นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อาทิตย์ 12 พ.ค. 2024 2:25 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: เรื่องราว
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 04 ก.ค. 2012 9:53 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4555
ทศชาติ

ทศชาติที่ ๑ พระเตมีย์ใบ้...

รายละเอียด : ครั้งเมื่อพระศาสดาเสด็จประทับ ณ เชตวันมหาวิหารนั้น

บรรดาพระภิกษุทั้งหลายที่มาประชุมสนทนาธรรมได้พากันกราบทูลอาราธนา
ให้พระพุทธองค์ทรงนำอดีตนิทานมาโปรดเป็นพระธรรมเทศนา
พระองค์จึงทรงตรัสเล่าถึงเมื่อปางก่อนที่ทรงเสวยพระชาติเป็น
พระเตมีย์กุมาร อันมีเรื่องราวเป็นมาดังนี้

เทพบุตรจุติจากดาวดึงส์

เมื่อสมัยอดีตกาลที่ลวงมาแล้ว องค์กษัตริย์แห่งเมืองพาราณสี
ผู้มีพระนามว่า "กาสิกราช" ทรงครองราชย์ด้วยทศพิธราชธรรมนานมา
หากทว่าพระองค์มิได้สุขสบายพระทัยเลย ด้วยว่าเกรงจะสูญสิ้นราชวงศ์
เพราะไร้ราชโอรส สืบราชสมบัติ ทั้ง ๆ ที่ทรงมีพระสนมถึงร่วม ๒ หมื่นคน

กระทั่งเหล่าไพรฟ้าประชาราษฎร์ก็ต่างพากันประหวั่นพรั่นใจว่า
ภายหน้าหากพระราชาไร้พระโอรสขึ้นเสวยราชสมบัติครองเมืองสืบต่อไปแล้ว
แผ่นดินคงจะวุ่นวายไร้หลักไร้มิ่งขวัญเป็นแน่แท้

พระนางจันทเทวี ผู้เป็นอัครมเหสีจึงทรงทำพิธีขอพระโอรสจากสรวงสวรรค์
โดยในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ ทรงสมาทานอุโบสถศีลตามปรกติแล้ว
ก็ตั้งสัตย์อธิษฐานของพระราชโอรส
จากแรงศีลแรงบุญที่พระนางได้เพียรปฏิบัติมา

แลด้วยอำนาจอัศจรรย์แห่งแรงอธิษฐานกอปรกับผลบุญแห่งศีลภาวนานั้นเอง
ที่เป็นเหตุให้อาสน์ของพระอินทร์บนสรวงสวรรค์เกิดร้อนรุ่มจนองค์อินทร์
มิอาจเสวยสุขตามปกติได้ พระอินทร์จึงทรงเพ่งดูจนทราบได้ด้วยทิพยเนตร
พระองค์จึงทรงขอให้เทพบุตรผู้มากบุญญาธิการองค์หนึ่งซึ่งกำลังจะจุติใน
สวรรค์ชั้นสูงต่อไป ให้ทรงเสด็จลงมาจุติในพระครรภ์ของพระนางจันทเทวี
เทพบุตรพระองค์นั้นก็ปรารถนาจะบำเพ็ญบารมีอยู่แล้วจึงทรงตกลง
เสด็จจากดาวดึงส์มาจุติในมนุษย์โลก

เมื่อครบกำหนด ๑๐ เดือนล่วงไป พระนางจันทเทวีก็ประสูติพระกุมารผู้มี
ผิวพรรณผุดผ่องงดงามดั่งทองคำ และในวันนั้นก็มีนิมิตอัศจรรย์คือ
มีการกำเนิดบุตรอีก ๕๐๐ คน พร้อมกันซึ่งพระราชาได้
ทรงพระราชทานของกำนัลพร้อมแม่นมให้บุตรของอำมาตย์ในพระราชวังด้วย
และในวันนั้นทั่วทั้งพระนครเกิดฝนโปรยปรายชุ่มฉ่ำเป็นที่น่าอัศจรรย์นัก

พระกุมารจึงได้พระนามว่า
"เตมีย์" อันหมายถึง เหตุแห่งความปรีดาแก่ผู้คนทั้งปวง

และพระกุมารก็เป็นที่รักใคร่เอ็นดูของพระราชานัก
ถึงกับคัดเลือก ๖๔ แม่นมผู้ถวายน้ำนม
โดยมีคุณสมบัติพิเศษ ๑๐ ประการตามตำรา ดังนี้คือ

๑ ไม่ให้นางนั้นมีผิวขาวจัดเกินไปนัก ด้วยเกรงว่าน้ำนมจะมีรสเปรี้ยวเกินไป

๒ ไม่ให้นางนั้นมีผิวดำคล้ำนักด้วยว่าจะมีน้ำนมที่เย็นจัดเกินไป

๓ ให้มีรูปร่างสมสัดส่วนดีไม่ผอมแห้งบอบบางจนกระดูกจะทิ่มตำพระกุมารได้

๔ ให้มีรูปร่างไม่อ้วนเจ้าเนื้อเกินไป เพราะจะพลอยทำให้พระกุมารอ้วนตามไปด้วย

๕ ไม่ให้มีรูปร่างสู่งเกินไปนัก เพราะพระกุมารจะสูงจนคอยาวไปด้วย

๖ ไม่ให้มีรูปร่างเตี้ยต่ำนัก เพราะจะทำให้พระกุมารคอหดและเตี้ยต่ำไปด้วย

๗ ให้คัดสรรแต่นางที่มีน้ำนมรสหวานกลมกล่อมสมบูรณ์ที่สุดเท่านั้น

๘ ให้คัดสรรแม่นมที่มีเต้านมเปล่งปลั่งไม่หย่อนยาน เพื่อจะได้มีน้ำนมบริบูรณ์

๙ ไม่ให้นางนั้นมีโรคหืดหอบ อันจะส่งผลให้น้ำนมไม่พิสุทธิ์สมบูรณ์

๑๐ ไม่ให้นางนั้นป่วยเป็นโรคไอเรื้อรัง เพราะราชกุมารจะพลอยขี้โรคไปด้วย
และน้ำนมจะออกรสเผ็ดเกินไป

มิปรารถนาสืบสันติวงศ์

ด้วยความโปรดปรานเมตตาพระกุมารนัก พระเจ้ากาสิกราชทรงอุ้ม
พระเตมีย์กุมารไว้บนตักขณะทรงออกว่าราชการด้วยเสมอ

วันหนึ่งอำมารย์ได้จับตัวโจร ๔ คน ซึ่งทำผิดในการลักขโมยเข้ามาถวาย
และพระราชาได้ตรัสสั่งลงอาญาโจรทั้ง ๔

โดยให้เสียบด้วยหลาวทั้งเป็นแล้วนำไปเสียบประจานจนตาย

คนที่ ๒ ให้นำไปโบยด้วยหนามหวาย ๑ พันครั้งจนตาย

คนที่ ๓ ให้จองจำไว้กับขื่อคาโซ่ตรวนจนตาย

คนที่ ๔ ให้ฆ่าด้วยคมดาบคมหอก

พระเตมีย์กุมารได้ทรงฟังรับสั่งของพระราชบิดาก็ทรงให้สลดพระทัยนัก
ทรงรำลึกได้ถึงกาลก่อนที่เคยเสวยทุกขเวทนาในนรก
จึงทรงดำริว่าถ้าวันหน้าพระองค์ต้องเสวยราชสมบัติสืบต่อพระราชบิดา
ก็คงไม่พ้นต้องทำกรรมทำบาปปลิดชีวิตฝูงคนจนต้องไปเกิดใน
นรกภูมิอีกเป็นแน่แท้

ต่อมาเทพธิดาซึ่งสถิตอยู่ ณ เศวตฉัตร เห็นพระเตมีย์กุมาร
บรรทมไม่หลับด้วยพระทัยสลดหดหู่เช่นนั้น จึงได้แนะนำให้พระเตมีย์
แกล้งประพฤติองค์เป็นบนใบ้ คนหูหนวก และคนง่อย
มิให้ประพฤติแสดงออกไปว่าเป็นปราชญ์อัจฉริยะ เพื่อให้เลี่ยงพ้นได้
จากการครองบัลลังก์ ซึ่งเป็นเหตุแห่งการทำบาปสร้างกรรม

นับแต่นั้นพระเตมีย์กุมารก็มิทรงตรัสและมิทรงขยับพระวรกายอีก
แม้แต่กุมาร ๕๐๐ คน ที่มาคอยเล่นด้วยก็ไม่ทรงสนใจเล่นด้วย
ยามกุมารเล่านั้นหิวนมร่ำไห้พระเตมีย์กุมารก็มิกันแสงด้วย
ทรงดำริว่า

"หิวนม ยังเป็นความทุกข์ที่ประเสริฐกว่าอยู่ในนรกภูมิ"

จึงทรงนิ่งเฉยอดทนผิดกับกุมารน้อยทั่วไป ไม่แย้มสรวล
ปฏิบัติดังว่ามิได้ยินเสียงพูดของผู้ใด พระราชาทรงร้อนพระทัย
ให้หมอหลวงวินิจฉัยว่า มีโรคภัยอันใดก็ปรากฏว่ามิอาจหาสาเหตุได้
เป็นที่งุนงงสงสัยกันยิ่งนัก

พระเตมีย์กุมารทรงเฉยนิ่งดังนี้เมื่อพระชนมายุครบ ๕ ปี
เหล่าอำมาตย์ก็หาวิธีทดลองนานาประการ ปีหนึ่งก็ลองเอาช้างตกมัน
มาปล่อยให้วิ่งเข้าหา พระเตมีย์กุมารก็ทรงนิ่งเฉย ไม่ร้องและไม่ขยับ
เขยื้อนหวาดกลัวแต่อย่างใด ในขณะที่กุมารอื่นวิ่งหนีร้องระงมกันด้วย
ความควาดกลัว

ปีต่อมาก็ทดลองด้วยการนำงูมาปล่อยให้เลื้อยเข้าใกล้
พระเตมีย์กุมารก็ทรงนิ่งเฉยมิหวาดกลัวถอยหนีหรือขยับโอษฐ์ร่ำร้อง
ปีต่อมาก็ทดลองด้วยไฟบ้าง ด้วยเสียงบ้าง คือก่อกองไฟไว้ใกล้ ๆให้กลัว
และให้คนแกล้งตีกลองเป่าแตรดัง ๆ ให้ตกใจ แต่ก็มิอาจกระตุ้นให้พระโอรส
ร้องหรือขยับพระวรกายสักนิดไม่ อีกปีหนึ่งทดลองโดยนำน้ำอ้อยปน
ข้าวยาคูผสมน้ำผึ้งมาทาทั่วองค์พระกุมาร
เพื่อล่อแมลงวันมาตอมมาดูดกินน้ำหวานนั้น
พระเตมีย์กุมารปีนั้นเจริญชันษาได้ ๑๓ ปีแล้ว
แต่ก็ยังทรงนิ่งเฉยแม้จะเจ็บปวดทรมานนัก
ปีต่อมาอำมาตย์ก็ทดลองด้วยมูตรสิ่งเหม็นเน่าต่าง ๆ
แต่พระเตมีย์ก็ทรงเฉยนิ่งเช่นเดิม
มิได้ทรงหวั่นไหวแม้ทรมานน่าเวทนานัก

เมื่อทดลองวิธีละ ๑ ปีเต็ม
มาจนถึงปีที่พระเตมีย์อายุครบ ๑๖ ปีเต็มแล้วก็มิบังเกิดผลใด
พระนางจันทเทวีทรงตรอมพระทัยร่ำกันแสงวิงวอนพระโอรสว่า
"ดูกร พ่อเตมีย์เอย เจ้าจงลุกขึ้นเถิด อย่าได้นิ่งเฉยเช่นนี้ให้แม่
แทบกลั้นใจตายด้วยอับอายราษฎรยิ่งนักแล้ว"

เมื่อเห็นพระมารดาร่ำให้ปิ่มใจจะขาด
พระเตมีย์ก็เกือบจะทรงตรัสวาจาออกไปด้วยความรักและเวทนานัก
แต่แล้วก็ทรงอดทนเฉยอยู่ตามเดิม

เหล่าอำมาตย์จึงทดลองด้วยสตรีเลอโฉม
ด้วยเพราะคิดว่าวัยแรกหนุ่มนี้ยังจะพึงพระทัยในเพศรส
ครั้นเมื่อบรรดาสาวงามพากันมาถวายปรนนิบัติ
เฝ้านวดเฟ้นและยั่วยวน พระเตมีย์ก็ทรงอธิษฐานขอบารมีช่วย
ให้พระองค์เอาชนะได้ ถ้าจะได้ออกบวชสมพระทัย
แล้วพระบารมีของพระองค์เองก็ได้บันดาลให้
สาวงามทั้งหลายต้องหวาดกลัวตกใจ
เมื่อพระวรกายพระองค์แข็งดั่งตอไม้
จึงพากันหนีไปทั้งสิ้น

พระเจ้ากาสิกราชทรงอับจนพระทัยนัก
ให้โหรหลวงมาถวายคำทำนาย โหรซึ่งเป็นพราหมณ์ก็ได้กราบทูลว่า
พระเตมีย์เป็นกาลกิณีเป็นเสนียดจัญไรแก่ราชวงศ์
หากเลี้ยงไว้ในร่มเศวตฉัตรต่อไปก็จะเกิดอาเพศและพิบัติภัยต่อแผ่นดินคือ
พระราชาจะต้องสวรรคตหนึ่ง
พระมเหสีจะต้องสวรรคตหนึ่ง
พระราชบัลลังก์จะถูกปองร้ายจนโค่นล้มหนึ่ง
จึงเห็นควรให้นำพระเตมีย์ไปฝังทั้งเป็นที่ป่าช้าผีดิบทางตะวันตกนอก
พระนครเพื่อความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมือง

พระเจ้ากาสิกราชทรงยอมให้กระตามคำของโหรด้วยความทุกข์ตรมพระทัยนัก
พระมเหสีก็ทรงตกพระทัยถึงสิ้นสติ มิว่าจะทูลยับยั้งอย่างไร
พระราชาก็มิทรงเปลี่ยนพระราชดำรัส

แต่พระนางจันทเทวี อัครมเหสีได้กราบทูลขอร้อง
ขอให้พระราชโอรสได้มีโอกาสครองราชบัลลังก์สัก ๗ ปีก่อนค่อยคิดนำไปฝัง
หากทว่าพระราชาทรงปฏิเสธ

"เห็นจะไม่ได้หรอกพระมเหสี พระโอรสเตมีย์เป็นใบ้ หูหนวก
และยังไม่ขยับองค์เหมือนเป็นง่อยเปลี้ยเสียขาอย่างนั้น
จะให้ครองบ้านเมืองได้อย่างตั้ง ๗ ปี"

"ถ้าเช่นนั้น พระราชทานบัลลังก์ให้พระเตมีย์สัก ๑ ปี ก็ได้นะเพคะ"

พระนางจันทเวีทรงกราบทูาลวิงวอน
แต่พระราชาก็มิอาจพระราชทานให้ได้
จนกระทั่งในที่สุดพระนางจันทเทวีทูลขอร้อง
จนเหลือเพียง ๗ วันเท่านั้นจึงได้รับพระราชานุญาต

พระเตมีย์จึงได้ถูกแต่งองค์ทรงเครื่องกษัตริย์
แล้วนำขึ้นประทับคอช้างเสด็จเลียบพระนคร
และประกาศแก่ไพร่ฟ้าว่าพระราชโอรสได้ครองบัลลังก์แล้ว

หากทว่าพระเตมีย์ก็ทรงไม่ตรัส ไม่ขยับองค์
ไม่ได้ยินเสียงผู้ใดเช่นเดิม จนครบกำหนด ๗ วัน
พระมารดาก็ได้แต่ทรงกันแสงน้ำตาหลั่งไหล
รำพันตัดพ้อพระเตมีย์และตรัสว่า
พระนางคงจะขาดใจตายตามไปด้วยเป็นแน่แท้
แล้วพระนางก็ทรงเกลือกกลิ้งร่ำไห้
จนสิ้นสติไปบนพื้นปราสาทนั้นเอง

พระราชบิดาให้ฝังพระเตมีย์

ครั้นพระราชามีรับสั่งให้นำพระราชโอรสออกไปฝัง
พระเตมีย์ก็ถูกนำใส่รถเทียม้า
โดยมีสารถีสุนันทะขับออกพระนครไปทางทิศตะวันออก
เมื่อถึงป่าแห่งหนึ่งสุนันทะก็เข้าใจผิดว่าเป็นป่าช้างผีดิบแล้ว
จึงลงจากรถปลดเครื่องประดับพระยศของพระราชโอรสออกวางไว้
แล้วก็หยิบจอบเสียมไปขุดหลุมเป็นรูปสี่เหลี่ยมลึก
ตามรับสั่งที่ให้ฆ่าพระโอรสก่อนเพื่อมิต้องฝังทั้งเป็น

ยามนั้นพระเตมีย์ได้ทรงเหยียดมือเท้า
และทรงกายลุกขึ้น เพื่อตั้งพระทัยจะลองเคลื่อนไหว
หลังจากที่ทรงไม่ขยับเขยื้อนมา ๑๖ ปีเต็มแล้วทีเดียว

แล้วก็ปรากฏปาฏิหาริย์บังเกิดขึ้น
พระเตมีย์ทรงเดินได้คล่องแคล่ว
แล้วยังยกรถขึ้นได้ด้วยพละกำลังอันเป็นพระบารมี
ครั้นแล้วทรงเสด็จไปดูสารถีก้มหน้าขุดหลุม แล้วทรงตรัสถามว่า

"ดูกร นายสารถีท่านกำลังขุดหลุมเพื่อการใดรึ"

"ก็ขุดหลุมเพื่อฝังพระราชโอรสของพระราชานะสิ
พระเตมีย์เป็นกาลกิณีแก่บ้านเมือง
เพราะทรงเป็นใบ้บ้าอ่อนเปลี้ยเสียขา
จะนำภัยพิบัติมาสู่ราชบัลลังก์"

สารถีสุนันทะตอบพลางก้มหน้าก้มตาขุดอย่างเช่นนั้น
พระเตมีย์จึงตรัสว่า

"เรามิได้เป็นง่อยเปลี้ยบ้าใบ้หรอกสารถีเอ๋ย เราคือเตมีย์กุมาร"

สารถีได้ฟังดังนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองดู
เห็นเตมีย์รูปร่างสง่างามราวเทพยดา
จึงคลางแคลงใจ พระเตมีย์จึงตรัสเล่าว่า
พระองค์แกล้งประพฤติกิริยาดั่งบ้าใบ้
ไม่เดินไม่ขยับเคลื่อนไหวเหมือนเป็นคนง่อย
ที่แท้นั้นเพราะมิอยากเสวยราชสมบัติ พระราชบิดาจึงให้ฝังเสีย

สุนันทะสารถีเพ่งพิจารณาดูพระเตมีย์ชัด ๆ จึงจดจำได้ว่าเป็นพระราชโอรส
และพระเตมีย์ราชโอรสจึงได้ตรัสสืบไปว่า
ตัวสารถีนั้นเลี้ยงชีพด้วยการเป็นราชบริพารของพระราชา
ซึ่งเป็นพระบิดาของพระองค์ ก็เปรียบดั่งว่าอาศัยอยู่ในร่มเงาต้นไม้ใหญ่
แล้วจะมาฆ่าพระองค์ผู้เป็นผลไม้ของต้นไม้เสียดังนี้
ก็จักเปรียบได้ว่าทำร้ายต่อมิตร การทำร้ายมิตรก็เท่ากับเป็นคนน่ารังเกียจ
ไปที่ใดก็มิเป็นที่น่าคบหา และการฆ่าคนก็บาปยิ่งกว่าฆ่าสัตว์ ๑๐๐ ชีวิต
เมื่อตายไปก็จะต้องรับผลกรรมที่ทำไว้
การไม่ทำร้ายมิตรไม่ฆ่าคนย่อมเป็นที่สรรเสริญไปทั่ว

สุนันทะสารถีได้ฟังดังนั้นก็รูสึกซาบซึ้งใจนัก
ก้มลงกราบถวายบังคมแล้วทูลเชิญเสด็จกลับพระราชวัง
แต่พระเตมีย์ตรัสว่าพระองค์อุตส่าห์พากเพียรนาน ๑๐ กว่าปี
ก็เพื่อจะหลุดพ้นจากพระราชสมบัติมาได้ออกบรรพชาตามพระประสงค์
สุนันทะทูลขอลาออกบวชตามไปด้วย
แต่พระเตมีย์ตรัสให้สารถีกลับไปทูลพระราชาก่อน
มิควรบวชโดยเป็นหนี้ผู้ใด

ยามนั้นองค์อินทร์ได้ทรงส่งพระวิสสุกรรมเทวบุตรให้ลงมาเนรมิตอาศรม
และเครื่องบริขารไว้พร้อมพรัก เมื่อพระเตมีย์เสด็จมาพบก็ทรงทราบว่า
เป็นเครื่องนิรมิตของเทพบนสรวงสวรรค์ จึงทรงอธิษฐานขอถือบวช
เปลี้องเครื่องกษัตริย์และครองผ้าเปลือกไม้สีแดง พาดบ่าด้วยหนังสือ
เกล้ามวยผม เสด็จประทับบนอาสนะใบไม้ในอาศรม
ตั้งพระทัยเจริญพรหมวิหารจนบรรลุฌานสมบัติในบัดนั้นเอง

ตระหนักในบุญญาธิการ

ทางฝ่ายพระนางจันทเทวีเมื่อเห็นสารถีกลับเข้าวังก็รีบไต่ถามด้วยน้ำพระเนตรหลั่งไหล
สารถีสุนันทะจึงกราบทูลว่า พระราชโอรสนั้นมิได้ง่อยเปลี้ยเสียขาเป็นบ้าใบ้
พระองค์ทรงแกล้งประพฤติดังนั้นเพราะมิปรารถนาครองราชย์
ด้วยทรงระลึกชาติได้ว่าเคยเป็นพระราชาแล้วต้องกอกรรมกับชีวิตผู้คนไม่น้อย
เมื่อสวรรคตไปก็ต้องไปรับใช้กรรมในนรกอย่างทุกข์ทรมาน
แต่บัดนี้พระราชโอรสนั้นมีพระโฉมงดงาม มีสุรเสียงไพเราะนัก
พระองค์ทรงออกบรรพชาอยู่ในป่าทิศตะวันออกนอกพระนคร
และฝากถวายบังคมลาและถวายพระพรพระราชาและพระมารดาด้วย

พระเจ้ากาสิกราชและพระนางจันทเทวีได้ฟังดังนั้นก็รับสั่งให้เตรียมขบวนราชรถ
และเสด็จออกไปหาพระราชโอรสด้วยความปลื้มปีติยิ่งนักแล้ว

ครั้นไปถึงพระนางจันทเทวีก็ทรงกันแสงสวมกอดแทบบาทพระโอรส
แล้วพระราชาก็ทรงตรัสถามทุกข์สุขพระเตมีย์
และทรงประหลาดพระทัยที่พระเตมีย์เสวยเพียงผลไม้ป่า
แต่กลับมีพระวรกายผุดผ่องแจ่มใส

พระเตมีย์ทรงทูลตอบว่าร่างกายสดใสเนื่องเพราะพระองค์รักษาจิตใจให้สดใส
ไม่ยึดติดคิดกังวลในเรื่องอันเป็นทุกข์นั่นเอง

แล้วพระราชาก็ทรงมีดำรัสให้พระราชโอรสลาผนวชไปครองราชสมบัติ
อภิเษกกับพระธิดาเมืองใดก็ได้ และเมื่อมีราชบุตรราชกุมาร
เพื่อสืบราชวงศ์แล้วจึงค่อยออกบวชก็ได้

พระเตมีย์ทูลตอบว่า

"ข้าแต่พระบิดา การบวชแต่เมื่อยังหนุ่มนั้นจึงจะสมควรกว่า
และพระราชสมบัติกับฐานะกษัตริย์นั้นก็เป็นเหตุให้ก่ออกุศลกกรมมากมายนัก
อาตมานี้ก็เคยเป็นพระราชาในอดีตชาติ ครองราชย์เพียง ๒๐ ปี
แต่ต้องเสวยทุกขเวทนาในนรกภูมินาน ๘ หมื่นปี"

ได้ฟังดังนั้นพระราชาก็ทรงเห็นธรรม ตัดสินพระทัยจะออกบรรพชาบ้าง
จึงรับสั่งให้ตีฆ้องร้องป่าวแก่อำมาตย์ราชมนตรี
และไพร่ฟ้าว่าผู้ใดใครบวชในสำนักพระเตมีย์ก็จงมาบวชเถิด

บรรดาอำมาตย์และข้าราชบริพารจึงพากันสละสมบัติมาบวชในสำนักพระเตมีย์กันมากมาย
แม้พระราชากาสิกราชและพระนางจันทเทวีก็ทรงผนวชเป็นดาบส
ดาบสินีอยู่ ณ คนละบรรณศาลา

ยามนั้นท้าวสามลราชที่ครองเมืองใกล้เคียง ได้ทราบเรื่อง
พระเจ้ากาสิกราชทรงออกผนวช บรรดาอำมาตย์ราชมนตรี
และพนกนิกรต่างก็ออกบวชทั้งสิ้น
จึงดำริว่าเมืองพาราณสียามนี้ไร้กษัตริย์ครองราชย์
จึงได้ยกกอกงทัพเข้ามาประชิดพระนครหมายจะเข้ายึดครองพาราณสี

เมื่อยกพหลพลโยธามาถึงเมือง
เห็นประกาศติดไว้เรื่องให้ออกบวชนั้น
ก็ให้ประหลาดพระทัยถึงเหตุที่ผู้คน
แม้ชั้นกษัตริย์ยังตัดละลาภสักการะไปออกบวชในป่าได้
จึงได้เสด็จตามไปในป่า

พระเตมีย์จึงทรงแสดงธรรมเทศนาเรื่องของบุญและบาป
จนท้าวสามลราชและไพร่พลเกิดซาบซึ้ง พากันละกองทัพและอาวุธ
พร้อมใจกันขอบวชอยู่ในสำนักพระเตมีย์กันทั้งสิ้น

ในบริเวณป่านั้นจึงเต็มไปด้วยเหล่าฤาษีบำเพ็ญฌาณสมาบัติ
และสัตว์ป่าช้างม้าที่ล้วนเชื่องโดยทั่วถ้วน ดาบส ดาบสินี
เหล่านี้เมื่อดับจิตไปก็ได้ไปจุติในเทวภูมิ
สถิตย์เป็นเทพยดาเป็นเทพธิดาเสวยสุขกันทั้งมวล

พระเตมีย์ชาดกนี้มีคติธรรมว่า
เมื่อมีประสงค์ในสิ่งใดก็สมควรมุ่งมั่น
ตั้งใจกระทำตามความมุ่งหมายนั้นอย่างหนักแน่น
อดทนอย่างเพียรพยายามเป็นที่สุด
และความพากเพียรอันเด็ดเดี่ยวแน่วแน่นั้น
ย่อมจะนำบุคคลนั้นไปสู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง

ทศชาติที่ ๒ พระมหาชนก...

รายละเอียด : ครั้งหนึ่งพระพุทธองค์ทรงตรัสเล่าอดีตชาติให้เหล่าพระภิกษุทั้งปวง
ซึ่งสนทนาถึงเรื่องการออกบวชของพระตถาคตเจ้า
ณ โรงธรรมสภา เชตวันวรวิหาร ในกรุงสาวัตถี มีความเป็นมาดังนี้

เมื่อครั้งอดีตกาลที่ผ่านมา ณ กรุงมิถิลาวิเทหรัฐ มีพระราชพระนามว่า
"มหาชนก" ครองราชสมบัติโดยมีพระราชโอรส ๒ พระองค์
ทรงพระนามว่าอริฏฐชนกและโปลชนก
พระมหาชนกทรงตั้งให้พระโอรสองค์โตเป็นพระอุปราช
และทรงตั้งพระโอรสองค์เล็กเป็นเสนาบดี

ครั้นเมื่อท้าวเธอทรงเสด็จสวรรคต
พระอุปราชอริฏฐชนกก็ได้ทรงเสวยราชสมบัติสืบต่อพระบิดา
และพระราชทานตำแหน่งอุปราชให้พระอนุชาโปลชนก

ชะตากรรมพระบิดา

เมื่อแรกนั้นพระเจ้าอริฏฐชนกก็ทรงปกครองบ้านเมืองโดยชอบธรรม
แต่มีพระอำมาตย์มนตรีผู้สอพลอคอยเพ็ดทูลให้ร้ายป้ายสีว่า
พระอุปราชโปลชนกคิดจะปลงพระชนม์เพื่อชิงบัลลังก์
พระเจ้าอริฎฐชนกได้รับฟังบ่อยครั้งเข้าก็ทรงหูเบาหลงเชื่อ
ทรงคลายความรักใคร่พระอนุชา
จนกระทั่งหวาดหวั่นพระทัยถึงกับ
มีรับสั่งให้จับพระอุปราชโปลชนกคุมขังไว้ในคฤหาสถ์หลังหนึ่ง

มหาอุปราชผู้เป็นน้องชายร่วมพระสายโลหิต
จึงตั้งสัตย์อธิษฐานต่อพระเสื้อเมืองอันศักดิ์สิทธิ์ว่า
พระองค์มิได้เคยมีความคิดมุ่งร้ายต่อพระเชษฐาเลย
ขอให้ความสัตย์ซื่อนี้มีอานุภาพทำลายขื่อคา
และเครื่องจองจำพันธนาการให้มลายไปสิ้นด้วยเถิด

ด้วยพลานุภาพแห่งความสัตย์ซื่อนั้นก็ได้ทำให้เกิดปาฏิหาริย์
บรรดาโซ่ตรวนต่าง ๆ ก็หลุดหักออกทั้งสิ้น

พระมหาอุปราชจึงเสด็จหลบหนีไปยังปัจจันตคาม
บรรดาไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินได้ยินเรื่องนี้
ต่างก็พากันมาเป็นพรรคพวกของพระองค์กันมากมาย
ด้วยเพราะมิเชื่อถือศรัทธาในพระราชาที่หูเบาอีกต่อไป
ครั้นต่อมาพระอุปราชโปลชนกจึงรวมไพร่พลยกทัพมาประชิดเมือง
และทรงส่งพระราชสารถึงพระเชษฐาความว่า

"หม่อมฉันมิเคยคิดปองร้ายเสด็จพี่ แต่กลับถูกเสด็จพี่ทำร้าย
เพียงเพราะหลงเชื่อคำคนสอพลอ บัดนี้หม่อมฉันจะคิดร้ายบ้าง
ขอให้เสด็จพี่พระราชทานบัลลังก์ให้หม่อมฉัน
หรือไม่ก็เตรียมทำศึกกับหม่อมฉัน"

พระเจ้าอริฏฐชนกทรงตกลงพระทัยทำสงครามกับอนุชา
จึงทรงรับสั่งพระอัครมเหสีให้รักษาพระครรภ์ให้จงดี
ด้วยทรงดำริสังหรณ์ว่าอาจจะแพ้ภัยในศึกนี้

เมื่อออกศึกชนช้างกับพระอนุชา พระเจ้าอริฏฐชนกก็ทรงสิ้นพระชนม์กับคอช้าง
ด้วยพระหัตถ์ของพระอุปราชโปลชนกผู้เป็นอนุชา

ตกยากกับพระมารดา

พระอัครมเหสีได้ทราบข่าวนั้นจึงทรงรวบรวมสิ่งของใส่กระเช้าแล้วปิดทับด้วยผ้าเก่า ๆ
นำเอาข้าวสารไว้ด้านบนแล้วยกขึ้นเทินศีรษะแต่งกายมอมแมมเสด็จปะปนกับชาวบ้าน
หนีออกจากมิถิลาด้วยน้ำพระเนตรนองพระพักตร์โดยมิมีผู้ใดสังเกตเห็น

ในระหว่างทางที่พระนางคิดมุ่งสู่เมืองกาลจัมปากะ พระนางทรงอิดโรยด้วยพระครรภ์แก่นักแล้ว
จึงทรงหยุดพักที่ศาลาแห่งหนึ่ง

ยามนั้นท้าวสักกเทวราชบนสรวงสวรรค์ได้ทรงทราบว่าทารกในพระครรภ์ของพระนางก็คือ
"พระโพธิสัตว์" ผู้เปี่ยมบุญญาธิการ ท้าวเธอจึงทรงเนรมิตองค์เป็นชายชราขับเกวียนผ่านไป
อาสารับพระนางให้เดินทางต่อไปได้ ซึ่งบนเกวียนนั้นก็มีแท่นบรรทมและพระกระยาหารพร้อมสรรพ
ในเวลาเพียงพริบตาก็มาถึงเมืองกาลจัมปากะพระนางให้สงสัยแคลงพระทัยว่าทำระยะทาง
๖๐ โยชน์จึงถึงได้รวดเร็วนัก ครั้นจะทรงรับสั่งไถ่ถาม ท้าวเธอในร่างชายชราก็หายวับไปทันที

ขณะนั้นพราหม์ผู้เป็นทิศาปาโมกข์ ผู้มีลูกศิษย์เป็นชาวเมืองกาลจัมปากะ ๕๐๐ คน
ได้พบพระนางผู้มีพระสิริโฉมงามสง่า จึงเข้าไต่ถามได้ความว่านางไร้ญาติขาดมิตร
หนีข้าศึกที่รุกเมืองแตกมาตามลำพังทั้ง ๆ ที่ครรภ์แก่ดังนี้
พราหม์ผู้นั้นจึงชักชวนให้ไปอยู่ด้วยและรับเป็นน้องสาวให้อยู่เรือนอุทิจจพราหมณ์
จนกระทั่งคลอดทารกออกมาเป็นพระกุมารผิดผุดผ่องดั่งทองคำ
พระนางทรงต้องพระนามว่า "มหาชนก" ตามพระนามของเสด็จปู่ผู้มีทศพิธราชธรรม

พระมหาชนกกุมารมีพระสหายเป็นเด็กชาวบ้านละแวกนั้น
ครั้นเล่นหัวกันตามประสาเด็ก ๆ ก็มีต่อสู้ขัดเคืองกันบ้าง
เด็กชาวบ้านที่สู้พระกุมารไม่ได้ก็มักไปฟ้องพ่อแม่ว่า เด็กไม่มีพ่อรังแกตน
พระมหาชนกจึงตรัสถามพระมารดาว่า

"พ่อของฉันคือใครกันนะ ท่านแม่"

"ท่านอาจารย์ไงเล่าที่เป็นบิดาของลูก"

พระนางโป้ปดออกไปให้พระกุมารเชื่อดังนั้น
แต่ต่อมาเมื่อเด็กชาวบ้านพูดกันบ่อย ๆ พระองค์ก็สงสัยนัก
วันหนึ่งเมื่อพระกุมารดื่มน้ำนมจากพระถันของพระมารดา
พระกุมารได้กัดพระถันของพระมารดาแล้วทูลถามว่า

"ท่านแม่ บอกลูกมาเถิดว่าใครเป็นพ่อของลูก ไม่เช่นนั้นลูกจะกัดนมท่านแม่ให้ขาดเลยด้วย"

พระมารดาถูกกัดพระถันจนเจ็บปวดจึงทรงตกลงตรัสความจริงว่า

"พ่อของลูกคือพระเจ้าอริฏฐชนก กษัตริย์แห่งเมืองมิถิลานแต่พระราชบิดาของลูก
ถูกพระอุปราชโบลชนกผู้มีศักดิ์เป็นอาของลูกปลงประชนม์และชิงราชสมบัติไป"

เมื่อได้ทราบความจริงดังนั้น
พระกุมารก็ทรงตั้งพระทัยร่ำเรียนศิลปวิชาทุกแขนงจนแตกฉาน
โดยไม่โกรธเครืองใครเมื่อยามถูกล้อเลียนว่าไม่มีพ่ออีก
จนกระทั่งมีพระชนม์ครบ ๑๖ พรรษา จึงได้ทูลขอทรัพย์มารดา
อันมีแก้ววิเชียรดวงหนึ่ง แก้วมณีดวงหนึ่ง แก้วมุกดาอีกดวงหนึ่ง
พระมหาชนกกุมารทรงขอเพียงครึ่งเดียวเพื่อนำไปขายเป็นทุนทำการค้า
แล้วจะมุ่งสู่นครมิถิลาเพื่อชิงบัลลังก์คืน



เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ถวายเทียน ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 5 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO