นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน เสาร์ 11 พ.ค. 2024 5:12 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: เรื่องราว
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 13 ก.ค. 2012 8:32 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4555
มิลินทปัญหา

นมัสการ พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นพระอรหันต์ สัมมาสัมพุทธะพระองค์นั้น.
อารัมภคาถา
พระเจ้าแผ่นดินในสาคลราชธานี อันทรงพระนามว่ามิลินท์ ได้เสด็จไป
หาพระนาคเสน, เหมือนน้ำในคงคาไหลไปสู่มหาสมุทร ฉะนั้น. ครั้นพระองค์
เสด็จถึงแล้วได้ตรัสถามปัญหาอันละเอียด ในเหตุที่ควรและไม่ควรเป็นอัน
มาก กะพระนาคเสน ซึ่งเป็นผู้กล่าวแก้ไพเราะ มีปัญญาสามารถที่จะบรรเทา
ความหลง ดุจส่องคบเพลิงบรรเทามืดเสียฉะนั้น ทั้งคำปุจฉาและวิสัชนาล้วน
อาศัยอรรถอันลึกซึ้ง น่าเป็นที่พึงใจและให้เกิดสุขแก่โสตประสาท เป็น
อัศจรรย์ให้ชูชันโลมชาติของผู้สดับ. ถ้อยคำของพระนาคเสนเถรเจ้าไพเราะ
โดยอุปมาและนัย หยั่งลงในพระอภิธรรมและพระวินัย ประกอบด้วยพระสูตร.
ขอท่านทั้งหลายจงส่งญาณไปทำอัธยาศัยให้ร่าเริงยินดี ในกถามรรค
นั้นแล้ว, จงสดับปัญหาซึ่งเป็นเครื่องทำลายเหตุที่ตั้งแห่งความสงสัย อย่าง
ละเอียดนี้เทอญ.
พาหิรกถา
คำที่ได้กล่าวนั้นเป็นฉันใด ? ดังได้สดับสืบ ๆ กันมาว่า ยังมีราชธานี
หนึ่งชื่อว่าสาคลนคร เป็นที่ประชุมแห่งการค้าขาย, เป็นที่เปิดห่อหีบสินค้า
ต่าง ๆ ออกจำหน่ายของชนชาวโยนก, เป็นภูมิประเทศที่น่าสนุกยินดี, มีแม่น้ำ
และภูเขาประดับให้งดงาม, สมบูรณ์ด้วยสวนไม้มีผล ไม้มีดอก, ป่าละเมาะ
คลองน้ำและสระโบกขรณี, เป็นที่น่าสนุกด้วยแม่น้ำ ภูเขาและป่าไม้ อัน

พระเจ้าสุตวันต์บรมราชทรงสร้างไว้เป็นที่ป้องกันหมู่ปัจจามิตรไม่ให้เข้าไป
เบียดเบียนได้; มีป้อมปราการมั่นวิจิตรอย่างต่าง ๆ, มีหอรบและประตูอันมั่น
คง, มีคูลึก, มีกำแพงโบกปูนขาวล้อมรอบพระราชวัง, มีถนนหลวงและสนาม,
ทางสี่แยก สามแยก, จำแนกปันเป็นระยะพอเหมาะดี; มีตลาดเต็มด้วยสิ่งของ
//page2//
เครื่องใช้อย่างดีหลายอย่างต่าง ๆ ที่ตั้งขาย, มีโรงทานต่าง ๆ อย่างหลายร้อย
หลังประดับให้งดงาม; อร่ามด้วยยอดเรือนหลายแสนหลังดังยอดแห่งเขา
หิมาลัยประดับแล้ว, เกลื่อนกล่นด้วยพลช้างม้ารถและทหารเดินเท้า, มีหมู่
ชายหญิงที่มีรูปงามเที่ยวเดินสลอน, เกลื่อนกล่นด้วยหมู่คน, มีชนที่เป็น
ชาติกษัตริย์ ชาติพราหมณ์ ชาติแพศย์ ชาติศูทร เป็นอันมากหลายชนิด, มีหมู่
สมณพราหมณ์ต่าง ๆ เพศต่าง ๆ วงศ์เบียดเสียดกัน, เป็นที่อันคนมีวิชชา
ความรู้และผู้กล้าหาญ อยู่อาศัยแล้วเป็นอันมาก; สมบูรณ์ด้วยร้านขายผ้า
อย่างต่าง ๆ : มีผ้าที่ทอในเมืองกาสีและผ้าที่ทอในเมืองกุฏุมพรเป็นต้น, หอม
ตลบด้วยกลิ่นหอม ที่ฟุ้งไปจากร้านขายดอกไม้หอมและเครื่องหอมหลาย
อย่างที่งดงาม และออกเป็นระยะอันดี; บริบูรณ์ด้วยรัตนะที่คนปรารถนาเป็น
อันมาก, มีหมู่พ่อค้าที่มั่งคั่งซึ่งตั้งห้างขายของในประเทศใหญ่ในทิศนั้น ๆ
เที่ยวอยู่สลอน, บริบูรณ์ด้วยกหาปณะเงินทองโลหะและเพชรพลอย, เป็นที่อยู่
แห่งแร่ซึ่งเป็นขุมทรัพย์อันสุกใส มีธัญญาหารและเครื่องมือสำหรับที่เป็น
อุปการให้เกิดทรัพย์สมบัติ เป็นอันมาก, มีคลังและฉางเต็มบริบูรณ์, มีข้าวน้ำ
และขัชชะโภชชาหารของควรดื่มของควรจิบควรลิ้มมากอย่าง, สมบูรณ์ด้วย
ธัญญาหารดุจกุรุทวีป, (ประกอบด้วยสมบัติเห็นป่านนี้) เหมือนเมืองสวรรค์
อันมีนามว่า อาฬกมันทาเทพนคร.
ควรหยุดไว้เพียงเท่านี้ แล้วกล่าวบุรพกรรมของพระเจ้ามิลินท์และพระ
นาคเสนก่อน, ก็เมื่อกล่าวควรแบ่งกล่าวเป็นหกภาค: คือ บุรพกรรมหนึ่ง, มิลิ
นทปัญหาหนึ่ง, ลักขณปัญหาหนึ่ง, เมณฑกปัญหาหนึ่ง, อนุมานปัญหาหนึ่ง,
โอปัมมกถาปัญหาหนึ่ง.
ในปัญหาเหล่านั้น: มิลินทปัญหามีสองอย่าง: คือ ลักขณปัญหาหนึ่ง,
วิมติจเฉทนปัญหาหนึ่ง แม้เมณฑกปัญหาก็มีสองอย่าง: คือ มหาวรรคหนึ่ง,
โยคิกถาปัญหาหนึ่ง


//page3//
บุรพกรรมของพระเจ้ามิลินท์และพระนาคเสนนั้น ดังนี้: ดังได้สดับมา
ในอดีตกาล เมื่อครั้งพระศาสนาแห่งพระกัสสปผู้มีพระภาคเจ้ายังเป็นไปอยู่,
ภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ได้อาศัยอยู่ในอาวาสใกล้แม่น้ำคงคาแห่งหนึ่ง. ในภิกษุสงฆ์
หมู่นั้น ภิกษุที่ถึงพร้อมด้วยวัตรและศีลลุกขึ้นแต่เช้าแล้ว, ถือไม้กราดไปกวาด
ลานอาวาสพลาง ระลึกถึงพุทธคุณพลาง กวาดหยากเยื่อรวมไว้เป็นกองแล้ว;
ภิกษุรูปหนึ่งใช้สามเณรรูปหนึ่งว่า "ท่านจงมานำหยากเยื่อนี้ไปทิ้งเสีย."
สามเณรรูปนั้นแกล้งทำไม่ได้ยินเดินเฉยไปเสีย, แม้ภิกษุนั้นร้องเรียกถึงสอง
ครั้งสามครั้ง ก็แกล้งทำไม่ได้ยินเดินเฉยไปเสีย เหมือนอย่างนั้น. ภิกษุนั้นขัด
ใจว่า "สามเณรผู้นี้ว่ายาก." จึงเอาคันกราดตีสามเณรนั้น. สามเณรนั้น
มีความกลัว, ร้องไห้พลางขนหยากเยื่อไปทิ้งพลาง, ได้ตั้งความปรารถนาเป็น
ประถมว่า "ด้วยบุญกรรมที่เราได้กระทำเพราะทิ้งหยากเยื่อนี้ ขอเรามีศักดา
เดชานุภาพใหญ่ เหมือนดวงอาทิตย์ในเวลาตะวันเที่ยง ในสถานที่เราเกิด
แล้ว ๆ กว่าจะบรรลุพระนิพพานเถิด." ครั้นทิ้งหยากเยื่อเสร็จแล้ว ไปอาบน้ำที่
ท่าน้ำ, เห็นกระแสคลื่นในแม่น้ำคงคาไหลเชี่ยวเสียงดังดุจสูบ, จึงตั้งความ
ปรารถนาเป็นครั้งที่สองว่า "ขอเรามีปัญญาว่องไวไม่สิ้นสุดดุจกระแสคลื่นแห่ง
แม่น้ำคงคานี้ ในสถานที่เราเกิดแล้ว ๆ กว่าจะบรรลุพระนิพพานเถิด."
ฝ่ายพระภิกษุนั้น เก็บกราดไว้ในศาลาสำหรับเก็บกราดแล้ว, เมื่อไป
อาบน้ำที่ท่าน้ำ, ได้ฟังความปรารถนาของสามเณรแล้ว, คิดว่า "สามเณรนั่น
เราใช้แล้วยังปรารถนาถึงเพียงนี้ก่อน, ถ้าเราตั้งความปรารถนาบ้าง เหตุไฉน
ความปรารถนานั้นจักไม่สำเร็จแก่เรา;" จึงตั้งความปรารถนาบ้างว่า "ขอเรามี
ปัญญาไม่สิ้นสุดดุจกระแสคลื่นแห่งแม่น้ำคงคานี้, ขอเราสามารถจะแก้ไข
ปัญหาที่สามเณรผู้นี้ถามแล้ว ๆ ทุกอย่าง, ในสถานที่เราเกิดแล้ว ๆ กว่าจะ
บรรลุถึงพระนิพพานเถิด."



//page4//
ภิกษุและสามเณรสองรูปนั้น ท่องเที่ยวอยู่ในเทวดาและมนุษย์สิ้น
พุทธันดรหนึ่งแล้ว. แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย ได้ทอดพระเนตร
เห็นด้วยพระญาณ, เหมือนได้ทอดพระเนตรเห็นพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ,
ได้ทรงพยากรณ์ไว้ว่า "เมื่อเราปรินิพพานล่วงไปได้ห้าร้อยปี ภิกษุสามเณรสอง
รูปนั้นจักเกิดขึ้นแล้ว, จักจำแนกธรรมวินัยที่เราได้แสดงให้สุขุมละเอียดแล้ว,
กระทำให้เป็นศาสนธรรมอันตนสะสางไม่ให้ฟั่นเฝือแล้ว ด้วยอำนาจถาม
ปัญหาและประกอบอุปมา."
ในภิกษุสามเณรสองรูปนั้น สามเณรได้มาเกิดเป็นพระเจ้ามิลินท์ใน
สาคลราชธานี ในชมพูทวีป, เป็นปราชญ์เฉียบแหลม มีพระปัญญาสามารถ,
ทราบเหตุผลทั้งที่ลวงไปแล้ว ทั้งที่ยังไม่มาถึง ทั้งที่เป็นอยู่ในบัดนั้น; ในกาล
เป็นที่จะทรงทำราชกิจน้อยใหญ่ ได้ทรงใคร่ครวญโดยรอบคอบ, แล้วจึงได้ทรง
ประกอบราชกิจ ที่จะต้องประกอบ จะต้องจัด จะต้องกระทำ; และได้ทรง
ศึกษาตำหรับวิทยาเป็นอันมาก ถึงสิบเก้าอย่าง: คือไตรเพทคัมภีร์พราหมณ์
วิทยาในกายตัว วิทยานับ วิทยาทำใจให้เป็นสมาธิ พระราชกำหนดกฎหมาย
วิทยาที่รู้ธรรมดาที่แปลกกันแห่งสภาพนั้น ๆ วิทยาทำนายร้ายและดี วิทยา
ดนตรีขับร้อง วิทยาแพทย์ วิทยาศาสนา ตำหรับพงศาวดาร โหราศาสตร์
วิทยาทำเล่ห์กล วิทยารู้จักกำหนดเหตุผล วิทยาคิด ตำหรับพิชัยสงคราม
ตำรากาพย์ วิทยาทายลักษณะในกาย และภาษาต่าง ๆ, พอพระหฤทัยในการ
ตรัสไล่เลียงในลัทธิต่าง ๆ ใคร ๆ จะโต้เถียงได้โดยยาก ใคร ๆ จะข่มให้แพ้ได้
โดยยาก ปรากฏเป็นยอดของเหล่าเดียรถีย์เป็นอันมาก. ในชมพูทวีปไม่มีใคร
เสมอด้วยพระเจ้ามิลินท์ ด้วยเรี่ยวแรงกาย ด้วยกำลังความคิด ด้วยความกล้า
หาญ ด้วยปัญญา. พระเจ้ามิลินท์นั้น ทรงมั่งคั่งบริบูรณ์ด้วยราชสมบูรณ์, มี
พระราชทรัพย์และเครื่องราชูปโภคเป็นอันมากพ้นที่จะนับคณนา, มีพล
พาหนะหาที่สุดมิได้.


//page5//
วันหนึ่ง พระเจ้ามิลินท์เสด็จพระราชดำเนินออกนอกพระนครด้วยพระ
ราชประสงค์จะทอดพระเนครขบวนจตุรงคินีเสนา อันมีพลพาหนะหาที่สุด
มิได้ ในสนามที่ฝึกซ้อม, โปรดเกล้า ฯ ให้จัดการฝึกซ้อมหมู่เสนาที่ภายนอก
พระนครเสร็จแล้ว, พระองค์พอพระหฤทัยในการตรัสสังสนทนาด้วยลัทธิ
นั้น ๆ , ทรงนิยมในถ้อยคำของมหาชนที่เจรจากัน ซึ่งอ้างคัมภีร์โลกายต
ศาสตร์และวิตัณฑศาสตร์, ทอดพระเนตรดวงอาทิตย์แล้ว, ตรัสแก่หมู่อมาตย์
ว่า "วันยังเหลืออยู่มาก, เดี๋ยวนี้ ถ้าเรากลับเข้าเมืองจะไปทำอะไร; มีใครที่เป็น
บัณฑิตจะเป็นสมณะก็ตาม พราหมณ์ก็ตาม ที่เป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะเป็น
คณาจารย์ แม้ปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์ผู้รู้ชอบเอง ที่อาจสังสนทนากับ
เราบรรเทาความสงสัยเสียได้บ้างหรือ ?" เมื่อพระเจ้ามิลินท์ตรัสถามอย่างนี้
แล้ว, โยนกอมาตย์ห้าร้อยได้กราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นมหาราชเจ้า, มี
ศาสดาอยู่หกท่าน: คือ ปูรณกัสสป, มักขลิโคศาล, นิครนถนาฏบุตร, สัญชัย
เวลัฏฐบุตร, อชิตเกสกัมพล, ปกุธกัจจายนะ, ได้เป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ เป็น
คณาจารย์ เป็นคนมีชื่อเสียงปรากฏ มีเกียรติยศว่าเป็นดิตถกร คือ ผู้สอนลัทธิ
แก่ประชุมชน; คนเป็นอันมากนับถือว่ามีลัทธิอันดี. ขอพระองค์เสด็จพระราช
ดำเนินไปสู่สำนักของท่านทั้งหกนั้นแล้วตรัสถามปัญหาบรรเทากังขาเ
สียเถิด."
ครั้นพระองค์ได้ทรงสดับอย่างนี้แล้ว จึงพร้อมด้วยโยนกอมาตย์ห้าร้อย
ห้อมล้อมเป็นราชบริวาร ทรงรถพระที่นั่ง เสด็จพระราชดำเนินไปยังสำนัก
ปูรณกัสสป, ทรงปฏิสันถารปราศรัยกับปูรณกัสสปพอให้เกิดความยินดีแล้ว,
ประทับ ณ สถานที่ส่วนข้างหนึ่งแล้ว ตรัสถามว่า "ท่านกัสสป, อะไรรักษาโลก
อยู่ ?"
ปูรณกัสสปทูลตอบว่า "แผ่นดินแล, มหาราชเจ้า, รักษาโลกอยู่."
พระเจ้ามิลินท์จึงทรงย้อนถามว่า "ถ้าแผ่นดินรักษาโลกอยู่, เหตุไฉน สัตว์ที่ไป


//page6//
สู่อเวจีนรกจึงล่วงแผ่นดินไปเล่า ?" เมื่อพระเจ้ามิลินท์ตรัสถามอย่างนี้แล้ว;
ปูรณกัสสปไม่อาจฝืนคำนั้นและไม่อาจคืนคำนั้น, นั่งก้มหน้านิ่งหงอยเหงา
อยู่.
ลำดับนั้น จึงเสด็จพระราชดำเนินไปยังสำนักมักขลิโคศาลแล้ว, ตรัส
ถามว่า "ท่านโคศาล, กุศลกรรมและอกุศาลกรรมมีหรือ, ผลวิบากแห่งกรรมที่
สัตว์ทำดีแล้วและทำชั่วแล้วมีหรือ ?"
มักขลิโคศาลทูลตอบว่า "ไม่มี, มหาราชเจ้า. ชนเหล่าใดเคยเป็น
กษัตริย์อยู่ในโลกนี้, ชนเหล่านั้นแม้ไปสู่ปรโลกแล้วก็จักเป็นกษัตริย์อีกเทียว;
ชนเหล่าใดเคยเป็นพราหมณ์, เป็นแพศย์, เป็นศูทร, เป็นจัณฑาล, เป็นปุกกุ
สะ, อยู่ในโลกนี้, ชนเหล่านั้นแม้ไปสู่ปรโลกแล้วก็จักเป็นเหมือนเช่นนั้นอีก: จะ
ต้องการอะไรด้วยกุศลกรรมและอกุศลกรรม."
พระเจ้ามิลินท์ทรงย้อนถามว่า "ถ้าใครเคยเป็นอะไรในโลกนี้ แม้ไป
สู่ปรโลกแล้วก็จักเป็นเหมือนเช่นนั้นอีก, ไม่มีกิจที่จะต้องทำด้วยกุศลกรรม
และอกุศลกรรม; ถ้าอย่างนั้น ชนเหล่าใดเป็นคนมีมือขาดก็ดี มีเท้าขาดก็ดี มี
หูและจมูกขาดก็ดี ในโลกนี้, ชนเหล่านั้นแม้ไปปรโลกแล้วก็จักต้องเป็นเหมือน
เช่นนั้นอีกนะซิ ?" เมื่อพระเจ้ามิลินท์ตรัสถามอย่างนี้แล้ว มักขลิโคศาลก็นิ่ง
อั้น.
ครั้งนั้น พระเจ้ามิลินท์ทรงพระราชดำริว่า "ชมพูทวีปนี้ว่างเปล่าทีเดียว
หนอ, ไม่มีสมณะพราหมณ์ผู้ใดผู้หนึ่ง ซึ่งสามารถจะเจรจากับเรา บรรเทา
ความสงสัยเสียได้" คืนวันหนึ่ง ตรัสถามอมาตย์ทั้งหลายว่า "คืนวันนี้เดือน
หงายน่าสบายนัก, เราจะไปหาสมณะหรือพราหมณ์ผู้ไรดีหนอ เพื่อจะได้ถาม
ปัญหา ? ใครหนอสามารถจะเจรจากับเรา บรรเทาความสงสัยเสียได้ ?" เมื่อ
พระเจ้ามิลินท์ตรัสอย่างนี้แล้วอมาตย์ทั้งหลายได้ยืนนิ่งแลดูพระพักตร์อยู่.



//page7//
สมัยนั้น สาคลราชธานีได้ว่างเปล่าจากสมณะพราหมณ์ และคฤหบดี
ที่เป็นปราชญ์ถึงสิบสองปี เพราะพระเจ้ามิลินท์ได้ทรงสดับว่าในที่ใดมีสมณะ
พราหมณ์หรือคฤบดีที่เป็นปราชญ์, ก็เสด็จพระราชดำเนินไป, ตรัสถามปัญหา
กับหมู่ปราชญ์ในที่นั้น; หมู่ปราชญ์ทั้งปวงนั้นไม่สามารถจะวิสัชนาปัญหา
ถวายให้ทรงยินดีได้, ต่างคนก็หลีกหนีไปในที่ใดที่หนึ่ง, ผู้ที่ไม่หลีกไปสู่ทิศอื่น
ต่างคนก็อยู่นิ่ง ๆ. ส่วนภิกษุทั้งหลายไปสู่ประเทศหิมพานต์เสียโดยมาก.
สมัยนั้น พระอรหันต์เจ้าร้อยโกฏิ (?) อาศัยอยู่ที่พื้นถ้ำรักขิตคุหา ณ
เขาหิมพานต์. ในกาลนั้น พระอัสสคุตตเถรเจ้าได้สดับพระวาจาแห่งพระเจ้า
มิลินท์ด้วยทิพยโสต (คือ หูที่ได้ยินเสียงไกลได้ดุจหูเทวดา) แล้ว, จึงนัดให้
ภิกษุสงฆ์ประชุมกัน ณ ยอดเขายุคันธรแล้ว, ถามภิกษุทั้งหลายว่า "อาวุโส, มี
ภิกษุองค์ไดสามารถจะสังสนทนากับพระเจ้ามิลินท์ นำความสงสัยของเธอ
เสียได้บ้างหรือไม่ ?" เมื่อพระเถรเจ้ากล่าวถามอย่างนี้แล้ว พระอรหันต์เจ้า
ร้อยโกฏินั้นก็พากันนิ่งอยู่. พระเถรเจ้าถามอย่างนั้นถึงสองครั้ง สามครั้ง ต่าง
องค์ก็นิ่งเสียเหมือนอย่างนั้น.
พระเถรเจ้าจึงกล่าวว่า "อาวุโส, ในดาวดึงสพิภพพิมานชื่อเกตุมดีมีอยู่
ข้างปราจีนทิศ (ตะวันออก) แห่งไพชยันตปราสาท, เทพบุตรชื่อมหาเสนได้
อาศัยอยู่ในทิพยพิมานนั้น, เธอสามารถจะสังสนทนากับพระเจ้ามิลินท์นำ
ความสงสัยของเธอเสียได้."
ลำดับนั้น พระอรหันต์เจ้าร้อยโกฏินั้น จึงหายพระองค์จากเขายุคันธร
ไปปรากฏขึ้นในดาวดึงสพิภพ.
ท้าวศักรินทรเทวราช ได้ทอดพระเนตรเห็นภิกษุทั้งหลายนั้นมาอยู่แต่
ไกล, จึงเสด็จเข้าไปใกล้, ทรงถวายอภิวาทพระอัสสคุตตเถรเจ้าแล้ว, ประทับ
ยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เป็นการแสดงความเคารพแล้ว, ตรัสถามว่า "พระ
ภิกษุสงฆ์พากันมาถึงที่นี่เป็นหมู่ใหญ่. ข้าพเจ้าได้ถวายตัวเป็นอารามิกบุรุษ
(คนกระทำกิจธุระในพระอาราม) ของพระภิกษุสงฆ์ไว้แล้ว. ท่านจะประสงค์
ให้ข้าพเจ้ากระทำกิจอะไรหรือ ?"

//page8//
พระเถรเจ้าจึงถวายพระพรว่า "ดูก่อนมหาราช, ในชมพูทวีปมีพระเจ้า
แผ่นดินในสาคลราชธานีพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่าพระเจ้ามิลินท์, เป็นคน
ช่างตรัสซักถามด้วยข้อความในลัทธินั้น ๆ, อันใคร ๆ จะโต้ตอบครอบงำให้
ชำนะได้โดยยาก; เขากล่าวยกว่าเป็นยอดของเดียรถีย์เจ้าลัทธิเป็นอันมาก.
เธอเสด็จเข้าไปหาภิกษุสงฆ์แล้ว, ตรัสถามปัญหาด้วยวาทะปรารภทิฏฐิ
นั้น ๆ, เบียดเบียนภิกษุสงฆ์ให้ลำบาก."
ท้าวศักรินทรเทวราช ตรัสบอกพระเถรเจ้าว่า "ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า,
พระเจ้ามิลินท์นั้นจุติไปเกิดในมนุษยโลกจากที่นี้เอง. เทพบุตรชื่อมหาเสนซึ่ง
อยู่ในพิมานชื่อเกตุมดีนั่นแน่ สามารถจะสังสนทนากับพระเจ้ามิลินท์นั้น นำ
ความสงสัยของเธอเสียได้. เราจงมาพากันไปอ้อนวอนขอให้เธอไปเกิดใน
มนุษยโลกเถิด." ครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว, เสด็จตามพระภิกษุสงฆ์ไปถึงเกตุมดี
พิมานแล้ว, ทรงสวมกอดมหาเสนเทพบุตรแล้ว, ตรัสว่า "แน่ะเจ้าผู้นิรทุกข์,
พระภิกษุสงฆ์ท่านอ้อนวอนขอให้เจ้าลงไปเกิดในมนุษยโลก."
มหาเสนเทพบุตรทูลว่า "ข้าพระองค์ไม่พอใจมนุษยโลกที่มีการงาน
มากนัก, มนุษยโลกนั้นเข้มงวดนัก. ข้าพระองค์จะเกิดสืบ ๆ ไปในเทวโลกนี้
เท่านั้น กว่าจะปรินิพพาน."
ท้าวศักรินทรเทวราชตรัสอ้อนวอนถึงสองครั้ง สามครั้ง; เธอก็มิได้ทูล
รับเหมือนดังนั้น.
พระอัสสคุตตเถรเจ้าจึงกล่าวกะมหาเสนเทพบุตรว่า "ดูก่อนท่านผู้
นิรทุกข์, เราทั้งหลายได้เลือกตรวจดูตลอดทั่วมนุษยโลก ทั้งเทวโลก; นอกจาก
ท่านแล้วไม่เห็นใครอื่น ที่สามารถจะทำลายล้างทิฏฐิของพระเจ้ามิลินท์แล้ว
ยกย่องพระศาสนาไว้ได้. ภิกษุสงฆ์จึงได้อ้อนวอนท่าน. ขอท่านผู้สัตบุรุษ จง
ยอมไปเกิดในมนุษยโลกแล้ว, ยกย่องพระศาสนาของพระทศพลเจ้าไว้เถิด."
เมื่อพระเถรเจ้ากล่าวอ้อนวอนอย่างนี้แล้ว; มหาเสนเทพบุตรทราบว่าเธอผู้
เดียวเท่านั้น จักสามารถทำลายล้างทิฏฐิของพระเจ้ามิลินท์แล้ว, ยกย่อง

//page9//
พระศาสนาไว้ได้; จึงมีใจยินดีชื่นบาน, ได้ถวายปฏิญาณรับว่าจะลงไปเกิดใน
มนุษยโลก.
ครั้นภิกษุทั้งหลายนั้น จัดกิจที่จะต้องทำนั้นในเทวโลกเสร็จแล้ว, จึง
อันตรธานจากดาวดึงสพิภพ มาปรากฏ ณ พื้นถ้ำรักขิตคูหาที่เขาหิมพานต์
แล้ว; พระอัสสคุตตเถรเจ้าจึงถามพระภิกษุสงฆ์ว่า "อาวุโส, ในภิกษุสงฆ์หมู่นี้
มีภิกษุองค์ใดไม่ได้มาประชุมบ้าง."
ภิกษุองค์หนึ่งเรียนพระเถรเจ้าว่า "ภิกษุที่ไม่ได้มาประชุมมีอยู่ คือ พระ
โรหณะผู้มีอายุไปสู่เขาหิมพานต์ เข้านิโรธสมาบัติได้เจ็ดวันเข้าวันนี้แล้ว. ขอ
พระเถรเจ้าจงใช้ทูตไปเรียกเธอมาเถิด."
ขณะนั้นพระโรหณะผู้มีอายุออกจากนิโรธสมาบัติแล้ว, ทราบว่าพระ
สงฆ์ให้หาท่าน, จึงอันตรธานจากเขาหิมพานต์, มาปรากฏข้างหน้าแห่งพระ
อรหันต์เจ้าร้อยโกฏิ ณ พื้นถ้ำรักขิตคูหา.
พระอัสสคุตตเถรเจ้าจึงมีวาจาถามว่า "ดูก่อนโรหณะผู้มีอายุ, เหตุไฉน
เมื่อพระพุทธศาสนาทรุดโทรมลงถึงเพียงนี้, ท่านจึงไม่ช่วยดูแลกิจที่สงฆ์จะ
ต้องทำ ?"
ท่านเรียนตอบว่า "ข้าแต่พระเถรเจ้า, ข้อนั้นเป็นเพราะข้าพเจ้าไม่ได้
มนสิการทำในใจ."
จึงพระเถรเจ้าปรับโทษว่า "ถ้าอย่างนั้น ท่านจงทำทัณฑกรรมรับปรับ
โทษเสียเถิด."
ท่านเรียนถามว่า "ข้าแต่พระเถรเจ้า ข้าพเจ้าจะต้องทำทัณฑกรรม
อะไร ?"
พระเถรเจ้าจึงบังคับว่า "มีบ้านพราหมณ์อยู่ข้างเขาหิมพานต์แห่งหนึ่ง
ชื่อกชังคลคาม. มีพราหมณ์ผู้หนึ่ง ชื่อโสณุตตระอาศัยอยู่ในบ้านนั้น. บุตรของ
โสณุตตรพราหมณ์นั้น จักเกิดขึ้นคนหนึ่ง คือ ทารกชื่อนาคเสน. ท่านจงไป
บิณฑบาตที่ตระกูลนั้น ให้ครบเจ็ดปีกับสิบเดือนแล้ว, จงนำเอาทารกชื่อ




เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Bing [Bot] และ บุคคลทั่วไป 5 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO