นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน เสาร์ 11 พ.ค. 2024 6:57 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: เรื่องราว
โพสต์โพสต์แล้ว: จันทร์ 16 ก.ค. 2012 8:06 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4555
//page24//
เทวมันติยอมาตย์กราบทูลรับว่า "พระพุทธเจ้าข้า องค์นั้นแหละ พระ
นาคเสน, พระองค์ทรงรู้จักท่านถูกแล้ว." พระเจ้ามิลินท์ทรงยินดีว่า "พระองค์
ทรงรู้จักท่านถูกแล้ว." พระเจ้ามิลินท์ทรงยินดีว่า "พระองค์ทรงรู้จักพระนาค
เสนเอง ไม่ต้องทูล." พอทรงรู้จักพระนาคเสนแล้ว ก็ทรงกลัวครั่นคร้ามสยด
สยองยิ่งขึ้นกว่าเก่าเป็นอันมาก.
พาหิรกถาเรื่องนอกปัญหา จบ

มิลินทปัญหา
วรรคที่หนึ่ง
๑. นามปัญหา ๑

ลำดับนั้น พระเจ้ามิลินท์ เสด็จเข้าไปใกล้พระนาคเสนเถรเจ้าแล้ว ทรง
ทำพระราชปฏิสันถารกับพระเถรเจ้า ด้วยพระวาจาปราศรัยควรเป็นที่ตั้งแห่ง
ความยินดี และควรเป็นที่ให้ระลึก
อยู่ในใจเสร็จแล้ว เสด็จประทับส่วนข้างหนึ่ง. แม้พระเถรเจ้าก็ทำปฏิสันถาร
ด้วยวาจาปราศรัย อัน
เป็นเครื่องทำพระหฤทัยของพระเจ้ามิลินท์ ให้ยินดีเหมือนกัน.
ครั้นแล้ว พระเจ้ามิลินท์ ตรัสถามพระเถรเจ้าว่า "ชนทั้งหลายเขารู้จัก
พระผู้เป็นเจ้าว่าอย่าง
ไร, พระผู้เป็นเจ้ามีนามว่าอย่างไร."
พระเถรเจ้าทูลตอบว่า "ชนทั้งหลายเขารู้จักอาตมภาพว่า 'นาคเสน,'
ถึงเพื่อนสพรหมจารี
ทั้งหลาย ก็เรียกอาตมภาพว่า 'นาคเสน,' แต่โยมตั้งชื่อว่า 'นาคเสน'
บ้าง ว่า 'สูรเสน' บ้าง ว่า
'วีรเสน' บ้าง ว่า 'สีหเสน' บ้าง, ก็แต่คำว่า 'นาคเสน' นี้ เป็นแต่เพียงชื่อที่นับ
กัน ที่รู้กัน ที่ตั้งกัน ที่
เรียกัน เท่านั้น, ไม่มีตัวบุคคลที่จะค้นหาได้ในชื่อนั้น."
ขณะนั้น พระเจ้ามิลินท์ตรัสประกาศว่า "ขอพวกโยนกอมาตย์
ห้าร้อย และภิกษุสงฆ์
แปดหมื่น จงฟังคำข้าพเจ้า, พระนาคเสนองค์นี้ กล่าวว่า "ไม่มีตัวบุคคลที่
จะค้นหาได้ในชื่อนั้น,"
ควรจะชอบใจคำนั้นได้ละหรือ." แล้วจึงตรัสถามพระนาคเสนว่า "ถ้าว่าไม่มีตัว
บุคคลที่จะค้นหาได้,
ใครเล่าถวายจตุปัจจัย คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานเภสัช แก่พระ
ผู้เป็นเจ้า, ใครฉัน
จตุปัจจัยนั้น, ใครรักษาศีล, ใครเจริญภาวนา, ใครทำมรรคผลนิพพานให้แจ้ง.
ใครฆ่าสัตว์มีชีวิต,
ใครถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้แล้ว, ใครประพฤติผิดในกามทั้งหลาย, ใคร
พูดเท็จ, ใครดื่มน้ำ
เมา, ใครทำอนันตริยกรรมห้าอย่าง; เหตุนั้น ไม่มีกุศล, ไม่มีอกุศล, ไม่มีผู้ทำ
เองก็ดี ผู้ใช้ให้ทำก็ดี ซึ่ง
กรรมที่เป็นกุศลและอกุศล, ไม่มีผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้วนะซิ, ถ้าผู้
ใดฆ่าพระผู้เป็นเจ้า
ตาย ไม่เป็นปาณาติบาตแก่ผู้นั้นนะซิ, อนึ่ง อาจารย์ก็ดี อุปัชฌาย์ก็ดี
อุปสมบทก็ดี ของพระผู้เป็น
เจ้าก็ไม่มีนะซิ; พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า "เพื่อนสพรหมจารีทั้งหลายเรียกอาตม
ภาพว่า 'นาคเสน' ดัง
นี้, อะไรชื่อว่า นาคเสนในคำนั้น, ผมหรือ พระผู้เป็นเจ้า ชื่อว่านาคเสน."
เมื่อพระเถรเจ้าทูลว่า "มิใช่." จึงตรัสไล่ต่อ ๆ ไปจนตลอดอาการ
สามสิบสองโดยลำดับว่า
"ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด
ไต ปอด ไส้ สายรัดไส้
อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี มวก หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา เปลวมัน น้ำ
ลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร
มันในสมอง แต่ละอย่าง ๆ ว่าเป็นนาคเสนหรือ ?"
พระเถรเจ้าก็ทูลตอบว่า "มิใช่."-
จึงตรัสไล่ว่า "เบญจขันธ์ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แต่
ละอย่าง ๆ ว่าเป็น
นาคเสนหรือ ?"
พระเถรเจ้าก็ทูลตอบว่า "มิใช่."
จึงตรัสไล่ว่า "รวมทั้งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณหรือชื่อว่า
นาคเสน, หรือนาคเสน
จะมีนอกจากรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ."
พระเถรเจ้าก็ทูลตอบว่า "มิใช่ ๆ ทุกข้อ." เมื่อเป็นทีฉะนี้แล้ว จึงตรัสเย้ย
ว่า "ข้าพเจ้าถาม
พระผู้เป็นเจ้าไป ก็ไม่พบว่าอะไรเป็นนาคเสน, หรือเสียงเท่านั้นแหละเป็นนาค
เสน, หรืออะไรเป็น
นาคเสนในคำนั้น, พระผู้เป็นเจ้าพูดมุสาวาทเหลวไหล, ไม่มีนาคเสนสัก
หน่อย."
เมื่อพระเถรเจ้าจะถวายวิสัชนาแก้ปัญหานั้น จึงทูลบรรยายเป็น
ปราศรัย เพื่ออ้อมหาช่อง
ให้พระเจ้ามิลินท์ ตรัสตอบให้ได้ที อย่างนี้ก่อนว่า "พระองค์เป็นพระมหา
กษัตริย์เจริญในความสุข
ล่วงส่วนแห่งสามัญชน, พระองค์เสด็จมาถึงกำลังเที่ยง พื้นแผ่นดินกำลังร้อน
จัด ทรายตามทางก็
กำลังร้อนจัด ถ้าทรงเหยียบก้อนกรวดกระเบื้องและทรายที่กำลังร้อนจัด เสด็จ
พระราชดำเนินมา
ด้วยพระบาทแล้ว พระบาทคงจะพอง, พระกายคงจะลำบาก, พระหฤทัยคง
จะเหนื่อยอ่อน, พระ
กายวิญญาณที่กอปรด้วยทุกข์คงจะเกิดขึ้นเป็นแน่, พระองค์เสด็จพระราช
ดำเนินมาด้วยพระบาท
หรือด้วยราชพาหนะ ?"
พระเจ้ามิลินท์ตรัสตอบว่า "ข้าพเจ้าไมได้เดินมา, ข้าพเจ้ามาด้วยรถ."
พระเถรเจ้าได้ทีจึงทูลว่า "ถ้าพระองค์เสด็จพระราชดำเนินมาด้วยรถ,
ขอจงตรัสบอกแก่อา
ตมภาพว่า อะไรเป็นรถ งอนหรือเป็นรถ."
พระเจ้ามิลินท์ตรัสตอบว่า "มิใช่."
พระเถรเจ้าจึงทูลถามต่อไปอีกว่า "เพลา ล้อ เรือน คัน แอก สายขับ
แส้ แต่ละอย่าง ๆ ว่า
เป็นรถหรือ ?"
พระเจ้ามิลินท์ก็ตรัสตอบว่า "มิใช่."
พระเถรเจ้าทูลถามว่า "หรือสัมภาระเหล่านั้นทั้งหมดเป็นรถ, หรือว่ารถ
นั้นสิ่งอื่นนอกจาก
สัมภาระเหล่านั้น ?"
พระเจ้ามิลินท์ก็ตรัสว่า "มิใช่."
พระเถรเจ้าจึงทูลเป็นคำเย้ยว่า "อาตมภาพทูลถามพระองค์ไปก็ไม่พบ
ว่า อะไรเป็นรถ, หรือ
เสียงเท่านั้นแหละเป็นรถ, หรืออะไรเป็นรถในคำนั้น, พระองค์ตรัสมุสาวาท
เหลวไหล, ไม่มีรถสัก
หน่อย พระองค์เป็นถึงยอดพระเจ้าแผ่นดินทั่วพื้นชมพูทวีป, พระองค์ทรงกลัว
ใครจึงต้องตรัสมุสา
เช่นนี้ ขอโยนกามาตย์ห้าร้อย กับภิกษุสงฆ์แปดหมื่น จงฟังคำข้าพเจ้า, พระ
เจ้ามิลินท์พระองค์นี้
ตรัสว่า 'พระองค์เสด็จมาด้วยรถ.' ข้าพเจ้าทูลให้ทรงแสดงว่า อะไรเป็นรถ ก็
ทรงแสดงให้ปรากฏไม่
ได้, ควรจะชอบใจคำที่ตรัสนั้นได้ละหรือ ?"-
เมื่อพระเถรเจ้ากล่าวฉะนี้แล้ว โยนกามาตย์ห้าร้อย ได้ถวายสาธุการ
แก่พระเถรเจ้าแล้ว ทูล
พระเจ้ามิลินท์ว่า "บัดนี้ถ้าพระองค์สามารถ ก็ตรัสแก้ปัญหานั้นเถิด."
พระเจ้ามิลินท์ จึงตรัสกับพระเถรเจ้าว่า "ข้าพเจ้าไม่ได้พูดมุสา, อาศัย
ทั้งงอน ทั้งเพลา ทั้ง
ล้อ ทั้งเรือน ทั้งคัน เข้าด้วยกัน จึงได้ชื่อว่ารถ."
พระเถรเจ้าจึงตอบว่า "พระองค์ทรงรู้จักรถถูกแล้ว ข้อนี้ฉันใด; อาศัย
ทั้งผม ทั้งขน จนถึงมัน
ในสมอง อาศัยทั้งรูป ทั้งเวทนา ทั้งสัญญา ทั้งสังขาร ทั้งวิญญาณ จึงมีชื่อของ
อาตมภาพว่า นาค
เสนฉันนั้น. ก็แต่ว่าโดยปรมัตถ์แล้ว ไม่มีตัวบุคคลที่จะค้นได้ในชื่อนั้น. แม้คำนี้
นางวชิราภิกษุณี ได้
ภาษิต ณ ที่เฉพาะพระพักตร์แห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า 'เหมือนอย่างว่า
เพราะอาศัยองค์ที่เป็น
สัมภาระ จึงมีศัพท์กล่าวว่า 'รถ' ดังนี้ ฉันใด, เมื่อขันธ์ทั้งหลายมีอยู่ ก็มีคำ
สมมติว่า 'สัตว์' เหมือน
กัน ฉันนั้น." เมื่อพระเถรเจ้าถวายวิสัชนาความกล่าวแก้ปัญหาฉะนี้แล้ว, พระ
เจ้ามิลินท์ ทรง
อนุโมทนาว่า "ข้อที่พระผู้เป็นเจ้าวิสัชนาปัญหานั้นเป็นอัศจรรย์ น่าประหลาด
จริง, พระผู้เป็นเจ้า
วิสัชนาปัญหาวิจิตรยิ่งนัก, ถ้าพระพุทธเจ้ายังดำรงพระชนม์อยู่ คงจะประทาน
สาธุการเป็นแน่, พระ
ผู้เป็นเจ้ากล่าวแกปัญหาวิจิตรยิ่งนัก ดีแท้ชอบแท้."

๒. วัสสปัญหา ๒

พระราชาตรัสถามว่า "พระผู้เป็นเจ้าพรรษาเท่าไร ?"
พระเถรเจ้าทูลตอบว่า "อาตมภาพมีพรรษาเจ็ด."
ร. "อะไรชื่อว่าเจ็ด, พระผู้เป็นเจ้าชื่อว่าเจ็ด หรือการนับชื่อว่าเจ็ด ?"
ในเวลานั้นเงาของพระราชาอันทรงเครื่องอย่างขัติยราช ปรากฏอยู่ ณ
พื้นแผ่นดิน และ
ปรากฏอยู่ที่หม้อน้ำ.
ถ. "เงาของพระองค์นี้ ปรากฏอยู่ที่พื้นแผ่นดินและที่หม้อน้ำ, พระองค์
เป็นพระราชา หรือว่า
เงาเป็นพระราชา ?"
ร. "ข้าพเจ้าเป็นพระราชา, เงานี้มิใช่พระราชา, ก็แต่ว่าเงานี้อาศัย
ข้าพเจ้าเป็นไป."
ถ. "ข้อนี้ฉันใด ความนับพรรษาชื่อว่าเจ็ด, อาตมภาพมิได้ชื่อว่าเจ็ด, ก็
แต่คำว่าเจ็ดนั้น
อาศัยอาตมภาพเป็นไป เหมือนอย่างเงาของพระองค์ ฉันนั้น."
ร. "พระผู้เป็นเจ้ากล่าวแก้ปัญหาเป็นอัศจรรย์ น่าประหลายจริง
ปัญหาที่พระผู้เป็นเจ้า
กล่าวแก้วิจิตรยิ่งนัก."-



๓. เถรติกขปฏิภาณปัญหา ๓

พระราชาตรัสถามว่า "พระผู้เป็นเจ้าจักเจรจากับข้าพเจ้าได้หรือ ?"
พระเถรเจ้าทูลว่า "ถ้าพระองค์จักตรัสอย่างบัณฑิต, อาตมภาพจัก
เจรจาด้วยได้; ก็ถ้าว่า
พระองค์จักตรัสอย่างพระเจ้าแผ่นดิน, อาตมภาพจักเจรจาด้วยไม่ได้."
ร. "บัณฑิตทั้งหลายเจรจากันอย่างไร ?"
ถ. "เมื่อบัณฑิตเจรจากัน เขาผูกปัญหาไล่บ้าง เขาแก้ปัญหาบ้าง, เขา
พูดข่มบ้าง, เขายอม
รับบ้าง, เขาเจรจาแข่งบ้าง, เขากลับเจรจาแข่งบ้าง, เขาไม่โกรธเพราะการที่
เจรจากันนั้น, บัณฑิต
ทั้งหลายเจรจากันอย่างนี้."
ร. "พระเจ้าแผ่นดินทั้งหลาย ตรัสกันอย่างไร ?"
ถ. "เมื่อพระเจ้าแผ่นดินตรัสนั้น พระองค์ตรัสเรื่องหนึ่งอยู่, ผู้ใดขัดขึ้น
ก็ลงพระราชอาชญา
แก่ผู้นั้น; พระเจ้าแผ่นดินทั้งหลาย ตรัสกันอย่างนี้."
ร. "ข้าพเจ้าจักเจรจาอย่างบัณฑิต ไม่เจรจาอย่างพระเจ้าแผ่นดิน, ขอ
พระผู้เป็นเจ้าจง
เจรจาตามสบาย, เหมือนเจรจากับภิกษุก็ดี กับสามเณรก็ดี กับอุบาสกก็ดี กับ
คนรักษาอารามก็ดี
ขอพระผู้เป็นเจ้าอย่ากลัวเลย."
ถ. "ดีแล้ว."
ร. "พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าจะขอถามได้หรือ ?"
ถ. ตรัสถามเถิด."
ร. "ข้าพเจ้าถามพระผู้เป็นเจ้าแล้ว."
ถ. "อาตมภาพวิสัชนาถวายแล้ว."
ร. "พระผู้เป็นเจ้าวิสัชนาว่าอะไร ?"
ถ. "พระองค์ตรัสถามว่าอะไร ?"
ในเพลานั้น พระเจ้ามิลินท์ทรงพระราชดำริว่า "พระภิกษุองค์นี้มีปรีชา
สามารถจะเจรจากับ
เรา, และข้อที่เราจะต้องถามก็ยังมีอยู่มาก, ยังไม่ทันจะถามหมด ตะวันจะตก
เสียก่อน, อย่าอย่าง
นั้นเลย พรุ่งนี้เราจึงค่อยเจรจากันใหม่ที่ในวัง." ครั้นทรงพระดำริฉะนี้แล้ว จึงมี
พระราชดำรัสสั่งเทว
มันติยอมาตย์ ให้อาราธนาพระเถรเจ้าเข้าไปเจรจากับพระองค์ที่ในพระราชวัง
ในวันพรุ่งนี้ แล้ว
เสด็จลุกจากราชอาสน์ทรงลาพระเถรเจ้าแล้ว ทรงม้าพระที่นั่งเสด็จกลับไป
นึกบ่นอยู่ในพระราช
หฤทัยว่า "พระนาคเสน ๆ" ดังนี้.
ฝ่ายเทวมันติยอมาตย์ ก็อาราธนาพระเถรเจ้าตามรับสั่ง, พระเถรเจ้าก็
รับจะเข้าไป. ครั้น
ล่วงราตรีนั้นแล้ว อมาตย์สี่นายคือเทวมันติยอมาตย์ หนึ่ง อนันกายอมาตย์
หนึ่ง มังกุรอมาตย์ หนึ่ง
สัพพทินนอมาตย์ หนึ่ง เข้าไปกราบทูลถามว่า "จะโปรดให้พระนาคเสนเข้ามา
หรือยัง." เมื่อรับสั่ง-
อนุญาตว่า "นิมนต์ท่านเข้ามาเถิด." จึงทูลถามอีกว่า "จะโปรดให้ท่านมากับ
ภิกษุสงฆ์กี่รูป." เมื่อรับ
สั่งว่า "ท่านประสงค์จะมากับภิกษุสงฆ์กี่รูปก็มาเถิด." สัพพทินน อมาตย์ จึง
กราบทูลว่า "ให้ท่านมา
กับภิกษุสงฆ์สักสิบรูปหรือ ?" ก็รับสั่งยืนคำอยู่ว่า "จะมากี่รูปก็มาเถิด." สัพพ
ทินนอมาตย์ทูลถาม
และตรัสตอบดังนั้นถึงสองครั้ง, ครั้นครั้งที่สาม สัพพทินนอมาตย์ทูลถามอีก
จึงตรัสตอบว่า "เราได้
จัดเครื่องสักการไว้เสร็จแล้ว, จึงพูดว่า "ท่านประสงค์จะมากับภิกษุสงฆ์กี่รูปก็
มาเถิด, แต่สัพพทิน
นอมาตย์ผู้นี้พูดไปเสียอย่างอื่น, เราไม่สามารถจะถวายโภชนทานแก่ภิกษุทั้ง
หลายหรือ." ครั้นตรัส
ดังนี้แล้ว สัพพทินนอมาตย์ก็เก้อ มิอาจทูลอีกได้, จึงอมาตย์อีกสามนายไปสู่
สำนักพระนาคเสนเถร
เจ้าแล้ว แจ้งความว่า "ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า พระราชามีพระราชดำรัสว่า 'พระผู้
เป็นเจ้าประสงค์จะ
มากับภิกษุสงฆ์กี่รูปก็มาเถิด." ในเพลาเช้าวันนั้น พระนาคเสนเถรเจ้าครองผ้า
ตามสมณวัตรแล้ว
ถือบาตรจีวรพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์แปดหมื่นสี่พันรูป เข้าไปสู่พระนครสาคลราช
ธานี.




เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 2 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO