นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อาทิตย์ 12 พ.ค. 2024 2:49 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: เรื่องราว
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 06 ก.ค. 2012 7:51 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4556
จากนั้นสุวรรณสามก็ให้บิดามารดาเกาะไม้เท้าเดินกลับบรรณศาลาอาศรม
แล้วสุวรรณสามก็ปฏิบัติบำรุงบิดามารดาอย่างดีเลิศ
นำเชือกมาผูกไว้เป็นราวยังที่เดินจงกรม และที่ต่าง ๆ
รอบอาศรมเพื่อให้บิดามารดาเกาะแล้วเดินไปได้สะดวก

ยามเช้าปัดกวาดจัดที่นั่งที่นอนให้เรียบร้อยออกไปตักน้ำที่แม่น้ำมิคสัมมตา
จากนั้นจึงออกไปขุดเผือกมันหาผลหมากรากไม้
ยามเย็นก่อไฟต้มน้ำล้างมือและเท้าให้บิดามารดา
ตัวเองก็กินผลไม้ที่เหลือจากบิดามารดาแล้ว
มีความสุขสงบด้วยกัน ๓ คน เป็นที่ตื้นตันแก่บิดามารดานัก

เคราะห์กรรม


ต่อมาได้มีพระเจ้ากบิลยักราช กษัตริย์กรุงพาราณสีได้เสด็จตามลำพัง
เพื่อมาล่าสัตว์ในป่าด้วยความโปรดปราน
ครั้นเมื่อพระราชาเสด็จประพาสผ่านมาทางแม่น้ำมิคสัมมตา
ทรงพบ เห็นรอยเท้ากวางมากมาย จึงหลบซุ่มในพุ่มไม้หวังยิงกวาง
ซึ่งในไม่ช้าหมู่เนื้อและกวางต่างก็ตามสุวรรณสาม
มาที่ริมแม่น้ำราวกับเป็นบริวารที่จงรัก

พระราชามิเคยเห็นว่าจะมีผู้คนอยู่ในป่าลึกแห่งนี้
อีกทั้งความสง่างามของสุวรรณสาม พระราชาจึงทรงดำริว่า

"เออหนอ คนผู้นี้เป็นคนหรือเทพยาแห่งป่าหิมวันต์กันหนอนี่
หรือว่าเป็นนาคป่า หากเราเข้าไปใกล้คงจะเหาะเหินหายไป
สู้เรายิงให้บาดเจ็บดีกว่าจะได้เข้าไปดูให้รู้แน่"

ดำริดังนั้นพระราชาจึงทรงธนูอาบพิษ
แล้วน้าวคันศรยิงลูกธนูเล็งไปทางสุวรรณสาม
ที่กำลังตักน้ำขึ้นแบกบ่าพอดี

ลูกธนูปักเข้าที่ร่างของสุวรรณสามหมู่ฝูงสัตว์ตกใจหนีกันไปสิ้น
สุวรรณสามยกหม้อน้ำจากบ่าลงวางบนทรายแล้วร้องออกไปว่า

"ผู้ใดยิงเราขอให้ออกมาเถิด เราไม่ใช่เนื้อใช่สัตว์
ท่านจะยิงเพื่อประโยชน์ใดกัน ท่านจงออกมาเถิด
เราไม่ทราบว่าท่านต้องการอะไรจากเรา"

พระราชาสดังฟังดังนั้นก็ประหลาดพระทัย
ที่เห็นบุรุษหนุ่มรูปงามถูกยิงแล้วยังไม่ก่นด่าเคืองแค้น
กลับร้องเรียกด้วยถ้อยคำอ่อนโยน
พระราชาจึงเสด็จออกมาและตรัสว่า

"เราคือพระราชาแห่งเมืองพาราณสีมีความชอบธรรมและช่ำชองในเชิงธนู
เจ้าละเป็นใครกันอยู่ในป่านี้กับใครบ้าง"

"ขอพระราชาทรงมีพระชนมายุยืนนานเถิด
ข้าพระองค์ชื่อสุวรรณสามเป็นบุตรของฤาษี
มิทราบว่าทำไมพระองค์จึงยิงข้าพระองค์เช่นนี้
ช้างถูกยิงเพื่อเอางา เสือถูกฆ่าเพื่อเอาหนัง
และพระองค์ทรงต้องการอะไรในตัวข้าพระองค์เล่า"

"ก็เพราะเจ้าเดินมา ฝูงเนื้อกวางจึงแตกตื่นอลหม่าน
เราตั้งใจจะยิงสัตว์" พระราชาทรงตรัสมุสา

"พระองค์มิอาจกล่าวนั้น ตั้งแต่ข้าพระองค์เกิดมา
ฝูงสัตว์ในป่าไม่เคยกลัวข้าพระองค์เลยแม้แต่น้อย
ไปไหนก็ยังตามไปด้วยกันดั่งเพื่อน
ข้าพระองค์ถูกยิงดังนี้สงสารก็แต่บิดามารดา
ซึ่งตาบอดอยู่ลำพังมิอาจตักน้ำเองได้"

พระราชาสดับฟังดังนั้นก็รีบถามความเป็นไป
สุวรรณสามจึงกราบทูลว่าตนมีบิดามารดาที่ดวงตามืดบอด
และตนเองต้องปรนนิบัติบำรุง แม้จะมีอาหารอยู่อีก ๗ วัน
แต่น้ำก็ไม่มีและคงจะเฝ้าห่วงเรียกหาตนผู้เป็นบุตรที่หายไปอย่างนี้

พระราชาทอดพระเนตรดูบุรุษกตัญญูที่นอนจมกองเลือดรำพันถึงแต่บิดามารดา
ก็ทรงสลดหดหู่ใจและสำนึกในผิดที่ทำร้ายบุตรผู้ประพฤติเลิศล้ำเพียงนี้
จึงทรงตรัสด้วยดำริจะเปลื้องบาปของพระองค์ว่า

"ดูกร พ่อหน่มที่น่าสงสาร เราผิดนักที่ยิงเจ้าเช่นนี้ เจ้าอย่าห่วงกังวลใดเลย
เราจะเลี้ยงดูบิดามารดาของเจ้าให้เหมือนกับที่เจ้าบำรุงเลี้ยง
เจ้าจงบอกทางไปอาศรมของบิดามารดาให้เราด้วยเถิด"

"เป็นพระคุณยิ่งนักแล้ว"

เมื่อสุวรรณสามชี้ทางบรรณศาลาแล้วก็แน่นิ่งไป
พระราชาทรงสลดใจยิ่งนักกับบาปที่พระองค์ก่อขึ้น
ทรงโปรยมวลดอกไม้ปะพรมน้ำและทำทักษิณา ๓ รอบ
ก่อนแบกหม้อน้ำกลับไปยังอาศรมฤาษี

แต่ฝีเท้าที่แตกต่างกันนั้น
ทำให้ดาบสและดาบสินีรู้ว่ามิใช่สุวรรณสามจึงเอ่ยว่า

"ท่านเป็นใครกันหนอ ท่านมิใช่บุตรเราเป็นแน่"

พระราชาคิดจะดูแลดาบสทั้งสองแทนสุวรรณสาม
แต่เมื่อถูกล่วงรู้เช่นนั้นจึงทรงยอมรัยว่า

"เราคือพระราชาแห่งพาราณสี มีวิชาธนูเป็นที่เลิศล้ำ"

"โอ พระราชาเสด็จป่า ขอพระองค์ทรงเสวยผลไม้เล็กน้อยนี้เถิด
และมีน้ำเย็นที่ลูกสามของข้าพระองค์ไปตักมาจากแม่น้ำด้วย
เดี๋ยวบุตรข้าพระองค์ก็คงจะกลับมาถึงแล้วพระเจ้าข้า"

พระราชาจึงตรัสความจริงว่า
พระองค์ยิงสุวรรณสามตายแล้ว
และพระองค์จะเป็นผู้บำรุงปฏิบัติแทนเองเพื่อไถ่บาปกรรมนี้

นางปาริกาได้ฟังดังนั้นก็ร่ำไห้คร่ำครวญ
แต่ทุกูลดาบสก็กล่าวต่อนางว่ามิให้ถือบาปต่อพระองค์อีกเลย
แล้วทั้งสองก็ขอให้พระราชาพาตนไปยังศพของสุวรรณสาม

ครั้นไปถึงริมฝั่งแม่น้ำ
นางปาริกาดาบสินีก็ยกเท้าของสุวรรณสามขึ้น
วางบนตักนางพรางทุกขเวทนา

"ลูกสามเอ๋ย ใครเลยจะดูแลปัดกวาดอาศรม ตักน้ำตักท่า
หาผลไม้มาให้พ่อแม่อีก ถ้าเจ้ามาจากไปอย่างนี้"

ขณะพร่ำอาดูรลูบคลำบุตรรัก
นางก็พบว่าอกของพระสุวรรณสามยังอุ่นอยู่
จึงตั้งจิตทำสัจกิริยาแก่บุตร
ขณะที่ตั้งสัตย์อธิฐานเทพธิดาซึ่งเป็นมารดาของสุวรรณสามปางก่อน
ก็มาร่วมผสานจิตใจด้วย ทุกูลดาบสและปาริกาดาบสินีก็อธิษฐานว่า

"เราผู้เป็นบิดามารดาของสุวรรณสาม มีความเศร้าโศกเป็นที่ยิ่งนัก
เราขอประกาศสัจจะว่า บุตรเราเลี้ยงดูบิดามารดาและประพฤติชอบธรรม
ขอให้อานุภาพบุญกุศลของบุตรเรา
ดลบันดาลให้พิษในตัวบุตรเราจงหายสิ้นไปด้วยเถิด"

ด้วยอำนาจอธิษฐานและแรงภาวนาแห่งสัจจวาจา
ในที่สุดสุวรรณสามก็ฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก

พร้อมกันนั้นดวงตาทั้งสองของบิดามารดาสุวรรณสาม
ก็พลอยสว่างไสวมองเห็นได้ดังเดิมอีกด้วย
พระราชาเห็นดังนั้นจึงทรงตรัสอย่างปิติว่า

"แม้เทวดาก็ยังมาคุ้มภัย
ให้แก่คนปฏิบัติต่อบิดามารดาอย่างชอบธรรมเช่นนี้
นับเป็นที่น่าสรรเสริญยิ่งนัก"

ฝ่ายสุวรรณสามก็กราบทูลกษัตริย์กบิลยักขราชว่า
การที่ตนฟื้นคืนสติมาได้นั้นด้วยเพราะอานิสงส์ผลบุญ
ในการที่ปรนนิบัติเลี้ยงดูมารดาบิดาให้เป็นอยู่สุขสบาย
แลตัวพระองค์ผู้เป็นราชานั้นก็เสมือนดั่งร่มไม้ใหญ่
ที่ต้องแผ่ร่มเงาแก่ผู้คนทั้งปวง
ดังนั้นพระองค์สมควรจะปฏิบัติอย่างดีต่อพระราชบิดาพระราชมารดา
รวมไปถึงเหล่าโอรสธิดาและไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินทั้งปวง
ให้พวกเขาเกิดความสงบสุขสบายทั่วหน้า

สุวรรณสามยังทูลขอให้พระองค์บำรุงเหล่าสมณพราหมณ์
มีเมตตาต่อสรรพสัตว์ ตั้งอยู่ในกายสุจริต วจีสุจริต และมโนสุจริต คือ
การทำดี พูดดี และคิดดีนั่นเอง
หากประพฤติให้งดงามดั้งนี้พระองค์ก็ย่อมมีเทวดารักษาคุ้มครอง
และได้ไปเสวยสุขในภพสวรรค์ต่อไป

พระราชาสดับฟังแล้วเกิดศรัทธาและสำนึกในสัจธรรมนั้น
พระราชาทรงขออภัยสุวรรณสาม แล้วเสด็จกลับนคร
ทรงเลิกการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตและบำเพ็ญกุศลอย่างมุ่งมั่นมิเคยขาดหาย

สุวรรณสามก็ได้บำรุงปรนนิบัติบิดามารดา
และบำเพ็ญพรตพรหมจรรย์ตราบจนสู่ห้วงภพสุคติ


คติธรรมในชาดกนี้ว่าด้วยเรื่องของความมีเมตตาจิต
ซึ่งจะทำให้ชีวิตสุขสงบได้โดยไร้ภยันอันตรายใด ๆ
ธรรมนั้นคือเกราะแก้วมิให้ถูกผู้ใดทำร้ายได้เป็นแน่แท้


ทศชาติที่ ๔ พระเนมิราช...

รายละเอียด : ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าทรงบิณฑบาตแล้วเสด็จประทับ
ณ อัมพวัน สวนมะม่วง กรุงมิถิลา และพระอานนท์กับ
พระภิกษุทั้งมวลได้กราบทูลอาราธนาให้พระองค์
ทรงโปรดปรานเล่าเรื่องอดีตชาติดังต่อไปนี้

เมื่อครั้งอดีตกาล พระพุทธเจ้าทรงเสวยพระชาติเป็นพระราชาครองมิถิลานคร
มีพระนามว่า "มะฆะเทวราช"

ซึ่งการครองบัลลังก์ของราชวงศ์นี้จะเป็นไปตามสัตย์อธิษฐานว่า
เมื่อเกศาหงอกเมื่อใดก็จะทรงออกผนวชและยกราชสมบัติให้พระราชโอรสต่อไป
ดังนั้นเวลาที่ช่างภูษามาลามาตบแต่งพระเกศาพระราชาก็จะทรงรับสั่งเสมอว่า
ถ้ามีพระเกศาหงอกก็จงทูลให้ทรงทราบด้วย

เทพบุตรจุติ

ยามนั้นเทพบุตรบนสวรรค์นาม "เนมิราช"
เล็งเห็นว่าราชวงศ์กษัตริย์นี้อาจจะมิมีผู้ใดสืบสันติวงศ์ต่อไป
จึงจุติลงมากำเนิดในครรภ์ของพระอัครมเหสีของพระเจ้ามะฆะเทวราช
เมื่อประสูติออกมาก็ได้รับพระนามว่า "เนมิราช"
ด้วยว่าเหล่าพราหมณ์คิดว่าพระราชโอรสประสูติมาแล้ว
ก็ต้องกระทำตามกฎสัตย์อธิษฐานของราชวงศ์ที่ต้องขึ้นครองราชย์
และก็ต้องออกบรรพชาเมื่อพระเกศาหงอกแล้ว


พระเนมิราชเมื่อทรงเยาว์ก็มีพระทัยเปี่ยมด้วยเมตตาธรรมทรงตั้งโรงให้ทาน
และพระราชทานทรัพย์วันละหลายแสน พระองค์เองก็ทรงถือศีล ๕
ประพฤติปฏิบัติธรรมเคร่งครัด

ต่อมาพระเนมิราชทรงได้ขึ้นครองราชย์แทนพระบิดาซึ่งออกบรรพชาไปแล้ว
พระองค์ทรงสงสัยเรื่องการให้ทานกับการถือศีลว่าอานิสงส์สิ่งใดจะมากกว่ากัน
พระอินทร์จึงเสด็จจากทิพย์อาสน์ลงมายังห้องบรรทมของพระเนมิราช
แล้วตอบความคลางแคลงพระทัยนั้นว่า

"ดูกรสมมติเทพ ผลบุญของการถือศีลนั้นมากกว่าการให้ทานหลายร้อยเท่า
หากถือศีลเจริญสมาธิแล้วก็จะได้นิพพาน ไปเกิดในพรหมโลก
ดังนั้นขอให้ท่านจงอุตสาหะหมั่นถือศีลมิรู้เสื่อมสิ้น"

เมื่อพระเนมิราชสดับฟังดังนั้นก็นิมนต์สงฆ์มาเทศนาสั่งสอน
ไฟร่ฟ้าข้าแผ่นดินเนือง ๆ พระองค์เองก็รักษาศีล
และพร่ำอบรมให้เสนาอำมาตย์และพสกนิกรถือศีลให้เคร่งครัด

เสด็จชมสวรรค์-นรก


บรรดาไฟร่ฟ้าเมื่อตายไปก็ได้ไปเกิดเป็นเทวดาในพรหมโลก
ต่างก็สำนักว่าเป็นเพราะพระเนมิราชสั่งสอนให้ตน
รักษาศีลรักษาธรรมนั่นเอง จึงอยากชมพระบารมีพระเนมิราช
พระอินทร์จึงให้พระมาตุลีเทพบุตรเทียมเวชยันต์ราชรถลงไปยังมิถิลาพระนคร
เพื่อเชิญเสด็จพระเนมิราชขึ้นสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงษ์

พระเนมิราชทรงลาเสนาอำมาตย์ขึ้นราชรถไป
ครั้นถึงระหว่างทางพระมาตุลีเทพบุตรจึงกราบทูลว่า

"พระองค์จะเสด็จสู่นรกภูมิก่อนหรือไม่ บรรดาสัตว์ที่กระทำบาป
หยาบช้าเมื่อพบพระองค์บำเพ็ญกุศลศีลทาน อาจได้ไปเกิดในสวรรค์บ้าง"

"ถ้าเช่นนั้น ท่านจงพาเราไปชมนรกก่อนเถิด จากนั้นค่อยไปทางสวรรค์"

เมื่อพระเนมิราชตกลงดังนั้น พระมาตุลีเทพก็นำเสด็จไปยังชั้นนรก
ในภูมินรกนั้นมีธารน้ำอันเดือดเป็นนิจ
มีเปลวรุ่งโรจน์แผดเผาให้เร่าร้อนมิมีวันดับ
นายนิรยบาลก็ยืนถือดาบใหญ่และหอกยาวคอยทิ่มแทง
สัตว์นรกทั้งปวงเมื่อเจ็บปวดก็กระโดดลงแม่น้ำเวคะตะระณีนัทที
ซึ่งมีแต่หนามหวายคมดั่งกรด
เมื่อถูกเนื้อตัวส่วนใดเนื้อก็ขาดแหว่งทันที
หากหนีจากหนามหวายก็เจอฉมวกหลาวเสียบเข้าร่างกาย
ตกลงไปสู่บัวเหล็กก็ถูกบาดให้ขาดเป็นท่อน
ตกลงไปในน้ำร้อนเดือดเป็นพวยพุ่ง หนีขึ้นฝั่งก็ถูกทิ่มแทงสกัดไว้
มีคีมคีบถ่านแดงใส่ปากให้แสบร้อนทุรนทุราย
เป็นนรกขุมที่คนผู้เคยรักแกคนที่อ่อนแอกว่าต้องมารับกรรม

อีกด้านหนึ่งมีสุนัขตัวดั่งช้างคอยไล่กัดกิน
มีนกแร้งคอยรุมแทะไส้พุงและกระดูก
เหล่าสัตว์นรกร่างกายฉีกขาด
ต่างก็ร่ำร้องคร่ำครวญโหยหวนไปทั่วทุกแห่ง

คนที่ฆ่าสัตว์หรือทำร้ายสัตว์ก็จะถูกหิ้วคอด้วยพรนเหล็ก
ถูกกวัดแกว่งแล้วโยนใส่น้ำร้อนจนตายไป
ไม่นานก็ฟื้นใหม่มาถูกรัดคอจนตายแล้วตายอีก

คนที่เคยคดโกงเงินทาน
ก็จะถูกโยนลงไปในถ่านเพลิงให้ไฟไหม้ท่วมตัว

คนที่ใจบาปหยาบช้า ก็จะถูกทุบตีด้วยกระบองเหล็กจนตัวแหลกราญ
ร่างลุกเป็นเปลวไฟดิ้นพล่านอย่างปวดแสบเจ็บแสน

คนที่ฆ่าบุพการี ก็จะกลายเป็นสัตว์นรกเหม็นเน่า
ต้องดื่มกินเลือดหนองของตัวเองต่างน้ำยามหิวกระหาย

คนที่มีชู้ ก็ถูกไล่ทิ่มแทงให้ปีนต้นงิ้วที่เต็มไปด้วยหนามแหลมคม
ตกลงมาก็ถูกฝังทับด้วยภูเขาเหล็กจนร่างปี้ป่น
เกิดเสียงดังกำปนาทน่าระทึกหวาดผวา

นรกขุมต่าง ๆ ๑๕ ขุมนั้นมีดังนี้คือ
เวตรณีนรก นรกสุนัข นรกทองแดง นรกหม้อทองแดง
นรกถ่านเพลิง นรกโซ่ทองแดง นรกแหลมหลาว นรกทุบตี
นรกแม่น้ำแกลบ นรกน้ำหนอง นรกคูถ นรกเป็ด
นรกสัตว์อุบาทว์ นรกบ่อไฟ นรกภูเขา-เหล็กไฟ

ภาพขุมต่าง ๆ ในนรกทั้ง ๑๕ ขุมทำให้พระเนมิราชสลดหดหู่พระทัย
และประหวั่นพรั่นพรึงยิ่งนัก ขณะนั้นองค์อินทร์ได้ส่งเทวบุตรมาเตือน
ให้พระมาตุลีเทพรีบเชิญเสด็จพระเนมิราชสู่ภพของสวรรค์
ด้วยเกรงว่าเวลาของพระชนมายุจะหมดลงเสียก่อน
หากใช้เวลาในนรกภูมินานเกินไป
พระมาตุลีเทพบุตรจึงขับรถเวชยันต์สู่สวรรค์

บนชั้นวิมานแมนนี้ มีเทพธิดาเทพบุตรมากมาย
คนบางคนเคยเป็นทาสรับใช้พราหมณ์
ได้รับทรัพย์จากพราหมณ์นำไปซื้อเครื่องไทยทานถวายภิกษุ
เมื่อตายก็ได้จุติเป็นนางฟ้านางสวรรค์

พระมาตุลีเทพบุตรได้นำราชรถเสด็จผ่านสวรรค์ทั้ง ๗ ขั้น
แต่ละชั้นวิมานนั้นมีแต่แสงรุ่งเรืองพราวพราย
ดั่งรัศมีทรงกลดของดวงอาทิตย์

ในวิมานแก้ววิมานทองนั้นมีเทวบุตร ๑ องค์
แวดล้อมพร้อมพรักด้วยเหล่านางอัปสร

เทวบุตรในวิมานหนึ่งเคยเป็นคหบดีนาม "โสณทินนะ"
อยู่ที่เมืองกาสักราช ได้หมั่นทำบุญสร้างอุโบสถ ๗ อุโบสถ
ถวายจตุปัจจัยทั้ง ๔ แก่ภิกษุสงฆ์
จิตใจยึดมั่นรักษาศีลประพฤติชอบด้วยธรรม
เมื่อดับจิตแล้วจึงมากำเนิดเป็นเทวบุตรอยู่ในวิมานแก้วดังนี้เอง

เมื่อเล่าความแต่ละหนทางที่เคลื่อนรถผ่านแล้ว
พระมาตุลีเทพก็นำเสด็จพระเนมิราชไปชมวิมานแก้วสูง ๒๕ โยชน์
ประดับ ๗ แก้วแวววาว ฉัตรเงินฉัตรทองส่องแสงรุ่งรัศมี
มีสระโบกขรณีที่ผนังล้วนเป็นผลึกแก้ว
มีเทพบุตรเทพธิดาเสพย์ทิพย์อยู่ทั่วสถาน

พระเนมิราชทรงตรัสถามว่า
เทพเหล่านั้นประพฤติชอบใดเมื่อยังเป็นมนุษย์

พระมาตุลีเทพบุตรกราบทูลว่า
เทพเหล่านี้เมื่อเป็นมนุษย์ได้รักษาศีลบำเพ็ญทานอยู่ตลอดชีวิต
เมื่อตายจึงได้มาเกิดเป็นเทพอยู่บนวิมานชั้นนี้

วิมานแก้วไพฑูรย์และวิมานแก้วผลึกก็เป็นของเทพที่เคยบริจาค
ถวายจีวรให้สงฆ์ในฤดูหนาว วิมานทองนั้นเป็นของเทพที่เคยรักษาศีล
ถวายทานบิณฑบาตให้ทานคนยากไร้อนาถา สร้างพระอารามถวายสงฆ์

ในแต่ละชั้นวิมานมีแต่เสียงมโหรีไพเราะ
และกลิ่นหอมฟุ้งขจรของมวลพฤกษาบุปผชาติสวรรค์
แต่มิทันจะครบถ้วนทุกวิมานพระอินทร์จึงให้มหาชวนะเทพบุตร
มาตามด้วยเกรงว่าจะหมดพระชนมายุพระเนมิราชเสียก่อน

พระมาตุลีเทพบุตรจึงขับราชรถผ่านภูเขาและแม่น้ำสีทันดร
ซึ่งมีสายน้ำลึกนักมิอาจมีสิ่งใดข้ามได้แม้แต่เรือ แพ
หรือเกล็ดแววนางนกยูง ริมน้ำมีเขา ๗ ชั้น
เรียงดั่งอัฒจันทร์ เป็นที่อยู่ของกินนร
วิทยาธร คนธรรพ์ และยักษ์

หน้าประตูชั้นดาวดึงส์มีรูปพระอินทร์ประดิษฐ์ไว้
ในเมืองกว้างกว่า ๑ หมื่นโยชน์ เหนือยอดเขาพระสุเมรุ
ล้อมรอบด้วยซุ้มทวารแก้วและกำแพงทองประดับแก้ว ๗ ประการ

พื้นทั่วไปนั้นมิมีฝุ่นผง มีแต่มวลบุปผานานาพันธุ์ออกดอกโต
และส่งกลิ่นหอมรวยรินทั่วทุกหน

พระเนมิราชถูกเชิญเสด็จสู่โรงสุธัมมาเทวสถาน
เหล่าทวยเทพยดาและเทพธิดาพากันนำดอกไม้
และเครื่องหอมทิพย์มาสักการะบูชาพระเนมิราช
และอันเชิญเสด็จให้เสวยสิริสุขอยู่บนสรวงสวรรค์
อันเป็นทิพย์นิรันดร์

หากทว่าพระเนมิราชทรงตรัสว่า

"เรามิมีประสงค์เช่นนั้น
เราได้เห็นผลกรรมของมนุษย์ที่น่าทุกขเวทนายิ่งนัก
ให้รู้สึกสลดหดหู่ใจเหลือเกิน และเราก็ปีตินัก
ที่ได้เห็นคนได้ผลบุญจนมาเสวยสุขในชั้นวิมาน
เราจึงปราถนาจะได้สั่งสอนคนให้รู้จักประกอบคุณงามความดีไว้
เพื่อมิต้องมาตกนรกหมกไหม้ดังนี้"

จากนั้นพระเนมิราชก็ทรงแสดงธรรมและสรรเสริญพระมาตุลีเทพบุตร
แล้วจึงร่ำลากลับมายังเมืองมนุษย์

พระเนมิราชทรงตรัสเล่าเรื่องราวที่ทรงทอดพระเนตรมาในเมืองนรก
และเมืองสวรรค์อย่างละเอียดให้แก่ข้าราชบริพารและชาวเมือง
เมื่อได้ฟังความน่ากลัวของนรกและความงดงามของสวรรค์แล้ว
เหล่าชาวเมืองก็ตื้นเต้นและตระหนักในเรืองบุญและกรรมกันยิ่งขึ้น

พระเนมิราชได้ทรงปฏิบัติมโนปณิธานของพระองค์
รักษาศีลส่งสอนไพร่ฟ้าเสนาอำมาตย์ให้หมั่นทำความดีทำการกุศลมิได้ขาด
แล้วจึงเสด็จออกบรรพชาอยู่ในอัมพวันอุทยานของมิถิลาพระนคร
และได้เสด็จจุติในสวรรค์ชั้นฟ้าเมื่อทรงสวรรคตแล้ว

เนมิราชชาดกเรื่องนี้มีคติธรรมสอนถึงการหมั่นรักษาความดี
ประพฤติชอบโดยตั้งใจ โดยมุ่งมั่น หากทำความดีแล้วย่อมได้ดี
ประพฤติชั่วย่อมได้ผลชั่วตอบแทน นี้เป็นเรื่องที่สมควรยึดมั่นโดยแท้


ทศชาติที่ ๕ พระมโหสถ...

รายละเอียด : บรรดาพระภิกษุที่มาประชุมสรรเสริญพระปัญญาบารมี
ของพระบรมศาสดา ณ เชตวันวนารามได้กราบทูล
ขอให้พระองค์ทรงประทานเล่าเรื่องอดีตชาติ
เมื่อครั้งพระองค์ทรงเสวยพระชาติ
เป็นผู้ประพฤติเพื่อประโยชน์โพธิญาณ
พระพุทธเจ้าทรงโปรดเป็นพระธรรมเทศนาดังนี้

เมื่อครั้งสมัยอดีตกาล
กรุงมิถิลามีพระราชาองค์หนึ่งพระนาม "วิเทหะ"
พระองค์ทรงมีราชบัณฑิต ๔ คน มีนามว่า
เสนกะ ปุตกุสะ กามินท์ และเทวินทะ
เป็นราชบัณฑิตประจำสำนักคอยถวายทางธรรมแก่พระราชานานมา

คืนหนึ่ง พระเจ้าวิเทหะทรงสุบินว่า
มีกองไฟกองใหญ่สุมโชนโชติช่วงอยู่ที่มุมพระลานมุมละ ๑ กอง
และตรงกลางพระลานมีกองไฟน้อย ๑ กอง ที่ลุกรุ่งโรจน์กว่าไฟกองใหญ่
บรรดาเทวะและผุ้คนต่างก็มาสักการบูชากองไฟนั้นด้วยบุปผชาติ
และเครื่องหอมนานา เมื่อสะดุ้งตื่นบรรทมขึ้นมาพระราชาจึงให้ ๔ บัณฑิต
แห่งสำนักทำนายพระสุบินนั้น

ราชบัณฑิตทั้ง ๔ ถวายคำทำนายว่า
ในมิถิลาจะมีคนมีบุญญาธิการมากำเนิด
คือกองไฟกองน้อยกลางลานนั้นเอง
และที่ลุกโชนรุ่งโรจน์ยิ่งกว่า ๔ กองไฟมุมพระลานนั้น
ก็หมายความว่าบัณฑิตผู้เปี่ยมบุญนั้นจะมีปัญญาเหนือกว่าพวกตน
คือบัณฑิตทั้ง ๔ แห่งพระนครนี้อีกด้วย

ในเวลานั้น ทางทิศตะวันออกของนคร
มีบ้านของเศรษฐีนาม "สิริวัฒกะ" และนางสุมนาเทวีผู้ภรรยา
ได้คลอดทารกชายที่มีผิวเปล่งปลั่งดั่งทองทา
อีกทั้งในมือทารกน้อยยังถือแท่งโอสถติดมา ๑ แท่ง
เป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
อันตัวเศรษฐีสิริวัฒกะผู้มีโรคปวดศีรษะเรื้อรังมา ๗ ปีแล้ว
เมื่อได้แท่งยานั้นทาศีรษะก็ปรากฎว่าโรคหายขาดทันตาเห็น
อานุภาพของยานี้ทำให้ผู้คนต่างพากันมาขอยาวิเศษนี้กันทั่วถ้วน

กุมารน้อยสร้างศาลาธรรม

กุมารน้อยนี้จึงได้นามว่า "มโหสถ"
และในวันที่กำเนิดก็มีเด็กกำเนิดพร้อมกันอีก ๑ พันคนด้วย
เด็กทั้งพันคนต่างก็ได้ของกำนัลจากเศรษฐีสิริวัฒกะ
เพื่อเป็นมงคลโดยทั่วกัน

เมื่อพระมโหสถอายุ ๗ ปีเต็ม
พระมโหสถเล่นหัวกับเพื่อน ๆ ทุกวันก็เห็นว่าถูกแดดถูกฝน
จึงให้ทุกคนนำเงินมาคนละ ๑ ตำลึง รวบรวมได้ ๑๐๐๐ ตำลึง
จึงนำไปให้ช่างสร้างศาลาเป็นส่วน ๆ

ในศาลานั้นมีห้องสำหรับหญิงอนาถามาคลอดทารก
ห้องสำหรับสมณพราหมณ์มาพักพิง
ห้องสำหรับคนเดินทางแวะพักและห้องสำหรับเล่นกัน
รวมเป็น ๔ ห้องใหญ่

ภายในศาลาก็ให้มีภาพจิตรกรรมผนัง รอบศาลาให้ขุดสระบัว
ปลูกสวนไม้ดอกให้ชื่อว่า "สวนนันทวัน"

ฝ่ายพระราชานั้นก็ให้ราชบัณฑิตทั้ง ๔
ออกตามหาเด็กผู้มีบุญที่ทรงสุบินเมื่อ ๗ ปีก่อน
เสนกะบัณฑิตไปทางตะวันออก ก็พบบุตรเศรษฐีสร้างศาลา
และเปิดวินิจฉัยคดีความแก่ชาวบ้านอยู่เนือง ๆ
จึงไปกราบทูลพระราชาทราบ
พระราชาเชื่อมั่นว่าเด็กคนนี้แหละคือผู้มีบุญญาธิการแน่
แต่เสนกะบัณฑิตกลับทูลคัดค้าน
ด้วยเกรงจะมีบัณฑิตอื่นที่มาเป็นปราชญ์แทนที่หรือเหนือกว่าตน
จึงทูลว่ายังไม่อาจกล่าวได้ว่ามีปัญญาบารมีจริง

พระราชาจึงทรงยับยั้งไม่รับตัวพระมโหสถเข้าวัง
แต่ทรงให้เสนาอำมาตย์ไปเฝ้าดูปัญญาบารมีของพระมโหสถ
แล้วให้นำเรื่องราวมากราบทูลเพื่อความมั่นพระทัย
เรื่องราวต่าง ๆ มีดังต่อไปนี้




เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO