อีกอย่างหนึ่ง เปรียบเหมือนหมองู ให้ยาแก่บุคคลที่อสรพิษมีกำลังกัดแล้ว พึงกระทำให้ไม่มีพิษในระหว่างนั่นเทียว พิษนั้นเป็นของชื่อว่าหายแล้วในสมัยบ้างหรือหนอแล?"
ร. "หาไม่เลย พระผู้เป็นเจ้า."
ถ. "เพราะเหตุไร พิษมีในภายหลังนั้น ไม่ได้เป็นของมีคติเสมอกันกับด้วยพิษก่อนเล่า ขอถวายพระพร?"
ร. "พิษอันยาที่จรมาเบียดเบียนแล้ว ยังไม่ถึงที่สุดนั่นเทียวหายแล้วซิ พระผู้เป็นเจ้า."
ถ. "ขอถวายพระพร บุคคลผู้ใดผู้หนึ่งตายในสมัยมิใช่กาล บุคคลนั้นเป็นผู้อันโรคที่จรมาเบียดเบียนแล้ว คือ อันโรคตั้งขึ้นพร้อมแต่ลม....และอันกำลังแห่งหอกเบียดเบียนแล้ว ย่อมตายในสมัยมิใช่กาลฉันนั้นนั่นเทียวแล. ความตายในสมัยมิใช่กาลมีอยู่ด้วยเหตุใด เหตุนั้นอันนี้.
ขอถวายพระพร อีกอย่างหนึ่ง นายขมังธนูแผลงศรไป. ถ้าศรนั้นไปสู่ที่ไปอย่างไรและทางที่ไปและที่สุด, ศรนั้นโลกกล่าวว่า 'ไม่มีเหตุร้ายหาอันตรายมิได้ ชื่อว่าไปแล้วสู่ที่ไปอย่างไร และทางที่ไปและที่สุด' ฉะนี้ ฉันใด; บุคคลผู้ใดผู้หนึ่งเป็นอยู่นาน แก่แล้วด้วยอำนาจความชราไม่มีเหตุร้ายหาอันตรายมิได้ ย่อมตายเพราะสิ้นอายุ บุคคลนั้นโลกกล่าวว่า 'ไม่มีเหตุร้ายหาอันตรายมิได้ เข้าถึงความตายในสมัย' ฉะนี้ ฉันนั้นนั่นเทียวแล.
ขอถวายพระพร อีกอย่างหนึ่ง เปรียบเหมือนนายขมังธนูแผงศรไป, ใคร ๆ ถือเอาศรของนายขมังธนูนั้นเสียในขณะนั้นนั่นเทียว, ศรนั้นเชื่อว่าไปแล้วสู่ที่ไปอย่างไรและทางที่ไปและที่สุดบ้างหรือหนอแล?"
ร. "หาไม่เลย พระผู้เป็นเจ้า."
ถ. "เพราะเหตุไร ศรมีในภายหลังนั้นไม่ได้เป็นของมีคติเสมอกันกับด้วยศรก่อนเล่า ขอถวายพระพร?"
ร. "เพราะความถือเอาซึ่งจรมา ความไปของศรนั้นจึงขาดแล้วซิ."
ถ. "บุคคลผู้ใดผู้หนึ่งตายในสมัยมิใช่กาล บุคคลนั้นเป็นผู้อันโรคซึ่งจรมาเบียดเบียนแล้ว คือ อันโรคตั้งขึ้นพร้อมแต่ลม...และอันกำลังแห่งหอกเบียดเบียนแล้ว ย่อมตายในสมัยมิใช่กาล ฉันนั้นนั่นเทียวแล. ความตายในสมัยมิใช่กาลมีอยู่ด้วยเหตุใด เหตุนั้นอันนี้.
ขอถวายพระพร อีกอย่างหนึ่ง บุคคลผู้ใดผู้หนึ่งเคาะภาชนะที่แล้วด้วยโลหะ, เสียงแห่งภาชนะนั้นเกิดแล้วแต่ความเคาะ ย่อมไปสู่ที่ไปอย่างไร และทางที่ไปและที่สุด, เสียงนั้นโลกกล่าวว่า 'ไม่มีเหตุร้ายหาอันตรายมิได้ ชื่อว่าไปแล้วสู่ที่ไปอย่างไร และทางที่ไปและที่สุด' ฉะนี้ ฉันใด; บุคคลผู้ใดผู้หนึ่งเป็นอยู่สิ้นพันวันเป็นอันมาก คร่ำคร่าแล้วด้วยสามารถความชรา ไม่มีเหตุร้ายหาอันตรายมิได้ ย่อมตายด้วยเหตุสิ้นอายุ บุคคลนั้นโลกกล่าวว่า 'ไม่มีเหตุร้ายหาอันตรายมิได้ เข้าถึงความตายในสมัย' ฉะนี้ ฉันนั้นนั่นเทียวแล.
ขอถวายพระพร อีกอย่างหนึ่ง บุคคลผู้ใดผู้หนึ่งเคาะภาชนะที่แล้วด้วยโลหะ เสียงแห่งภาชนะนั้นพึงเกิดแต่ความเคาะ, ครั้นเสียงเกิดแล้วไปยังไม่ไกล ใคร ๆ มาจับต้อง เสียงก็ต้องเงียบพร้อมกันกับความจับต้อง, เสียงนั้นเป็นของชื่อว่าไปแล้วสู่ที่ไปอย่างไร และทางที่ไปและที่สุดบ้างหรือหนอแล?"
ร. "หาไม่เลย พระผู้เป็นเจ้า."
ถ. "เพราะเหตุอะไร เสียงมีในภายหลังไม่ได้เป็นของมีคติเสมอ ๆ กันกับด้วยเสียงก่อนเล่า ขอถวายพระพร?"
ร. "เสียงนั้นหยุดหายแล้วด้วยความที่ใคร ๆ จับต้องซึ่งจรมาซิ."
ถ. "ขอถวายพระพร บุคคลผู้ใดผู้หนึ่งตายในสมัยมิใช่กาลบุคคลนั้นเป็นผู้อันโรคซึ่งจรมาเบียดเบียนแล้ว คือ โรคตั้งขึ้นพร้อมแต่ลม...และอันกำลังหอกเบียดเบียนแล้ว ย่อมตายในสมัยมิใช่กาล ฉันนั้นนั่นแล. ความตายในสมัยมิใช่กาลมีอยู่ด้วยเหตุใด เหตุนั้นอันนี้.
ขอถวายพระพร อนึ่ง เหมือนอย่างว่าพืชแห่งข้าวเปลือกงอกงามแล้วในนา เป็นของมีรวงคลุมแผ่เกลื่อนกล่นมาก เพราะฝนตกมากย่อมถึงสมัยเป็นที่เก็บเกี่ยวแห่งข้าวกล้า, ข้าวเปลือกนั้นโลกกล่าวว่า 'ไม่มีเหตุร้ายหาอันตรายมิได้ เป็นของชื่อว่าถึงพร้อมด้วยสมัยแล้ว' ฉะนี้ ฉันใด;บุคคลผู้ใดผู้หนึ่งเป็นอยู่สิ้นพันวันเป็นอันมาก คร่ำคร่าแล้วด้วยความชรา ไม่มีเหตุร้ายหาอันตรายมิได้ ย่อมตายเพราะเหตุสิ้นอายุ บุคคลนั้นโลกกล่าวว่า 'ไม่มีเหตุร้ายหาอันตรายมิได้ เข้าถึงความตายในสมัย' ฉะนี้ ฉันนั้นนั่นเทียวแล. อนึ่งเปรียบเหมือนพืชข้าวเปลือกงอกงามแล้วในนา วิกลด้วยน้ำพึงตายเสีย, ข้าวเปลือกนั้นเป็นของชื่อว่าถึงพร้อมด้วยสมัยแล้วบ้างหรือ ขอถวายพระพร?"
ร. "หาไม่เลย."
ถ. "เพราะเหตุไรเล่า ขอถวายพระพร ข้าวเปลือกมีในภายหลังไม่ได้เป็นของมีคติเสมอกันกับด้วยข้าวเปลือกก่อน?"
ร. "ข้าวเปลือกนั้นอันความร้อนซึ่งจรมาเบียดเบียนแล้ว จึงตายแล้วซิ."
ถ. "ขอถวายพระพร บุคคลผู้ใดผู้หนึ่งตายในสมัยมิใช่กาลบุคคลนั้นเป็นผู้อันโรคจรมาเบียดเบียนแล้ว คือ อันโรคตั้งขึ้นพร้อมแต่ลม...และอันกำลังแห่งหอกเบียดเบียนแล้ว จึงตายในสมัยมิใช่กาลฉันนั้นนั่นเทียวแล. ความตายในสมัยมิใช่กาลมีอยู่ด้วยเหตุใด เหตุนั้นอันนี้.
ขอถวายพระพร บรมบพิตรเคยทรงสดับว่า 'หนอนทั้งหลายตั้งขึ้นแล้วกระทำข้าวกล้ารุ่นอันสมูบรณ์แล้วให้ฉิบหายไปทั้งราก ฉะนี้หรือ?"
ร. "เรื่องนั้นข้าพเจ้าเคยได้ยินและเคยเห็น."
ถ. "ข้าวกล้านั้นฉิบหายในกาล หรือว่าฉิบหายในสมัยมิใช่กาล?"
ร. "ในสมัยมิใช่กาลซิ; ถ้าว่า หนอนทั้งหลายไม่เคี้ยวกินข้าวกล้านั้นไซร้, ข้าวกล้านั้นพึงถึงสมัยเป็นที่เกี่ยว."
ถ. "ข้าวกล้าพึงฉิบหายด้วยเหตุเข้าเบียดเบียนซึ่งจรมาแล้ว, ข้าวกล้าที่ไม่มีเหตุเข้าเบียดเบียน ย่อมถึงสมัยที่เกี่ยวหรือ ขอถวายพระพร?"
ร. "อย่างนั้นซิ."
ถ. "ขอถวายพระพร บุคคลผู้ใดผู้หนึ่งตายในสมัยมิใช่กาล บุคคลนั้นเป็นผู้อันโรคซึ่งจรมาเบียดเบียนแล้ว คือ อันโรคตั้งขึ้นมาพร้อมแต่ลม...และอันกำลังแห่งหอกเบียดเบียนแล้ว ย่อมตายในสมัยมิใช่กาลฉันนั้นนั่นเทียวแล. ความตายในสมัยมิใช่กาลมีอยู่ด้วยเหตุใด เหตุนั้นอันนี้.
ขอถวายพระพร อีกประการหนึ่ง บรมบพิตรเคยทรงสดับว่า 'ในเมื่อข้าวกล้าถึงพร้อมแล้ว ทรงรวงน้อมไปแล้ว ถึงความเป็นกอแล้ว ห่าฝนตกลงกระทำข้าวกล้าให้ฉิบหาย กระทำให้ไม่มีผล' ฉะนี้ บ้างหรือ?"
ร. "เรื่องนั้นข้าพเจ้าเคยได้ยินด้วย เคยได้เห็นด้วย."
ถ. "ขอถวายพระพร ข้าวกล้านั้นฉิบหายในกาล หรือว่าในสมัยมิใช่กาลเล่า?"
ร. "ในสมัยมิใช่กาล; ถ้าว่าห่าฝนไม่พึงตกลงไซร้, ข้าวกล้านั้นพึงถึงสมัยเป็นที่เกี่ยว."
ถ. "ข้าวกล้าย่อมฉิบหายด้วยเหตุเข้าเบียดเบียนซึ่งจรมา, ข้าวกล้าอันเหตุนั้นไม่เข้าเบียดเบียนแล้ว ย่อมถึงสมัยเป็นที่เกี่ยวหรือ ขอถวายพระ?"
ร. "อย่างนั้นซิ."
ถ."ขอถวายพระพร บุคคลผู้ใดผู้หนึ่งตายในสมัยมิใช่กาล บุคคลนั้นเป็นผู้อันโรคซึ่งจรมาเบียดเบียนแล้ว คือ อันโรคตั้งขึ้นพร้อมแต่ลม...และอันกำลังแห่งหอกเบียดเบียนแล้ว ย่อมตายในสมัยมิใช่กาลฉันนั้นนั่นเทียวแล. ความตายในสมัยมิใช่กาลมีอยู่ด้วยเหตุใด เหตุนั้นอันนี้."
ร. "พระผู้เป็นเจ้านาคเสน น่าอัศจรรย์ พระผู้เป็นเจ้านาคเสนของไม่เคยมี ๆ แล้ว, เหตุพระผู้เป็นเจ้าสำแดงดีแล้ว, ข้ออุปมาเพื่อแสดงความตายในสมัยมิใช่กาลว่า 'ความตายในสมัยมิใช่กาลมีอยู่' ฉะนี้ พระผู้เป็นเจ้าสำแดงดีแล้ว กระทำให้ตื้นแล้ว กระทำให้ปรากฏแล้ว กระทำให้เป็นชัดแล้ว. แม้บุคคลผู้ฟุ้งซ่านด้วยหาความคิดมิได้ ก็พึงเข้าใจว่า 'ความตายในสมัยมิใช่กาลมีอยู่' ฉะนี้ ด้วยข้ออุปมาอันหนึ่ง ๆ ก่อน; จะกล่าวไปไย บุคคลผู้มีความคิดจะไม่พึงเข้าใจฉะนั้น. ข้าพเจ้าทราบแล้วด้วยข้ออุปมาเป็นประถมทีเดียวว่า 'ความตายในสมัยมิใช่กาลมีอยู่' ฉะนี้, ก็แต่ข้าพเจ้าอยากฟังเนื้อความเครื่องนำออกอื่น ๆ จึงยังไม่ยอมรับรองเสียแต่ชั้นต้น."

๒. ปรินิพพุตเจติยปาฏิหาริยปัญหา ๗๙

พระราชาตรัสถามว่า "พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ปาฏิหาริย์มีในจิตกาธารแห่งพระอรหันต์ทั้งหลายผู้ปรินิพพานแล้วทุกพวก, หรือว่าบางพวกจึงมี?"
พระเถรเจ้าทูลว่า "บางพวกมี บางพวกไม่มี ขอถวายพระพร."
ร. "พวกไหนมี พวกไหนไม่มี พระผู้เป็นเจ้า."
ถ. "ขอถวายพระพร ปาฏิหาริย์มีในจิตกาธารแห่งพระอรหันต์ผู้ปรินิพพานแล้ว เพราะความอธิษฐานแห่งบุคคลสามพวก ๆ ใดพวกหนึ่ง, บรรดาบุคคลสามพวกนั้น พวกไหนบ้าง?
ขอถวายพระพร พระอรหันต์ในโลกนี้ เมื่อยังดำรงชีพอยู่อธิษฐานไว้เพื่อความเอ็นดูเทพดาและมนุษย์ทั้งหลายว่า 'ขอปาฏิหาริย์ในจิตกาธารจงมีอย่างนี้' ดังนี้, ปาฏิหาริย์ก็ย่อมมีในจิตกาธารแห่งพระอรหันต์นั้น ด้วยสามารถแห่งความอธิษฐาน; ปาฏิหาริย์มีในจิตกาธารแห่งพระอรหันต์ผู้ปรินิพพานแล้ว ด้วยสามารถแห่งความอธิษฐานของท่านเองอย่างนี้หนึ่ง.
เทวดาทั้งหลายสำแดงปาฏิหาริย์ในจิตกาธาร แห่งพระอรหันต์ผู้ปรินิพพานแล้ว เพื่อความเอ็นดูแก่มนุษย์ทั้งหลายว่า 'พระสัทธรรมจักเป็นของอันสัตว์ทั้งหลาย ประคับประคองไว้เป็นนิตย์ด้วยปาฏิหาริย์นี้, และมนุษย์ทั้งหลายเลื่อมใสแล้ว จักเจริญด้วยกุศล' ดังนี้; ปาฏิหาริย์ก็มีในจิตกาธารแห่งพระอรหันต์ผู้ปรินิพพานแล้ว ด้วยความอธิษฐานแห่งเทพดาทั้งหลายอย่างนี้หนึ่ง.
สตรีหรือบุรุษมีศรัทธาเลื่อมใสแล้ว เป็นบัณฑิตฉลาดมีปัญญาถึงพร้อมด้วยปัญญา คิดโดยแยบคายแล้ว จึงอธิษฐานของหอมดอกไม้ ผ้าหรือวัตถุสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แล้วยกขึ้นไว้ในจิตกาธารว่า 'ปาฏิหาริย์นี้จงมีเถิด' ดังนี้, ปาฏิหาริย์ก็มีในจิตรกาธารแห่งพระอรหันต์ผู้ปรินิพพานแล้ว ด้วยสามารถแห่งความอธิษฐานแห่งสตรีหรือบุรุษนั้น; ปาฏิหาริย์มีในจิตกาธารแห่งพระอรหันต์ผู้ปรินิพพานแล้ว ด้วยอำนาจแห่งความอธิษฐานของมนุษย์ทั้งหลายอย่างนี้หนึ่ง. ปาฏิหาริย์มีในจิตกาธารแห่งพระอรหันต์ผู้ปรินิพพานแล้ว ด้วยอำนาจแห่งความอธิษฐานของบุคคลผู้ใดผู้หนึ่ง แห่งบุคคลสามพวกเหล่านี้แล.
ขอถวายพระพร ถ้าว่าความอธิษฐานของชนทั้งหลายเหล่านั้นไม่มีไซร้, ปาฏิหาริย์ในจิตกาธารแม้แห่งพระขีณาสพผู้มีอภิญญาหกประการ ผู้ถึงแล้วซึ่งความเป็นผู้มีอำนาจในจิต ก็ย่อมไม่มี. แต่ถึงปาฏิหาริย์ไม่มี เทวดามนุษย์ทั้งหลายเพ่งความประพฤติของท่านบริสุทธิดีแล้ว พึงหยั่งลง พึงเข้าใจ พึงเชื่อถือว่า 'พระพุทธโอรสนี้ปรินิพพานดีแล้ว' ฉะนี้."
ร. "ดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ข้อวิสัชนาปัญหาของพระผู้เป็นเจ้าสมอย่างนั้น, ข้าพเจ้ายอมรับรองอย่างนั้น."

๓. เอกัจจาเนกัจจานํ ธัมมาภิสมยปัญหา ๘๐

พระราชาตรัสถามว่า "พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ธรรมาภิสมัยความตรัสรู้ธรรมเกิดมีแก่บุคคลทั้งหลายทั้งปวง ผู้ปฏิบัติโดยชอบหรือ, หรือว่าไม่เกิดมีแก่บุคคลบางจำพวก."
พระเถรเจ้าทูลว่า "เกิดมีแก่บุคคลบางจำพวก, ไม่เกิดมีแก่บุคคลบางจำพวก, ขอถวายพระพร."
ร. "เกิดมีแก่บุคคลพวกไร, ไม่เกิดมีแก่บุคคลพวกไร พระผู้เป็นเจ้า?"
ถ. "ขอถวายพระพร ธรรมาภิสมัยไม่เกิดมีแก่บุคคลผู้เกิดในดิรัจฉานแม้ปฏิบัติดีแล้ว, และธรรมาภิสมัยไม่เกิดมีแก่บุคคลผู้เกิดในเปตวิสัย แก่บุคคลผู้มิจฉาทิฏฐิ แก่บุคคลโกง แก่บุคคลผู้ฆ่ามารดา แก่บุคคลผู้ฆ่าบิดา แก่บุคคลผู้ฆ่าพระอรหันต์ แก่บุคคลผู้ทำลายสงฆ์ แก่บุคคลผู้ทำโลหิตให้ห้อขึ้นในพระกายแห่งพระพุทธเจ้า แก่บุคคลผู้ลักสังวาส แก่บุคคลผู้หลีกไปสู่ลัทธิแห่งเดียรถีย์ แก่บุคคลผู้ประทุษร้ายนางภิกษุณี แก่บุคคลผู้ต้องครุกาบัติสิบสามอันใดอันหนึ่งแล้วไม่อยู่กรรม แก่บัณเฑาะก์ แก่อุภโตพยัญชนก แม้ปฏิบัติดีแล้ว, อนึ่ง ธรรมาภิสมัยไม่เกิดมีแม้แก่มนุษย์ยังเด็กผู้มีอายุต่ำกว่าเจ็ดปี. ธรรมาภสมัยไม่เกิดมีแก่บุคคลสิบหกจำพวกเหล่านี้แม้ปฏิบัติดีแล้ว."
ร. "ธรรมาภิสมัยเกิดมีหรือไม่เกิดมีแก่บุคคลสิบห้าจำพวก ซึ่งเป็นผู้ปิดทางดีแล้วก็ยกไว้เถิด, พระผู้เป็นเจ้า ก็แต่เพราะเหตุไรธรรมาภิสมัยจึงไม่เกิดมีแก่เด็กน้อยผู้มีอายุต่ำกว่าเจ็ดปี แม้เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว? ปัญหาในข้อนี้ยังมีอยู่ก่อน. ราคะไม่มีแก่ทารก, โทสะก็ไม่มี, โมหะก็ไม่มี, มานะก็ไม่มี, ความเห็นผิดก็ไม่มี, ความชิงชังก็ไม่มี กามวิตกก็ไม่มี ไม่ใช่หรือ? ธรรมดาเด็กน้อยนั้นไม่เจือแล้วด้วยกิเลสทั้งหลายประกอบถึงที่แล้วย่อมควรจะตรัสรู้ของจริงสี่ด้วยความตรัสรู้อย่างเอก."
ถ. "ขอถวายพระพร อาตมภาพกล่าวว่า 'ธรรมาภิสมัยไม่เกิดมีแก่เด็กน้อยผู้มีอายุต่ำกว่าเจ็ดปี แม้ปฏิบัติดีแล้ว' ฉะนี้ ด้วยเหตุไร. เหตุนั้นนั่นแลในปัญหานี้.
ขอถวายพระพร ถ้าว่าเด็กน้อยผู้มีอายุต่ำกว่าเจ็ดปี พึงกำหนัดในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด พึงประทุษร้ายในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความประทุษร้าย พึงหลงในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความหลง พึงมัวเมาในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความมัวเมา พึงรู้แจ้งซึ่งความเห็น พึงรู้แจ้งซึ่งความยินดีและความไม่ยินดี พึงตรึกถึงอกุศลไซร้, ธรรมาภิสมัยพึงเกิดมีแก่เด็กน้อยนั้น. เออก็จิตของเด็กน้อยผู้มีอายุต่ำกว่าเจ็ดปีเป็นของไม่มีกำลัง มีกำลังชั่ว เล็กน้อย อ่อนแอไม่มีแจ้ง, ส่วนนิพพานธาตุซึ่งไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง เป็นของหนักมากใหญ่โต; เด็กน้อยผู้มีอายุต่ำกว่าเจ็ดปี ไม่อาจตรัสรู้นิพพานธาตุซึ่งไม่มีปัจจัยปรุงแต่งเป็นของหนักมากใหญ่โต ด้วยจิตซึ่งมีกำลังชั่วเล็กน้อยอ่อนแอไม่มีแจ้งนั้น.
ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนพญาเขาสิเนรุเป็นของหนักใหญ่โต บุรุษจะพึงอาจเพื่อจะยกพญาเขาสิเนารุนั้นด้วยเรี่ยวแรงกำลัง และความเพียรอันมีอยู่ตามปกติของตนได้หรือ ขอถวายพระพร?"
ร. "ไม่อาจเลย พระผู้เป็นเจ้า."
ถ. "เพราะเหตุไร ขอถวายพระพร?"
ร. "เพราะความที่บุรุษมีกำลังทราม และเพราะความที่พญาเขาสิเนรุเป็นของใหญ่ซิ."
ถ. "ขอถวายพระพร จิตเด็กน้อยผู้มีอายุต่ำกว่าเจ็ดปี เป็นของไม่มีกำลัง มีกำลังชั่ว เล็กน้อยอ่อนแอไม่มีแจ้ง, ส่วนนิพพานธาตุซึ่งไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง เป็นของหนักมากใหญ่โต, เด็กน้อยผู้มีอายุต่ำกว่าเจ็ดปี ไม่อาจตรัสรู้นิพพานธาตุซึ่งไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง เป็นของหนักมากใหญ่โต ด้วยจิตซึ่งมีกำลังชั่วเล็กน้อย ซึ่งอ่อนแอไม่มีแจ้งฉันนั้นนั่นเทียวแล, ด้วยเหตุนั้น ธรรมาภิสมัยย่อมไม่เกิดมีแก่เด็กน้อยผู้มีอายุต่ำกว่าเจ็ดปีแม้ปฏิบัติดีแล้ว.
ขอถวายพระพร อนึ่ง ราวกะว่าแผ่นดินใหญ่นี้ เป็นของยาวรีหนากว้างขวางมากมายใหญ่โต, โคร ๆ จะอาจให้แผ่นดินใหญ่นั้นชุ่มด้วยหยาดน้ำ หยาดนิดเดียวทำให้ลื่นได้หรือ ขอถวายพระพร?"
ร. "ไม่อาจเลย."
ถ. "เพราะเหตุไร ขอถวายพระพร?"
ร. "เพราะความที่น้ำหยาดหนึ่งเป็นของนิดเดียว, และเพราะความที่แผ่นดินใหญ่เป็นของโตซิ."
ถ. "ขอถวายพระพร จิตของเด็กน้อยผู้มีอายุต่ำกว่าเจ็ดปี เป็นของไม่มีกำลัง มีกำลังชั่ว เล็กน้อย อ่อนแอ ไม่มีแจ้ง, ส่วนนิพพานธาตุซึ่งไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง เป็นของยาวรีหนากว้างขวางมากมายใหญ่โต, เด็กน้อยผู้มีอายุต่ำกว่าเจ็ดปี ไม่อาจตรัสรู้นิพพานธาตุ ซึ่งไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง เป็นของใหญ่ ด้วยจิตซึ่งมีกำลังชั่วเล็กน้อยอ่อนแอไม่มีแจ้งนั้น ฉันนั้นนั่นแลเทียว, ด้วยเหตุนั้น ธรรมาภิสมัย ย่อมไม่เกิดมีแก่เด็กน้อยผู้มีอายุต่ำกว่าเจ็ดปี แม้ปฏิบัติดีแล้ว.
ขอถวายพระพร อนึ่ง ราวกะไฟอันเป็นของไม่มีกำลัง มีกำลังชั่วเล็กน้อยนิดเดียว, ใคร ๆ จะอาจกำจัดความมืดในโลกกับทั้งเทวดาส่องให้สว่างด้วยไฟน้อยเพียงเท่านั้นได้หรือ ขอถวายพระพร?"
ร. "ไม่อาจเลย."
ถ. "เพราะเหตุไร ขอถวายพระพร?"
ร. "เพราะความที่ไฟเป็นของน้อย, และเพราะความที่โลกเป็นของใหญ่ซิ."
ถ. "ของถวายพระพร จิตของเด็กน้อยผู้มีอายุต่ำกว่าเจ็ดปี เป็นของไม่มีกำลัง มีกำลังชั่ว เล็กน้อย อ่อนแอ ไม่มีแจ้ง, และจิตนั้นเป็นของอันความมือ คือ ความไม่รู้เท่าอย่างใหญ่ปิดแล้ว, เพราะเหตุนั้น ยากที่เด็กน้อยจะส่องแสงสว่าง คือ ความรู้เท่าได้ ฉันนั้นนั่นเทียวแล, ด้วยเหตุนั้น ธรรมาภิสัย ย่อมไม่เกิดมีแก่เด็กน้อยผู้มีอายุต่ำกว่าเจ็ดปี แม้ปฏิบัติดีแล้ว ขอถวายพระพร.
อีกประการหนึ่ง ราวกะหนอนกินหน่อไม้ เป็นสัตว์กระสับกระส่ายผอม และมีกายมีอณูเป็นประมาณ เห็นช้างประเสริฐผู้มีน้ำมันแตกทั่วโดยส่วนสาม มีอวัยวะยาวเก้าศอก กว้างสามศอก โอบอ้อมสิบศอก สูงแปดศอก ยืนอยู่ พึงคร่ามาเพื่อจะกลืนกิน หนอนกินหน่อไม้นั้น จะพึงอาจกลืนกินช้างประเสริฐนั้นได้หรือ ขอถวายพระพร?"
ร. "ไม่อาจเลย."
ถ. "เพราะเหตุอะไร ขอถวายพระพร?"
ร. "เพราะความที่หนอนกินหน่อไม้เป็นสัตว์เล็ก และเพราะความที่ช้างประเสริฐเป็นสัตว์ใหญ่ซิ."
ถ. "จิตของเด็กน้อยผู้มีอายุต่ำกว่าเจ็ดปี เป็นของไม่มีกำลัง มีกำลังชั่ว เล็กน้อย อ่อนแอ ไม่มีแจ้ง, ส่วนนิพพานธาตุ ซึ่งหาปัจจัยปรุงแต่มิได้ เป็นของใหญ่, เด็กน้อยนั้นไม่สามารถจะตรัสรู้นิพพานธาตุซึ่งหาปัจจัยปรุงแต่มิได้ เป็นของใหญ่ ด้วยจิตมีกำลังชั่วเล็กน้อย อ่อนแอ ไม่มีแจ้งนั้น ฉันนั้นนั่นเทียวแล, ด้วยเหตุนั้น ธรรมาภิสัยย่อมไม่เกิดมีแก่เด็กน้อยผู้มีอายุต่ำกว่าเจ็ดปี แม้ปฏิบัติดีแล้ว."
ร. "ดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ข้อวิสัชนาปัญหาของพระผู้เป็นเจ้า สมอย่างนั้น, ข้าพเจ้ายอมรับรองอย่างนั้น."

๔. นิพพานอทุกขมิสสภาวปัญหา ๘๑

พระราชาตรัสถามว่า "พระผู้เป็นเจ้านาคเสน นิพพานเป็นสุขส่วนเดียวหรือ หรือว่าเจือด้วยทุกข์?"
พระเถรเจ้าทูลว่า "ขอถวายพระพร นิพพานเป็นสุขส่วนเดียวหาเจือด้วยทุกข์ไม่."
ร. "ข้าพเจ้าไม่เชื่อ คำว่า 'นิพพานเป็นสุขส่วนเดียว' นั้น. ข้าพเจ้าเห็นในปัญหาข้อนี้อย่างนี้ว่า 'นิพพานเป็นของเจือด้วยทุกข์'ฉะนี้; และข้าพเจ้าจับเหตุในปัญหาข้อนี้ว่า 'นิพพานเป็นของเจือด้วยทุกข์' ฉะนี้ได้, เหตุในปัญหาข้อนี้ เป็นไฉน? คือ ชนเหล่าใดแสวงหานิพพาน ความเพียรยังกิเลสให้เร่าร้อน ย่อมปรากฏแก่กายและจิตแห่งชนเหล่านั้น, และความระวัง การยืน การเดิน การนั่ง การนอน และอาหาร, การปราบปรามความง่วงเหงา ความลำบากแห่งอายตนะทั้งหลาย ความละทรัพย์ที่ควรสงวนและญาติมิตรเป็นที่รัก ย่อมปรากฏแก่กายและจิตแห่งชนเหล่านั้น; ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่งในโลกเป็นผู้ถึงความสุขอิ่มไปด้วยความสุข ชนเหล่านั้นทั้งหมด เขาย่อมยังอายตนะทั้งหลายให้ยินดี ให้เจริญจิตด้วยกามคุณทั้งห้า คือ เขายังจักษุให้ยินดีให้เจริญด้วยรูปที่เป็นสุภนิมิตมีอย่างมาก ยังใจให้เอิบอาบ, ยังโสตให้ยินดีให้เจริญจิตด้วยเสียที่เป็นสุภนิมิตมีอย่างมาก คือ ขับร้องและประโคมเครื่องดนตรีที่ยังใจให้เอิบอาบ, ยังฆานะให้ยินดีให้เจริญจิตด้วยกลิ่นที่เป็นสุภนิมิตมีอย่างมาก คือ ดอกไม้ ผลไม้ ใบไม้ เปลือกไม้ รากไม้ แก่นไม้ ที่ยังใจให้เอิบอาบ, ยังชิวหาให้ยินดี ให้เจริญจิตด้วยรสที่เป็นสุภนิมิตมีอย่างมาก คือ ของควรเคี้ยว ของควรบริโภค ของควรลิ้ม ของควรดื่ม ของควรชิม ที่ยังใจให้เอิบอาบ, ยังกายให้ยินดี ให้เจริญจิต ด้วยผัสสะที่เป็นสุภนิมิตมีอย่างมาก คือ ละเอียดนุ่มอ่อนละมุน ที่ยังใจให้เอิบอาบ, ยังใจให้ยินดี ให้เจริญ ด้วยความตรึกความทำในใจมีอย่างมาก คือ อารมณ์ดีและชั่ว อารมณ์งามและไม่งาม ที่ยังใจให้เอิบอาบ. ท่านทั้งหลายกำจัดเสีย ฆ่าเสีย ดับเสีย ทอนเสีย ปิดเสีย กั้นเสียซึ่งความเจริญแห่งจักษุ โสต ฆานะ ชิวหา กาย ใจนั้น, ด้วยเหตุนั้น แม้กายของผู้แสวงหานิพพาน ก็เร่าร้อน แม้จิตของผู้แสวงหานิพพาน ก็เร่าร้อน, ครั้นกายเร่าร้อน ผู้แสวงหานิพพาน ก็ย่อมเสวยทุกขเวทนาที่เป็นไปในกาย, ครั้นจิตเร่าร้อน ผู้แสวงหานิพพาน ก็ย่อมเสวยทุกขเวทนาที่เป็นไปในจิต, แม้ปริพพาชกชื่อ มาคันทิยะ เมื่อติเตียนพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ได้กล่าวอย่างนี้ว่า "พระสมณโคดมฆ่าความเจริญเสีย" ฉะนี้. เหตุนี้เป็นเหตุที่ข้าพเจ้ากล่าวในปัญหาข้อนี้ว่า "นิพพานเป็นของเจือด้วยทุกข์" ฉะนี้.
ถ. "ขอถวายพระพร นิพพานไม่เจือด้วยทุกข์เลย นิพพานเป็นสุขส่วนเดียว. ก็แต่บรมบพิตรรับสั่งข้อใดว่า 'นิพพานเป็นทุกข์.' ข้อนั้น จะชื่อว่านิพพานเป็นทุกข์ก็หาไม่, ก็แต่ข้อนั้น เป็นส่วนเบื้องต้นแห่งการทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน, ข้อนั้น เป็นการแสวงหานิพพาน. นิพพานเป็นสุขส่วนเดียวแท้ หาเจือด้วยทุกข์ไม่. อาตมภาพจะกล่าวเหตุในปัญหานั้นถวาย. ขึ้นชื่อว่าสุขในราชสมบัติมีแด่พระราชาทั้งหลายหรือขอถวายพระพร?"
ร. "มีซิ พระผู้เป็นเจ้า สุขในราชสมบัติมีแด่พระราชาทั้งหลาย"
ถ. "ราชสมบัตินั้นเจือทุกข์บ้างหรือ ขอถวายพระพร?"
ร. "หามิได้ พระผู้เป็นเจ้า."
ถ. "ก็เพื่อเหตุไร ขอถวายพระพร พระราชาเหล่านั้น ครั้นปัจจันตชนบทกำเริบแล้ว จึงต้องพร้อมด้วยอมาตย์ราชภัฏขุนพลทวยหาญทั้งหลาย เสด็จไปประทับแรมเป็นผู้อันเหลือม และยุง ลม และแดดเบียดเบียนแล้ว ต้องทรงวิ่งไปในที่เสมอและไม่เสมอ ทรงกระทำการรบกันใหญ่ด้วย ถึงซึ่งความไม่แน่พระหฤทัยในพระชนมชีพด้วย เพื่ออันทรงเกียดกันเสียซึ่งข้าศึกทั้งหลายที่อาศัยปัจจันตชนบทอยู่เหล่านั้นแล?"
ร. "ข้อนั้น หาชื่อว่าเป็นสุขในราชสมบัติไม่, ข้อนั้น เป็นส่วนเบื้องต้นแห่งความแสวงหาสุขในราชสมบัติ. พระราชาทั้งหลายแสวงหาราชสมบัติ ด้วยความทุกข์แล้ว ย่อมเสวยสุขในราชสมบัติ. เมื่อเป็นเช่นนี้ สุขในราชสมบัติไม่เจือด้วยทุกข์, สุขในราชสมบัตินั้นก็ต่างหากทุกข์ต่างหาก."
ถ. "ขอถวายพระพร นิพพานเป็นสุขส่วนเดียว ไม่เจือด้วยทุกข์, ก็แต่ชนเหล่าใด แสวงหานิพพานนั้น ชนเหล่านั้น ต้องยังกายและจิตให้ระส่ำระสาย ต้องระวังการยืน การเดิน การนั่ง การนอน และอาหารต้องปราบปรามความง่วงเหงา ต้องให้อายตนะลำบาก ต้องสละกายและชีวิต ต้องแสวงหานิพพานด้วยความทุกข์ แล้วย่อมเสวยนิพพานอันเป็นสุขส่วนเดียว ดุจพระราชาทั้งหลาย กำจัดปัจจามิตรเสียได้แล้ว เสวยสุขในราชสมบัติ ฉะนั้น. เมื่อเป็นเช่นนี้ นิพพานเป็นสุขส่วนเดียวไม่เจือด้วยทุกข์, นิพพานต่างหาก ทุกข์ต่างหาก ฉันนั้นแล.
ขอถวายพระพร บรมบพิตรจงทรงสดับเหตุในปัญหาว่า 'นิพพานเป็นสุขส่วนเดียว ไม่เจือด้วยทุกข์ ทุกข์ต่างหาก นิพพานต่างหาก' ฉะนี้อื่นอีกให้ยิ่งขึ้นไป. ชื่อว่าสุขเกิดแต่ศิลปศาสตร์ มีแก่อาจารย์ทั้งหลายผู้มีศิลปศาสตร์หรือ ขอถวายพระพร?"
ร. "มีซิ พระผู้เป็นเจ้า สุขเกิดแต่ศิลปศาสตร์ มีแก่อาจารย์ทั้งหลายผู้มีศิลปศาตร์."
ถ. "เออก็ สุขเกิดแต่ศิลปศาสตร์นั้น เจือด้วยทุกข์หรือ ขอถวายพระพร?"
ร. "ไม่เจือเลย."
ถ. "ก็เพื่อเหตุอะไร ขอถวายพระพร อาจารย์เหล่านั้น เมื่อยังเป็นศิษย์ท่านอยู่ ยังกายให้ร้อนรน เพราะไม่เป็นอันนอนไม่เป็นอันกินด้วยต้องวางจิตของตนเสียประพฤติตามจิตของผู้อื่น คือ ต้องกราบไหว้และบำรุงอาจารย์ทั้งหลาย และต้องตักน้ำมาให้ กวาดที่อยู่ ให้ไม้ชำระฟัน น้ำบ้วนปาก รับของเป็นเดนไปทิ้ง กลบกลิ่นไม่สะอาด ให้อาบน้ำ นวดเฟ้นเท้า?"
ร. "ข้อนั้น ไม่ชื่อว่าสุขเกิดแต่ศิลปศาสตร์ ข้อนั้น เป็นส่วนเบื้องต้นแห่งการแสวงหาศิลปศาสตร์. อาจารย์ทั้งหลาย แสวงหาศิลปศาสตร์ด้วยความทุกข์ แล้วได้เสวยสุขเกิดแต่ศิลปศาสตร์. เมื่อเป็นเช่นนี้ สุขเกิดแต่ศิลปศาสตร์ ไม่เจือด้วยทุกข์, สุขเกิดแต่ศิลปศาสตร์นั้นต่างหากทุกข์ต่างหาก."
ถ. "นิพพานเป็นสุขส่วนเดียว ไม่เจือด้วยทุกข์, ก็แต่ชนเหล่าใดแสวงหานิพพานนั้น ชนเหล่านั้น ยังกายและจิตให้เดือดร้อน ต้องระวังรักษาอิริยาบถทั้งสี่และอาหาร ปราบปรามความง่วงเหงา ยังอายตนะทั้งหลายให้ลำบาก แล้วได้เสวยนิพพานอันเป็นสุขส่วนเดียว ประดุจอาจารย์ได้เสวยสุขเกิดแต่ศิลปศาสตร์ ฉะนั้น. เมื่อเป็นเช่นนี้ นิพพานเป็นสุขส่วนเดียว ไม่เจือทุกข์, ทุกข์ต่างหาก นิพพานต่างหาก ฉันนั้นแล."
ร. "ดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ข้อวิสัชนาปัญหาของพระผู้เป็นเจ้า สมอย่างนั้น, ข้าพเจ้ายอมรับรองอย่างนั้น."






เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 2 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO