นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน เสาร์ 11 พ.ค. 2024 12:54 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: เรื่องราว
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 10 ก.ค. 2012 7:12 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4555
"ขอเดชะ พระองค์เป็นสมมติเทพผู้ไม่ยินดีในทางอภิรมย์
สมควรจะสนทนาธรรมกับปราชญ์
เพื่อให้รู้กระจ่างเห็นแจ้งในธรรมยิ่งขึ้นพระเจ้าข้า"

เมื่ออำมาตย์วิชัยกราบทูลถวายทางสงบ
พระเจ้าอังคติราชก็ทรงตรัสเห็นด้วย
อำมาตย์อลาตะจึงรีบทูลเอาความดีว่า

"ข้าพระองค์คุ้นเคยกับท่านคุณาชีวกะ
ท่านเป็นผู้ใฝ่ธรรมและมีผู้ศรัทธามากพระเจ้าข้า"


คำตอบพราหมณ์เขลา

ครั้นพระราชาทรงสดับฟังแล้ว
จึงให้ยกขบวนเสด็จไปยังสำนักชีต้นนั้น
พระราชาทรงตรัสถามแก่คุณาชีวะเป็นปริศนาธรรมว่า

"สิ่งใดควรทำสำหรับพระราชา
เมื่อทำแล้วย่อมสำเร็จสู่สวรรค์
สิ่งใดมิควรทำสำหรับพระราชา
ทำแล้วย่อมเป็นทางนำสู่นรก
และสิ่งใดเป็นข้อควรประพฤติปฏิบัติต่อบิดามารดา
อาจารย์ บุตรภรรยา ผู้เฒ่าผู้อาวุโส พราหมณ์และสมณสงฆ์
และไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน"

เมื่อชีเปลือยคุณาชีวกะอับจนปัญญา
จึงกราบทูลตามลัทธิมิจฉาทิฐิของตนว่า

"ขอเดชะท่านมหาบพิตรความสงสัยของพระองค์นั้นตอบได้ดังนี้

๑ เรื่องของบุญนั้นไม่มีจริง บาปก็ไม่มี ภพหน้าก็ไม่มี

๒ เรื่องของบุพการีบิดามารดาก็ไม่มีจริง มิต้องปฏิบัติด้วยดีอย่างใด
เพราะคนเราเกิดมาตามธรรมดา ดั่งเรือเล็กตามเรือใหญ่
ไม่ใช่ผู้มีบุญคุณต่อกัน

๓ สัตว์ทั้งหลายก็เสมอกันเช่นดั่งคน วัยผู้เฒ่าผู้อาวุโสก็เสมอเหมือนกัน
มิต้องนอบน้อมบำรุงปฏิบัติหรือเกื้อกูลแต่อย่างไร

๔ สมณพราหมณ์ก็มิได้วิเศษใด ทำดีไปสวรรค์
ทำชั่วไปนรกมิใช่เรื่องจริง ทำทานไปก็มิได้สิ่งใดตอบแทน
มิมีผลแห่งบุญหรือผลแห่งบาป

๕ การถือศีลก็จะทำให้หิว มิควรถือศีลการให้ทานก็คือความโง่
แต่คนฉลาดคิดแต่รับทาน"

คุณาชีวิกะเห็นพระราชานิ่งสดับฟังด้วยความทึ่งดังนั้น
ก็รีบกล่าวต่อย่างลำพองใจในปัญญาอันมืดมิดของตนอีกว่า

"แม้แต่ร่างกายของคนเรานั้นก็รวมกันมาจาก ๗ สิ่งคือ
ดิน น้ำ ลม ไฟ สุข ทุกข์ และชีวิต
หากเมื่อสูญสลายตายไปแล้วส่วนที่เป็นไฟก็จะไปอยู่กับไฟ
ส่วนที่เป็นลมก็จะล่องลอยไปอยู่กับลม
สุขและทุกข์ก็ลอยไปในลมในอากาศเช่นเดียวกับชีวิต

ดังนั้นการฆ่าหรือตัดชีวิตใครก็จึงมิใช่เรื่องของบาปหรือกรรม
สัตว์และมนุษย์เวียนว่ายตายเกิดอีกชั่ว ๖๔ กัปป์กัลล์อยู่แล้ว
ต่อจากนั้นก็จะบริสุทธิ์ได้เองมิต้องถือศีลทำบุญ"

อำมาตย์อลาตะฟังดังนั้นก็รีบทูลสนับสนุน ว่าตนเองก็เห็นจริงเช่นนั้น
อ้างว่าตนระลึกชาติได้ว่าเคยเป็นคนใจบาปชื่อ "ปิงคละ"ผู้ฆ่าโคขาย
ชาติต่อมายังได้เกิดเป็นกุลบุตรในตระกูลเสนาบดีจนมียศศักดิ์จนถึงวันนี้
มิเห็นต้องตกนรกหมกไหม้แต่อย่างใด
ก็ย่อมแสดงว่าบาปบุญไม่มีจริงดังที่ท่านอาจารย์กล่าว
เพราะหากบาปมีจริง ตนก็คงต้องไปตกนรกหมกไหม้แล้ว

แต่ในทางแห่งความเป็นจริงที่เป็นมา
อำมาตย์อลาตะเกิดเป็นกุลบุตรในตระกูลดี
เนื่องจากในสมัยพระกัสสปพุทธเจ้า
ได้ถวายพวงอังกาบบูชาพระเจดีย์
เมื่อตายไปเกิดเป็นปิงคะผู้ฆ่าโคขาย
และอานิสงส์ในภพที่ถวายพวงอังกาบ
จึงได้มาเกิดเป็นเสนาอำมาตย์ในชาติภพนี้
แต่อำมาตย์ระลึกชาติได้ชาติเดียวจึงเห็นผิดไปว่า
เรื่องการทำบาปมิได้ส่งผลให้ต้องชดใช้กรรมแต่อย่างใด

คนบาปเห็นผิดเป็นชอบ

ในขณะนั้น บุรุษนาม "วิชกะ"
บุตรช่างหม้อยากไร้ได้ฟังความด้วยก็ร่ำไห้ออกมา

ครั้นพระราชาตรัสถาม วิชกะก็กราบทูลว่า ตนเสียใจนัก
ตนเคยระลึกชาติว่าเป็นเศรษฐีเมตตาจิตบริจาคทานอยู่ตลอดชีวิต
แต่ชาตินี้จึงมาเกิดเป็นคนจนอนาถา แสดงว่าบุญและบาปไม่มีจริง ๆ
แน่นอนแล้วล่ะนี่

ซึ่งในความจริงนั้น ชาติเดิมวิชกะเป็นคนเลี้ยงโค
วันหนึ่งโคหายก็พาลดุด่าพระภิกษุที่ผ่านมาถามหนทาง
ตายไปจึงมาเกิดเป็นคนต่ำต้อย
ซึ่งวิชกะระลึกชาติได้แค่ชาติเดียวที่เกิดเป็นเศรษฐี

เมื่อมีผู้สนับสนุนเห็นพ้องด้วย
พระเจ้าอังคติราชก็พลอยเชื่อถือคำของคุณาชีวกะ
จึงทรงตรัสแก่วิชกะว่าพระองค์ก็บริจาคทานไปแล้วเหมือนกัน
นับเป็นทางที่ผิด พระองค์จะหาความสุขให้ตัวเองนับแต่นี้
และไม่มาสำนักนี้อีกเลย
ในเมื่อมิได้มีใครบันดาลผลบุญธรรมแก่เราทุกคน

ตรัสดังนั้นก็มิทรงทำความเคารพชีเปลือยอีก
ทว่าเสด็จกลับวังในทันทีนั้นเอง

เมื่อเสด็จสู่พระราชวังพระเจ้าอังคติราชก็ทรงให้จัด
มหรสพรื่นเริงให้มีดุริยางค์ขับกล่อมตลอดเวลา
มีนางกำนัลตกแต่งกายยั่วยวนฟ้อนรำ
จัดสุราอาหารสำราญพร้อม มิสนใจในกิจแห่งแผ่นดินอีก
ทรงมุ่งแต่มัวเมาในทางกามคุณ ละเว้นโรงทานและศาลาธรรมจนสิ้น

พระธิดาช่วยเหนี่ยวรั้ง


ครั้นเมื่อถึงวันพระขึ้น ๑๕ ค่ำ
พระธิดารุจากุมารก็ทรงเข้าเฝ้าตามกำหนด
พระราชาก็ทรงพระราชทานทรัพย์พันหนึ่งดั่งเดิม
แต่มิได้ใส่พระทัยว่าจะนำเงินไปทำบุญหรือทำสิ่งใด

พระธิดายังทรงถือศีลอุโบสถและทำทานเป็นนิจ
และทรงระลึกชาติได้ ๑๔ ชาติ คือ
ชาติภพเดิม ๗ ชาติ ภพหน้า ๗ ชาติ
และพระนางก็คิดช่วยเหลือพระราชบิดา
ด้วยว่าทั่วนครต่างก็เลื่องลือว่าพระราชา
หลงอบายมุขตามลัทธิชีเปลือยไปเสียแล้วนั้น

ครั้นถึงวันพระอีกคราว
พระธิดารุจาก็เสด็จเข้าตามกำหนด
ทรงให้นางกำนัลแต่งกายละลานตา
ทรงได้สนทนากับพระราชาเป็นอันดี
ทว่าเมื่อทรงทูลขอทรัพย์ตามปกติ
พระราชจึงทรงตรัสว่า
ตั้งแต่แจกทานทำบุญก็มีแต่หมดทรัพย์
แต่มิได้สิ่งตอบแทนคืน
ตอนนี้พระองค์รู้ทางถูกแล้ว
คนเราควรเอาเงินบำรุงบำเรอความสุขให้ตนเอง
ดังนั้นขอให้พระธิดาเลิกเอาเงินไปบริจาคทานเสียทีเถิด
คุณาชีวกะอาจารย์ก็ได้สำแดงลัทธิให้เข้าใจแล้ว
ทาสวิชกะก็ยังยืนยันเช่นกัน

เมื่อธิดารุจาได้ฟังก็ให้สลดพระทัยยิ่งจึงกราบทูลว่า

"ข้าแต่พระบิดา
ไฉนพระองค์หลงผิดไปเชื่อความของคนที่ไร้สติปัญญาเช่นนั้น"

พระราชบิดาตรัสตอบพระธิดาว่า

"เจ้าหญิงเอ๋ย
พ่อเชื่อเพราะเห็นว่าความที่คุณาชีวกะแสดงมานั้นเป็นเรื่องจริงที่น่าเชื่อถือ
ทำให้พ่อหายโง่ เลิกทำบุญถือศีลซึ่งมิได้ผลดีอันใด"

"หากพราหมณ์นั้นกล่าวว่าคนนั้นเสมอเหมือนกัน
และการบำเพ็ญภาวนาไม่มีผลใด
แล้วพราหมณ์นั้นไฉนจึงเฝ้าบำเพ็ญภาวนา
เป็นอาจารย์ให้ผู้คนกราบไหว้และเชื่อฟัง

ข้าแต่พระราชบิดา หากคนเราคบคนพาลย่อมเป็นพาลไปด้วย
หากคบหาบัณฑิตนักปราชญ์ก็ย่อมจะพลอยเป็นปราชญ์ไปด้วย
ชีเปลือยคุณาชีวกะก็ยังให้คนนับถือตนและบำเพ็ญกิริยาต่าง ๆ
แล้วจะมาว่าการบำเพ็ญไม่มีผลบุญบาปได้อย่างไร"

ส่วนอลาตะและวิชกะนั้นระลึกชาติแค่ชาติเดียวเท่านั้น
หม่อมฉันระลึกได้ถึง ๑๔ ชาติ
ในชาติหนึ่งนั้นเกิดเป็นหญิงมีสกุลแต่คบชู้
ตายไปก็ได้เกิดเป็นบุตรมหาเศรษฐี ด้วยผลบุญก่อนยังหนุน
และผลกรรมยังตามมามิทัน
ยามเป็นบุตรเศรษฐีก็ทำทานถือศีลเพราะมีมิตรดี
เมื่อตายไปก็ตกนรกหมกไหม้เพราะผลกรรมที่ลักลอบเป็นชู้ตามมาทัน
จากนรกก็ไปเกิดเป็นลา ถูกทรมานตาย
แล้วเกิดเป็นลูกลิง ถูกกัดกินจนตาย
ก็ไปเกิดเป็นกะเทย
จากนั้นจึงไปเกิดบนชั้นสวรรค์
เป็นพระมเหสีของพระอินทร์ ๔ ชาติ
เพราะผลบุญจากชาติที่ทำทานตามมา
และในชาตินี้ก็เกิดเป็นพระราชธิดาพระราชาคือพระบิดานี้เอง"

พระราชาทรงเงียบนิ่งด้วยเพราะหาทางโต้แย้งมิได้
พระธิดารุจาจึงทูลต่อว่า

"การคบคนเลวต่างหากที่จะพาให้พระบิดาตกนรก
การคบหาคนดีจึงจะเสด็จสู่สวรรค์ได้ คนที่เป็นครูเป็นอาจารย์
หากอบรมสั่งสอนสิ่งชั่วร้ายเลวทรามให้แก่ศิษย์
ผู้เป็นศิษย์ก็ย่อมตกต่ำไปด้วยเสมือนดั่งใช้ใบไม้เน่าห่อปลา
ปลานั้นย่อมจะเหม็นเน่าไปด้วย
หากห่อปลาด้วยใบไม้หอม ปลาก็ย่อมจะหอมหวลด้วยแน่นอน
ขอให้พระบิดาทรงใคร่ครวญ"

เมื่อพระราชาสดับฟังดังนั้นก็ยังมิเปลี่ยนความเชื่อมั่น
ด้วยเพราะยังคงทรงตกต่ำมัวเมาอยู่ในเพศรสมิจฉาทิฐิดังเดิม

ให้ทวยเทพช่วยเหลือ

พระธิดารุจาจึงทรงนมัสการ ๑๐ ทิศ
แล้วตั้งสัตย์อธิษฐานว่า
ขอให้ทวยเทพยดาช่วยให้พระราชบิดา
ให้พ้นทางมัวเมาตามมิจฉาทิฐินั้นด้วยเถิด

"ข้าแต่ทวยเทพยดา ท้าวจตุโลกบาล
ท้าวมหาพรหมแลสมณพราหมณ์ผู้ตั้งอยู่ในธรรม
ขอพระองค์ทั้งหลายทรงโปรดช่วยพระราชบิดาให้พ้นทางมัวเมา
ให้เห็นทางสว่างพ้นจากทางผิดอันมืดมิดด้วยเทอญ"

ยามนั้นพระนารทะมหาพรหมซึ่งคือพระพุทธเจ้านั้นเอง
ได้ทรงจำแลงกายเป็นนักบวชมาเข้าเฝ้าพระเจ้าอังคติราช
โดยเหาะลอยมาในอากาศพร้อมทองหาบหนึ่ง

พระราชาทรงตรัสถามพระมหานารทะว่า
ไฉนพรหมจึงเหาะได้ พระนารทะจึงทรงทูลว่า
เพราะพระองค์บำเพ็ญคุณธรรม ๔ ประการ คือ
รักษาสัจจะ
ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
ไม่ประพฤติผิดในกาม
และประพฤติชอบธรรมทั้งกาย วาจา ใจ คือเสียสละ

พระราชาแคลงพระทัยนัก
ทรงถามว่าภพหน้าและบาปบุญมีจริงหรือ

พระนารทะทรงทูลว่า เรื่องนั้นมีจริงพระราชาจึงทรงว่า
ถ้างั้นก็ขอยืมเงิน ๑ พัน แล้วชาติหน้าจะใช้คืนให้
พระนารทะว่า พระราชเป็นคนผิดศีล
ไม่มีธรรม ตายไปก็จะเกิดในนรก
ซึ่งคงไม่มีใครกล้าลงไปทวงในนรก
แต่หากพระราชาเป็นคนประพฤติชอบ
แม้กี่พันก็จะให้ยืม
เพราะชาติหน้าพระองค์ย่อมชดใช้โดยดี

เมื่อพระราชาฟังแล้วเงียบนิ่ง
พระนารทะจึงทรงกล่าวสืบไปว่า
ถ้าพระราชาหลงผิดในทางอบายมุขละเว้นธรรมเช่นนี้
เมื่อตายไปก็จะเกิดในนรก
ต้องถูกแร้งกาจิกกินจนเลือดโทรมกาย
เจ็บปวดทรมานในนรกโลกันต์อันมืดมิด
มีดหอกคอยทิ่มตำ มีหนามงิ้วเสียดแทง
มีทั้งฝนอาวุธตกลงมาทิ่มแทงใส่กาย
หากล้มไปก็ถูกนิริยบาลรุมแทง
กระหน่ำย่ำเหยียบและโยนลงกะทะเดือด

ในนรกมีภูเขาเหล็กลูกมหึมากลิ้งมาทับบดร่างให้แหลกยับ
ถูกกรอกด้วยน้ำทองแดงจนตับไตไส้พุงขาดวิ่น
ยามหิวต้องกินน้ำเลือดน้ำหนองของตนเอง
บรรดาสุนัขนรกตัวเท่าช้างก็คอยมาแทะกัดกินเนื้อตัว
ให้ทุกข์ทรมานมิรู้สุดสิ้น


พระราชาทรงนิ่งสดับฟังเสร็จแล้วก็ให้หวาดหวั่นพระทัยนัก
ทรงตรัสด้วยความกลัวตัวสั่นว่า

"เรานี้เป็นคนหลงมัวเมาในทางผิด
เรามิอยากตกในนรกเลยนะท่านนารทะ
ขอให้ท่านจงช่วยชี้ทางถูกให้ข้าพเจ้าเถิด"

จากนั้นพระนารทะจึงทรงทูลว่า
ให้พระราชาทรงละมิจฉาทิฐิหมั่นบำเพ็ญกุศลทำทาน
และรักษาศีลอย่างแน่วแน่

บรรดาช้าง ม้า โค กระบือที่แก่เฒ่าก็ให้ปล่อยเสีย
เช่นเดียวกับอำมาตย์ชราก้ฬห้เลี้ยงดูมิต้องทำราชการอีก
และให้ยึดมั่นในการรักษาศีล ๕ และศีล ๘
อันจะมีผลในภายหน้าอย่างสูงส่ง
เป็นทางสู่สวรรค์ชั้นฟ้าด้วย

ให้พระราชาครองราชย์โดยชอบธรรม
ตั้งกายเป็นราชรถ ตั้งจิตเป็นสารถี
ให้สารถีขับรถคือจิตนำกายไป
ประพฤติตามกุศลกรรมบท ๑๐ ประการ
ละเว้นกิเลส สำรวมตน คบมิตรที่ดี
และไม่ประมาทเสมอไป

เมื่อทรงแสดงโอวาทแล้ว
พระนารทะมหาพรหมก็เหาะกลับสู่วิมานแมน

พระราชาและเหล่าเสนาอำมาตย์ที่พบเห็นก็แตกตื่นรีบก้มสัการะ
และนับแต่นั้นมาพระเจ้าอังคติราชก็ประพฤติตามโอวาทพระนารทะ
บำเพ็ญกุศลถือศีลทำทาน ปกครองเมืองโดยสงบร่มเย็น
เมื่อเสด็จสวรรคตก็ทรงขึ้นสู่สวรรค์

คติธรรมอดีตนิทานนี้มีว่าสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
ทำดี ย่อมได้ผลดี
ทำผิดบาป ย่อมได้ชั่วช้าสามานย์เป็นผลตอบ
และการคบมิตรสหายนั้นก็จะส่งผลดีเลวแก่ตัวบุคคลนั้นด้วย

ทศชาติที่ ๙ พระวิฑูรบัณฑิต...

รายละเอียด : เมื่อครั้งอดีตกาลนานมาแล้ว พระบรมศาสดาเคยเสวยชาติ
เป็นผู้มีปัญญาบารมี เข้าใจเวไนยสัตว์และปราบมารให้สิ้นพยศได้
อดีตนิทานมีเรื่องราวดังนี้

ในแคว้นกุรุรัฐ
พระเจ้านัญชัยโกรพทรงครองเมืองอินทปัตตี
มีราชเสวกนามว่า "วิฑูรบัณฑิต"
เป็นอาจารย์สอนธรรมที่มีความปราดเปรื่อง
และน้าวพระทัยให้พระราชาใฝ่ธรรมะด้วยดีเสมอมา

ครั้งนั้นมีพราหมณ์ ๔ คน คบหาเป็นมิตรกัน
ออกบวชด้วยเพราะเบื่อในทางโลกีย์
มีชาวบ้านเลื่อมใสกันทั่วไป
วันหนึ่งคหบดี ๔ คนพบเห็นก็พึงพอใจ
นิมนต์ให้พราหมณ์ไปพักที่บ้านของตนบ้านละคน
ต่างก็สักการะและถวายอาหารอย่างดี
ฝ่ายพราหมณ์ก็พักผ่อนยามกลางวัน

โดยองค์หนึ่งไปสู่ภพดาวดึงส์
องค์หนึ่งไปยังภพพญานาค
องค์หนึ่งไปยังภพพญาครุฑ
องค์หนึ่งไปยังอุทยานพระเจ้าโกรพ

เมื่อกลับมาจากพักผ่อนมาก็เล่าให้เศรษฐีที่อุปการะตนฟัง
ตามที่พราหมณ์แต่ละคนไปพบเห็นมาว่า
สมบัติของแต่ละในภพนั้นเลิศเลออย่างไร
หากอยากได้เสวยสุขเช่นนั้นก็ต้องหมั่นทำกุศลไว้ให้มั่น

คหบดีทั้ง ๔ ก็ปฏิบัติตามเคร่งครัด
เมื่อตายไปก็ได้ไปเกิดเป็นพระอินทร์อยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
อีกคนได้ไปเกิดเป็นพญานาคในเมืองบาดาล
อีกคนหนึ่งไปเกิดเป็นพญาครุฑ
อีกคนไปเกิดในครรภ์พระมเหสีพระเจ้าโกรพ
ประสูติออกมามีพระนามว่า ธนัญชัยกุมาร

เมื่อเจริญพระชันษาขึ้นครองราชย์
พระเจ้าธนัญชัยก็ทรงรักษาศีลบำเพ็ญทานตามที่วิฑูรบัณฑิตถวายพระโอวาท

ตัดสินด้วยปัญญา

คราวหนึ่งพระเจ้าธนัญชัยออกไปถือศีลที่อุทยานในวันอุโบสถ
บรรดาพญานาคพญาครุฑและพระอินทร์ก็มาเจริญสมาธิ
ณ อุทยานแห่งนั้นด้วย

ทั้ง ๔ ต่างใคร่รู้ว่าศีลของผู้ใดจะประเสริฐล้ำยิ่งกว่ากัน
พญานาคจึงกล่าวว่า

"ธรรมดาของครุฑนั้นมักเช่นฆ่านาคอยู่เสมอ
แต่ข้าพเจ้าสามารถอดทนได้
มิให้เกิดอารมณ์เคืองโกรธ
ศีลของข้าพเจ้าจึงประเสริฐนัก"

พญาครุฑจึงเอ่ยว่า
"ข้าพเจ้าอดกลั้นความอยากได้สำเร็จ
เพราะธรรมดาของครุฑย่อมกินนาค
แต่ข้าพเจ้าอดกลั้นได้ ศีลของข้าพเจ้าย่อมประเสริฐนัก"

พระอินทร์เอ่ยบ้างว่า
"ข้าพเจ้าละกามละสมบัติมารักษาศีลได้
ศีลของข้าพเจ้าจึงประเสริฐนัก"

มาถึงพระเจ้าธนัญชัยตรัสบ้างว่า
"ข้าพเจ้าไม่ยึดมั่นในตัณหา
ไม่กังวลในสิ่งใด ศีลของข้าพเจ้าประเสริฐที่สุด"

เมื่อทั้ง ๔ มิอาจตัดสินยอมกันได้ว่าศีลของผู้ใดจึงประเสริฐกว่ากัน
ทั้งหมดจึงพากันไปเล่าความให้วิฑูรบัณฑิตช่วยตัดสินให้กระจ่าง

วิฑูรบัณฑิตทรงทูลว่า ศีลทั้ง ๔ ข้อ
ล้วนเสมอกันเป็นคุณธรรมเลิศล้ำด้วย
เพราะความไม่โกรธคือความขันติ
ความไม่ทำชั่วก็คือความดีงาม
การละกามคุณก็ดีงาม
การไม่ยึดติดกังวลใดก็ดีงามเสมอกัน

ทั้ง ๔ พระองค์ได้สดับก็ให้ปีติยินดี
พระอินทร์พระราชทานผ้าทิพย์สีดอกบัวเนื้อละเอียดเป็นเครื่องบูชาธรรม
พญาครุฑพระราชทานดอกไม้ทอง เกสรแก้ว
พญานาคพระราชทานดอกแก้วมณี
พระเจ้าธนัญชัยพระราชทานโค ๑ พันตัว รถม้า ๑๐๐ คัน ส่วย ๑๖ บ้าน

ครั้นด้านพญานาคเมื่อร่ำลากลับบาดาล
มเหสีวิมาลาเทวีจึงทูลถามหาดวงแก้วที่พระศอ
พญานาคเล่าความให้ฟัง
พระมเหสีจึงอยากฟังธรรมและพบวิฑูรย์บัณฑิตบ้าง
แต่คงขึ้นไปเองมิได้แน่
จึงวางอุบายแกล้งป่วยไข้
ร้องทูลขอหัวใจของวิฑูร
บัณฑิตโดยเจ้าตัวต้องยินดีมอบให้

พญานาคลำบากใจอ้างว่า
วิฑูรบัณฑิตไม่มีใครได้พบเห็นง่ายดาย
ในวังเองก็มีการอารักขาแน่นหนา
จะพาตัวมาก็ยากดั่งสอยพระอาทิตย์นั่นไซร้

พญานาคได้แต่กลัดกลุ้มเมื่อวิมาลาเทวียังป่วยหนักอยู่
พระนางอิรันฑตีพระราชธิดาทราบความก็ทรงอาสา

"เสด็จแม่มิต้องทรงกังวลหรอกเพคะ เรื่องของวิฑูรบัณฑิตนี้
ขอให้ลูกได้จัดการเอง ลูกจะไปยังภพของมนุษย์และ
นำหัวใจของวิฑูรบัณฑิตมาถวายให้เพคะ"

ธิดานาคและยักษา

ครั้นแล้วพระธิดาอิรันฑตีจึงแต่งองค์งดงาม
ประดับดอกไม้แก้วมณีและเครื่องหอม
ว่ายน้ำไปยังกาฬคีรีขึ้นยืนบนยอดแล้วขับร้องฟ้อนรำในบทอันเสนาะหูว่า

"ผู้มีปัญญาทั้งปวง คนธรรพ์ กินนร นาค ครุฑ
หรือมนุษย์อันใดหากนำหัวใจวิฑูรบัณฑิตมาถวายพระมารดาของเราได้
เราจะยอมเป็นคู่ครองภักดีจนตาย"

ยามนั้นยังมียักษ์นามปุณณกะ
ผู้เป็นหลานท้าวเวชสุวรรณ
กำลังขี่ม้าเหาะผ่านมาทางยอดเขา
ได้ยินเพลงไพเราะและโฉมงดงามของพระธิดาก็ให้เกิดหลงใหล
เพราะเคยครองคู่กันมาแต่ปางก่อน
จึงเข้าพบถามความแล้วตกลงจะไปนำดวงใจวิฑูรบัณฑิตมาให้ได้

ยักษ์ปุณณกะ กลับไปทูลขออนุญาตท้าวเวชสุวรรณ
แต่ขณะนั้นท้าวเธอตัดสินคดีพิพาทของยักษ์มิทันฟังความ
ยักษ์ปุณณกะจึงทูลลาไปด้วยนึกว่าทรงอนุญาตแล้ว

เมื่อปุณณกะเหาะไปถึงเมืองราชคฤห์
แวะเก็บแก้วมณีชื่อ "มโนหร"
บนยอดเขาบรรพตไปด้วย
แก้วนั้นมีแวววาวพราวรัศมี
เมื่อเหาะไปถึงอินทปัตตีนครก็เข้าพระราชวังไปขอเฝ้า
พระเจ้าธนัญชัยด้วยสืบทราบมาว่าพระราชาโปรดเล่นสกายิ่งนัก
จึงคิดอุบายทูลท้าแข่งสกา

ขอเดิมพันคือดวงแก้วดวงหนึ่งและม้าตัวหนึ่ง

พระราชาทรงตรัสว่ามีม้าและแก้วมากมายแล้ว
แต่ปุณณกะที่จำแลงเป็นมนุษย์ได้อ้างว่า
ม้าและแก้วของตนมีฤทธานุภาพยิ่งนัก
จากนั้นจึงสำแดงให้พระราชาทอดพระเนตร

จากนั้นจึงขึ้นขี่ม้าทะยานขึ้นบนกำแพง
ฝีเท้าม้าว่องไวจนไม่เห็นตัวม้า
แม้ทะยานลงสระผิวน้ำก็ไม่กระเพื่อม
แล้วก็แสดงดวงแก้วให้ดูในดวงแก้วปรากฎเหล่าเทวบุตรและนางฟ้า
ทั้งนาค ครุฑ และบนสวรรค์ชั้นต่าง ๆ
พระราชาทอดพระเนตรเห็นดังนั้นก็อยากได้
จึงทรงตรัสว่า
ถ้าพระองค์เป็นฝ่ายพ่ายก็จะทรงยกราชสมบัติทั้งปวงให้
เว้นเพียงตัวพระองค์ พระมเหสี และเศวตฉัตรเท่านั้น

แข่งสกา

ครั้นแล้วการเล่นสกาก็ถูกจัดขึ้นที่โรงสกา
พระเจ้าธนัญชัย ทรงอธิษฐานถึงเทพธิดาที่รักษาพระองค์
และสรรเสริญคุณมารดา จากนั้นพระราชาเลือกลูกบาศก์ชื่อพาหุลี
ส่วนปุณณกะเลือกลูกบาศก์สาวดี

ก่อนจะทอดลูกสกาทองคำนั้น ปุณณกะได้ขอให้เสนาอำมาตย์
และกษัตริย์ทั่วทวีปที่มาประชุมกันพอดีในวันนั้นได้ร่วมเป็นพยานการแข่งขัน
มิให้เกิดการอิดออดบิดพลิ้ว ถ้ามีการพ่ายแพ้
คนทั้งปวงในที่นั้นต่างก็รับคำโดยดี

เมื่อพระราชาทอดลูกบาศก์ลง
ปุณณกะก็บังคับลูกบาศก์ให้ออกแต้มไม่ดี

พระราชาทรงรับลูกบาศก์ไว้ได้ก่อนตกพื้น
ปุณณกะจึงถลึงตาใส่เทพธิดาและยักษ์เสนาบดีของเมือง
จนตกใจหวาดกลัวหนีไปจนสุดขอบจักรวาลกันทั้งสิ้น

เมื่อโยนลูกบาศก์อีก ผลออกมาแต้มพระราชาก็พ่ายแพ้
ยักษ์ปุณณกะจึงประกาศก้องว่า

"เราชนะแล้ว พระราชาแพ้แล้ว"

จากนั้นปุณณกะก็ทูลทวงถามถึงของเดิมพัน
ซึ่งผู้ชนะจะต้องได้ พระเจ้าธนัญชัยราชาจึงตรัสว่า

"พ่อหนุ่มเอ๋ย เมื่อท่านเป็นผู้ชนะ
ก็จงขนเอาทรัพย์สินแก้วแหวนเงินทอง
แลช้างม้าทั้งปวงของเราไปเสียเถิด"

"ข้าแต่พระราชา
สิ่งที่มีค่าเหล่านั้นข้าพระองค์มิต้องการหรอกพระเจ้าข้า"

พระราชาสดับฟังดังนั้นก็ให้งุนงงนัก ตรัสถามว่า

"ถ้าเจ้าไม่ต้องการทรัพย์สินเงินทอง
แล้วยังมีสิ่งใดที่ต้องการอีกหรือ"

ยักษ์ปุณณะทูลตอบด้วยเสียงอันดังว่า
"ข้าพระองค์ต้องการตัววิฑูรบัณฑิตพระเจ้าข้า"

พระราชาทรงตกพระทัย ตรัสปฏิเสธว่า
"เราเดิมพันยกเว้นตัวเราด้วย
แต่วิฑูรบัณฑิตนั้นก็เปรียบเป็นตัวของเราเอง
จึงมิอาจยกให้ได้หรอกนะ
ขอให้เป็นสิ่งของอื่นเถิด




เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Bing [Bot] และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO