นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน เสาร์ 11 พ.ค. 2024 5:29 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: เรื่องราว
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 15 ส.ค. 2012 7:22 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4555
๘. นิพพานอัตถิภาวปัญหา ๖๖

พระราชาตรัสถามว่า "พระผู้เป็นเจ้านาคเสน สัตว์ทั้งหลายเกิดแต่แกรรม ย่อมปรากฏในโลก, สัตว์ทั้งหลายเกิดแต่เหตุ ย่อมปรากฏ, สัตว์ทั้งหลายเกิดแต่อุตุ ย่อมปรากฏ, สิ่งใดที่ไม่เกิดแต่กรรม ไม่เกิดแต่เหตุ ไม่เกิดแต่อุตุ จงกล่าวสิ่งนั้นแก่ข้าพเจ้าเถิด."
พระเถรเจ้าทูลว่า "ขอถวายพระพร ของทั้งหลายสองเหล่านี้ไม่เกิดแต่กรรม ไม่เกิดแต่เหตุ ไม่เกิดแต่อุตุในโลก, ของทั้งหลายสองเป็นไฉน: ของทั้งหลายสอง คือ อากาศไม่เกิดแต่กรรม ไม่เกิดแต่เหตุ ไม่เกิดแต่อุตุ, พระนิพพานไม่เกิดแต่กรรม ไม่เกิดแต่เหตุ ไม่เกิดแต่อุตุ.
ขอถวายพระพร ของสองประการเหล่านี้ ไม่เกิดแต่กรรม ไม่เกิดแต่เหตุ ไม่เกิดแต่อุตุแล."
ร. "พระผู้เป็นเจ้านาคเสน พระผู้เป็นเจ้าจงอย่าหลู่ซึ่งพระพุทธพจน์ของพระพุทธเจ้าผู้ชนะแล้ว, ไม่รู้แล้วจงอย่าพยากรณ์ปัญหาเลย."
ถ. "ขอถวายพระพร อาตมภาพกล่าวปัญหาอะไร, พระองค์จึงรับสั่งกะอาตมภาพอย่างนี้ว่า 'พระผู้เป็นเจ้าจงอย่าหลู่ซึ่งพระพุทธพจน์ของพระพุทธเจ้าผู้ชนะแล้ว ไม่รู้แล้วจงอย่าพยากรณ์ปัญหาเลย."
ร. "พระผู้เป็นเจ้านาคเสน การที่กล่าวว่า 'อากาศไม่เกิดแต่กรรม ไม่เกิดแต่เหตุ ไม่เกิดแต่ฤดู' ดังนี้ นี้ควรแล้วก่อน. พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ก็มรรคเพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วแก่สาวกทั้งหลาย ด้วยเหตุทั้งหลายมิใช่ร้อยเดียว, ครั้นเมื่อเป็นเช่นนั้น พระผู้เป็นเจ้า กล่าวอย่างนี้ว่า 'พระนิพพานไม่เกิดแต่เหตุ ดังนี้."
ถ. "ขอถวายพระพร มรรคเพื่อกระทำนิพพานให้แจ้ง พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วแก่สาวกทั้งหลาย ด้วยเหตุทั้งหลายมิใช่ร้อยเดียวจริง, ก็แต่เหตุเพื่อความถือมั่นนิพพานอันพระองค์ไม่ตรัสแล้ว."
ร. "พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ในที่นี้ เราทั้งหลายจากที่มืดเข้าไปสู่ที่มืดกว่า, จากไพรเข้าไปสู่ไพรที่ทึบกว่า, จากชัฏเข้าไปสู่ชัฏที่รกกว่า, ชอบกล เหตุเพื่อทำนิพพานให้แจ้ง มีอยู่ แต่เหตุเพื่อความถือมั่นธรรม คือ นิพพานนั้นย่อมไม่มี พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ถ้าว่า เหตุเพื่อกระทำนิพพานให้แจ้งมีอยู่ไซร้, ถ้าอย่างนั้น เหตุเพื่อถือมั่นพระนิพพานอันบัณฑิตพึงปรารถนา.
พระผู้เป็นเจ้านาคเสน เหมือนบิดาของบุตรมีอยู่, เพราะเหตุนั้น บิดาแม้ของบิดาอันบัณฑิตพึงปรารถนา ฉันใด; อนึ่ง อาจารย์ของอันเตวาสิกมีอยู่, เพราะเหตุนั้น อาจารย์แม้ของอาจารย์ อันบัณฑิตพึงปรารถนา ฉันใด; อนึ่ง พืชของหน่อมีอยู่, เพราะเหตุนั้น พืชแม้ของพืชอันบัณฑิตพึงปรารถนา ฉันใด;
พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ถ้าว่าเหตุเพื่อทำนิพพานให้แจ้งมีอยู่ไซร้, ถ้าอย่างนั้น เหตุแม้เพื่อความถือมั่นพระนิพพานอันบัณฑิตพึงปรารถนาฉันนั้นนั่นแล. เหมือนกับว่า ครั้นเมื่อยอดแห่งต้นไม้ หรือเครือเขามีอยู่ เพราะเหตุนั้น แม้ท่ามกลางก็มีอยู่ โคนก็มีอยู่ ฉันใด, ถ้าเหตุเพื่อความกระทำนิพพานให้แจ้งมีอยู่, ถ้าอย่างนั้น เหตุเพื่อความถือมั่นนิพพานอันบัณฑิตพึงปรารถนา ฉันนั้นนั่นเทียวแล."
ถ. "ขอถวายพระพร พระนิพพานอันใคร ๆ ไม่พึงถือมั่น, เพราะฉะนั้น เหตุเพื่อความถือมั่นพระนิพพาน อันพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ตรัสแล้ว."
ร. "พระผู้เป็นเจ้านาคเสน เชิญพระผู้เป็นเจ้าแสดงเหตุ ยังข้าพเจ้าให้ทราบด้วยเหตุ, ข้าพเจ้าพึงทราบอย่างไรว่า 'เหตุเพื่อกระทำนิพพานให้แจ้งมีอยู่ เหตุเพื่อความยึดมั่นพระนิพพานไม่มี."
ถ. "ขอถวายพระพร ถ้าอย่างนั้น บรมบพิตรจงตั้งพระกรรณทรงสดับโดยเคารพ จงสดับให้สำเร็จประโยชน์เถิด, อาตมภาพจักกล่าวเหตุในข้อนั้น.
ขอถวายพระพร บุรุษพึงอาจเพื่อจะเข้าไปใกล้ราชบรรพตชื่อหิมวันต์ แต่ที่นี้ ด้วยกำลังอันมีอยู่โดยปกติหรือ?"
ร. "อาจซิ พระผู้เป็นเจ้า."
ถ. "ขอถวายพระพร ก็บุรุษนั้นอาจเพื่อจะนำราชบรรพตชื่อหิมวันต์ มาในที่นี้ ด้วยกำลังโดยปกติหรือ?"
ร. "ไม่พึงอาจเลย พระผู้เป็นเจ้า."
ถ. ขอถวายพระพร มรรคเพื่อทำนิพพานให้แจ้ง อันพระผู้มีพระภาคเจ้าอาจเพื่อจะตรัส เหตุเพื่อความถือมั่นพระนิพพานนั้น อันพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่อาจเพื่อจะทรงแสดง ฉันนั้นนั่นแล.
ขอถวายพระพร บุรุษพึงอาจเพื่อจะข้ามมหาสมุทรด้วยเรือถึงฝั่งโน้น ด้วยกำลังอันมีอยู่โดยปกติหรือ?"
ร. "อาจซิ พระผู้เป็นเจ้า."
ถ. "ขอถวายพระพร บุรุษนั้นอาจเพื่อจะนำฝั่งโน้นของมหาสมุทรมาในที่นี้ ด้วยกำลังอันมีอยู่โดยปกติหรือ?"
ร. "หาไม่ พระผู้เป็นเจ้า."
ถ. "ขอถวายพระพร มรรคเพื่อกระทำนิพพานให้แจ้ง อันพระผู้มีพระภาคเจ้าอาจเพื่อจะตรัส เหตุเพื่อความยึดมั่นพระนิพพาน อันพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่อาจเพื่อจะทรงแสดง ฉันนั้นนั่นเทียวแล; ซึ่งเป็นอย่างนี้ มีอะไรเป็นเหตุ? ซึ่งเป็นอย่างนี้ เพราะความที่ธรรมเป็นอสังขตะ."
ร. "พระผู้เป็นเจ้านาคเสน พระนิพพานเป็นอสังขตะหรือ?"
ถ. "ขอถวายพระพร พระนิพพานเป็นอสังขตะ พระนิพพานอันปัจจัยเหล่าไร ๆ กระทำไม่ได้แล้ว พระนิพพานเป็นธรรมชาติ อันใคร ๆ ไม่พึงกล่าวว่า พระนิพพานเกิดขึ้นแล้ว หรือว่าพระนิพพานนั้นไม่เกิดขึ้นแล้ว หรือว่าพระนิพพานนั้นเป็นของควรให้เกิดขึ้น หรือว่าพระนิพพานนั้น เป็นอดีต หรือว่าพระนิพพานนั้น เป็นอนาคต หรือว่าพระนิพพานนั้น เป็นปัจจุบัน หรือว่าพระนิพพานนั้น อันบุคคลพึงรู้แจ้งด้วยจักษุ หรือว่านิพพานนั้น อันบุคคลพึงรู้แจ้งด้วยโสด หรือว่านิพพานนั้น อันบุคคลพึงรู้แจ้งด้วยฆานะ หรือว่านิพพานนั้น อันบุคคลพึงรู้แจ้งด้วยชิวหา หรือว่านิพพานนั้นอันบุคคลพึงรู้แจ้งด้วยกาย."
ร. "พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ถ้าว่าพระนิพพานนั้น ไม่เป็นธรรมเกิดขึ้นแล้ว ไม่เป็นธรรมยังไม่เกิดขึ้นแล้ว ไม่เป็นธรรมควรจะให้เกิดขึ้น ไม่เป็นอดีต ไม่เป็นอนาคต ไม่เป็นปัจจุบัน ไม่เป็นธรรม อันบุคคลพึงรู้แจ้งด้วยจักษุ ไม่เป็นธรรมอันบุคคลพึงรู้แจ้งด้วยโสตไม่เป็นธรรมอันบุคคลพึงรู้แจ้วด้วยฆานะ ไม่เป็นธรรมอันบุคคลพึงรู้แจ้งด้วยชิวหา ไม่เป็นธรรมอันบุคคลพึงรู้แจ้งด้วยกาย, พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ถ้าอย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้าอ้างพระนิพพานไม่มีเป็นธรรมดา, นิพพานย่อมไม่มี."
ถ. "ขอถวายพระพร พระนิพพานมีอยู่, พระนิพพานอันบัณฑิตพึงรู้แจ้งด้วยใจ, พระอริยสาวกปฏิบัติแล้วชอบ ย่อมเห็นพระนิพพานด้วยใจ อันหมดจดวิเศษแล้ว ประณีตตรง ไม่มีกิเลสเครื่องกั้น ไม่มีอามิส."
ร. "พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ก็พระนิพพานนั้นเช่นไร พระนิพพานไรเล่า อันบัณฑิตทั้งหลายพึงแสดง ด้วยเหตุเครื่องอุปมาทั้งหลาย, พระนิพพานมีอยู่เป็นธรรมดา อันบัณฑิตพึงแสดงด้วยเหตุเครื่องอุปมาทั้งหลาย ด้วยประการใด ๆ ขอพระผู้เป็นเจ้ายังข้าพเจ้าให้ทราบ ด้วยเหตุทั้งหลาย ด้วยประการนั้น ๆ."
ถ. "ขอถวายพระพร ชื่อว่าลมมีหรือ?"
ร. "มีซิ พระผู้เป็นเจ้า."
ถ. "ขอถวายพระพร เชิญบรมบพิตรทรงแสดงลมโดยวรรณหรือโดยสัณฐาน หรือละเอียดหรือหยาบ หรือยาวหรือสั้น."
ร. "พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ลมใคร ๆ ไม่อาจแสดงได้, ลมนั้นย่อมไม่เข้าถึงซึ่งความถือเอาด้วยมือหรือ หรือความขยำ, เออก็ แต่ลมมีอยู่."
ถ. "ขอถวายพระพร ถ้าว่าลมอันใคร ๆ ไม่อาจเพื่อจะชี้ได้, ถ้าอย่างนั้นลมไม่มี."
ร. "พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ข้าพเจ้าทราบอยู่ ซึมทราบ ณ หฤทัยของข้าพเจ้าว่า 'ลมมีอยู่,' ก็แต่ว่า ข้าพเจ้าย่อมไม่อาจเพื่อจะชี้ลมได้."
ถ. "ขอถวายพระพร นิพพานมีอยู่, ก็แต่ว่า ใคร ๆ ไม่อาจเพื่อชี้โดยวรรณ หรือโดยสัณฐาน ฉันนั้นนั่นเทียวแล."
ร. "ดีละ พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ข้ออุปมา พระผู้เป็นเจ้าแสดงดีแล้ว, เหตุพระผู้เป็นเจ้าแสดงออกดีแล้ว, ข้อวิสัชนาปัญหาของพระผู้เป็นเจ้านั้น สมอย่างนั้น, ข้าพเจ้ายอมรับรองอย่างนั้น."

๙. กัมมชากัมมชปัญหา ๖๗

พระราชาตรัสถามว่า "พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ในสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ สัตว์เหล่าไหน เป็นผู้เกิดแต่กรรม สัตว์เหล่าไหน เป็นผู้เกิดแต่เหตุ สัตว์เหล่าไหน เป็นผู้เกิดแต่ฤดู, สัตว์เหล่าไหน ไม่เกิดแต่กรรม สัตว์เหล่าไหน ไม่เกิดแต่เหตุ สัตว์เหล่าไหน ไม่เกิดแต่ฤดู?"
พระเถรเจ้าทูลว่า "ขอถวายพระพร สัตว์ทั้งหลายเหล่าใดเหล่าหนึ่ง เป็นไปกับด้วยเจตนา สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้น เกิดแต่กรรม, ไฟด้วย พืชทั้งหลายทั้งปวงด้วย เป็นของเกิดแต่เหตุ, แผ่นดินด้วยภูเขาด้วย น้ำด้วย ลมด้วย ของทั้งปวงเหล่านั้น เป็นของเกิดแต่ฤดู, อากาศด้วย นิพพานด้วย สองสิ่งนี้ ไม่เกิดแต่กรรม ไม่เกิดแต่เหตุ ไม่เกิดแต่ฤดู.
ขอถวายพระพร ก็นิพพานอันใคร ๆ ไม่พึงกล่าวว่า เกิดแต่กรรมหรือว่าเกิดแต่เหตุ หรือว่าเกิดแต่ฤดู หรือว่าของเกิดขึ้นแล้ว หรือเป็นของยังไม่เกิดขึ้นแล้ว หรือว่าเป็นของควรให้เกิดขึ้น หรือว่าเป็นอดีต หรือว่าเป็นอนาคต หรือว่าเป็นปัจจุบัน หรือว่าเป็นธรรมอันบุคคลพึงรู้แจ้งด้วยจักษุ หรือว่าเป็นธรรมชาติอันบุคคลพึงรู้แจ้งด้วยโสต หรือว่าเป็นธรรมชาติอันบุคคลพึงรู้แจ้งด้วยฆานะ หรือว่าเป็นธรรมชาติอันบุคคลพึงรู้ด้วยฆานะ หรือว่าเป็นธรรมชาติอันบุคคลพึงรู้แจ้งด้วยชิวหา หรือว่าเป็นธรรมชาติอันบุคคลพึงรู้แจ้งด้วยกาย.
ขอถวายพระพร พระอริยสาวกผู้ปฏิบัติแล้วโดยชอบนั้น ย่อมเห็นพระนิพพานใด ด้วยญาณเป็นของหมดจดพิเศษแล้ว พระนิพพานนั้นอันบัณฑิตพึงรู้แจ้งด้วยใจ."
ร. "พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ปัญหาน่ารื่นรมย์ พระผู้เป็นเจ้าวินิจฉัยดีแล้ว สิ้นสงสัยเป็นไปแล้วส่วนเดียว วิมัติพระผู้เป็นเจ้าตัดเสียแล้ว เพราะมากระทบพระผู้เป็นเจ้า อันบวรกว่าเจ้าคณะอันประเสริฐ."


วรรคที่แปด
๑. ยักขมรณภาวปัญหา ๖๘

พระราชาตรัสถามว่า "พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ชื่อยักษ์ทั้งหลายมีในโลกหรือ?"
พระเถรเจ้าทูลว่า "ขอถวายพระพร ชื่อยักษ์ทั้งหลายมีอยู่ในโลก."
ร. "ก็ยักษ์ทั้งหลายเหล่านั้น ย่อมเคลื่อนจากกำเนิดนั้นหรือพระผู้เป็นเจ้า?"
ถ. "ขอถวายพระพร ยักษ์ทั้งหลายเหล่านั้น ก็เคลื่อนจากกำเนิดนั้น."
ร. "พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ก็สรีระแห่งยักษ์ทั้งหลาย ที่ตายแล้วเหล่านั้น ย่อมไม่ปรากฏ, แม้กลิ่นแห่งทรากศพ ย่อมไม่ฟุ้งไปหรือ?"
ถ. "สรีระยักษ์ทั้งหลายที่ตายแล้ว อันใคร ๆ ย่อมเห็น, แม้กลิ่นแห่งทรากศพแห่งยักษ์ทั้งหลายเหล่านั้น ย่อมฟุ้งไป. สรีระแห่งยักษ์ทั้งหลายที่ตายแล้ว ย่อมปรากฏโดยเพศแห่งตั๊กแตนบ้าง ย่อมปรากฏโดยเพศแห่งหนอนบ้าง ย่อมปรากฏโดยเพศแห่งมดแดงบ้าง ย่อมปรากฏโดยเพศแห่งบุ้งบ้าง ย่อมปรากฏโดยเพศงูบ้าง ย่อมปรากฏโดยเพศแห่งแมลงป่องบ้าง ย่อมปรากฏโดยเพศแห่งตะขาบบ้าง ย่อมปรากฏโดยเพศแห่งนกบ้าง ย่อมปรากฏโดยเพศแห่งเนื้อบ้าง."
ร. "พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ก็ใครอื่นนอกจากบัณฑิต ผู้มีความรู้เช่นพระผู้เป็นเจ้า อันข้าพเจ้าถามแล้ว ซึ่งปัญหาอันนี้ จะพึงวิสัชนาได้."

๒. สกขาบทอปัญญาปนปัญหา ๖๙

พระราชาตรัสถามว่า "พระผู้เป็นเจ้านาคเสน อาจารย์ทั้งหลายแต่ปางก่อน ของหมอผู้เยียวยาทั้งหลายเหล่าใดนั้นได้มีแล้ว; อาจารย์ทั้งหลาย คือ: อาจารย์ชื่อ นารท หนึ่ง อาจารย์ชื่อ ธรรมมันตรี หนึ่ง อาจารย์ชื่อ อังคีรส หนึ่ง อาจารย์ชื่อ กปิละ หนึ่ง อาจารย์ชื่อ กัณฑรัคคิกามะ หนึ่ง อาจารย์ชื่อ อตุละ หนึ่ง อาจารย์ชื่อ ปุพพกัจจายนะ หนึ่ง อาจารย์ทั้งหลายเหล่านั้นแม้ทั้งปวง รู้แล้วซึ่งความเกิดขึ้นแห่งโรคด้วย โรคนิทานด้วย สภาวะด้วย สมุฏฐานด้วย ความเยียวยาด้วยกิริยาด้วย ความรักษาสำเร็จและไม่สำเร็จแล้วด้วย ทั้งปวงนั้นไม่มีส่วนเหลือ คราวเดียวทีเดียวว่า 'โรคทั้งหลายประมาณเท่านี้ จักเกิดขึ้นในกายนี้' จึงกระทำแล้วซึ่งความถือเอาเป็นหมวดโดยคราวอันเดียวผูกแล้วซึ่งด้าย. อาจารย์ทั้งหลายแม้ทั้งปวงเหล่านั้น ไม่ใช่สัพพัญญู. แต่พระตถาคตเป็นสัพพัญญู ทราบทราบกิริยาอนาคตด้วยพุทธญาณว่า 'สิกขาบทมีประมาณเท่านี้ จกเป็นสิกขาบทอันพระพุทธเจ้าพึงทรงบัญญัติ เพราะวัตถุชื่อมีประมาณเท่านี้' พระตถาคตทรงกำหนดได้แล้วไม่บัญญัติสิกขาบทโดยส่วนไม่เหลือเพื่อเหตุอะไร? ครั้นเมื่อวัตถุเกิดขึ้นแล้วและเกิดขึ้นแล้ว ครั้นเมื่อความถอยยศปรากฏแล้ว ครั้นเมื่อโทษเป็นไปพิสดารแล้ว เป็นไปกว้างขวางแล้ว ครั้นเมื่อมนุษย์โพนทนาอยู่ จึงทรงบัญญัติสิกขาบทแก่สาวกทั้งหลายแล้ว ในกาลนั้น ๆ.
พระเถรเจ้าทูลว่า "ขอถวายพระพร ความบัญญัติสิกขาบทนั้น อันพระตถาคตทรงทราบแล้วว่า 'ในสมัยนี้ สิกขาบทร้อยห้าสิบถ้วน จักเป็นสิกขาบทอันพระพุทธเจ้าพึงบัญญัติ ในมนุษย์ทั้งหลายเหล่านี้,' เออก็ ความปริวิตกอย่างนี้ได้มีแล้วแด่พระตถาคตว่า 'ถ้าว่า เราพระตถาคตจักบัญญัติสิกขาบทร้อยห้าสิบถ้วน โดยคราวเดียวไซร้, มหาชนจักถึงความสะดุ้งว่า 'ในศาสนานี้ ต้องรักษามาก, การที่จะบวชในศาสนาของพระสมณโคดมกระทำได้ยากหนอแล' ชนทั้งหลายแม้ผู้ใคร่เพื่อจะบวช จักไม่บวช, ชนทั้งหลายจักไม่เชื่อคำของพระตถาคตด้วย, มนุษย์ทั้งหลายเหล่านั้น เมื่อไม่เชื่อจักเป็นผู้ไปสู่อบาย; ครั้นเมื่อวัตถุเกิดขึ้นแล้วและเกิดแล้ว เราจักขอแล้วเพื่อจะแสดงธรรมครั้นเมื่อโทษปรากฏแล้ว จึงจักบัญญัติสิกขาบท."
ร. "พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ข้อปริวิตกอย่างนี้ ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย น่าอัศจรรย์ พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ความปริวิตกของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย น่าพิศวง, พระสัพพัญญุตญาณของพระตถาคตใหญ่เพียงไรเล่า; พระผู้เป็นเจ่านาคเสน ข้อวิสัชนาปัญหานั้น สมอย่างนั้น, ประโยชน์นั้นอันพระตถาคตแสดงออกดีแล้ว, ความสะดุ้งพร้อม พึงเกิดขึ้นแก่สัตว์ทั้งหลาย เพราะฟังว่า 'ในศาสนานี้ต้องรักษามาก,' แม้บุคคลผู้หนึ่ง ไม่พึงบวชในพระชินศาสนา, ข้อวิสัชนาปัญหานั้น สมอย่างนั้น, ข้าพเจ้ายอมรับรองอย่างนั้น."

๓. สุริยโรคภาวปัญหา ๗๐

พระราชาตรัสถามว่า "พระผู้เป็นเจ้านาคเสน พระอาทิตย์นี้ย่อมร้อนกล้าสิ้นกาลทั้งปวงหรือว่าร้อนอ่อนสิ้นกาลบางครั้ง?"
พระเถรเจ้าทูลว่า "ขอถวายพระพร พระอาทิตย์ย่อมร้อนกล้าสิ้นกาลทั้งปวง."
ร. "พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ถ้าว่า พระอาทิตย์ร้อนกล้าสิ้นกาลทั้งปวง, ก็พระอาทิตย์ย่อมร้อนกล้าในกาลบางที ย่อมร้อนน้อยในกาลบางที เพราะเหตุอะไร?"
ถ. "ขอถวายพระพร โรคทั้งหลายเหล่านี้ของพระอาทิตย์มีสี่, พระอาทิตย์อันโรคอันใดอันหนึ่งเบียดเบียนแล้ว ย่อมร้อนน้อย โรคสี่อย่างคือ: หมอกเป็นโรคของพระอาทิตย์ พระอาทิตย์อันหมอกนั้นเบียดเบียนแล้ว ย่อมร้อนน้อย; น้ำค้างเป็นโรคของพระอาทิตย์ พระอาทิตย์อันน้ำค้างนั้นเบียดเบียนแล้ว ย่อมร้อนน้อย; เมฆเป็นโรคของพระอาทิตย์ พระอาทิตย์อันเฆมนั้นเบียดเบียนแล้ว ย่อมร้อนน้อย; ราหูเป็นโรคของพระอาทิตย์ พระอาทิตย์อันราหูนั้นเบียดเบียนแล้ว ย่อมร้อนน้อย."
ขอถวายพระพร โรคทั้งหลายของพระอาทิตย์สี่ประการเหล่านี้แล, บรรดาโรคทั้งหลายสี่ประการเหล่านั้น พระอาทิตย์อันโรคอันใดอันหนึ่งเบียดเบียนแล้วย่อมร้อนน้อย."
ร. "น่าอัศจรรย์นัก พระผู้เป็นเจ้านาคเสน น่าพิศวง พระผู้เป็นเจ้านาคเสน, โรคจักเกิดขึ้น แม้แก่พระอาทิตย์ถึงพร้อมแล้วด้วยไฟ, จะป่วยกล่าวอะไร โรคชาตินั้นจักไม่เกิดขึ้นแก่สัตว์ทั้งหลายเหล่าอื่น; พระผู้เป็นเจ้า ความจำแนกนั้นของบุคคลอื่น เว้นจากบัณฑิตผู้มีปัญญาเครื่องรู้เช่นพระผู้เป็นเจ้าไม่มี."

๔. สุริยตัปปภาวปัญหา ๗๑

พระราชาตรัสถามว่า "พระผู้เป็นเจ้านาคเสน พระอาทิตย์ย่อมร้อนกล้าในเหมันตฤดู ในคิมหฤดูไม่ร้อนกล้าเหมือนอย่างนั้น เพื่อประโยชน์อะไร?"
พระเถรเจ้าทูลว่า "ขอถวายพระพร ธุลีและหมอกไม่เข้ากระทบแล้วในคิมหฤดู, ละอองทั้งหลายกำเริบแล้วเพราะลม, ฟุ้งไปในอากาศหมอกทั้งหลายเป็นของหนาในอากาศ และลมใหญ่พัดเหลือประมาณ; อากูลต่าง ๆ ทั้งปวงเหล่านั้นประมวลมาแล้วเสมอ ย่อมปิดรัศมีพระอาทิตย์เสีย; เพราะเหตุนั้น ในคิมหฤดูพระอาทิตย์ย่อมร้อนน้อย.
ขอถวายพระพร แผ่นดินในเบื้องใต้เป็นของเย็น ในเหมันตฤดู, มหาเมฆในเบื้องบนเป็นของปรากฏแล้ว ธุลีและหมอกเป็นของสงบแล้ว, และละอองละเอียด ๆ ย่อมเที่ยวไปในอากาศ อากาศปราศจากมลทินแล้วด้วย ลมในอากาศย่อมพัดไปอ่อน ๆ ด้วย; รัศมีของพระอาทิตย์ทั้งหลายเป็นของสะอาด เพราะความเว้นโทษเหล่านั้น, ความร้อนของพระอาทิตย์พ้นพิเศษแล้วจากเครื่องกระทบ ย่อมร้อนเกินเปรียบ, พระอาทิตย์ย่อมร้อนกล้าในเหมันตฤดู ในคิมหฤดูย่อมไม่ร้อนอย่างนั้น เพราะเหตุอันใด ข้อนี้เป็นเหตุอันนั้นในความร้อนกล้าและร้อนอ่อนนั้น."
ร. "พระผู้เป็นเจ้านาคเสน พระอาทิตย์พ้นแล้วจากความจัญไรทั้งปวงย่อมร้อนกล้า, พระอาทิตย์ประกอบด้วยเครื่องเศร้าหมองมีเมฆเป็นต้นย่อมไม่ร้อนกล้า."

๕. เวสสันตรปัญหา ๗๒

พระราชาตรัสถามว่า "พระผู้เป็นเจ้านาคเสน พระโพธิสัตว์ทั้งหมดย่อมให้บุตรและภริยา หรือว่าพระโอรสและพระเทวี อันพระราชาเวสสันดรเท่านั้นทรงบริจาคแล้ว?"
พระเถรเจ้าทูลว่า "ขอถวายพระพร พระโพธิสัตว์ทั้งปวง ย่อมให้บุตรและภริยา ไม่แต่พระราชาเวสสันดรองค์เดียวเท่านั้น."
ร. "พระผู้เป็นเจ้า เออก็ พระโพธิสัตว์เหล่านั้น ย่อมให้โดยความอำนวยตามแห่งบุตรและภริยานั้นหรือ?"
ถ. "ขอถวายพระพร ภริยาอำนวยตาม ก็แต่ทารกทั้งหลายคร่ำครวญแล้ว เพราะความเป็นผู้ยังเล็ก; ถ้าทารกเหล่านั้น พึงรู้โดยความเป็นประโยชน์ก็จะอนุโมทนา จะไม่รำพันเพ้อ."
ร. "พระผู้เป็นเจ้านาคเสน กิจที่ยากอันพระโพธิสัตว์กระทำแล้วคือ พระโพธิสัตว์นั้น ได้ให้บุตรทั้งหลาย อันเกิดแต่อกเป็นที่รักของตนแก่พราหมณ์ เพื่อประโยชน์แก่ความเป็นทาส. กิจที่กระทำยากกว่านั้นที่สองแม้นี้ อันพระโพธิสัตว์กระทำแล้ว คือ พระโพธิสัตว์เห็นบุตรทั้งหลาย อันเกิดแต่อกเป็นที่รักของตนยังเล็กอยู่ อันพราหมณ์นั้นผูกด้วยเถาวัลย์แล้วหวดด้วยเถาวัลย์ก็เพิกเฉยได้ กิจที่กระทำยากกว่านั้นที่สามแม้นี้ อันพระโพธิสัตว์กระทำแล้ว คือ พระโพธิสัตว์นั้น ผูกทารกทั้งหลายซึ่งหลุดจากเครื่องผูกด้วยกำลังของตน ถึงความครั่นคร้ามแล้วด้วยเถาวัลย์ได้ให้แล้วอีกทีเดียว. กิจที่กระทำยากกว่านั้นที่สี่แม้นี้ อันพระโพธิสัตว์กระทำแล้ว คือ ครั้นเมื่อทารกทั้งหลายรำพันเพ้อว่า 'พระบิดา พราหมณ์นี้เป็นยักษ์ นำหม่อมฉันไปเพื่อจะเคี้ยวกิน' พระโพธิสัตว์นั้น ก็ไม่ได้ตรัสปลอบว่า 'พ่ออย่ากลัวเลย.' กิจที่กระทำยากกว่านั้นที่ห้าแม้นี้ อันพระโพธิสัตว์กระทำแล้ว คือ ชาลีกุมารกันแสงฟุบอยู่ที่พระบาท ทูลวิงวอนว่า 'อย่าเลย พระบิดา ขอพระองค์ให้นางกัณหาชินา อยู่เถิด หม่อมฉันผู้เดียวจะไปด้วยยักษ์, ยักษ์จงเคี้ยวกินหม่อมฉัน' แม้อย่างนั้น พระโพธิสัตว์ก็ไม่ทรงยอมรับ. กิจที่กระทำยากกว่านั้นที่หกแม้นี้ อันพระโพธิสัตว์กระทำแล้ว คือ เมื่อชาลีกุมารบ่นรำพันว่า 'พระบิดา พระหฤทัยของพระองค์แข็งเสมอหินแท้ ๆ , เพราะว่าพระองค์ทอดพระเนตรเห็นหม่อมฉันทั้งสองถึงแล้วซึ่งทุกข์ ยักษ์นำหม่อมฉันทั้งสองไปในป่าใหญ่อันไม่มีมนุษย์ ก็ไม่ตรัสห้าม' พระโพธิสัตว์นั้น ก็ไม่ได้กระทำความการุญ. กิจที่กระทำยากกว่านั้นที่เจ็ดแม้นี้ อันพระโพธิสัตว์กระทำแล้ว คือ ครั้นเมื่อทารกทั้งหลายอันพราหมณ์นำไปลับแล้ว หทัยแห่งพระโพธิสัตว์ผู้กรอบเกรียมพรั่นพรึงนั้น ไม่แตกโดยร้อยภาค หรือพันภาค; ประโยชน์อะไรด้วยมนุษย์ผู้อยากได้บุญ ยังบุคคลอื่นให้ถึงทุกข์, มนุษย์ผู้อยากได้บุญ ควรจะให้ตนเองเป็นทานมิใช่หรือ?"
ถ. "ขอถวายพระพร เพราะความที่กิจซึ่งกระทำยากเป็นของอันพระโพธิสัตว์กระทำแล้ว กิตติศัพท์ของพระโพธิสัตว์ฟุ้งไปแล้วในโลก ทั้งเทวดาและมนุษย์ตลอดหมื่นโลกธาตุ, เทวดาย่อมสรรเสริญตลอดเทวพิภพ อสูรทั้งหลายย่อมสรรเสริญตลอดอสูรพิภพ ครุฑทั้งหลายย่อมสรรเสริญตลอดครุฑพิภพ นาคทั้งหลายย่อมสรรเสริญตลอดนาคพิภพ ยักษ์ทั้งหลายย่อมสรรเสริญตลอดยักษพิภพ; สืบ ๆ มาโดยลำดับ กิตติศัพท์ของพระโพธิสัตว์นั้น มาถึงสมัยลัทธิของเราทั้งหลาย ณ กาลบัดนี้, เราทั้งหลายนั่งสรรเสริญค่อนได้ถึงทานนั้นว่า 'การบริจาคบุตรและภริยาเป็นอันพระโพธิสัตว์ให้ดีแล้วหรือให้ชั่วแล้ว.'
อีกประการหนึ่ง กิตติศัพท์นั้นแล ของพระโพธิสัตว์ทั้งหลายผู้มีปัญญาละเอียดรู้วิเศษรู้แจ้ง ย่อมให้เนือง ๆ ซึ่งคุณสิบประการ, คุณสิบประการเป็นไฉน? คือ ความเป็นผู้ไม่โลภหนึ่ง ความเป็นผู้ไม่มีอาลัยหนึ่ง ความบริจาคหนึ่ง ความละหนึ่ง ความเป็นผู้ไม่เวียนมาหนึ่ง ความเป็นผู้สุขุมหนึ่ง ความเป็นผู้ใหญ่หนึ่ง ความเป็นผู้อันบุคคลรู้ตามโดยยากหนึ่ง ความเป็นผู้อันบุคคลได้โดยยากหนึ่ง ความเป็นผู้มีธรรมรู้แล้วหาผู้อื่นเช่นเดียวกันไม่ได้หนึ่ง; กิตติศัพท์นี้ของพระโพธิสัตว์ทั้งหลายผู้มีปัญญาละเอียดรู้วิเศษรู้แจ้ง ย่อมให้เนือง ๆ ซึ่งคุณสิบประการเหล่านี้แล."
ร. "พระนาคเสนผู้เจริญ บุคคลใดยังผู้อื่นให้ลำบากแล้วให้ทาน, ทานนั้นของบุคคลนั้น มีสุขเป็นวิบาก ให้เป็นไปพร้อมเพื่อเกิดในสวรรค์บ้างหรือหนอ?"
ถ. "ขอถวายพระพร เหตุอะไรอันบรมบพิตรจะพึงตรัส"
ร. "เชิญเถิด ขอพระผู้เป็นเจ้าอ้างเหตุ."
ถ. "ขอถวายพระพร สมณะหรือพราหมณ์ไร ๆ ในโลกนี้ เป็นผู้มีศีลมีธรรมอันงาม, หรือถึงพยาธิอันใดอันหนึ่ง; ผู้ใดผู้หนึ่งใคร่ต่อบุญ จึงให้สมณพราหมณ์นั้นขึ้นสู่ยาน แล้วส่งให้ถึงประเทศที่ปรารถนา; สุขหน่อยหนึ่ง มีกรรมนั้นเป็นเหตุ พึงเกิดแก่บุรุษนั้น กรรมนั้นให้เป็นไปพร้อมเพื่อเกิดในสวรรค์ได้บ้างหรือหนอ?"
ร. "ได้ซิ อะไรที่พระผู้เป็นเจ้าจะพึงกล่าวเล่า, บุรุษนั้นพึงได้ยาน คือ ช้าง ยาน คือ ม้า ยาน คือ รถ ยานสำหรับไปในทางบก ยานสำหรับไปในทางน้ำ ยานสำหรับกันฝน หรือยาน คือ มนุษย์, ยานอันสมควรแก่บุรุษนั้น ยานอันเหมาะแก่บุรุษนั้น พึงเกิดทุกภพ ๆ, อนึ่ง ความสุขทั้งหลายอันสมควรแก่บุรุษนั้น พึงเกิดแก่เขา ๆ พึงไปสู่สุคติแต่สุคติ, เพราะผลอันหลั่งไหลมาแต่กรรมนั้นนั่นเทียว บุรุษนั้นพึงขึ้นสู่ยานสำเร็จด้วยฤทธิ์ ให้ถึงนคร คือ นิพพานอันตนปรารถนาแล้ว."
ถ. "ถ้าอย่างนั้น ทานที่บุรุษนั้นให้แล้วด้วยอันยังบุคคลอื่นให้ลำบาก เป็นของมีสุขเป็นวิบาก ให้เป็นไปพร้อมเพื่อเกิดในสวรรค์.
ขอถวายพระพร บุรุษนั้นยังชนทั้งหลายผู้เนื่องด้วยกำลังให้ลำบากแล้ว เสวยสุขเห็นปานนี้ ด้วยทานไรเล่า.
ขอถวายพระพร บรมบพิตรจงทรงฟังเหตุอันยิ่งแม้อื่นอีก: พระราชาองค์ใดองค์หนึ่งในโลกนี้ ทรงบริจาคทานด้วยการให้เก็บซึ่งธรรมิกพลีจากชนบท แล้วยังพระราชอาชญาให้เป็นไป, พระราชานั้น พึงเสวยสุขหน่อยหนึ่งด้วยเหตุนั้น ทานนั้นให้เป็นไปพร้อมเพื่อเกิดในสวรรค์บ้างหรือหนอแล?"
ร. "ได้ซิ ใครจะพึงกล่าวค้าน, พระราชานั้น พึงได้สุขตั้งแสนเป็นอเนกด้วยเหตุนั้น คือ เป็นพระราชายิ่งกว่าพระราชาทั้งหลาย เป็นเทพดายิ่งกว่าเทพดาทั้งหลาย เป็นพรหมยิ่งกว่าพรหมทั้งหลาย เป็นสมณะยิ่งกว่าสมณะทั้งหลาย เป็นพราหมณ์ยิ่งกว่าพราหมณ์ทั้งหลายเป็นพระอรหันต์ยิ่งกว่าพระอรหันต์ทั้งหลาย."
ถ. "ถ้าอย่างนั้น ทานที่พระราชานั้นทรงบริจาคแล้ว ด้วยการให้ผู้อื่นลำบาก เป็นของมีสุขเป็นวิบาก ให้เป็นไปพร้อมเพื่อเกิดในสวรรค์ซิ. ขอถวายพระพร พระราชานั้นเสวยสุขเพราะยศอันยิ่งเห็นปานนี้ด้วยวิบากแห่งทานที่พระองค์บีบคั้นชนบทด้วยพลีแล้ว ทรงบริจาคแล้วไรเล่า."
ร. "ทานยิ่งอันพระเวสสันดรราชฤษีทรงบริจาคแล้ว คือ เธอได้พระราชทานพระเทวีของพระองค์ เพื่อประโยชน์แก่ความเป็นภริยาแห่งชนอื่น. ได้พระราชทานพระโอรสทั้งหลายของพระองค์ เพื่อประโยชน์แก่ความเป็นทาสแห่งพราหมณ์. ขึ้นชื่อว่า ทานยิ่ง อันนักปราชญ์ ทั้งหลายนินทาแล้ว ติเตียนแล้วในโลก. เปรียบเหมือนเพลาแห่งเกวียนย่อมหักด้วยภาระยิ่ง เรือย่อมจบด้วยภาระยิ่ง โภชนะย่อมน้อมไปสู่ความไม่เสมอด้วยบริโภคยิ่ง ข้าวเปลือกย่อมฉิบหายด้วยฝนยิ่ง บุคคลย่อมถึงความสิ้นไปแห่งโภคทรัพย์ด้วยการให้ยิ่ง วัตถุทั้งปวงย่อมไหม้ด้วยความร้อนยิ่ง บุคคลเป็นบ้าด้วยความกำหนัดยิ่ง บุคคลถูกฆ่าด้วยความประทุษร้ายยิ่ง บุคคลย่อมถึงความพินาศด้วยความหลงยิ่ง บุคคลย่อมเข้าถึงความถูกจับว่าเป็นโจรด้วยความโลภยิ่ง บุคคลย่อมผิดด้วยพูดพล่ามนัก แม่น้ำย่อมท่วมด้วยอันเต็มยิ่ง อสนีบาตย่อมตกด้วยลมยิ่ง ข้าวสุกย่อมล้นด้วยไฟยิ่ง บุคคลย่อมไม่เป็นอยู่นาน ด้วยความกล้าหาญเกินนัก; ขึ้นชื่อว่า ทานยิ่ง อันนักปราชญ์ทั้งหลายนินทาแล้ว ติเตียนแล้วในโลก ฉันนั้นนั่นแล. ทานยิ่งอันพระราชาเวสสันดรทรงบริจาคแล้ว ผลหน่อยหนึ่งอันบุคคลไม่พึงปรารถนาในทานยิ่งนั้น."
ถ. "ขอถวายพระพร ทานยิ่งอันนักปราชญ์ทั้งหลายพรรณนาชมเชยสรรเสริญแล้วในโลก, ชนทั้งหลายเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ให้ทานเช่นใดเช่นหนึ่ง, ชนผู้ให้ทานยิ่ง ย่อมถึงความสรรเสริญในโลก. รากไม้ในป่าเป็นราวกะทิพย์ที่บุคคลถือเอาแล้ว ด้วยความเป็นของน่าเลือกสรรยิ่ง อันบุคคลนั้นจะไม่ให้แก่ชนทั้งหลายอื่นผู้ยืนอยู่แล้วในหัตถบาสบ้างหรือ? ยาเป็นของกำจัดความเบียดเบียน กระทำที่สุดแห่งโรคทั้งหลาย ด้วยความที่แห่งยาเป็นของเกิดยิ่ง ไฟย่อมไหม้ด้วยความโพลงยิ่ง น้ำย่อมยังไฟให้ดับด้วยความเป็นของเย็นยิ่ง ดอกบัวย่อมไม่ติดเปื้อนด้วยน้ำและเปือกตม ด้วยความที่แห่งดอกบัวเป็นของหมดจดยิ่ง แก้วมณีให้ผลอันบุคคลพึงปรารถนา ด้วยความที่แห่งแก้วมณีมีคุณยิ่ง เพชรย่อมตัดแก้วมณี แก้วมุกดาและแก้วผลึก ด้วยความเป็นของคมยิ่ง แผ่นดินย่อมทรงไว้ ซึ่งคนและนาคเนื้อนกทั้งหลาย ซึ่งน้ำและศิลาภูเขาต้นไม้ทั้งหลาย ด้วยความเป็นของใหญ่ยิ่ง สมุทรมิได้เต็มล้น ด้วยความเป็นของใหญ่ยิ่ง เขาสิเนรุเป็นของไม่หวั่นไหวด้วยความเป็นของหนักยิ่ง อากาศไม่มีที่สุด ด้วยความเป็นของกว้างยิ่ง พระอาทิตย์กำจัดเสียซึ่งหมอก ด้วยความเป็นของสว่างยิ่ง ราชสีห์เป็นสัตว์มีความกลัวไปปราศแล้ว ด้วยความเป็นสัตว์มีชาติยิ่ง คนปล้ำย่อมยกขึ้นซึ่งคนปล้ำคู่ต่อสู้ได้โดยพลัน ด้วยความเป็นผู้มีกำลังยิ่งพระราชาเป็นอธิบดี ด้วยความเป็นผู้มีบุญยิ่ง ภิกษุเป็นผู้อันนาคและยักษ์มนุษย์เทพดาทั้งหลายพึงนมัสการ ด้วยความเป็นผู้มีศีลยิ่ง พระพุทธเจ้าเป็นผู้ไม่มีใคร ๆ เปรียบ ด้วยความที่พระองค์เป็นผู้เลิศยิ่งฉันใด; ชื่อทานยิ่ง อันนักปราชญ์ทั้งหลายพรรณนา ชมเชยสรรเสริญแล้วในโลก, ชนทั้งหลายเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ให้ทานเช่นใดเช่นหนึ่ง, ชนผู้ให้ทานยิ่ง ย่อมถึงความสรรเสริญในโลก ฉันนั้นนั่นเทียวแล. พระราชาเวสสันดรเป็นผู้อันบัณฑิตทั้งหลายพรรณนา ชมเชยสรรเสริญบูชายกย่องแล้ว ด้วยทานยิ่งในหมื่นโลกธาตุ ด้วยทานยิ่งนั้นนั่นแล พระราชาเวสสันดรจึงเป็นผู้ตรัสรู้แล้วเลิศในโลกทั้งเทวโลก ณ กาลนี้. ครั้นเมื่อทักขิเณายยบุคคลมาถึงเข้าแล้ว ทานที่ควรตั้งไว้ไม่ควรให้ มีอยู่ในโลกหรือ ขอถวายพระพร?"
ร. "ทานทั้งหลายสิบเหล่านี้ มิใช่ของสมมติว่าทานในโลกมีอยู่, บุคคลใดให้ทานทั้งหลายเหล่านั้น บุคคลนั้นเป็นผู้มักไปอบาย; ทานทั้งหลายสิบเป็นไฉน? ทาน คือ น้ำเมา บุคคลใดให้ทานนั้น บุคคลนั้นเป็นผู้มักไปอบาย;ทาน คือ มหรสพ ทาน คือ สตรีทาน คือ โคผู้ ทาน คือ จิตรกรรม ทาน คือ ศัสตรา ทาน คือ ยาพิษ ทาน คือ เครื่องจำ ทาน คือ ไก่และสุกร ทาน คือ การโกงด้วยอันชั่งและโกงด้วยอันนับ มิใช่ของสมมติว่าทานในโลก บุคคลใดให้ทานนั้น บุคคลนั้นมักไปอบาย. ทานทั้งหลายสิบเหล่านี้แล มิใช่ของสมมติว่าทานในโลก, บุคคลใดย่อมให้ทานทั้งหลายเหล่านั้น บุคคลนั้นเป็นผู้มักไปอบาย."
ถ. "ขอถวายพระพร อาตมภาพไม่ได้ทูลถามทานซึ่งมิใช่ของสมมติว่าทานนั้น. อาตภาพทูลถามถึงทานนี้ต่างหากว่า ครั้นเมื่อทักขิเณยยบุคคลมาถึงเข้าแล้ว ทานซึ่งควรตั้งไว้ไม่ควรให้ มีอยุ่ในโลกหรือ?"
ร. "ครั้นเมื่อทักขิเณยยบุคคลมาถึงเข้าแล้ว ทานซึ่งควรตั้งไว้ไม่ควรให้ ไม่มีในโลก; ครั้นเมื่อความเลื่อมใสแห่งจิตเกิดขึ้นแล้ว ชนทั้งหลายบางพวก ย่อมให้โภชนะแก่ทักขิเณยยบุคคล บางพวกให้วัตถุเครื่องปกปิด บางพวกให้ที่นอน บางพวกให้ที่พักอาศัย บางพวกให้เครื่องลาดและผ้าสำหรับห่ม บางพวกให้ทาสและทาสี บางพวกให้นาและที่ดิน บางพวกให้สัตว์สองเท้าและสัตว์สี่เท้า บางพวกให้ ร้อย พัน แสน กหาปณะ บางพวกให้ราชสมบัติใหญ่ บางพวกแม้ชีวิตก็ย่อมให้."



เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO