นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อาทิตย์ 12 พ.ค. 2024 12:58 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: เรื่องราว
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 07 ส.ค. 2012 9:45 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4556
๘. ภควโตธัมมเทสนายอัปโปสุกตภาวปัญหา ๒๘

พระราชาตรัสถามว่า "พระผู้เป็นเจ้านาคเสน พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า 'พระตถาคตทรงอบรมพระสัพพัญญุตญาณมาในระหว่างสี่อสงไขยแสนกัปป์ จึงกระทำพระสัพพัญญุตญาณให้แก่กล้าได้แล้ว เพื่อจะยกประชุมชนหมู่ใหญ่ขึ้น.' และกล่าวอีกว่า 'ภายหลังพระองค์บรรลุความเป็นสัพพัญญูแล้ว จิตของพระองค์น้อมไปเพื่อความเป็นผู้มีความขวนขวายน้อย หาน้อมไปเพื่อจะทรงแสดงธรรมไม่' ดังนี้.
พระผู้เป็นเจ้านาคเสน นายขมังธนู หรืออันเตวาสิกของนายขมังธนู ศึกษาความลอบยิงเพื่อประโยชน์แก่สงครามสิ้นวันทั้งหลายมาก เมื่อการรบใหญ่ถึงพร้อมแล้วกลับท้อถอยเสีย ฉันใด; พระตถาคตทรงอบรมพระสัพพัญญุตญาณมา ในระหว่างสี่อสงไขยแสนกัปป์ให้แก่กล้าแล้ว เพื่อจะยกประชุมชนหมู่ใหญ่ขึ้น, ครั้นพระองค์บรรลุความเป็นสัพพัญญูแล้ว ทรงท้อถอยในการแสดงธรรมก็ฉันนั้น.
อีกนัยหนึ่ง คนปล้ำ หรืออันเตวาสิกของคนปล้ำ ตั้งใจศึกษาการปล้ำไว้แล้วสิ้นวันทั้งหลายมาก ครั้นเมื่อการต่อสู้ของคนปล้ำถึงพร้อมแล้วพึงท้อใจ ฉันใด, พระตถาคตทรงอบรมพระสัพพัญญุตญาณมาในระหว่างสื่อสงไขกับแสนกัปป์กระทำให้แก่กล้า เพื่อจะยกประชุมชนหมู่ใหญ่ขึ้น, ครั้นเมื่อพระองค์ถึงความเป็นพระสัพพัญญูแล้ว ทรงท้อถอยในการแสดงธรรมก็ฉันนั้น.
พระผู้เป็นเจ้านาคเสน พระตถาคตทรงท้อแล้ว เพราะความกลัวหรือหนอ, หรือว่าทรงท้อแล้ว เพราะความที่ธรรมไม่ปรากฏ,หรือว่าพระองค์ทรงท้อแล้ว เพราะความที่แห่งพระองค์เป็นผู้ทุพพล, หรือว่าพระองค์ทรงท้อแล้ว เพราะความที่พระองค์ไม่ใช่สัพพัญญู? อะไรเป็นเหตุในความท้อนั้น? เชิญพระผู้เป็นเจ้ากล่าวเหตุแก่ข้าพเจ้าเพื่อข้ามความสงสัยเสีย.
พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ถ้าพระตถาคตทรงอบรมพระสัพพัญญุตญาณมาในระหว่างสื่อสงไขยกับแสนกัปป์ให้แก่กล้าแล้ว เพื่อจะยกประชุมชนหมู่ใหญ่ขึ้น, ถ้าอย่างนั้น คำที่ว่า 'พระตถาคตทรงบรรลุความเป็นสัพพัญญูแล้ว จิตของพระองค์น้อมไปเพื่อความเป็นผู้มีความขวนขวายน้อย หาน้อมไปเพื่อจะแสดงธรรมไม่' ดังนี้ คำนั้นผิด. ถ้าว่าเมื่อพระองค์บรรลุความเป็นพระสัพพัญญูแล้ว จิตของพระองค์น้อมไปเพื่อความเป็นผู้มีความขวนขวายน้อย หาน้อมไปเพื่อจะทรงแสดงธรรมไม่, ถ้าอย่างนั้น คำที่ว่า 'พระตถาคตอบรมพระสัพพัญญุตญาณมาในระหว่างสี่อสงไขกับแสนกัปป์ให้แก่กล้าแล้ว เพื่อจะยกประชุมชนหมู่ใหญ่ขึ้น' ดังนี้ แม้นั้นก็ผิด. ปัญหาแม้นี้สองเงื่อนลึกอันบุคคลเปลื้องยาก มาถึงพระผู้เป็นเจ้าแล้ว, พระผู้เป็นเจ้าพึงแก้ไขขยายออกให้แจ้งชัดเถิด."
พระเถรเจ้าทูลว่า "ขอถวายพระพร พระตถาคตทรงอบรมพระสัพพัญญุตญาณมาในระวางสี่อสงไขยกับแสนกัปป์ให้แก่กล้าแล้วเพื่อจะยกชนหมู่ใหญ่ขึ้น; และครั้นพระองค์บรรลุพระสัพพัญญุตญาณแล้วจิตของพระองค์น้อมไปแล้ว เพื่อความเป็นผู้มีความขวนขวายน้อยหาน้อมไปเพื่อจะทรงแสดงธรรมไม่, ก็ความน้อมไปนั้น เหตุเห็นความที่ธรรมเป็นของลึก และละเอียด และอันบุคคลเห็นยาก และอันบุคคลตรัสรู้ตามด้วยยาก และสุขุม และแทงตลอดด้วยยาก และความที่สัตว์ทั้งหลายมีอาลัยเป็นที่มายินดี และสักกายทิฏฐิอันสัตว์ทั้งหลายยกขึ้นแล้วมั่น; ทรงดำริว่า "อะไรหนอแล อย่างไรหนอแล" ดังนี้ จิตของพระองค์น้อมไปแล้ว เพื่อความเป็นผู้มีความขวนขวายน้อย หาน้อมไปเพื่อจะทรงแสดงธรรมไม่; จิตนั้นมีความคิดถึงความแทงตลอดของสัตว์ทั้งหลายในพระหฤทัยอย่างเดียว.
ขอถวายพระพร อุปมาเหมือนหมอผู้ตัดผ่า เข้าไปใกล้นวชนผู้อันพยาธิมิใช่อย่างเดียวเบียดเบียนแล้ว จึงคิดอย่างนี้ว่า "พยาธิของชนนี้ จะพึงระงับได้ด้วยความเพียรอะไรหนอ หรือด้วยเภสัชขนานไหน" ดังนี้ ฉันใด; จิตของพระตถาคตเห็นชนอันพยาธิ คือ กิเลสทั้งปวงเบียดเบียนแล้ว และเห็นความที่ธรรมเป็นของลึก และละเอียด และอันบุคคลเห็นโดยยาก และอันบุคคลตรัสรู้ตามโดยยาก สุขุม มีความแทงตลอดโดยยากว่า "อะไรหนอแล อย่างไรหนอแล" ดังนี้ จิตของพระองค์น้อมไปแล้ว เพื่อความเป็นผู้มีความขวนขวายน้อย หาน้อมไปเพื่อจะทรงแสดงธรรมไม่; ความน้อมไปนั้น มีความคิดถึงความแทงตลอดของสัตว์ทั้งหลายในพระหฤทัยอย่างเดียว ฉันนั้นเทียว.
อุปมาเหมือนพระราชผู้กษัตริย์มุรธาภิเษกแล้ว ทอดพระเนตรเห็นนายประตู และหมู่ทหาร และหมู่สัตว์ และชาวนิคม และราชภัฏ และอมาตย์ และราชกัญญา ผู้อาศัยพระองค์เป็นอยู่ทั้งหลาย มีความดำริในพระหฤทัยเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า "เราจักสงเคราะห์ชนทั้งหลายเหล่านี้อย่างไรหนอแล" ฉันใด;พระตถาคตทอดพระเนตรเห็นความที่ธรรมเป็นของลึก และละเอียด และบุคคลเห็นโดยยาก และอันบุคคลตรัสรู้ตามโดยยาก สุขุม มีความแทงตลอดโดยยาก และความที่สัตว์ทั้งหลายมีอาลัยเป็นที่มายินดี และความที่สักกายทิฏฐิเป็นของสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นถือมั่น, จึงทรงดำริว่า "จะกระทำอะไรหนอแล เราจักกระทำอย่างไรหนอแล" ดังนี้ จิตของพระองค์น้อมไปแล้ว เพื่อความเป็นผู้มีความขวนขวายน้อย หาน้อมไปเพื่อจะทรงแสดงธรรมไม่ ฉันนั้น; ความน้อมพระหฤทัยไปนั้น มีความคิดถึงความแทงตลอดของสัตว์ทั้งหลาย ในพระหฤทัยอย่างเดียว. เออก็ พระตถาคตทั้งหลายอันพรหมวิงวอนแล้วย่อมทรงแสดงธรรมอันใด ความที่พระตถาคตทั้งหลายอันพรหมวิงวอนแล้วทรงแสดงธรรมนั้น เป็นธรรมของพระตถาคตทั้งหลายทั้งปวง. ก็อะไรเป็นเหตุในข้อนั้น? โดยสมัยนั้น มนุษย์ทั้งหลายดาบสและปริพาชกทั้งหลาย สมณะและพราหมณ์ทั้งหลายเหล่าใดชนทั้งหลายเหล่านั้นทั้งปวง เป็นผู้มีพรหมเป็นเทพดาผู้หนักในพรหมเป็นผู้มีพรหมเป็นที่ถึงในเบื้องหน้า;โลกกับทั้งเทพดาจักนอบน้อม จักเชื่อถือ จักน้อมใจตามพระตถาคตเจ้า เพราะความนอบน้อมของพรหมนั้น ผู้มีกำลัง มียศ มีชื่อเสียงโด่งดัง ผู้เยี่ยม ผู้เลิศลอย เพราะเหตุนั้น พระตถาคตทั้งหลาย ต่อพรหมวิงวอนแล้วจึงทรงแสดงธรรม.
เปรียบเหมือนพระมหากษัตริย์ หรือราชมหาอมาตย์ผู้หนึ่ง ย่อมนอบน้อมทำความเคารพแก่บุคคลใด, ประชุมชนนอกนั้น ย่อมนอบน้อมกระทำความเคารพแก่บุคคลนั้น เพราะความนอบน้อมของพระมหากษัตริย์หรือราชมหาอมาตย์นั้น ผู้มีกำลังกว่า ฉันใด;โลกกับทั้งเทวดาจักนอบน้อมแด่พระตถาคตทั้งหลายผู้อันพรหมนอบน้อมแล้ว ฉันนั้นแล. พรหมอันชาวโลกบูชาแล้ว ๆ, เพราะฉะนั้น มหาพรหมนั้นจึงทูลวิงวอนพระตถาคตเจ้าทั้งปวงเพื่อแสดงธรรม, และพระตถาคตทั้งหลายอันพรหมทูลวิงวอนแล้ว จึงทรงแสดงธรรมเพราะเหตุนั้น ขอถวายพระพร."
ร. "ดีละ พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ปัญหาพระผู้เป็นเจ้าคลี่คลายขยายดีแล้ว เวยยากรณ์มีความเจริญนัก ข้อวิสัชนาปัญหานั้นสมอย่างนั้น, ข้าพเจ้ายอมรับรองอย่างนั้น."

๙. พุทธอาจริยานาจริยปัญหา ๒๙

พระราชาตรัสถามว่า "พระผู้เป็นเจ้านาคเสน แม้พระพุทธพจน์นี้ พระผู้มีพระภาคทรงภาสิตว่า 'อาจารย์ของเราตถาคตไม่มี บุคคลเช่นกับด้วยเราตถาคตไม่มี ในโลกกับทั้งเทพดา ไม่มีบุคคลเปรียบด้วยเราตถาคต' ดังนี้แล้ว. ภายหลังพระองค์ตรัสแล้วว่า 'ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาฬารดาบสกาลามโคตรเป็นอาจารย์ของเราตถาคต ตั้งเราผู้อันเตวาสิกให้เป็นผู้เสมอด้วยตน และบูชาเราด้วยบูชายิ่ง ด้วยประการดังนี้แล' ดังนี้.
พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ถ้าพระตถาคตตรัสว่า 'อาจารย์ของเราตถาคตไม่มี บุคคลเช่นกับด้วยเราตถาคตไม่มี' ดังนี้, ถ้าอย่างนั้น คำที่ว่า 'ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาฬารดาบสกาลามโคตรเป็นอาจารย์ของเราตั้งเราผู้อันเตวาสิกไว้ให้เป็นผู้เสมอด้วยตน และบูชาเราด้วยบูชายิ่งด้วยประการดังนี้แล' ดังนี้ นั้นเป็นผิด. ถ้าพระตถาคตตรัสแล้วว่า 'ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาฬารดาบสกาลามโคตรเป็นอาจารย์ของเรา ตั้งเราไว้ให้เป็นผู้เสมอด้วยตน และบูชาเราด้วยบูชายิ่ง ด้วยประการดังนี้แล' ดังนี้, ถ้าอย่างนั้น คำที่ว่า 'อาจารย์ของเราตถาคตไม่มี บุคคลเช่นกับด้วยเราตถาคตไม่มี'ดังนี้ แม้นั้นก็ผิด. ปัญหาแม้นี้สองเงื่อน มาถึงพระผู้เป็นเจ้าแล้ว พระผู้เป็นเจ้าพึงแก้ไขขยายออกให้แจ้งชัดเถิด."
พระเถรเจ้าทูลว่า "ขอถวายพระพร แม้พระพุทธพจน์นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงภาสิตว่า 'อาจารย์ของเราตถาคตไม่มี บุคคลเช่นกับด้วยเราตถาคตไม่มี ในโลกกับทั้งเทพดา ไม่มีบุคคลเปรียบด้วยเราตถาคต' ดังนี้แล้ว. ภายหลังตรัสว่า 'ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาฬารดาบสกาลามโคตรเป็นอาจารย์ของเรา ตั้งเราไว้ให้เป็นผู้เสมอด้วยตน และพจน์นั้น พระองค์ทรงหมายเอาความที่อาฬารดาบสกาลามโคตร เป็นอาจารย์ของพระองค์ เมื่อพระองค์ยังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ ยังไม่ได้ตรัสรู้แล้ว ในกาลก่อนแต่ความตรัสรู้เทียวตรัสแล้ว.
ขอถวายพระพร อาจารย์ทั้งหลายของพระโพธิสัตว์ เมื่อยังเป็นโพธิสัตว์อยู่ ยังมิได้ตรัสรู้ยิ่ง ในกาลก่อนแต่ความตรัสรู้เทียว ห้าคนเหล่านี้, พระโพธิสัตว์อันอาจารย์ทั้งหลายเหล่าไรเล่า สั่งสอนแล้วยังวันให้น้อมล่วงไปแล้วในสำนักของอาจารย์นั้น ๆ, อาจารย์ทั้งหลายห้า คือบุคคลไหนบ้าง?
ขอถวายพระพร พราหมณ์ทั้งหลายแปดเหล่าใดนั้น เมื่อพระโพธิสัตว์พอเกิดแล้วมารับลักษณะทั้งหลาย พราหมณ์ทั้งหลายแปดคือใครบ้าง? พราหมณ์ทั้งหลายแปด คือรามพราหมณ์หนึ่ง ธชพราหมณ์หนึ่ง ลักษณพราหมณ์หนึ่ง มันตีพราหมณ์หนึ่ง ยัญญพราหมณ์หนึ่ง สุยามพราหมณ์หนึ่ง สุโภชพราหมณ์หนึ่ง สุทัตตพราหมณ์หนึ่ง รวมเป็นแปดคน, พราหมณ์ทั้งหลายเหล่านั้นให้พระชนกทรงทราบความสวัสดีของพระโพธิสัตว์นั้นแล้ว ได้กระทำกรรมคือการรักษาแล้ว, ก็พราหมณ์ทั้งหลายเหล่านั้นเป็นอาจารย์ทีแรก.
คำที่จะพึงกล่าวยังมีอีก: พระเจ้าสุทโธทนะผู้พระชนกของพระโพธิสัตว์ ทรงนำพราหมณ์ชื่อ สรรพมิตร เป็นอภิชาติ เป็นผู้สูง มีชาติเป็นผู้กล่าวบท มีเวยยากรณ์ มีองค์หก เช้ามาแล้ว ทรงจับพระเต้าน้ำหล่อมอบถวายให้ศึกษาว่า 'ท่านจงยังกุมารนี้ให้ศึกษา,' สรรพมิตรพราหมณ์นี้ เป็นอาจารย์ที่สอง.
คำที่จะพึงกล่าวยังมีอีก: เทพดาใดนั้นยังพระโพธิสัตว์ให้สังเวช, พระโพธิสัตว์ทรงสดับคำของเทพดาใดแล้ว จึงสังเวชแล้ว หวาดแล้วเสด็จออกแล้ว บรรพชาแล้ว ในขณะนั้นนั่นเทียว, เทพดานี้เป็นอาจารย์ที่สาม.
คำที่จะพึงกล่าวยังมีอีก: อาฬารดาบสกาลามโคตรนี้ เป็นอาจารย์ที่สี่.
คำที่จะพึงกล่าวยังมีอีก: อุททกดาบสรามบุตรนี้ เป็นอาจารย์คำรบห้า.
อาจารย์ทั้งหลายของพระโพธิสัตว์ เมื่อยังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ยังมิได้ตรัสรู้ ในกาลก่อนแต่ความตรัสรู้ทีเดียว ห้าพวกเหล่านี้แล.
ก็แต่ว่า อาจารย์ทั้งหลายเหล่านั้น เป็นอาจารย์ในธรรมเป็นโลกิยะ. ก็แหละอาจารย์ผู้สั่งสอน เพื่อจะแทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณ ในธรรมเป็นโลกุตตระนี้ ไม่มีใครยิ่งกว่า ของพระตถาคตไม่มี.
ขอถวายพระพร พระตถาคตเป็นสยัมภูไม่มีอาจารย์, เพราะเหตุนั้น พระตถาคตตรัสแล้วว่า 'อาจารย์ของเราตถาคตไม่มี บุคคลเช่นกับด้วยเราไม่มี ในโลกกับทั้งเทพดา ไม่มีบุคคลเปรียบด้วยเรา ดังนี้."
ร. "ดีละ พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ข้อวิสัชนาปัญหานั้นสม
อย่างนั้น, ข้าพเจ้ายอมรับรองอย่างนั้น."

๑๐. อัคคานัคคสมณปัญหา ๓๐

พระราชาตรัสถามว่า "พระผู้เป็นเจ้านาคเสน พระผู้มีพระภาคเจ้าแม้ทรงภาสิต พระพุทธพจน์นี้ว่า 'บรรพชิตชื่อเป็นสมณะ เพราะความที่อาสวะทั้งหลายสิ้นไป' ดังนี้. แล้วตรัสอีกว่า 'บัณฑิตทั้งหลายกล่าวนระผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยธรรมทั้งหลายสี่นั้นว่า เป็นสมณะแท้ในโลก' ดังนี้ ในคำนั้น ธรรมทั้งหลายสี่เหล่านี้ คือ ขันติ ความอดทน อัปปาหารตา ความเป็นผู้มีอาหารน้อย คือ มักน้อย รติวิปปหาน ความละความยินดีเสีย อากิญจัญญะ ความเป็นผู้ไม่มีความกังวล. คุณธรรมทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ ย่อมมีแก่บุคคลผู้ยังไม่สิ้นอาสวะแล้ว ยังมีกิเลสนั่นเทียว. ถ้าบรรพชิตชื่อว่าเป็นสมณะ เพราะความที่อาสวะทั้งหลายสิ้นไป, ถ้าอย่างนั้น คำที่ว่า 'บัณฑิตทั้งหลายกล่าวนระผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยธรรมทั้งหลายสี่นั้น ว่าเป็นสมณะแท้ในโลก' ดังนี้ นั้นเป็นผิด. ถ้าว่าบรรพชิตผู้มีความพร้อมเพรียง ด้วยธรรมทั้งหลายสี่ ชื่อว่าเป็นสมณะ, ถ้าอย่างนั้น คำที่ว่า 'บรรพชิตชื่อเป็นสมณะ เพราะความที่อาสวะทั้งหลายสิ้นไป' ดังนี้ แม้นั้นก็เป็นผิด. ปัญหาแม้นี้สองเงื่อน มาถึงพระผู้เป็นเจ้าแล้ว พระผู้เป็นเจ้าพึงขยายให้แจ้งชัดเถิด."
พระเถรเจ้าทูลว่า "ขอถวายพระพร พระผู้มีพระภาคเจ้าแม้ทรงภาสิตพระพุทธพจน์นี้แล้วว่า 'บรรพชิตชื่อว่าเป็นสมณะ เพราะความที่อาสวะทั้งหลายสิ้นไป' ดังนี้. และตรัสแล้วว่า 'บัณฑิตทั้งหลายกล่าวนระผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยธรรมทั้งหลายสี่นั้น ว่าเป็นสมณะแท้ในโลก.' พระพุทธพจน์ว่า 'บัณฑิตทั้งหลายกล่าวนระผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยธรรมทั้งหลายสี่นั้น ว่าเป็นสมณะ' นี้นั้น พระองค์ตรัสแล้วด้วยอำนาจแห่งคุณของบุคคลทั้งหลายเหล่านั้น ๆ. ส่วนคำที่ว่า 'บรรพชิตชื่อเป็นสมณะ เพราะความที่อาสวะทั้งหลายสิ้นไป ดังนี้ ๆ เป็นคำกล่าวไม่มีส่วนเหลือ กล่าวส่วนสุด. เออก็ บุคคลทั้งหลายเหล่าใดเหล่าหนึ่ง เป็นผู้ปฏิบัติแล้วเพื่อความเข้าไประงับกิเลส พระองค์ทรงคัดสรรบุคคลผู้ปฏิบัติทั้งหลายทั้วปวงเหล่านั้น ตรัสสมณะผู้สิ้นอาสวะแล้วว่าเป็นยอด. อุปมาเหมือนดอกไม้ที่เกิดในน้ำและเกิดบนบกทั้งหลายเหล่าใดเหล่าหนึ่ง มหาชนย่อมกล่าวดอกมะลิว่าเป็นยอดแห่งดอกไม้ทั้งหลายเหล่านั้น, บุบผชาติทั้งหลายต่าง ๆ เหล่าใดเหล่าหนึ่งเหลือนั้น ท่านคัดสรรดอกไม้ทั้งหลายเหล่านั้น ดอกมะลิอย่างเดียวเป็นที่ปรารถนาเป็นที่รักของมหาชน ฉันใด; บุคคลทั้งหลายเหล่าใดเหล่าหนึ่ง เป็นผู้ปฏิบัติแล้วเพื่อความเข้าไประงับกิเลส ย่อมกล่าวสมณะผู้สิ้นอาสวะแล้วว่าเป็นยอด ฉันนั้นนั่นเทียว.
อีกนัยหนึ่ง โลกย่อมกล่าวว่าข้าวสาลีเป็นยอดแห่งข้าวเปลือกทั้งหลายทั้งปวง, ธัญญชาติทั้งหลายต่าง ๆ เหล่าใดเหล่าหนึ่ง อาศัยธัญญชาติทั้งหลายเหล่านั้นเป็นโภชนะเพื่อยังสรีระให้เป็นไป โลกย่อมกล่าวข้าวสาลีอย่างเดียว ว่าเป็นยอดแห่งธัญญชาติทั้งหลายเหล่านั้นฉันใด; บุคคลทั้งหลายผู้ปฏิบัติแล้ว เพื่อความเข้าไประงับกิเลส บัณฑิตทั้งหลายคัดสรรบุคคลผู้ปฏิบัติทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้น กล่าวสมณะผู้สิ้นอาสวะแล้วว่าเป็นยอด ฉันนั้นนั่นเทียวแล."
ร. "ดีละ พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ข้อวิสัชนาปัญหาของพระผู้เป็นเจ้านั้นสมอย่างนั้น, ข้าพเจ้ายอมรับรองอย่างนั้น."


วรรคที่สี่
๑. วัณณภณนปัญหา ๓๑

พระราชาตรัสถามว่า "พระผู้เป็นเจ้านาคเสน พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้ทรงภาสิตพระพุทธพจน์นี้ว่า 'ภิกษุทั้งหลาย ถ้าบุคคลทั้งหลายอื่น พึงกล่าวสรรเสริญคุณของเราผู้ตถาคต หรือกล่าวสรรเสริญคุณแห่งพระธรรมแห่งพระสงฆ์ก็ดี, ท่านทั้งหลายไม่ควรจะกระทำความเพลิดเพลิน ไม่ควรจะกระทำโสมนัสดีใจ ไม่ควรจะกระทำความเหิมจิต ในการที่บุคคลทั้งหลายกล่าวสรรเสริญคุณนั้น'ดังนี้. อนึ่ง พระตถาคตเมื่อพราหมณ์ชื่อเสละ กล่าวสรรเสริญคุณตามเป็นจริงแล้วอย่างไร พระองค์มีความเพลิดเพลินและดีพระหฤทัย เหิมพระหฤทัยยิ่ง ตรัสระบุคุณของพระองค์ยิ่งขึ้นไปแก่เสละ
พราหมณ์นั้นว่า 'ดูก่อนเสละ เราผู้ตถาคตเป็นพระราชา เป็นพระราชาโดยธรรม ไม่มีใครจะยิ่งกว่า เราผู้ตถาคตยังจักรโดยธรรมให้เป็นไป จักรอันใคร ๆ พึงให้เป็นไปเทียมไม่ได้' ดังนี้. พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วว่า 'ภิกษุทั้งหลาย ถ้าบุคคลทั้งหลายอื่น กล่าวสรรเสริญคุณของเราผู้ตถาคต หรือกล่าวสรรเสริญคุณของพระธรรม ของพระสงฆ์ก็ดี, ท่านทั้งหลายไม่ควรจะกระทำความเพลิดเพลิน ไม่ควร 'จะกระทำความโสมนัสดีใจ ไม่ควรจะกระทำความเหิมจิต ในการที่บุคคลทั้งหลายกล่าวสรรเสริญคุณนั้น' ดังนี้, ถ้าอย่างนั้น คำที่ว่า 'เมื่อเสละพราหมณ์กล่าวสรรเสริญพระคุณตามเป็นจริงอย่างไร พระองค์มีความเพลิดเพลินแล้ว ดีพระหฤทัย เหิมพระหฤทัย ตรัสระบุคุณของพระองค์แก่เสละพราหมณ์นั้น' ดังนี้ นั้นเป็นผิด. ถ้าว่า เมื่อเสละพราหมณ์กล่าวสรรเสริญพระคุณตามเป็นจริงอย่างไร พระองค์มีความเพลิดเพลินแล้ว ดีพระหฤทัย เหิมพระหฤทัย ตรัสระบุคุณของพระองค์แก่เสละพราหมณ์นั้นยิ่งขึ้นไป,' ถ้าอย่างนั้น คำที่ว่า 'ภิกษุทั้งหลายถ้าบุคคลทั้งหลายอื่น กล่าวสรรเสริญคุณของเราผู้ตถาคต หรือกล่าวสรรเสริญคุณของพระธรรมพระสงฆ์ก็ดี, ท่านทั้งหลายไม่ควรจะกระทำความเพลิดเพลิน ไม่ควรจะกระทำความโสมนัส ไม่ควรจะกระทำความเหิมจิต ในการที่บุคคลทั้งหลายกล่าวสรรเสริญคุณนั้น' ดังนี้ แม้นั้นก็ผิด. ปัญหาแม้นี้สองเงื่อน มาถึงพระผู้เป็นเจ้าแล้ว, พระผู้เป็นเจ้าพึงแก้ไขขยายออกให้แจ้งชัดเถิด."
พระเถรเจ้าทูลว่า "ขอถวายพระพร พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้ทรงภาสิตพระพุทธพจน์นี้แล้วว่า 'ภิกษุทั้งหลาย บุคคลทั้งหลายอื่น กล่าวสรรเสริญของเราผู้ตถาคต หรือกล่าวสรรเสริญคุณของพระธรรมพระสงฆ์ก็ดี, ท่านทั้งหลายไม่ควรจะกระทำความเพลิดเพลิน ไม่ควรจะกระทำความโสมนัส ไม่ควรจะกระทำความเหิมจิต ในการที่บุคคลทั้งหลายกล่าวสรรเสริญคุณนั้น' ดังนี้. อนึ่ง เมื่อเสละพราหมณ์กล่าวสรรเสริญพระคุณตามเป็นจริงอย่างไร พระองค์มีความเพลิดเพลินแล้ว ดีพระหฤทัย เหิมพระหฤทัย ตรัสระบุคุณของพระองค์แก่เสละพราหมณ์นั้นยิ่งขึ้นไปว่า 'ดูก่อนเสละ เราเป็นพระราชา เป็นพระราชาโดยธรรม ไม่มีใครยิ่งกว่า เรายังจักรโดยธรรมให้เป็นไป จักรอันใคร ๆ พึงให้เป็นไปเทียมไม่ได้' ดังนี้ จริง. พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงแสดงลักษณะแห่งความเป็นเองทั้งรสแห่งธรรม ความเป็นเองเป็นของไม่ผิด เป็นของจริงของแท้ ความเป็นอย่างนั้นของพระธรรมก่อน จึงตรัสว่า 'ภิกษุทั้งหลาย บุคคลทั้งหลายอื่น กล่าวสรรเสริญคุณของเราผู้ตถาคต หรือกล่าวสรรเสริญคุณของพระธรรมพระสงฆ์ก็ดี, ท่านทั้งหลายไม่ควรจะกระทำความเพลิดเพลิน ไม่ควรจะกระทำความโสมนัส ไม่ควรจะกระทำความเหิมจิต ในการที่บุคคลทั้งหลายกล่าวสรรเสริญคุณนั้น ดังนี้. ก็แต่ว่า พระพุทธพจน์ใด เมื่อเสละพราหมณ์กล่าวสรรเสริญพระคุณตามความเป็นจริงแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าซ้ำตรัสระบุพระคุณพระองค์ แก่เสละพราหมณ์นั้นยิ่งขึ้นไปว่า 'ดูก่อนเสละ เราเป้นพระราชา เป็นพระราชาโดยธรรม ไม่มีใครจะยิ่งกว่า' ดังนี้, พระพุทธพจน์นั้น พระองค์จะได้ตรัสแล้วเพราะเหตุแห่งลาภก็หาไม่ จะได้ตรัสแล้วเพราะเหตุแห่งยศก็หาไม่ จะได้ตรัสแล้วเพราะเหตุแห่งฝักฝ่ายก็หาไม่ จะได้ตรัสแล้วโดยความเป็นผู้ใคร่อันเตวาสิกก็หาไม่พระพุทธพจน์นั้น พระองค์ตรัสแล้วด้วยความไหวตาม ด้วยความกรุณา ด้วยอำนาจแห่งประโยชน์เกื้อกูลว่า 'ความตรัสรู้ธรรมจักมีแก่เสละพราหมณ์นี้ด้วย แก่มาณพทั้งหลายสามร้อยด้วย โดยอุบายอย่างนี้' ดังนี้ โดยแท้แล, เพราะเหตุนั้น พระองค์จึงตรัสสรรเสริญคุณของพระองค์ยิ่งขึ้นไปอย่างนี้ว่า 'ดูก่อนเสละ เราเป็นพระราชา เป็นพระราชาโดยธรรม ไม่มีใครจะยิ่งกว่า ดังนี้."
ร. "ดีละ พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ข้อวิสัชนาปัญหานั้นสม
อย่างนั้น, ข้าพเจ้ายอมรับรองอย่างนั้น."

๒. อหึสานิคคหปัญหา ๓๒

พระราชาตรัสถามว่า "พระผู้เป็นเจ้านาคเสน พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้ทรงภาสิตพระพุทธพจน์นี้แล้วว่า 'ท่านผู้นับถือพระรัตนตรัยว่าของเรา เมื่อไม่เบียดเบียนสัตว์อื่น จักเป็นที่รักในโลก' ดังนี้. และตรัสอีกว่า 'เราตถาคตพึงข่มสภาพที่ควรข่ม พึงยกย่องสภาพที่ควรยกย่อง' ดังนี้. พระผู้เป็นเจ้านาคเสน การตัดมือเสีย ตัดเท้าเสีย ฆ่าเสีย ขังเสียให้กระทำกรรมกรณ์เสีย ให้ตายเสีย กระทำสันตติให้กำเริบ ชื่อความข่ม. คำนั้นไม่ควรแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า, พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ไม่ควรเพื่อจะตรัสคำนั้น. พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วว่า 'ท่านผู้นับถือพระรัตนตรัย เมื่อไม่เบียดเบียนสัตว์อื่น จักเป็นที่รักในโลก' ดังนี้, ถ้าอย่างนั้น คำที่ว่า 'เราผู้ตถาคตพึงข่มสภาพที่ควรข่ม พึงยกย่องสภาพควรยกย่อง' ดังนี้ นั้นเป็นผิด. ถ้าว่าพระตถาคตตรัสแล้วว่า 'เราผู้ตถาคตพึงข่มสภาพซึ่งควรข่ม พึงยกย่องสภาพซึ่งควรยกย่อง' ดังนี้, ถ้าอย่างนั้น คำที่ว่า 'ท่านผู้นับถือพระรัตนตรัย เมื่อไม่เบียดเบียนสัตว์อื่น จักเป็นที่รักในโลก' ดังนี้, ถ้าอย่างนั้น คำที่ว่า 'เราผู้ตถาคตพึงข่มสภาพที่ควรข่ม พึงยกย่องสภาพควรยกย่อง' ดังนี้ นั้นเป็นผิด. ถ้าว่าพระตถาคตตรัสแล้วว่า 'เราผู้ตถาคตพึงข่มสภาพซึ่งควรข่ม พึงยกย่องสภาพซึ่งควรยกย่อง' ดังนี้, ถ้าอย่างนั้น คำที่ว่า 'ท่านผู้นับถือพระรัตนตรัย เมื่อไม่เบียดเบียนสัตว์อื่น จักเป็นที่รักในโลก' แม้นั้นก็ผิด. ปัญหาแม้นี้สองเงื่อน มาถึงพระผู้เป็นเจ้าแล้ว, พระผู้เป็นเจ้าพึงขยายให้แจ้งชัดเถิด."
พระเถรเจ้าทูลว่า "ขอถวายพระพร พระผู้มีพระภาคเจ้าแม้ทรงภาสตพระพุทธพจน์นี้แล้วว่า 'ท่านผู้นับถือพระรัตนตรัย เมื่อไม่เบียดเบียนสัตว์อื่น จักเป็นที่รักใคร่ในโลก' ดังนี้, ตรัสแล้วว่า 'เราผู้ตถาคตพึงข่มสภาพซึ่งควรข่ม พึงยกย่องสภาพซึ่งควรยกย่อง' ดังนี้ด้วย. พระพุทธพจน์นี้ว่า 'ท่านผู้นับถือพระรัตนตรัย เมื่อไม่เบียดเบียนสัตว์อื่นจักเป็นที่รักในโลก' ดังนี้ นั่นเป็นอนุมัติของพระตถาคตทั้งหลายทั้งปวง: พระวาจานั้นเป็นเครื่องพร่ำสอน พระวาจานั้นเป็นเครื่องแสดงธรรมของพระตถาคตทั้งหลายทั้งปวง, เพราะว่าธรรมมีความไม่เบียดเบียนเป็นลักษณะ, พระพุทธพจน์นั้นเป็นเครื่องกล่าวความเป็นเอง ก็เพราะพระตถาคตตรัสพระวาจาใดแล้วว่า 'เราผู้ตถาคตพึงข่มสภาพซึ่งควรข่มพึงยกย่องสภาพซึ่งควรยกย่อง' ดังนี้ พระวาจานั้นเป็นเครื่องตรัส.
ขอถวายพระพร จิตที่ฟุ้งซ่านแล้วควรข่ม, จิตที่หดหู่ควรประคองไว้; จิตเป็นอกุศลควรข่ม, จิตเป็นกุศลควรยกย่อง: ความกระทำในใจโดยไม่แยบคายควรข่ม, ความกระทำในใจโดยแยบคายควรยกย่อง: บุคคลผู้ปฏิบัติผิดแล้วควรข่ม, บุคคลผู้ปฏิบัติชอบแล้วควรยกย่อง; บุคคลไม่ใช่อริยะควรข่ม, บุคคลที่เป็นอริยะควรยกย่อง; โจรควรข่ม, บุคคลที่ไม่เป็นโจรควรยกย่อง."
ร. "พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ข้อนั้นจงยกไว้, บัดนี้พระผู้เป็นเจ้ากลับมาสู่วิสัยของข้าพเจ้าแล้ว, ข้าพเจ้าถามเนื้อความใด เนื้อความนั้นเข้าถึงแก่ข้าพเจ้าแล้ว; พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ก็โจรอันใคร ๆ เมื่อจะข่มควรข่มอย่างไร?"
ถ. "ขอถวายพระพร โจรใคร ๆ เมื่อจะข่มพึงข่มอย่างนี้;โจรที่ควรจะขู่ อันบุคคลผู้ข่มพึงขู่, โจรควรจะปรับสินไหมพึงปรับไหม, โจรควรจะขับไล่ พึงขับไล่เสีย, โจรซึ่งควรจะจำไว้พึงจำไว้, โจรซึ่งควรจะฆ่าพึงฆ่าเสีย."
ร. "พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ก็ความฆ่าโจรทั้งหลายอันใด ความฆ่านั้นเป็นอนุมัติของพระตถาคตทั้งหลายด้วยหรือ?"
ถ. "หาไม่ ขอถวายพระพร."
ร. "พระผู้เป็นเจ้านาคเสน โจรซึ่งควรจะบังคับควรจะสั่งเป็นอนุมัติของพระตถาคตทั้งหลายด้วย เพื่อเหตุไรเล่า?"
ถ. "ขอถวายพระพร โจรใดนั้นอันราชบุรุษทั้งหลายฆ่าอยู่โจรนั้นอันราชบุรุษทั้งหลายจะฆ่า โดยอนุมัติของพระตถาคตทั้งหลายก็หาไม่, โจรนั้นราชบุรุษทั้งหลายฆ่าเสีย เพราะโทษผิดที่โจรกระทำแล้วเอง, เออก็ พระตถาคตพร่ำสอน ๆ โดยธรรม, ก็ราชบุรุษทั้งหลายอาจเพื่อจะจับบุรุษมิได้กระทำความผิด ไม่มีความผิด เที่ยวอยู่ที่ถนนฆ่าเสียให้ตายโดยอนุมัติหรือ?"
ร. "หาไม่ พระผู้เป็นเจ้า.
ถ. "เพราะเหตุไร ขอถวายพระพร?"
ร. "เพราะความที่บุรุษนั้น มิได้กระทำความผิดนะซิ พระผู้เป็นเจ้า."
ถ. "ขอถวายพระพร โจรอันราชบุรุษทั้งหลายฆ่าเสีย ตามอนุมัติของพระตถาคตทั้งหลาย หามิได้, โจรนั้นอันราชบุรุษทั้งหลายฆ่าเสียเพราะโทษผิดที่โจรกระทำเอง อย่างนี้นั่นเทียว, ก็ผู้บังคับจะต้องโทษอันหนึ่งเพราะความบังคับนั้นหรือ?"
ร. "หาไม่ พระผู้เป็นเจ้า."
ถ. "ขอถวายพระพร ถ้าอย่างนั้น ความพร่ำสอนของพระตถาคตทั้งหลาย ย่อมเป็นความพร่ำสอนโดยชอบ."
ร. "ดีละ พระผู้เป็นเจ้า ข้อวิสัชนาปัญหานั้นสมอย่างนั้น, ข้าพเจ้ายอมรับรองอย่างนั้น."

๓. ภิกขุปณามปัญหา ๓๓

พระราชาตรัสถามว่า "พระผู้เป็นเจ้านาคเสน พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงภาสิตแล้ว แม้ซึ่งพระพุทธพจน์นี้ว่า 'เราตถาคตไม่มีความโกรธ เป็นผู้ปราศจากโทสะดังตะปูตรึงจิตแล้ว,' ภายหลังพระตถาคตทรงประณามพระเถระสารีบุตร และพระเถระโมคคัลลานะทั้งหลายกับทั้งบริษัท. พระผู้เป็นเจ้านาคเสน พระตถาคตโกรธแล้วจึงประณามบริษัทหรือ หรือว่าพระตถาคตทรงยินดีแล้ว
ประณามบริษัท; พระผู้เป็นเจ้าจงรู้เหตุนั้นก่อนว่า 'เหตุนี้ชื่อนี้.' ถ้าพระตถาคตโกรธแล้วประณามบริษัท, ถ้าอย่างนั้น ความโกรธของพระตถาคตยังไม่เป็นไปล่วงได้แล้ว. ถ้าว่าพระตถาคตทรงยินดีแล้วประณาม, ถ้าอย่างนั้นพระตถาคตเจ้าไม่รู้ประณามแล้ว เพราะเหตุไม่ใช่วัตถุ. ปัญหาแม้นี้สองเงื่อน มาถึงพระผู้เป็นเจ้าแล้ว พระผู้เป็นเจ้าพึงขยายให้แจ้งเถิด."
พระเถรเจ้าทูลว่า "ขอถวายพระพร พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้ได้ภาสิตแล้วซึ่งพระพุทธพจน์นี้ว่า 'เราตถาคตไม่มีความโกรธ เป็นผู้ปราศจากโทสะดังตะปูตรึงจิตแล้ว.' อนึ่งพระองค์ทรงประณามพระเถระสารีบุตรและพระเถระโมคคัลลานะทั้งหลายกับทั้งบริษัท. ก็แหละการประณามนั้นจะทรงประณามด้วยความโกรธก็หาไม่.
ขอถวายพระพร บุรุษในโลกนี้ บางคนพลาดล้มลงที่รากไม้หรือที่ตอ หรือที่ศิลา หรือที่กระเบื้อง หรือที่ภาคพื้นอันไม่เรียบ หรือที่เปือกตมในแผ่นดินใหญ่, เออก็ แผ่นดินใหญ่โกรธแล้วจึงให้บุรุษนั้นล้มลงหรือ?"
ร. "หามิได้ ความโกรธหรือความเลื่อมใสของแผ่นดินใหญ่ไม่มี, แผ่นดินใหญ่พ้นแล้วจากความเอ็นดูและขึ้งเคียด, บุรุษนั้นพลาดล้มแล้วเองนั่นเทียว."
ถ. "ขอถวายพระพร ความโกรธหรือความเลื่อมใส ย่อมไม่มีแด่พระตถาคตทั้งหลาย, พระตถาคตองค์อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายพ้นแล้วจากความเอ็นดูและขึ้งเคียด, พระเถระทั้งหลายเหล่านั้น พระองค์ทรงประณามขับไล่แล้ว เพราะความผิดของตนที่ตนกระทำแล้วเองทีเดียวโดยแท้แลฉันนั้น. อุปมาเหมือนบุคคลที่พลาดจากแผ่นดินล้มลง ฉันใด, บุคคลที่พลาดแล้วในพระศาสนาอันประเสริฐของพระพุทธเจ้าผู้ชนะแล้ว พระองค์ทรงประณามเสีย ฉันนั้น; อนึ่ง ซากศพที่ตายแล้วในมหาสมุทร ๆ ย่อมซัดขึ้น ฉันใด, บุคคลพลาดแล้วในพระศาสนาอันประเสริฐของพระพุทธเจ้าผู้ชนะแล้ว พระองค์ทรงประณามเสีย ฉันนั้น.
ขอถวายพระพร พระตถาคตทรงประณามพระเถระทั้งหลายเหล่านั้นเพราะเหตุไร พระองค์ใคร่ประโยชน์ ใคร่ความเกื้อกูล ใคร่ความสุขใคร่ความหมดจดพิเศษแก่พระเถระทั้งหลายเหล่านั้นว่า 'ภิกษุทั้งหลายเหล่านี้ จักพ้นจากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ และความตาย ด้วยอุบายอย่างนี้' จึงทรงประณามขับไล่เสีย."
ร. "ดีละ พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ข้อวิสัชนาปัญหานั้นสม
อย่างนั้น, ข้าพเจ้ายอมรับรองอย่างนั้น."

๔. สัพพัญญูสยปณามปัญหา ๓๔

พระราชาตรัสถามว่า "พระผู้เป็นเจ้านาคเสน พระผู้เป็นเจ้ากล่าวอยู่ว่า 'พระตถาคตเป็นสัพพัญญู' ดังนี้. และกล่าวอีกว่า 'เมื่อภิกษุสงฆ์มีพระเถระชื่อ สารีบุตร และโมคคัลลานะเป็นประธาน อันพระตถาคตประณามแล้ว ศากยราชผู้อยู่ในเมืองชื่อจาตุมนครด้วย สหัมบดีพรหมด้วย แสดงพีชูปมาเปรียบด้วยพืชอ่อน และวัจฉตรณูปมา เปรียบด้วยลูกโครุ่น ให้พระผู้มีพระภาคเลื่อมใสแล้ว ให้ยกโทษแล้วให้สงบแล้ว' ดังนี้. พระผู้เป็นเจ้านาคเสน พระตถาคตงดโทษแล้ว อดโทษแล้ว เข้าไประงับแล้ว สงบแล้ว ด้วยอุปมาทั้งหลายเหล่าใดอุปมาทั้งหลายเหล่านั้น อันพระตถาคตทรงทราบแล้วหรือหนอแล? พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ถ้าว่าอุปมาทั้งหลายเหล่านั้น อันพระตถาคตไม่ทรงทราบแล้ว, ถ้าอย่างนั้น พระพุทธเจ้าไม่ใช่สัพพัญญู. ถ้าว่าอุปมาเหล่านั้น อันพระตถาคตทรงทราบแล้ว, ถ้าอย่างนั้น พระตถาคตข่มเหงเพ่งความทดลอง ทรงประมาณแล้ว, ถ้าอย่างนั้น ความไม่มีความกรุณา ย่อมเกิดพร้อมแด่พระตถาคตแล้ว. ปัญหาแม้นี้สองเงื่อน มาถึงพระผู้เป็นเจ้าแล้ว, ปัญหานั้นพระผู้เป็นเจ้าพึงขยายให้แจ้งชัดเถิด."
พระเถรเจ้าทูลว่า "ขอถวายพระพร พระตถาคตเป็นสัพพัญญู, และพระผู้มีพระภาคเลื่อมใสแล้ว งดโทษแล้ว อดโทษแล้ว เข้าไประงับแล้ว สงบแล้ว ด้วยอุปมาทั้งหลายเหล่านั้น. พระตถาคตเป็นธรรมสามี, ศากยราชทั้งหลายชาวจาตุมนคร และสหัมบดีพรหมอาราธนาพระตถาคต ให้พระตถาคตทรงยินดีแล้ว ให้เลื่อมใสแล้วด้วยข้ออุปมาทั้งหลายที่พระตถาคตทรงทราบแจ้งชัดแล้วทีเดียว' อนึ่ง พระตถาคตทรงเลื่อมใสแล้ว อนุโมทนายิ่งแล้วว่า สาธุ แก่ศากยราชชาวจาตุมนคร และสหัมบดีพรหมเหล่านั้น.
เหมือนสตรีเชิญสามี ให้สามียินดีเลื่อมใสด้วยทรัพย์เป็นของ ๆ สามีนั่นเทียว, และสามีก็บันเทิงตามยิ่งแล้วซึ่งทรัพย์นั้นฉันใด; ศากยราชชาว จาตุมนครและสหัมบดีพรหม อาราธนาพระตถาคต เชิญพระตถาคตให้ทรงยินดีแล้ว ให้เลื่อมใสแล้ว ด้วยข้ออุปมาทั้งหลายที่พระตถาคตทรงทราบแล้วทีเดียว, และพระตถาคตเลื่อมใสแล้ว ทรงอนุโมทนาแก่ศากยราชชาวจาตุมานครและสหัมบดีพรหมยิ่งแล้ว ด้วยพระพุทธพจน์ว่า สาธุ ฉันนั้นนั่นเทียวแล.
อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนช่างกัลบกประดับพระเศียรของพระมหากษัตริย์ ด้วยสุพรรณอลงกรณ์ของพระมหากษัตริย์นั่นเอง อัญเชิญพระมหากษัตริย์ให้ทรงยินดีเลื่อมใส, และพระมหากษัตริย์เลื่อมใสแล้ว ทรงบันเทิงว่า สาธุ แล้วจึงพระราชทานรางวัลแก่ช่างกัลบกนั้นตามความปรารถนา ฉันใด; ศากยราชชาวจาตุมนครและสหัมบดีพรหมอาราธนาพระตถาคต เชิญพระตถาคตให้ยินดียิ่งแล้ว ให้เลื่อมใสแล้วด้วยข้ออุปมาทั้งหลายที่พระตถาคตทรงทราบแล้วทีเดียว, และพระตถาคตเลื่อมใสแล้ว ทรงอนุโมทนาแก่ศากยราช
ชาวจาตุมนคร และสหัมบดีพรหมยิ่งแล้ว ด้วยพระพุทธพจน์ว่า สาธุ ฉันนั้นนั่นเทียวแล.
อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนสัทธิวิหาริก ถือเอาบิณฑบาตที่อุปัธยายนำมาแล้ว น้อมเข้าไปถวายอุปัธยาย อาราธนาอุปัธยาย ยังอุปัธยายให้ยินดีให้เลื่อมใส อุปัธยายเลื่อมใสแล้ว อนุโมทนากะสัทธิวิหาริกนั้นว่า สาธุ ดังนี้ ฉันใด; ศากยราชชาวจาตุมนครและสหัมบดีพรหม อาราธนาพระตถาคต เชิญพระตถาคตให้ทรงยินดีแล้ว ให้เลื่อมใสแล้ว ด้วยข้ออุปมาทั้งหลายที่พระตถาคตทรงทราบแล้วทีเดียว, และพระตถาคตเลื่อมใสแล้ว อนุโมทนาแล้วว่า สาธุ ดังนี้ ทรงแสดงธรรมแก่ศากยราชชาวเมืองจาตุมนคร และสหัมบดีพรหมทั้งหลายเหล่านั้น เพื่อความพ้นจากทุกข์ทั้งปวง ฉันนั้นนั่นเทียวแล."
ร. "ดีละ พระผู้เป็นเจ้านาคเสน ข้อวิสัชนาปัญหานั้นสม
อย่างนั้น, ข้าพเจ้ายอมรับรองอย่างนั้น."





เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Bing [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO