นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน เสาร์ 11 พ.ค. 2024 11:51 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: เรื่องราว
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 11 ส.ค. 2012 8:28 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4554
๒. นิปปปัญจปัญหา ๕๑

พระราชาตรัสถามว่า "พระผู้เป็นเจ้านาคเสน แม้พระพุทธพจน์นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสสอนไว้ว่า 'ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้มีนิปปปัญจะเป็นที่มายินดี มีความยินดีในนิปปปัญจธรรมไม่มีเครื่องเนิ่นช้า' ดังนี้. นิปปปัญจะนั้นเป็นไฉน คือ ธรรมพวกไร?"
พระเถรเจ้าทูลว่า "ขอถวายพระพร โสดาปัตติผลก็ชื่อนิปปปัญจะสกทาคามิผลก็ชื่อ
นิปปปัญจะ อนาคามิผลก็ชื่อนิปปปัญจะ อรหัตตผลก็ชื่อนิปปปัญจะ ธรรมไม่มีเครื่องเนิ่นช้า."
ร. "พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ถ้าว่าโสดาปัตติผลก็ชื่อนิปปปัญจะสกทาคามิผลก็ชื่อ
นิปปปัญจะ อนาคามิผลก็ชื่อนิปปปัญจะ อรหัตตผลก็ชื่อนิปปปัญจะไซร้, ภิกษุทั้งหลายเหล่านี้ ย่อมแสดงขึ้น ย่อมไต่ถาม พระสูตร เคยยะ เวยยากรณ์ คาถา อุทาน อิติวุตตก ชาตก อัพภูตธรรม
เวทัลละ ยังกังวลอยู่ด้วยนวกรรม คือ การให้ด้วย การบูชาด้วย เพื่อประโยชน์อะไร? ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น ได้ชื่อว่ากระทำอยู่ซึ่งกรรม ที่พระชินห้ามไว้แล้ว ไม่ใช่หรือ?"
ถ. "ขอถวายพระพร ภิกษุทั้งหลายเหล่าใดนั้น ย่อมแสดงขึ้น ย่อมไต่ถามพระสูตร เคยยะ เวยยากรณ์ คาถา อุทาน อิติวุตตก ชาตก อัพภูตธรรม เวทัลละ ยังกังวลอยู่ด้วยนวกรรม คือ การให้ด้วย การบูชาด้วย, ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นทั้งปวง ชื่อว่ากระทำความเพียรเพื่อจะถึงซึ่งนิปปปัญจธรรม ภิกษุทั้งหลายเหล่าใดนั้น เป็นผู้บริสุทธิ์แล้วโดยสภาพ มีวาสนาเคยอบรมมาแล้ว, ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น มีนิปปปัญจธรรมโดยขณะแห่งจิตอันเดียว. ฝ่ายว่าภิกษุทั้งหลายเหล่าใดนั้น เป็นผู้มีธุลี คือ กิเสลในนัยน์ตา คือ ปัญญามาก, ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น ย่อมเป็นผู้มีนิปปปัญจธรรม ด้วยประโยคทั้งหลายเหล่านี้. เปรียบเหมือนบุรุษปลูกพืชลงในนาแล้วเก็บข้าวเปลือก ด้วยความเพียรตามกำลังของตน เว้นแล้วจากรั้วเป็นเครื่องป้องกัน, บุรุษอีกคนหนึ่งปลูกพืชลงในนาแล้วเข้าไปสู่ป่า ตัดไม้แห้งด้วย กิ่งไม้ด้วย เรียวหนามด้วย กระทำรั้วแล้วจึงเก็บข้าวเปลือก, ความแสวงหาของบุรุษนั้น ด้วยกั้นรั้วในนานั้น เพื่อประโยชน์แก่ข้าวเปลือก ฉันใด;
ขอถวายพระพร ภิกษุทั้งหลายเหล่าใดนั้น เป็นผู้บริสุทธิ์แล้วโดยสภาวะ มีวาสนาเคย
อบรมแล้ว, ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น เป็นผู้มีเครื่องเนิ่นช้าออกแล้วโดยขณะแห่งจิตอันหนึ่ง เหมือนบุรุษเว้นความกั้นด้วยรั้วเสีย เก็บข้าวเปลือก; ฝ่ายภิกษุทั้งหลายเหล่าใดนั้น เป็นผู้มีธุลี คือ กิเสลในนัยน์ตา คือ ปัญญาใหญ่หลวง, ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นเป็นผู้มีเครื่องเนิ่นช้าออกแล้ว ด้วยประโยคทั้งหลายเหล่านี้ เหมือนบุรุษกระทำความกั้นด้วยรั้วแล้ว เก็บข้าวเปลือก ฉันนั้นนั้นเทียวแล.
อีกประการหนึ่ง เปรียบเหมือนช่อแห่งผลไม้ พึงมีที่ยอมแห่งต้นมะม่วงใหญ่, ถ้าว่า ในที่นั้นผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้มีฤทธิ์มาแล้ว พึงนำผลแห่งต้นมะม่วงนั้นไปได้, ในที่นั้น ฝ่ายบุคคลผู้ไม่มีฤทธิ์ ตัดไม้แห้งและเถาวัลย์ ผูกให้เป็นพะองแล้วขึ้นสู่ต้นมะม่วงนั้นโดยพะองนั้นนำผลไปได้, จึงควรแสวงหานั้นเพื่อเอาแต่ผล ฉันใด;บุคคลทั้งหลายเหล่าใดนั้น บริสุทธิ์แล้วโดยสภาวะ มีวาสนาอบรมแล้วในปางก่อน, บุคคลทั้งหลายเหล่านั้น เป็นผู้มีธรรมเครื่องเนิ่นช้าออกแล้วโดยขณะแห่งจิตอันหนึ่ง เหมือนบุคคลมีฤทธิ์ที่นำผลมะม่วงไปได้นั้น; ฝ่ายว่า ภิกษุทั้งหลายใดนั้น เป็นผู้มีธุลี คือ กิเสลในนัยน์ตา คือ ปัญญาใหญ่หลวง, ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น ย่อมตรัสรู้สัจจะทั้งหลายด้วยประโยคนี้ เหมือนบุรุษนำผลแห่งมะม่วงไปโดยพะอง ฉันนั้นนั่นเทียวแล.
อีกประการหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษผู้กระทำความต้องการ คือแสวงหาทรัพย์คนหนึ่งคนเดียวทีเดียว เข้าไปใกล้เจ้านายแล้วยังทรัพย์นั้นให้สำเร็จได้, คนหนึ่งเป็นผู้มีทรัพย์ ยังบริษัทให้เจริญแล้วด้วยอำนาจแห่งทรัพย์ ยังทรัพย์นั้นให้สำเร็จด้วยบริษัท, ความแสวงหาด้วยบริษัทในทรัพย์นั้นของบุรุษนั้น อันใด ความแสวงหาบริษัทนั้น เพื่อประโยชน์แก่ทรัพย์ ฉันใด;บุคคลทั้งหลายเหล่าใดนั้น บริสุทธิ์แล้วโดยสภาวะ มีวาสนาอบรมมาแล้วในปางก่อน, บุคคลทั้งหลายเหล่านั้นย่อมถึงความเป็นผู้ชำนาญในอภิญญาทั้งหลายหก โดยขณะแห่งจิตอันหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษคนหนึ่งกระทำซึ่งอันยังทรัพย์ให้สำเร็จ; ฝ่ายภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นใด มีธุลี คือ กิเลสในนัยน์ตา คือ ปัญญาใหญ่หลวง, ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น ย่อมยังทรัพย์ คือ สามัญญคุณให้สำเร็จเฉพาะด้วยประโยคทั้งหลายเหล่านี้ เปรียบเหมือนบุรุษกระทำซึ่งอันยังทรัพย์ให้สำเร็จด้วยบริษัท.
ขอถวายพระพร แม้อุทเทสเป็นของมีอุปการมาก แม้ปริปุจฉาเป็นของมีอุปการมาก แม้
นวกรรมเป็นของมีอุปการมาก แม้การให้เป็นของมีอุปการมาก แม้การบูชาเป็นของมีอุปการมาก ในกิจที่ควรกระทำทั้งหลายเหล่านั้น ๆ.
ขอถวายพระพร บุรุษผู้จะเป็นข้าราชการกระทำแล้วซึ่งราชกิจด้วยชนผู้เป็นราชบริษัททั้งหลาย คือ อมาตย์ราชภัฏกรมวังผู้รักษาพระทวารและราชองครักษ์, ครั้นเมื่อกิจควรกระทำยังไม่เกิดขึ้นแล้ว ราชบุรุษทั้งหลายเหล่านั้นแม้ทั้งหมด เป็นผู้มีอุปการแก่บุรุษข้าราชการนั้นฉันใด; แม้อุทเทส ปริปุจฉา นวกรรม การให้และการบูชาล้วนเป็นของมีอุปการมาก ในกิจควรกระทำทั้งหลายเหล่านั้น ฉันนั้น. ถ้าว่า ชนทั้งหลวงทั้งปวง พึงเป็นผู้บริสุทธิ์แล้วโดยอภิชาติไซร้, กิจอันผู้พร่ำสอนจะพึงกระทำไม่พึงมี; ก็เพราะเหตุใดแล กิจอันผู้พร่ำสอนจะพึงกระทำด้วยการฟังมีอยู่. พระเถระสารีบุตรผู้มีกุศลมูลสั่งสมแล้ว สิ้นอสงไขยและกัปป์อันนับไม่ได้แล้ว ถึงแล้วซึ่งที่สุดแห่งปัญญา, แม้พระเถระสารีบุตรนั้นเว้นจากการฟัง ไม่อาจแล้วเพื่อจะพึงอาสวักขัย.
ขอถวายพระพร เพราะเหตุนั้น การฟังชื่อมีอุปการมาก, แม้อุทเทสแม้ปริปุจฉามีอุปการมาก ก็เหมือนกัน, เพราะเหตุนั้น อุทเทสปริปุจฉาจึงเป็นนิปปปัญจธรรม มีเครื่องเนิ่นช้าออกแล้วเป็นอสังขตะ."
ร. "พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ปัญหาพระผู้เป้นเจ้าเพ่งดีแล้วข้อวิสัชนาปัญหาของพระผู้เป็นเจ้านั้นสมอย่างนั้น, ข้าพเจ้ายอมรับรองอย่างนั้น."

๓. คิหิอรหัตตปัญหา ๕๒

พระราชาตรัสถามว่า "พระผู้เป็นเจ้านาคเสน พระผู้เป็นเจ้ากล่าวอยู่ว่า 'บุคคลเป็นคฤหัสถ์บรรลุพระอรหัตแล้ว มีคติสอง คือ: พระอรหันต์นั้นบวชบ้าง ปรินิพพานบ้าง ในวันนั้นทีเดียว, วันนั้น อันพระอรหันต์นั้นไม่อาจเพื่อจะก้าวเกินได้."
พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ถ้าว่า พระอรหันต์นั้นไม่พึงได้อาจารย์หรืออุปัชฌาย์ หรือบาตรและจีวรในวันนั้น, พระอรหันต์นั้น พึงบวชเองหรือพึงล่วงวัน หรือพระอรหันต์อื่นบางรูป เป็นผู้มีฤทธิ์ พึงมาแล้วยังพระอรหันต์นั้นให้บวชบ้างหรือหนอ หรือพระอรหันต์นั้น พึงปรินิพพาน.
พระเถรเจ้าทูลว่า "ขอถวายพระพร พระอรหันต์นั้นไม่พึงบวชเอง เมื่อบวชเอง ย่อมต้องเถยยสังวาส; อนึ่ง ท่านไม่ล่วงวัน ความที่พระอรหันต์องค์อื่นจะมาจะมีหรือไม่มี พระอรหันต์นั้นย่อมดับเสียในวันนั้นทีเดียว."
ร. "พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ถ้าอย่างนั้น ความที่พระอรหัตมีอยู่ เป็นกิจอันพระอรหันต์นั้นไม่ละแล้ว ความนำชีวิตไป ย่อมมีแก่พระอรหันต์ผู้มีธรรมอันถึงทับแล้วด้วยเหตุไรเล่า?"
ถ. "ขอถวายพระพร เพศแห่งคฤหัสถ์บรรลุพระอรหัตในเพศอันไม่เสมอ ย่อมบวชบ้าง ย่อมปรินิพพานบ้าง ในวันนั้นทีเดียว เพราะความที่เพศเป้นของทุรพล; ส่วนนั้นไม่ใช่โทษของพระอรหัต โทษนั้นเป็นโทษของเพศแห่งคฤหัสถ์ เพราะความที่เพศเป็นของทุรพล. เปรียบเหมือนโภชนะเป็นของเลี้ยงอายุของสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง เป็นของรักษาชีวิตของสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงไว้ ย่อมผลาญชีวิตแห่งบุคคล ผู้มีกระเพาะอาหารไม่ปกติ เพราะไม่ช่วยย่อยแห่งไฟเผาอาหารซึ่งอ่อนและทรามกำลัง, โทษนั้นไม่ใช่โทษของโภชนะ โทษนั้นเป็นโทษของกระเพาะ เพราะมีไฟธาตุอ่อนกำลังฉันใด; คฤหัสถ์ที่บรรลุพระอรหัตในเพศอันไม่เสมอ ย่อมบวชบ้าง ย่อมปรินิพพานบ้าง ในวันนั้นทีเดียว เพราะความทุรพลด้วยเพศ, โทษนั้นไม่ใช่โทษของพระอรหัต โทษนั้นเป็นโทษของเพศแห่งคฤหัสถ์ เพราะความเป็นเพศทุรพล ฉันนั้นนั่นเทียว.
อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนเส้นหญ้าอันน้อย ครั้นเมื่อหินเป็นของหนักอันบุคคลวางไว้ข้างบนแล้ว หญ้านั้นย่อมแหลกตกไป เพราะความที่แห่งหญ้าเป็นของทุรพล ฉันใด, คฤหัสถ์ที่บรรลุพระอรหัตแล้ว ไม่อาจเพื่อจะทรงพระอรหัตไว้ด้วยเพศนั้น ย่อมบวชบ้าง ย่อมปรินิพพานบ้าง ในวันนั้นทีเดียว ฉันนั้น.
อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษไม่มีกำลังเป็นผู้ทุรพล มีชาติอันเลย มีบุญน้อย ได้ราชสมบัติใหญ่ ย่อมตกต่ำเสื่อมถอยโดยขณะไม่อาจเพื่อจะทรงความเป็นอิสระไว้ได้ ฉันใด; คฤหัสถ์ที่บรรลุพระอรหัตแล้ว ไม่อาจเพื่อจะทรงพระอรหัตไว้ด้วยเพศนั้นได้ ฉันนั้นนั่นเทียวแล, เพราะเหตุนั้น คฤหัสถ์ที่บรรลุพระอรหัตแล้ว ย่อมบวชบ้าง ย่อมปรินิพพานบ้าง ในวันนั้นทีเดียว."
ร. "ดีละ พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ข้อวิสัชนาปัญหาของพระผู้เป็นเจ้านั้นสมอย่างนั้น, ข้าพเจ้ายอมรับรองอย่างนั้น."

๔. โลมกัสสปปัญหา ๕๓

พระราชาตรัสถามว่า "พระผู้เป็นเจ้านาคเสน แม้พระพุทธพจน์นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า 'เราได้เกิดเป็นมนุษย์ในกาลก่อนทีเดียวได้เป็นผู้มีชาติแห่งบุคคลไม่เบียดเบียนสัตว์ทั้งหลาย' ดังนี้. และพระโพธิสัตว์เป็นฤษีชื่อ โลมกัสสป ได้เห็นนางจันทวดีกัญญา ฆ่าสัตว์ทั้งหลายมิใช่ร้อยเดียว บูชามหายัญชื่อว่าวาชเปยยะ. พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ถ้าว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วว่า 'เราเป็นมนุษย์ในกาลก่อนทีเดียว เป็นผู้มีชาติแห่งบุคคลไม่เบียดเบียนสัตว์ทั้งหลาย ดังนี้, ถ้ากระนั้น คำว่า 'ฤษีชื่อโลมกัสสป ฆ่าสัตว์ทั้งหลายมิใช่ร้อยเดียวบูชามหายัญชื่อวาชเปยยะ' ดังนี้ นั้นผิด. ถ้าว่าฤษีชื่อโลมกัสสป ฆ่าสัตว์ทั้งหลายมิใช่ร้อยเดียว บูชามหายัญชื่อ วาชเปยยะ, ถ้าอย่างนั้น คำทีว่า 'เราเกิดเป็นมนุษย์ในกาลก่อนเทียว ได้เป็นผู้มีชาติแห่งบุคคลไม่เบียดเบียนสัตว์ทั้งหลาย' ดังนี้ แม้นั้นก็ผิด. ปัญหาแม้นี้สองเงื่อน มาถึงพระผู้เป็นเจ้าแล้ว พระผู้เป็นเจ้าพึงแก้ไขขยายให้แจ้งชัดเถิด."
พระเถรเจ้าทูลว่า "ขอถวายพระพร แม้พระพุทธพจน์นี้ อันพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงภาสิตแล้วว่า 'เราเกิดเป็นมนุษย์ในกาลก่อนเทียว ได้เป็นผู้มีชาติแห่งบุคคลไม่เบียดเบียนสัตว์ทั้งหลาย' ดังนี้, และฤษีชื่อโลมกัสสปฆ่าสัตว์ทั้งหลายมิใช่ร้อยเดียว บูชามหายัญชื่อวาชเปยยะ; ก็แหละมหายัญนั้นอันฤษีชื่อโลมกัสสปนั้นมีสัญญาวิปลาศแล้ว บูชาแล้วด้วยอำนาจแห่งราคะ จะเป็นผู้มีเจนาเป็นปกติอยู่บูชาแล้วหามิได้."
ร. "พระผู้เป็นเจ้านาคเสน บุคคลทั้งหลายแปดเหล่านี้ ย่อมฆ่าสัตว์, บุคคลทั้งหลายแปด เป็นไฉน: บุคคลทั้งหลายแปด คือ บุคคลกำหนัดแล้ว ย่อมฆ่าสัตว์ด้วยอำนาจแห่งราคะ บุคคลอันโทสะประทุษร้านแล้ว ย่อมฆ่าสัตว์ด้วยอำนาจแห่งราคะ บุคคลอันโทสะประทุษร้ายแล้ว ย่อมฆ่าสัตว์ด้วยอำนาจแห่งโทสะ บุคคลหลงแล้ว ย่อมฆ่าสัตว์ ด้วยอำนาจแห่งโมหะ บุคคลมีมานะ ย่อมฆ่าสัตว์ด้วยอำนาจแห่งมานะ บุคคลโลภแล้ว ย่อมฆ่าสัตว์ด้วยอำนาจแห่งความโลภบุคคลไม่มีทรัพย์น้อยหนึ่ง ย่อมฆ่าสัตว์เพื่อประโยชน์แก่การเลี้ยงชีวิตบุคคลพาลย่อมฆ่าสัตว์ด้วยอำนาจแห่งความไม่รู้ เพราะเหตุมีสหายเป็นพาล พระมหากษัตริย์ย่อมฆ่าสัตว์ด้วยอำนาจแห่งกฎหมาย บุคคลทั้งหลายแปดเหล่านี้ ย่อมฆ่าสัตว์. มหายัญเป็นปกติทีเดียว อันพระโพธิสัตว์ทำแล้ว.
ถ. "ขอถวายพระพร มหายัญโดยปกติทีเดียว อันพระโพธิสัตว์ทำแล้ว หามิได้. ถ้าว่าพระโพธิสัตว์พึงน้อมลงไปโดยความเป็นปกติเพื่อจะบูชามหายัญไซร้, พระโพธิสัตว์ไม่พึงกล่าวคาถาว่า 'เราไม่พึงปรารถนาแผ่นดินซึ่งมีสมุทรเป็นเครื่องล้อม คือ มีทะเลล้อมอยู่รอบ ดุจกุณฑลซึ่งพันไว้ด้วยเถาวัลย์ดำ พร้อมด้วยนินทา, แน่ะสัยหะ ท่านจงรู้อย่างนี้.'
ขอถวายพระพร พระโพธิสัตว์มีวาทะอย่างนี้ พอเห็นนางราชกัญญาชื่อจันทวดี เป็นผู้มีสัญญาผิด มีจิตฟุ้งซ่าน กำหนัดแล้ว, ครั้นมีสัญญาผิดแล้ว เป็นผู้อากูลและอากูล ด่วนและด่วน บูชามหายัญชื่อว่า วาชเปยยะ เป็นที่ฆ่าสัตว์ของเลี้ยงและสั่งสมเลือดในคอใหญ่ด้วยจิตฟุ้งซ่านแล้ว และวิงเวียนแล้ว และมัวเมาแล้วนั้น. เปรียบเหมือนคนบ้า มีจิตฟุ้งซ่านแล้ว เหยียบไฟรุ่งเรืองแล้วบ้าง จับอสรพิษอันกำเริบแล้วบ้าง เข้าไปใกล้ช้างซับมันแล้วบ้าง ไม่เห็นฝั่งแล่นไปสู่สมุทรบ้าง ย่อมขยำคูถบ้าง ย่อมลงบ่อคูถบ้าง ย่อมขึ้นไปสู่ที่มีหนามบ้าง ย่อมโดดในเหวบ้าง ย่อมกินอสุจิบ้าง เป็นคนเปลือยเที่ยวไปกลางถนนบ้าง ย่อมทำกิริยาไม่ควรทำมากอย่าง แม้อื่นบ้างฉันใด; พระโพธิสัตว์พอเห็นนางราชกัญญาชื่อ จันทวดี เป็นผู้มีสัญญาผิด มีจิตฟุ้งซ่าน, ครั้นมีสัญญาผิดแล้วเป็นผู้อากูลและอากูล ด่วนและด่วน, บูชามหายัญชื่อ วาชเปยยะ เป็นที่ฆ่าสัตว์ของเลี้ยงและสั่งสมเลือดในคอใหญ่ ๆ ด้วยจิตฟุ้งซ่านแล้ว และวิงเวียนแล้ว และมัวเมาแล้ว ฉันนั้นนั่นเทียวแล.
ขอถวายพระพร บาปอันบุคคลมีจิตฟุ้งซ่านแล้ว ทำแล้ว ซึ่งจะเป็นมหาสาวัชชะเป็นไปกับด้วยโทษใหญ่ แม้ในทิฏฐธรรมหามิได้จะเป็นมหาสาวัชชะ แม้โดยวิบากในสัมปรายะก็หาไม่. ในโลกนี้ใคร ๆ เป็นบ้า พึงต้องอาชญาประหารชีวิต บรมบพิตรจะทรงวางอาชญาอะไรแก่เขา?"
ร. "อาชญาอะไร จักพึงมีแกคนบ้าเล่า, พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้ายังราชบุรุษทั้งหลายให้โบยแล้วจึงนำคนบ้านั้นออกเสีย, ความให้ราชบุรุษโบยนำออกเสียนั่นแหละ เป็นอาชญาของคนบ้านั้น."
ถ. "ขอถวายพระพร แม้พระราชอาชญา เพราะความผิดของคนบ้าไม่มี, เพราะเหตุนั้น เมื่อความผิดอันคนบ้าแม้ทำแล้ว ย่อมไม่มีโทษ คนบ้าเป็นสเตกิจโฉ. ฤษีชื่อโลมกัสสปมีสัญญาผิด มีจิตฟุ้งซ่านแล้ว กำหนัดแล้ว พร้อมด้วยการเห็นนางราชกัญญาชื่อ จันทวดี, ครั้นเป็นผู้มีสัญญาผิดแล้ว มีความกระสับกระส่ายฟุ้งซ่านแล้ว อากูลและอากูล ด่วนและด่วน บูชามหายัญชื่อ วาชเปยยะ เป็นที่ฆ่าสัตว์ของเลี้ยงและสั่งสมเลือดในคอใหญ่ ๆ ด้วยจิตฟุ้งซ่าน และวิงเวียนแล้ว และมัวเมาแล้วนั้น. ก็และพระโพธิสัตว์นั้นมีจิตเป็นปกติกลับได้สติในกาลใด, บวชแล้วอีก ยังอภิญญาทั้งหลายห้าให้เกิดแล้วเป็นผู้เข้าไปสู่พรหมโลกนั่นเทียว ในกาลนั้น."
ร. "ดีละ พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ข้อวิสัชนาปัญหานั้นสม
อย่างนั้น, ข้าพเจ้ายอมรับรองอย่างนั้น."

๕. ฉันททันตโชติปาลอารัพภปัญหา ๕๔

พระราชาตรัสถามว่า "พระผู้เป็นเจ้านาคเสน แม้พระพุทธพจน์นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วว่า 'พญาฉัททันต์คชสารจับนายพรานได้ด้วยคิดว่าเราจักฆ่ามันเสีย ได้เห็นผ้ากาสาวะเป็นธงของฤษีทั้งหลายแล้ว สัญญาได้เกิดขึ้นแล้วแก่พญาคชสารอันทุกข์ถูกต้องแล้วว่า ธงพระอรหันต์มีรูปแห่งบุคคลอันสัตบุรุษทั้งหลายไม่พึงฆ่า' ดังนี้. และตรัสแล้วว่า 'มาณพชื่อโชติปาละ ด่าบริภาษพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า กัสสป ด้วยวาจาทั้งหลายอันหยาบเป็นของแห่งอสัตบุรุษโดยวาทะว่า คนโล้น โดยวาทะว่า สมณะ' ดังนี้. พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ถ้าว่า พระโพธิสัตว์เป็นดิรัจฉานยังบูชาผ้ากาสาวะยิ่ง, ถ้าอย่างนั้น คำที่ว่า 'โชติปาละมาณพ ด่าบริภาษ พระผุ้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่ากัสสป ด้วยวาจาทั้งหลายอันหยาบ เป็นของแห่งอสัตบุรุษโดยวาทะว่า คนโล้น โดยวาทะว่า สมณะ' ดังนี้ นั้นเ ป็นผิด. ถ้าว่า โชติปาละมาณพ ด่าบริภาษ พระผู้มีพระภาคเจ้าอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่ากัสสป ด้วยวาจาทั้งหลายอันหยาบ เป็นของแห่งอสัตบุรุษ โดยวาทะว่า คนโล้น โดยวาทะว่า สมณะ, ถ้าอย่างนั้น คำที่ว่า 'ผ้ากาสาวะอันพญาฉัททันต์คชสารบูชาแล้ว' ดังนี้ แม้นั้นก็ผิด. ถ้าว่า พระโพธิสัตว์เป็นสัตว์ดิรัจฉานเสวยเวทนาอันหยาบคายเผ็ดร้อนอยู่ ยังบูชาผ้ากาสาวะที่นายพรานนุ่งแล้ว, พระโพธิสัตว์เป็นมนุษย์มีญาณแก่กล้ามีปัญญาเครื่องตรัสรู้แก่กล้าแล้ว เห็นพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า กัสสป ผู้ทรงทศพลญาณเป็นอัครอาจารย์ในโลก มีแสงสว่างมีวาหนึ่งเป็นประมาณ รุ่งเรืองแล้ว ผู้บวรสูงสุด ทรงคลุมแล้วซึ่งผ้ากาสาวะอันงามประเสริฐแล้ว ทำไมจึงไม่บูชาเล่า? ปัญหาแม้นี้สองเงื่อน มาถึงพระผู้เป็นเจ้าแล้ว พระผู้เป็นเจ้าจงแก้ไขขยายออกให้แจ้งชัดเถิด."
ถ. "ขอถวายพระพร แม้พระพุทธพจน์นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วว่า 'พญาฉัททันต์
คชสารจับนายพรานได้ คิดว่า เราจักฆ่ามันเสีย ได้เห็นผ้ากาสาวะเป็นธงของฤษีทั้งหลายแล้ว สัญญาได้เกิดขึ้นแล้วแก่พญาฉัททันต์คชสาร อันทุกข์ถูกต้องแล้วว่า ธงของพระอรหันต์ มีรูปแห่งบุคคลอันสัตบุรุษทั้งหลายไม่พึงฆ่า" ดังนี้.
อนึ่ง มาณพชื่อโชติปาละ ด่าบริภาษพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า กัสสป ด้วยวาจาทั้งหลายอันหยาบเป็นของแห่งอสัตบุรุษ โดยวาทะว่า คนโล้น โดยวาทะว่า สมณะ. ความด่าและบริภาษนั้นเป็นไปแล้วด้วยอำนาจแห่งชาติและตระกูล. โชติปาละมาณพ เกิดแล้วในตระกูกลไม่มีศรัทธา ไม่เลื่อมใสแล้ว, มารดาและบิดาทั้งหลาย พี่น้องหญิงและพี่น้องชายทั้งหลาย ทาสีและทาสและเด็กและมนุษย์บริวารทั้งหลาย แห่งโชติปาละมาณพนั้น มีพรหมเป็นเทวดา เป็นผู้หนักในพรหมเป็นผู้เคารพต่อพรหม, ชนทั้งหลายมีมารดาและบิดาเป็นต้นเหล่านั้น คิดว่า 'พราหมณ์ทั้งหลายอย่างเดียว เป็นผู้สูงสุด ประเสริฐ' ดังนี้ ติเตียนเกลียดบรรพชิตทั้งหลาย นอกจากพราหมณ์. โชติปาละมาณพ ฟังคำนั้นของชนทั้งหลายมีมารดาและบิดาเป็นต้นเหล่านั้น อันนายช่างหม้อชื่อฆฎีการเรียกมาแล้ว เพื่อจะเผ้าพระศาสดา จึงกล่าวแล้วอย่างนี้ว่า 'ประโยชน์อะไรของท่านด้วยสมณะโล้นอ้นท่านเห็นแล้วเล่า?'
พระถวายพระพร อมฤตรสมากระทบพิษแล้วกลายเป็นของขมฉันใด, อนึ่ง น้ำเย็นมากระทบไฟกลายเป็นน้ำร้อน ฉันใด, โชติปาละมาณพเกิดในตระกูลไม่มีศรัทธา ไม่เลื่อมใสแล้ว, โชติปาละมาณพนั้นเป็นผู้มืดแล้วด้วยอำนาจตระกูลและชาติ จึงด่าแล้ว บริภาษแล้ว ซึ่งพระตถาคต ฉันนั้นนั่นแล. กองแห่งไฟใหญ่รุ่งเรืองแล้ว ชัชวาลแล้วเป็นไปกับด้วยแสงสว่าง มากระทบน้ำแล้วมีแสงสว่างและเตโชธาตุอันน้ำนั้นเข้าไปขจัดแล้ว เป็นของเย็น เป็นของดำ ย่อมเป็นของเช่นกับด้วยผลย่างทรายอันสุกงอมแล้ว ฉันใด, โชติปาละมาณพเป็นผู้มีบุญ มีศรัทธา มีแสงสว่าง อันไพบูลย์ด้วยญาณ เกิดแล้วในตระกูลไม่มีศรัทธา ไม่เลื่อมใสแล้ว, โชติปาละมาณพนั้น เป็นคนบอดด้วยอำนาจแห่งตระกูล ด่าบริภาษพระตถาคตแล้ว, ครั้นเข้าไปใกล้พระตถาคตแล้ว รู้ทั่วถึงซึ่งคุณแห่งพระพุทธเจ้า เป็นผู้ราวกะเด็กบวชแล้วในพระศาสนาของพระชินพุทธเจ้า ยังอภิญญาทั้งหลายด้วย สมาบัติทั้งหลายด้วย ให้เกิดขึ้นแล้ว ได้เป็นผู้เข้าไปสู่พรหมโลกแล้ว."
ร. "ดีละ พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ข้อวิสัชนาปัญหานั้นสม
อย่างนั้น, ข้าพเจ้ายอมรับรองอย่างนั้น."




เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ



ร่วมเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพสร้างวิหารวัดป่าเมตตาปัญญาพุทธคุณ อ.หนองหาน จ.อุดรธานี
โทร. 082-4964261


เนื่องด้วยวัดมงคลโคธาวาส มีวัตถุประสงค์จะบูรณะอุโบสถ จึงขอเชิญผู้มีจิตศรัทธา...
http://www.luangporpan.com/



เชิญรวมทำบุญวางศิลาฤกษ์มณฆปเจดีย์วิหารหลวงพ่อศุข
วันที่ 12 สิงหาคม 2555 เวลา 08.00-11.00 น
องค์ประธานว่างศิลาฤกษ์
พ่อแม่ครูบาอาจารย์หลวงพ่อนัย พระครูสถิตบวรธรรม
วัดป่าบ้านหนองฮาง
http://www.wbml.org/web2555/



ขอเชิญร่่่วมสั่งสมบุญเป็นเจ้าภาพอาสนะสำหรับปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน
โทร.0810234935


12 ส.ค.ร่วมเป็นเจ้าภาพหล่อพระพุทธชินสีห์ พระสุก พระใส หล่อพระ 3 องค์ในงานเดียว
085-118-3675


ขอเชิญร่วมสร้างเสนาสนะให้กับที่พักสงฆ์ในชนบท
084-418-1428


ด่วน!!!ขอเชิิญร่วมเป็นเจ้าภาพมหาจุลกฐิน ปี๕๕ เททองสร้างหลวงปู่สมเด็จโต
๐๘ ๒๓๕๘ ๕๖๐๙


ร่วมสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ สมเด็จองค์ปฐม ๔ ศอก และ ๘ ศอก
โทร. 084 977 3339


เชิญร่วมทอดกฐินสร้างพระพุทธเมตตา ประดิษฐาน ณ อุโบสถทรงเจดีย์พุทธคยา(จำลอง) www.watnonggai.com
081-7656469



23 กองบุญ ถวาย 3 พระอริยเจ้า
083-1260937


เชิญร่วมทำบุญผ้าป่า ๘๔,๐๐๐ กอง วัดกู่แก้วดอนเรือง
อ.ลี้ จ.ลำพูน วันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๕



ขอเรียนเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพทอดกฐินสามัคคี ประจำปี ๒๕๕๕ ณ วัดพระธาตุแสงรุ้ง
โทร ๐๘๐-๗๙๑-๕๔๘๒


ร่วมสร้างพระมหาเจดีย์
http://www.watthamsaengdham.com/



ขอเชิญร่วมปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ

ณ วัดยานนาวา สำนักปฏิบัติธรรมแห่งที่ ๑ ของกรุงเทพมหานคร
วันศุกร์ - เสาร์ - อาทิตย์ที่ 24-25-26 สิงหาคม 2555

ติดต่อสอบถามได้ที่ คุณปวริศา 089-1645733 พระครูโกศลวิบูลกิจ 084-1342837



ขอเชิญร่วมบุญปกป้องเครือข่ายวิทยุเสียงธรรมของหลวงตามหาบัว
http://www.luangta.com/


กราบหลวงปู่สุภา กันตสีโล หรือร่วมทำบุญกับหลวงปู่
0862279555


ขอเชิญร่วมถวายสังฆทานและเจริญกรรมฐานกับพระอาจาย์สิงห์วัดพระพุทธบาทถ้ำป่าไผ่
รัตนา084-640-1363

ขอเชิญฟังบรรยายธรรมจาก พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก ณ หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ
หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ ขอเชิญฟังบรรยายธรรมจาก พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก ในวันพุธที่ 15 สิงหาคม 2555 เวลา 12.00 - 13.30 น. ณ ห้องปฏิบัติธรรม ชั้น 2 สอบถามรายละเอียดได้ที่ 08 1517 4400


เนื่องจากทางวัดภูปะปัง ซึ่งเป้นวัดที่หลวงปู่อาจ อาทิโตท่านจำวัดอยู่นั้น ต้องการที่จะบูรณะศาลาจึงมีความต้องการปัจจัยในการจัดหาวัสดุมาต่อเติมและซ่อมแซม


ร่วมเป็นเจ้าภาพอุปถัมภ์ เลี้ยงลูกสุกรป่า จำนวน 100 ตัว
ลูกหมูป่าหาผู้อุปการะนำไปเลี้ยงดูหรือร่วมบริจาค ค่ายา ค่าอาหาร

ติดต่อ พระสมุห์วิชัย วิชโย 081-557-5257



ร่วมด้วยช่วยกันสร้างกระท่อมให้เด็กยากไร้ในชนบท
ธนาคารกรุงไทย สาขา ถนนเพชรเจริญ เพชรบูรณ์
เลขที่ 643-0-23054-6
ชื่อ พระจักรี อตฺตทนฺโต


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 6 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO