นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อาทิตย์ 12 พ.ค. 2024 5:07 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: เรื่องราว
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 27 มิ.ย. 2012 8:28 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4556
เจ้าทุกข์รายแรกของช่วงบ่ายเป็นสตรีสาวสวยซึ่งมาด้วยกันสามคน คนที่มีท่าทางเป็นผู้นำรายงานว่า "พวกหนูมาจากวิทยาลัยครู...ค่ะ เป็นอาจารย์สอนอยู่ที่นั่น" หล่อนออกชื่อวิทยาลัยครูแห่งหนึ่ง
"อ้อ" เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงมองหน้าหล่อนทีละคนแล้วถาม "ชื่ออะไรกันบ้างล่ะ อาจารย์อะไรจ๊ะ"
"หนูชื่อยุพาพร คนซ้ายมือชื่ออาจารย์กุลนที ส่วนคนขวามือชื่ออาจารย์กวิศญา คนนี้เพิ่งบรรจุค่ะ คนเป็นผู้นำพูดเสียงดังฟังชัด
แล้วรู้จักวัดนี้ได้ยังไง ทำไมถึงมาถูกล่ะจ๊ะ"
"คุณแม่หนูเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อค่ะ เคยมาเข้ากรรมฐานหลายครั้ง คุณแม่เป็นคนบอกทางให้ค่ะ ลูกสาวของลูกศิษย์ท่านพระครูตอบ
"ยังงั้นหรอกหรือ คุณแม่ชื่ออะไรล่ะจ๊ะ"
"ชื่อสอาดค่ะ หลวงพ่อจำได้หรือเปล่าคะ คุณแม่หนูสวย ผิวขาว ไม่ดำอย่างหนูหรอกค่ะ" คนชื่อกวิศญาพูดเสียงแจ๋ว ๆ
"แล้วทำไมอาจารย์ถึงไม่ขาวเหมือนคุณแม่ล่ะ หรือว่าคุณพ่อผิวคล้ำ" ท่านเลี่ยงมาใช้คำว่า "คล้ำ" แทน "ดำ"
"คุณพ่อก็ขาวค่ะ พี่น้องสามคนก็ผิวขาดหมด มีหนูดำอยู่คนเดียว เพราะตอนหนูอยู่ในท้องคุณแม่ คุณพ่อไปติเพื่อนบ้านคนนึง ชื่อนายหละ ติเขาได้ทุกวันว่า "ตาคนนี้ยิ้มเห็นแต่ฟัน" หนูออกมาก็เลยดำเหมือนตาหละค่ะ คุณแม่โกรธคุณพ่อมากเลย ทำไมคุณพ่อว่าคนอื่นแล้วกรรมต้องมาตกที่ลูกตัวด้วยล่ะคะ" หล่อนถาม
"เขาเรียกว่า "กรรมจัดสรร" คนโบราณเขาถึงได้สอนเอาไว้ว่า เวลาท้องอย่าเที่ยวไปติใคร เหมือนคนที่อาตมารู้จัก แกไปติลูกของเพื่อนบ้านว่าปากแหว่ง พอแกคลอดลูกออกมา โอ้โฮ ปากแหว่งเหมือนลูกของเพื่อนบ้านเปี๊ยบเลย"
"ถ้าอย่างนั้นเวลากำลังท้องต้องชมว่าเขาสวยใช่ไหมคะ" อาจารย์สาววัยยี่สิบเอ็ดบอกสองเรียนถาม
"ก็ควรจะเป็นอย่างนั้น แต่ก็ไม่ใช่หลับหูหลับตาชมนะ เดี๋ยวไปเห็นคนปากแหว่ง ตาเหล่ แล้วไปชมเขาว่าสวย ลูกออกมาก็เลยสวยอย่างนั้นบ้าง" คำพูดของท่านเรียกเสียงหัวเราะจากคนทั้งกุฏิ "อ้าว นี่พูดจริง ๆ นา อย่าทำเป็นหัวเราะ"
"จริงค่ะหลวงพ่อ หนูก็เคยเห็นมาแล้ว ที่หน้าวิทยาลัยหนู มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง อาชีพขายถ่าน ตัวดำทั้งคู่ แต่ลูกสาวแกสวยมาก ผิวขาวยังกับหยวก คนเขาสงสัยก็พากันไปถามแก แกก็เล่าให้ฟังว่า ตอนแกตั้งท้อง แกเอารูปนางงามมาติดไว้ข้างฝา แล้วก็ดูทุกวันวันละ ๔ เวลาหลังอาหารและก่อนนอน พอลูกแกออกมาก็เลยหน้าตาเหมือนนางงามในรูป เมื่องานฤดูหนาวที่ผ่านมา เขามีการประกวดนางงามประจำจังหวัด ลูกสาวแกได้ที่หนึ่งค่ะ" อาจารย์กุลนทีเป็นคนเล่า ท่านเจ้าของกุฏิจึงสรุปให้ญาติโยมฟังว่า
"ที่พูดมานี่ไม่ใช่เรื่องเหลวไหลไร้สาระนะ ญาติโยมโปรดจำไว้ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม นั้นมีผล มีวิบาก กฎแห่งกรราทำหน้าที่ของมันตลอดเวลา เพียงแต่ว่ามันจะปรากฏให้เห็นเร็วหรือช้าเท่านั้น เพราะฉะนั้น ถ้าใครกลัวทุกข์ ก็จงทำ จงพูด จงคิด แต่ในสิ่งที่ถูกต้องดีงาม เอาละ แล้วอาจารย์ทั้งสามมีอะไรจะให้อาตมาช่วยหรือเปล่า" ท่านเปิดโอกาสให้สตรีทั้งสาม
"อาจารย์กวิศญาเขามีปัญหาค่ะหลวงพ่อ" อาจารย์ยุพาพรช่วยเกริ่นให้
"ว่าไปเลยจ้ะ อาจารย์ว่าไปเลย" ท่านเจ้าของกุฏิกล่าวอนุญาต
"ให้พี่กุลนทีเล่าดีกว่าค่ะ เพราะเขาเป็นคนทำให้ปัญหาเกิดขึ้น" คนมีปัญหาเกี่ยงเพื่อน
"ไม่ต้องเกี่ยงกัน เอาละ อาตมาจะเป็นคนตัดสินเอง ในฐานะที่อาจารย์ยุพาพรไม่ใช่คู่กรณี อาจารย์ลองเล่าไปตามความเป็นจริงก็แล้วกัน" เมื่อท่านพูดมาอย่างนี้ อาจารย์สาวจึงจำต้องเล่า
"เรื่องเป็นอย่างนี้ค่ะหลวงพ่อ อาจารย์กวิศญาเขามาอยู่บ้านเดียวกับหนู เพราะยังไม่ได้บ้าน บ้านพักอาจารย์มีจำกัดค่ะ คนที่บรรจุใหม่จึงต้องรอ หากมีการโยกย้ายหรือมีการแต่งงานระหว่างอาจารย์ด้วยกัน คู่แต่งงานก็ต้องย้ายมาอยู่บ้านหลังเดียวกัน ก็จะมีบ้านว่างหนึ่งหลัง ทางวิทยาลัยก็จะจัดการว่าใครควรจะได้บ้านก่อนใคร
ระหว่างที่รอบ้าน หนูจึงชวนเขามาอยู่ด้วย ก็อยู่กันสบาย ๆ ไม่มีปัญหาอะไร มาเมื่อสองวันก่อน อาจารย์กวิศญาเขาอยากกินมะม่วงน้ำปลาหวาน เขาก็โขลกกุ้งแห้งเป็นการใหญ่ แล้วจะเป็นเพราะเขาหิวมากหรือเขาแรงมากก็ไม่ทราบ คุณเธอโขลกเสียครกบ้านหนูแตกออกเป็นสองกระบิเลยค่ะ หนูก็บอกเขาว่าไม่เป็นไร แตกก็ซื้อใหม่ได้ ที่ตลาดมีเป็นพะเรอเกวียน เขาก็บอกจะไปซื้อมาใช้ พอดีอาจารย์กุลนทีมาเห็นเข้าเธอตกใจใหญ่ บอกว่าคนทางบ้านเธอเขาถือกันมาก ใครตำน้ำพริกจนครกแตก แสดงว่าคน ๆ นั้นกำลังมีเคราะห์จะต้องสะเดาะเคราะห์ด้วยการอุ้มครกที่แตกนั้นวิ่งรอบบ้านเจ็ดรอบ" อาจารย์สาวพูดเสียงดังฟังชัด
"อ้อ ทางบ้านอาจารย์ คนเขาถือกันอย่างนี้หรือ" ท่านถามอาจารย์กุลนที
"ค่ะ"
"แล้วอาจารย์เชื่อเขาหรือเปล่า" ท่านถามคนทำครกแตก
"เชื่อเหมือนกันค่ะหลวงพ่อ ก็อยากจะสะเดาะเคราะห์อย่างที่เขาว่า แต่หนูไม่กล้าค่ะ"
"ทำไมถึงไม่กล้าล่ะ" อาจารย์ยุพาพรตอบแทนว่า
"เพราะไม่ได้อุ้มครกวิ่งอย่างเดียวค่ะ แต่ต้อง...ต้อง..."
"ต้องเปลือยกายวิ่งด้วยค่ะ คนเล่า เอามือปิดปากหัวเราะกิ๊ก ๆ คนฟังพากันหัวเราะครืน
"โอ้โฮ ถึงขนาดนั้นเชียวหรือ" ท่านเจ้าของกุฏิถาม เจ้าของปัญหาจึงว่า
"นี่แหละค่ะ คือปัญหาของหนู หลวงพ่อช่วยหนูด้วยนะคะ คนมีเคราะห์อ้อนวอน ท่านพระครูส่ายหน้าช้า ๆ แล้ววิจารณ์ซึ่ง ๆ หน้า
"อาตมาฟังแล้วไม่รู้จะร้องเพลงอะไรดี"
"เป็นพระร้องเพลงได้หรือคะ" อาจารย์กุลนทีถามซื่อ ๆ คราวนี้ท่านพระครูรู้สึกอยากร้องไห้ นั่งปรับอารมณ์อยู่ประเดี๋ยวหนึ่ง ท่านเจ้าของกุฏิจึงถามขึ้นว่า
"อาจารย์สอนวิชาอะไร"
"หนูสอนภาษาอังกฤษค่ะ ส่วนอาจารย์ยุพากับอาจารย์กุลนทีสอนภาษาไทย" อาจารย์กวิศญาตอบ
"แล้วเรียนจบจากที่ไหน"
หล่อนบอกชื่อมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
"แหม จบจากสถาบันที่มีชื่อเสียงเสียด้วย เสียดายที่อุตส่าห์เป็นถึงบัณฑิตแต่แก้ปัญหาไม่ได้ แค่ทำครกแตกใบเดียวก็แก้ปัญหาไม่ได้ ต้องวิ่งมาหาพระให้ช่วย" สตรีทั้งสามมองตากันปริบ ๆ เมื่อถูก "เทศน์" ต่อหน้าธารกำนัล
"แล้วเป็นอาจารย์มาได้ยังไง้ น่าสงสารคนที่เป็นลูกศิษย์" สตรีผู้หนึ่งวิจารณ์ในใจ
"อาจารย์เคยเข้าวัดกันบ้างไหม เคยไปฟังพระเทศน์หรือเปล่า" ท่านเจ้าของกุฏิถามอาจารย์สาว คนชื่อกุลนทีตอบว่า
"ไม่เคยค่ะ นี่เป็นวัดแรกที่หนูเข้า แล้วก็คงจะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่หนูจะเข้าวัด" ตอบตรงไปตรงมา
"ทำไมล่ะอาจารย์ วัดนี้ไม่ดียังไง"
"ก็หนูอุตส่าห์พากันมารอคิวตั้งครึ่งวัน เสร็จแล้วยังมาถูกหลวงพ่อว่าเสียอีก หลวงพ่อไม่ช่วยแล้วยังซ้ำเติม" อาจารย์สาวตัดพ้อ
"จริงด้วย" เพื่อนสาวสองคนสนับสนุน
"อาจารย์อยากให้อาตมาช่วยหรือเปล่าล่ะ" ท่านถามอาจารย์กวิศญา
"อยากค่ะ หลวงพ่อช่วยหนูด้วยเถอะค่ะ ไหน ๆ หนูก็อุตส่าห์ดั้นด้นมาขอความเมตตา คุณแม่บอกว่าหลวงพ่อเป็นคนใจดี มีเมตตา หลวงพ่อต้องช่วยแน่ ๆ ค่ะ" หล่อนอ้างมารดา
"แล้วทำไมคุณแม่เขาไม่ช่วยล่ะ"
"ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ บอกแต่ว่าให้มาหาหลวงพ่อ" ท่านเจ้าของกุฏิให้สงสัยนัก เหตุใดคุณสอาดจึงไม่ช่วยแก้ปัญหาให้ลูก ทำไมจะต้องส่งมาหาท่าน ด้วยความอยากรู้จึงใช้ "เห็นหนอ" เข้าตรวจสอบและก็ได้ทราบว่า เป็นอุบายของผู้เป็นแม่ที่จะชักจูงบุตรสาวให้เข้าวัดนั่นเอง
"เอาละ ถ้าอย่างนั้นอาตมาจะช่วย อาจารย์สวดมนต์เป็นหรือเปล่า สวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ และพาหุงมหากา ได้ไหม"
"สวดได้สามอย่างแรกค่ะ อย่างหลังสวดไม่ได้ แต่คิดว่าคุณแม่คงสวดได้ค่ะ คำทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น คุณแม่ก็ท่องได้ค่ะ ท่องได้แล้วก็แปลได้ด้วย" น้ำเสียงที่พูดบ่งบอกว่าภาคภูมิใจในมารดายิ่งนัก "แต่หนูสวดไม่เป็นสักอย่างเดียวค่ะ" อาจารย์กุลนทีว่า
"ทำไมถึงไม่เป็นล่ะจ๊ะ"
"เพราะไม่เคยสวด แล้วหนูก็ไม่เห็นความจำเป็นของการสวดมนต์ด้วย คนเราถ้ามีความสุขอยู่แล้วก็ไม่จำเป็นต้องสวดมนต์ ไม่จำเป็นต้องเข้าวัด พวกที่เข้าวัดก็คือคนที่มีความทุกข์ มีปัญหา"
"พูดดี ๆ นะคะอาจารย์ ยังกับว่าตัวเองไม่เคยมีความทุกข์งั้นแหละ" สตรีวัยกลางคนพูดขึ้นอย่างรู้สึกหมั่นไส้เสียเต็มประดา
"ฉันไม่เคยมีความทุกข์จริง ๆ นะน้า ตั้งแต่เกิดมานี่ยังไม่เคยรู้เลยว่าความทุกข์มันเป็นยังไง นี่ฉันพูดจริง ๆ นะ ไม่ได้พูดยกตนข่มท่านแต่ประการใด" คนไม่รู้จักความทุกข์ว่า
"สงสัยคงจะมีคนเดียวในโลก" สตรีนั้นพูดประชด
"อันนั้นฉันไม่รู้ รู้แต่ว่าตัวเองโชคดี พ่อดี แม่ดี ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงดีหมด แล้วฉันก็มีความสุขมาก"
"เอาเถอะ สักวันก็จะรู้ว่าความทุกข์มันเป็นยังไง คนอย่างอาจารย์นี่ต้องจัดอยู่ในประเภท "ไม่เห็นโรงศพไม่หลั่งน้ำตา"
"ไม่จริงหรอกน้า บ้านฉันอยู่ติดกับร้ายขายโลงศพ ฉันเห็นโลกศพทุกวันแต่ไม่ยักกะหลั่งน้ำตา แล้วน้าจะมาว่าฉันเป็นคนประเภทนั้นได้ยังไง" อาจารย์สาวโต้ สตรีนั้นโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง หากก็มิรู้ที่จะโต้ตอบว่ากระไร จึงได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า "อย่าไปเถียงกะเขาเลย เขานั้นจบปริญญา ส่วนตัวข้าแค่ ป.๔"
"แหม อาจารย์เห็นกุฏิอาตมาเป็นสนามโต้วาทีไปเสียแล้ว" ท่านเจ้าของกุฏิ ต่อว่าต่อขานด้วยใบหน้ายิ้ม ๆ
"ก็ยังดีกว่าเห็นเป็นสนามมวยใช่ไหมคะ" อาจารย์สาวถามยิ้ม ๆ เช่นกัน
"ดูเถอะ กับพระกับเจ้ายังไม่ยอมลดละ แบบนี้เป็นอาจารย์ได้ยังไง้ น่าสงสารลูกศิษย์จริง" คนจบ ป.๔ พูดกระทบกระเทียบ
"ถึงว่าซี น้าน่าจะไปเป็นอาจารย์แทนฉันนะ พี่ยุพาพรว่าดีไหม ให้น้าคนนี้ไปเป็นอาจารย์แทนหนูดีไหม" คนจบปริญญาตั้งใจยั่วคนจบ ป.๔
"ขอโทษนะครับ คุณสามคนเสร็จธุระหรือยัง ถ้าเสร็จแล้วก็เปิดโอกาสให้คนอื่นเขาบ้าง" บุรุษหนึ่งพูดขึ้นอย่างเหลืออด นึกหมั่นไส้แม่สามสาวนี่ตั้งแต่แรกแล้ว ท่านพระครูเห็นว่าอาจารย์สาวสามคนนี้จะต้องถูกคนอื่น ๆ ว่าอีก หากพวกหล่อนยังขืนต่อปากต่อคำกับท่านอยู่ จึงบอกพวกหล่อนว่า
"เสร็จธุระแล้วใช่ไหม แล้วนี่จะกลับกันยังไง"
"หนูขับรถมาค่ะ" อาจารย์กุลนทีตอบ"
"หลวงพ่อยังไม่ได้ตอบปัญหาของหนูเลย" อาจารย์กวิศญาพ้อ
"ก็ให้ไปสวดมนต์ไง สวมมนต์มาก ๆ แล้วจะเกิดปัญญาแก้ปัญหาได้เอง เอาเถอะให้ลองไปทำดู ได้ผลยังไงค่อยมาบอกทีหลัง" ท่านออกอุบายให้อาจารย์สาวมาวัดอีก
"พี่ไม่มาเป็นเพื่อนอีกแล้วนะ" คนไม่ชอบเข้าวัดบอก
"ไม่เป็นไร มากับพี่ก็ได้" อาจารย์ยุพาพรเอื้อเฟื้อ คนทั้งสามจึงกราบท่านพระครูสามครั้ง แล้วลุกออกมาท่ามกลางความรู้สึกโล่งอกโล่งใจของบรรดาผู้มีความทุกข์ทั้งหลาย
"หลวงพ่อครับ ผมรู้สึกสงสารนักศึกษาวิทยาลัยครูแห่งนั้นเหลือเกินที่มีอาจารย์ปัญญานิ่ม ๆ อย่างนี้ แค่ทำครกแตกก็มีปัญหา ไม่รู้เป็นอาจารย์ได้ยังไง บุรุษผู้มีนิสัยชอบหมั่นไส้ผู้อื่นพูดขึ้น
"แต่ถึงอย่างไรโยมก็อย่าไปเหมาว่าอาจารย์วิทยาลัยครูเป็นอย่างนี้ทุกคนนะ เพราะคนที่เขาปฏิบัติกรรมฐานเขาก็ไม่เป็นอย่างนี้ พูดก็พูดเถอะ บางคนเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย เรียนจบด็อกเตอร์มาจากเมืองนอกเมืองนา ก็ยังมาให้ช่วยแก้ปัญหา ตัวเองจบถึงด็อกเตอร์ แต่แก้ปัญหาไม่ได้ ต้องมาให้คนจบมัธยม ๔ แก้ให้ คนประเภทนี้เขาเรียกว่า "ความรู้ท่วมตัวเอาหัวไม่รอด"
"ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด ครับหลวงพ่อ" บุรุษนั้นแย้ง ท่านพระครูจึงแก้ว่า
"มันก็เหมือนกันนั่นแหละโยม การศึกษาสมัยนี้ทำคนให้เป็นก้านไม้ขีด คือหัวโตแต่ตัวลีบ ก็เลยไปไม่ไหว โยมสังเกตไหม เดี๋ยวนี้โรงเรียนเขาไม่สอนเด็กสวดมนต์กันแล้ว สมัยที่อาตมาเป็นนักเรียนนะ ครูเขาให้สวดมนต์ทุกวัน เด็กสมัยก่อนจึงสวดมนต์เป็น สมัยนี้ครูเองยังสวดไม่เป็น นับประสาอะไรกับนักเรียน โยมว่าจริงไหม"
"จริงครับ ทั้งครูทั้งอาจารย์สวดมนต์ไม่เป็น นักเรียนนักศึกษาก็เลยดำเนินรอยตาม ผมว่าถ้าขืนปล่อยไว้ไม่รีบแก้ไข บ้านเมืองก็จะไปไม่รอดนะครับ" บุรุษนั้นแสดงความคิดเห็น
"อาตมาว่าเราเลิกพูดเรื่องนี้กันดีกว่า เพราะยิ่งพูดมันก็ยิ่งเครียด เอาเถอะ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ขอให้เราทำหน้าที่ของตัวให้ดีที่สุดก็แล้วกันนะโยมนะ"
"ครับหลวงพ่อ ประเทศไทยไม่ใช่ของเราคนเดียวจริงไหมครับ"
"คงจริงมั้ง เอาเถอะโยมอยากจะคิดยังงั้นก็ตามใจ เรื่องความคิดมันห้ามกันไม่ได้ เอาละทีนี้ใครมีอะไรก็ว่าไป"
สตรีวัยกลางคนคลานเข้ามาหา กราบสามครั้งแล้วรายงานว่า "หลวงพ่อจ๊ะ ลูกสาวฉันมันหนีตามผู้ชายไป พ่อบ้านเขาโกรธมาก เขาวางแผนจะฆ่าลูกเขย ฉันห้ามก็ไม่เชื่อ จะทำยังไงดีจ๊ะ"
"ไปบอกเขาเลยว่า ถ้าฆ่าติดคุกแน่ หลวงพ่อบอกว่าติดคุกแน่นอน แล้วตายไปก็ต้องตกนรกอีกด้วย จะไปฆ่าเขาทำไม"
"ก็มันทำให้เสียชื่อ เสียศักดิ์ศรีน่ะจ้ะหลวงพ่อ เขาบอกมันเหยียบจมูกกันแบบนี้ เขายอมไม่ได้ ลูกสาวฉันไม่ก็ไม่ดี เถ้าแก่โรงสีเขามาขอ มันก็ไม่เอาเขา ไปเอาไอ้คนจน ๆ มาทำผัว" คนพูดเคียดแค้น
"อ้าว ก็เขามาสู่ขอแล้วไม่ให้เขานี่นา ไปดูถูกดูแคลน ว่าเขายากจนข้นแค้น เอาเถอะ อย่าไปรังเกียจรังงอนเขาเลย ถึงเขาจะจนเขาก็เป็นคนดี โยมเชื่ออาตมาสักครั้งนะ แล้วกลับไปบอกพ่อบ้านว่า ยังไง ๆ ก็อย่าไปคิดพรากผัวพรากเมียเขา บาปกรรมเปล่า ๆ เชื่อประเทศไทยเถอะ"
"แต่พ่อบ้านเขาอยากให้มันแต่งกับเถ้าแก่โรงสีจ้ะหลวงพ่อ"
"แต่งได้ยังไง ก็เขามีลูกมีเมียแล้ว โยมอยากให้ลูกไปเป็นเมียน้อยเขาหรือไง เป็นเมียหลวงดี ๆ อยู่แล้ว เรื่องอะไรจะให้เขาไปเป็นเมียน้อย" ท่านพูดไปตามที่ "เห็นหนอ" รายงาน
"แต่เมียเขาหนีตามชู้ไปนะจ๊ะหลวงพ่อ หนีไปกับชู้ซึ่งเป็นทนายความ" ท่านเจ้าของกุฏิช่วยพูดอีกว่า
"แล้วทนายความก็มีลูกมีเมียแล้ว น่าสมเพชนะโยม ผู้หญิงหลงตัวผู้ชาย ข้างผู้ชายก็หลงเงินของผู้หญิง อาตมาเห็นกฎแห่งกรรมของคนคู่นี้แล้ว น่าสงสารจริง ๆ แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ เขาทำของเขาเอง เอาละ เรื่องลูกสาวของโยมนั้น เขาได้คู่ดีแล้ว ถ้าไปได้กับเถ้าแก่ อยู่กันไม่ยืด แล้วก็ไม่ต้องไปดูถูกดูแคลนว่าลูกเขยจน อีกห้าปีเขาจะรวย รวยกว่าเถ้าแก่โรงสีเสียอีก โยมสบายใจได้ กลับไปบอกพ่อบ้านเขาอย่างนี้นะ"
"จ้ะหลวงพ่อ ฉันสบายใจขึ้นเป็นกอง ไม่เสียแรงที่อุตส่าห์มาหา"
"โยมมาจากไหนล่ะ"
"จากโคกสำโรงจ้ะหลวงพ่อ"
"รู้จักคนชื่อจุกหรือเปล่า จุกที่อยู่ตลาดโคกสำโรงน่ะ เห็นเขาว่าถูกรางวัลที่หนึ่ง" ท่านถามถึงคนเป็นหลานสะใภ้
"รู้จักดีจ้ะหลวงพ่อ อีนังนี่มันขี้เหนียวอย่าบอกใคร ขนาดถูกหวยตั้งห้าแสน มันซื้อรองเท้าไปฝากหลวงน้ามันคู่เดียวเอง"
"ยังงั้นหรือ" ท่านเจ้าของกุฏิรับทราบ คงไม่จำเป็นต้องบอกหรอกว่าหลวงน้าของ "อีนังนี่" ก็คือตัวท่านนั่นเอง
แขกคนสุดท้ายกลับไปเมื่อเวลาสองทุ่ม ท่านพระครูเรียกนายสมชาย มาสั่งการว่า
"พรุ่งนี้ตีสี่เธอไปตลาดกับแม่ครัวเขา ไปซื้อของมาทำบุญเลี้ยงพระ คุณหญิงเขาจะมาเลี้ยงเพล แล้วก็ช่วยชื้อผ้าไตรมาให้ฉันหนึ่งสำรับด้วย เลือกชนิดที่เนื้อดีที่สุดนะไปซี ไปบอกแม่ครัวเขาไว้ก่อน พรุ่งนี้จะได้ไม่ยุ่ง" นายสมชายลุกออกไปแล้ว ท่านเจ้าของกุฏิจึงพูดกับอาจารย์ชิตว่า
"เจ้ากรรมนายเวรเขาตามมาทวงอีกรายแล้ว"
"คราวนี้หลวงพ่อจะเป็นอะไรอีกหรือครับ" คนสูงอายุถามอย่างเป็นห่วง
"ไม่เป็นอะไรแล้ว แต่ต้องเสียเงิน พรุ่งนี้คนขายก๋วยเตี๋ยวจะเอาลูกชายมาฝาก อาตมาจะให้เขาบวชเณรแล้วก็ปฏิบัติกรรมฐาน สักเดือนสองเดือนเขาก็จะรู้ดีรู้ชั่ว แล้วก็จะกลับไปเรียนหนังสืออย่างเดิม อาตมาก็ได้ใช้หนี้คนขายก๋วยเตี๋ยว โยมอยากรู้ไหมว่าหนี้อะไร"
"หนี้อะไรครับ" บุรุษวัยหกสิบถาม
"หนี้ค่าก๋วยเตี๋ยว อาตมาโกงค่าก๋วยเตี๋ยวแกทุกวัน วิธีโกงก็คือ ย่องไปขโมยเงินทางด้านหลังแก แล้วเอามาซื้อทางด้านหน้า แกยืนผัดก๋วยเตี๋ยวเหย็ง ๆ พอใครซื้อแกก็เอาเงินเหวี่ยงลงไปในตะกร้าซึ่งวางอยู่บนโต๊ะด้านหลังแก อาตมาก็กินก๋วยเตี๋ยวฟรีทุกวัน แถมบางวันยังหยิบเกินมาเป็นค่าน้ำแข็งใสอีกด้วย" คนเล่าหัวเราะ
"เคยถูกจับได้บ้างไหมครับ" คนฟังถาม
"ไม่เคย" ตอบอย่างภาคภูมิใจในความเก่งกาจของตน
"มือชั้นนี้แล้ว ให้ถูกจับได้ ก๊อเสียชื่อหมด อาตมาเป็นคนดวงดีนะ ดวงทำบาปขึ้น เรื่องถูกจับได้นั้นไม่ต้องพูดถึง"
อาจารย์ชิตกับนายสมชายช่วยท่านพระครูตอบจดหมายอยู่ถึงห้าทุ่ม จากนั้นคนทั้งสองจึงได้รับอนุญาตให้ไปพักผ่านหลับนอน ส่วนท่านเจ้าของกุฏิทำงานคนเดียวต่อไปจนถึงตีหนึ่ง เหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงก่อนจำวัด สมภารวัยห้าสิบตั้งใจจะเขียนหนังสือคู่มือการสอบอารมณ์กรรมฐาน ท่านรู้สึกกระหายน้ำเป็นกำลัง จึงเอื้อมมือไปหยิบกระติกน้ำร้อน เพื่อจะนำมาชง "ชา" ดื่ม
"ชา" ของท่านมิได้ทำจากใบชา หากทำมาจาก ต้นใต้ใบ กับ ต้นไมยราบ สับละเอียดตากแห้ง แล้วชงกับน้ำร้อน ใช้ดื่มต่างน้ำชา นายสมชายเพิ่งจะเติมน้ำร้อนลงไปเมื่อตอนสี่ทุ่ม เมื่อท่านเปิดฝาชั้นนอกของกระติก ก็มีเสียงระเบิดดัง "ฟุ" น้ำร้อนพุ่งออกมาลวกต้นขาท่านจนปวดแสบปวดร้อนทั้งสองขา
บัดดลท่านนึกถึงนังดำลาย เจ้าแมวเคราะห์ร้ายที่บังเอิญผ่านมาตอนที่ท่านสาดน้ำร้อนออกไปทางหน้าต่าง เมื่อตอนดึกของวันวาน มันส่งเสียงร้อง "แป๊ว" แล้ววิ่งหายไปทางศาลาการเปรียญ ท่าน "ตรวจสอบ" ดูก็รู้ว่า น้ำร้อนไปลวกขาทั้งสองข้างของมันจนเกิดอาการปวดแสบปวดร้อน
เพียงชั่วคืนเดียว "กรรม" นั้น ก็กลับมาสนองท่านรวดเร็วจนไม่ทันได้ตั้งตัว "นังดำลายเอ๋ย ขอบใจเอ็งมากนะ ที่มาทวงแต่เนิ่น ๆ อย่างนี้ เป็นอันว่าข้าใช้เอ็งแล้ว หมดหนี้หมดสินกันเสียที ชาติหน้าข้าจะไม่เกิดในโลกมนุษย์อีกแล้ว" ท่านรำพึงกับตัวเอง
อันที่จริง ท่านมีคาถา "ดับพิษร้อน" เพียงแต่สำรวมจิตว่าคาถาแล้วเป่าพรวดลงไปตรงบริเวณที่เป็นอาการปวดแสบปวดร้อนก็จะหายไปในทันที แต่ท่านไม่ยอมทำเช่นนั้น เพราะจะเป็นการเอาเปรียบนังดำลายเกินไป มันทุกข์ทรมานแค่ไหนนานเพียงไร ท่านก็ควรจะ "ใช้คืน" ในอัตราที่เท่าเทียมกันแม้จะได้แผ่เมตตาให้มันไปแล้วเมื่อตอนเช้าก็ตาม
เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงหยิบ "ชา" ใส่ถ้วยกระเบื้อง แล้วเทน้ำร้อนลงไป โชคยังดีที่กระติกไม่แตก แล้วก็ยังมีน้ำร้อนเหลืออยู่อีกตั้งเกือบครึ่ง ไม่มีเหตุผลอะไรที่มันจะระเบิด นอกจากว่า ต้องการให้ท่านชดใช้กรรม กรรมที่ทำกับนังดำลายโดยมิได้มีเจตนาแม้สักนิด!
ภิกษุสูงวัยยกถ้วยชาขึ้นดื่ม รสขมและเฝื่อนของต้นใต้ใบช่วยให้ท่านลืมความปวดแสบปวดร้อนที่ขาลงได้บ้าง ท่านดื่ม "ชา" ชนิดนี้มาได้หลายปีแล้ว และก็รู้ว่า มันเป็นยารักษาโรคมะเร็งได้อย่างวิเศษที่สุด
แม้จะมีทุกขเวทนาที่บริเวณต้นขาทั้งสองข้าง แต่เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงยังคงนั่งเขียนหนังสือต่อไป กระทั่งได้ยินเสียงยามเคาะแผ่นเหล็กสองครั้ง จึงเตรียมตัวจำวัด
ภิกษุวัยห้าสิบเอนกายลงอย่างมีสติ ครั้นศีรษะถึงหมอน จึงหลับตาลงช้า ๆ และแล้วภาพใบหน้าคมคายของอาจารย์สาว ผู้มีนามว่ากวิศญากลับลอยวนเวียนอยู่ในห้วงมโนนึก "มันจะต้องมีอะไรผิดปกติสักอย่าง"
ท่านรำพึงกับตัวเอง วันหนึ่ง ๆ ท่านรับแขกหลายสิบคน และก็เมตตาช่วยเหลือเขาไปตามกำลังความสามารถ ช่วยแล้วก็แล้ว ไม่เคยเก็บปัญหาของใคร มาติดต่อเป็นการบ้าน เรื่องที่จะนึกโปรดปรานผู้หนึ่งผู้ใดเป็นพิเศษไม่เคยมี บางคนเห็นกันครั้งเดียวก็ไม่เคยเห็นกันอีก หรือบางคนแม้จะเห็นอีก ท่านก็จำไม่ได้เสียแล้ว เพราะเดือนหนึ่ง ๆ ปีหนึ่ง ๆ คนเข้าวัดเป็นพัน ๆ แต่เหตุใดภาพของอาจารย์คนนั้นจึงมาปรากฏในใจท่าน คงจะต้องมีความผูกพันเกี่ยวข้องกันมาอย่างแน่นอน
"อย่ากระนั้นเลย เราควรจะให้ "เห็นหนอ ช่วยตรวจสอบดู" แล้ว "เห็นหนอ" ก็ทำหน้าที่อย่างแคล่วคล่องว่องไวด้วยการรำลึกนึกย้อนกลับไปยังอดีต...ถอยจากชาติปัจจุบันไป ๓ ชาติ
เวลานั้น ท่านเกิดเป็นสะใภ้เขา ต้องถูกแม่ผัวกลั่นแกล้งทุกวี่ทุกวันจนหาความสุขไม่ได้ แล้วท่านก็มีลูกสาวถึง ๔ คน แม่ผัวอยากได้หลานผู้ชายก็หาเรื่องใส่ร้ายป้ายสี นางยุยงลูกชายว่า ท่านเป็นหญิงกาลกิณี จึงไม่สามารถมีลูกผู้ชายได้ แรก ๆ สามีท่านไม่เชื่อ ครั้นเมื่อถูกมารดายุยงหนักเข้าก็ชักจะหวั่นไหว บังเอิญท่านตั้งท้องลูกคนที่ ๕ แม่ผัวก็ตราหน้าว่าต้องเป็นลูกสาวอีก
ครั้นถ้วนกำหนดทศมาส ท่านคลอดลูกออกมาเป็นชาย แม่ผัวดีใจสุดขีดถึงกับช็อคตายไป ท่านจึงถือว่า ลูกชายนำโชคมาให้ ช่างโชคดีที่แม่ผัวตายเสียได้!
จากชาติลูกสะใภ้ ก็ไปเกิดเป็นแม่ทัพเอกสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย จากชาติแม่ทัพก็มาเกิดเป็นลูกชายของผัวเมียคู่หนึ่ง ซึ่งตั้งบ้านเรือนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา แต่ได้ตกน้ำตายเมื่ออายุยังไม่ครบ ๔ ขวบ ขณะนั้นมีน้องชายอายุสองขวบ และมาในชาตินี้น้องชายคนนั้นมาเกิดเป็นพระบัวเฮียว
ส่วนลูกคนที่ ๕ ในชาติที่ท่านเป็นสะใภ้เขานั้น มาเกิดเป็นอาจารย์กวิศญา เห็นการเวียนว่ายวกวนอยู่ในวัฏสงสารแล้วท่านก็นึกท้อแท้และเบื่อหน่าย ไม่ปรารถนาจะเกิดอีกแม้แต่ชาติเดียว
เมื่อภาพยนตร์แห่งภพชาติฉายจบลง เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงจึงได้คำตอบว่า เหตุใดภาพของอาจารย์สาวจึงลอยวนเวียนอยู่ในห้องมโนนึก สมภารวัยห้าสิบ รำพึงกับตัวเองว่า "โธ่เอ๋ย ไอ้หนูลูกแม่ ทีแม่เกิดเป็นผู้หญิง เอ็งกลับเกิดเป็นผู้ชาย แต่พอแม่มาเกิดเป็นผู้ชาย เอ็งก็มากลายเป็นผู้หญิงเสียนี่ อนิจจัง วะตะสังขารา" ได้คำตอบเป็นที่พอใจแล้ว เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงก็เข้าสู่ห้วงนิทรารมณ์ และพร้อมที่จะตื่นขึ้นมาทำความเพียรในอีกสองชั่วโมงข้างหน้า
ฉันเช้าเสร็จ ท่านพระครูก็ลงรับแขก สายใสพาลูกชายมานั่งรอคิวแต่เช้า เห็นหน้าเด็กหนุ่มแล้ว ท่านเจ้าของกุฏิก็รู้ได้ทันทีว่า เด็กคนนี้จะไปได้ดิบได้ดีในภายภาคหน้า แต่ที่เกเรอยู่ขณะนี้ก็เพื่อจะเปิดโอกาสให้ท่านได้ใช้หนี้ค่าก๋วยเตี๋ยวนั่นเอง
"ลูกชายท่าทางดีนี่นา ไม่เกหรอก" ท่านพูดให้กำลังใจทั้งพ่อและลูก
"ไม่เกยังไงล่ะครับหลวงพ่อ ก็มันไม่ยอมเรียนหนังสือ" คนเป็นพ่อแย้ง ใจชื้นขึ้นมานิดหนึ่งเมื่อได้ยินว่าลูกชายท่าทางดี
"ต่อไปก็เรียน เชื่อสิ มาบวชวัดนี้แล้วออกไปดีทุกคน อาตมาดูหน้าขาแล้ว ไม่ใช่คนเกรเรเกเสอะไร ถ้าแกจริงป่านนี้ติดยาเสพติดเรียบร้อยไปแล้ว จริงไหมไอ้หนู" ท่านถามคนอายุสิบแปด
"ก็ไม่แน่หรอกครับหลวงปู่ ตอนนี้ยังไม่ติด ต่อไปอาจจะติดก็ได้" คนอายุสิบแปดว่า ด้วยเจตนาจะแกล้งคนเป็นพ่อ
"อย่านาไอ้หนูนา ขืนเอ็งทำยังงั้นก็เท่ากับตกนรกทั้งเป็นเชียวนา แล้วใคร ๆ ก็ช่วยเอ็งไม่ได้ เชื่อหลวงปู่เหอะ"
"ตกลงหลวงพ่อจะให้มันบวชเมื่อไหร่ครับ" นายใสถาม ใจแป้วเมื่อฟังคำของคนเป็นลูก
"อีกสามวัน ระหว่างนี้จะให้พระมหาบุญท่านช่วยสอนช่วยฝึกไปก่อน ไม่ต้องห่วง อาตมาจะจัดการให้เรียบร้อย"
"แล้วผ้าไตรล่ะครับ จะให้ผมซื้อมา หรือว่าจะเอาเงินให้หลวงพ่อไปซื้อ"
"ไม่ต้องทั้งสองอย่าง อาตมาให้สมชายไปซื้อมาให้แล้ว โยมไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น ไว้เป็นธุระของอาตมาเอง"
"ทำไมหลวงพ่อถึงได้เมตตาผมกับลูกมากมายถึงปานนี้ ผมนึกไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่าในประเทศไทยยังมีคนดี ๆ เช่นท่านหลงเหลืออยู่ ขอให้หลวงพ่อจงมีอายุยืนยาวนะครับ" นายใสให้ศีลให้พร
"อาตมาก็ตั้งใจว่าจะอยู่ไปจนกว่าจะตายนั้นแหละโยม" ท่านพระครูตอบยิ้ม ๆ แล้วถามเขาว่า
"อยากรู้ไหมว่า ทำไมอาตมาถึงต้องดีกับโยมเป็นพิเศษ"
"อยากครับ ทำไมหรือครับ"
"เขถิบมาใกล้ๆ อาตมาไม่อยากให้คนอื่นได้ยิน มันเป็นความลับ" บุรุษวัยหกสิบจึงคลานเข้าไปจนชิดอาสนะ ท่านเจ้าของกุฏิก้มลงมากระซิบที่ข้างหูเขาว่า
"รู้แล้วอย่าเที่ยวไปบอกใครนะ อาตมาต้องการใช้หนี้โยม หนี้ค่าก๋วยเตี๋ยว อาตมาขโมยเงินโยมมาซื้อก๋วยเตี๋ยวโยมกินทุกวัน แล้วจะช่วยอบรมลูกชายให้เป็นการใช้หนี้ ตกลงนะ ห้ามบอกใครนะ"
"ครับ ผมรับรองว่าจะไม่บอกใคร ถ้างั้นผมลาละครับ ฝากไอ้หนูมันด้วย แล้ววันบวชผมจะมาใหม่" นายใสกราบท่านพระครู แล้วหันไปสั่งลูกชายว่า "ไอ้หนู เอ็งเชื่อฟังหลวงปู่ท่านนะ ท่านใช้ให้ทำอะไรก็ทำ พ่อไปก่อนละ" คนเป็นพ่อลุกออกไปแล้ว ท่านเจ้าของกุฏิจึงถามคนเป็นลูกว่า
"ไอ้หนู เอ็งกินข้าวเช้ามาหรือยัง"
"ยังเลยครับหลวงปู่ พ่อแกเร่งซะจนผมกินไม่ทัน" ไอ้หนูวัยสิบแปดตอบ
"แล้วหิวหรือเปล่าล่ะ"
"หิวซีครับหลวงปู่ หิวจนไส้กิ่วแล้ว" ลูกชายนายใสว่า
"งั้นเดี๋ยวให้เขาพาไปกินที่โรงครัว สมชายประเดี๋ยวเธอพาไอ้หนูไปกินข้าว แล้วเอาไปส่งให้พระมหาบุญ บอกช่วยจัดการให้หน่อย อีกสามวันเขาจะบวชเณร" ศิษย์วัดจึงจัดการตามที่ท่านสั่ง เขาเดินนำเด็กหนุ่มไปยังโรงครัว รอจนฝ่ายนั้นรับประทานอาหารอิ่มหนำสำราญแล้วจึงพาไปหาพระมหาบุญ
สนทนาปราศรัยและแก้ไขปัญหาให้ญาติโยม จนถึงเวลาสิบนาฬิกา ท่านเจ้าของกุฏิจึงบอกพวกเขาว่า
"อาตมาต้องขึ้นศาลาก่อนนะ ได้เวลาแล้ว ใครไม่รีบกลับก็ขอเชิญไปฟังพระสวดธรรมจักรที่ศาลานะ วันนี้คุณหญิงเขามาเลี้ยงเพล อาตมาเลยนิมนต์พระสงฆ์สวดธรรมจักร เพื่อเป็นสิริมงคลเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันเกิดคุณหญิง อาตมาไปละนะ ใครจะฟังก็ตามมา" ท่านลุกจากอาสนะ จัดเครื่องนุ่งห่มให้เรียบร้อยแล้วเดินไปยังศาลา ญาติโยมหลายคนเดินตามท่านไป บางคนก็กลับบ้านเพราะเสร็จธุระแล้ว
คุณหญิงและคณะมาถึงก่อนเวลาพระสวดเล็กน้อย คณะผู้ติดตามมีไม่มากเท่าครั้งที่แล้ว คงเป็นเพราะรัฐมนตรีไม่ได้มาด้วยนั่นเอง
"เจริญพร คุณหญิงสบายดีหรือ" ท่านทักทาย
"สบายดีค่ะ" คุณหญิงตอบ
"ท่านรัฐมนตรีไม่มาด้วยหรือ"
"ท่านไปราชการที่จังหวัดเชียงใหม่ค่ะ"
"อ้าวยังไม่กลับอีกหรือ ไปนานจัง" ท่านนึกไปถึงสาวน้อยหน้าอ่อนที่คนเป็นรัฐมนตรีเอาซ่อนไว้ในรถ มีม่านปิดมิดชิด หากท่านก็ยังอุตส่าห์ "เห็น"
หากถามเกี่ยวกับรัฐมนตรี คุณหญิงอาจจะรู้ระแคะระคาย ท่านจึงเปลี่ยนเรื่องถาม
"วันนี้คุณหญิงอายุเท่าไหร่แล้ว"
"ห้าสิบห้าปีเต็มค่ะ" คนเป็นคุณหญิงตอบ พอดีกับได้เวลาพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงจึงว่า
"ญาติโยมตั้งใจฟังพระเจริญพระพุทธมนต์นะ อย่าไปคุยกัน ผู้ใดได้ฟังพระสวดธรรมจักรถือว่าเป็นสิริมงคล บางคนฟังแล้วเกิดปัญญา แก้ปัญหาได้ก็มี" จากนั้นพระสงฆ์ก็เริ่มเจริญพระพุทธมนต์ และสวดธรรมจักรตามลำดับ คุณหญิงและคณะตั้งอกตั้งใจฟังเป็นอันดีเพราะต่างก็คิดว่าจะไม่ยอมให้เสียชื่อเหมือนคราวที่แล้ว
พิธีทำบุญเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันเกิดของคุณหญิง เสร็จสิ้นลงเมื่อเวลาใกล้เที่ยง พระภิกษุสามเณรกราบพระรัตนตรัยสามครั้งพร้อมกัน แล้วต่างแยกย้ายไปปฏิบัติกรรมฐานยังกุฏิของตน แต่ท่านพระครูยังไม่ลุกไปไหน
"ขอเชิญญาติโยมรับประทานอาหารกันให้อิ่มหนำสำราญเสียก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง" ท่านเชื้อเชิญบรรดาผู้มาร่วมพิธี
แม่ชีเจียนรับประทานอาหารเสร็จแล้วก็คลานเข้ามานั่งตรงหน้าท่านพระครู กราบท่านสามครั้งแล้วรายงานว่า
"หลวงพ่อ เมื่อคืนฉันพยาบาลนังหนูส้มป่อยมันเกือบทั้งคืน แทบไม่ได้หลับได้นอนเลยจ้ะ"
"เขาเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นเพชราแล้ว แม่ชีไม่รู้หรอกหรือ"
"ทราบจ้ะ แต่ฉันมันติดเรียกชื่อเดิม ปากมันเคยจ้ะ"
"เขาเป็นยังไงล่ะ ไหนลองเล่าไปซิ"
"คือตอนหัวค่ำ เขาก็ปฏิบัติกรรมฐานตามปกติ พอตกดึกเขาบอกว่าปวดที่ถัน ฉันก็ให้เขาอดทน เขาก็แข็งใจทน แล้วก็ไม่อาละวาดเหมือนก่อน พอปวดหนัก ๆ เข้า เขาเลยร้องไห้ เสร็จแล้วแผลมันแตกจ้ะหลวงพ่อ ทั้งหนองทั้งหนอนไหลออกมาเหละ ๆ จากปากแผล หนอตัวท่านิ้วก้อยฉันเลย ฉันก็เอากระโถนมารอง โอ้โฮ เต็มกระโถนเลย กลิ่นก็เหม็น ฉันก็กำหนด "กลิ่นหนอ กลิ่นหนอ" พอหนองหยุดไหล ฉันก็รินยาให้ดื่ม เขาก็ดื่มแล้วก็หลับไปเลย เช้ามาก็หายเป็นปกติ แผลก็หาย แต่เขายังเพลีย ลุกไม่ขึ้น"
"เขาหมดกรรมแล้ว เดี๋ยวช่วยไปบอกว่า อาตมาขออนุโมทนาด้วย อีกห้าหกวันก็ให้กลับไปอยู่บ้านได้ แต่ถ้าเขายังอยากจะอยู่ต่อก็ตามใจเขา"
"จ้ะ แล้วฉันจะบอกเขาให้" เสร็จธุระแล้ว แม่ชีก็กราบสามครั้งแล้วคลานออกมา คุณหญิงคลานเข้าไปแทน
"คุณหญิงอิ่มเร็วจัง กับข้าวไม่อร่อยหรือไง" เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงถาม
"อร่อยมากค่ะหลวงพ่อ แต่ดิฉันปลื้มอกปลื้มใจเสียจนทานไม่ลง"
"ไม่ใช่เพราะท่านรัฐมนตรีไม่มา ก็เลยทานไม่ลงนะ" ท่านสัพยอก
"ก็คงมีส่วนค่ะ" คุณหญิงยอมรับ แล้วพูดต่ออีกว่า
"ทุกทีเคยไปไหนมาไหนด้วยกัน เพิ่งจะครั้งนี้แหละค่ะที่ท่านติดราชการมาไม่ได้" ฟังคนเป็นคุณหญิงพูดแล้วท่านพระครูให้รู้สึกสงสาร เพราะท่านรู้ว่าคุณหญิงไม่รู้ คุณหญิงไม่รู้หรอกว่า "ราชการ" ของผู้เป็นสามีนั้นคืออะไร นายขุนทองคลานเข้ามานั่งใกล้ ๆ คุณหญิง อยากจะดูเครื่องเพชรให้เต็มตาเพราะเห็นเม็ดเป้ง ๆ ทั้งนั้น
"ขอประทานโทษ คุณหญิงมีบุตรกี่คน" ท่านสมภารเปลี่ยนเรื่องถามเมื่อเห็น "คนปากโป้ง" เข้ามาร่วมวง
"สองค่ะ หญิงหนึ่ง ชายหนึ่ง กำลังเรียนอยู่เมืองนอกทั้งคู่"
"อีกหน่อยก็คงจะมีตัวเล็ก ๆ มาให้อุ้มอีกนะฮะ" คนปากโป้งว่า
"โอ๊ย ไม่ไหวแล้ว ฉันแก่เกินไปแล้ว มีไม่ได้แล้ว" คนเป็นคุณหญิงรีบปฏิเสธ
"คุณหญิงมีไม่ได้ แต่ท่านรัฐมนตรียังมีได้นี่ฮะ"
"หา เธอว่าอะไรนะ" คุณหญิงฉุกใจกับคำพูดของชายหนุ่ม
"ขุนทอง" ท่านพระครูเรียกชื่อหลานชาย นายขุนทองมองหน้าหลวงลุงก็เห็นท่านขยิบหูขยิบตา แต่เข้าไม่เข้าใจจึง "พล่าม" ต่อ
"จริง ๆ นะฮะคุณหญิง หนูเห็นกะตาเลย"
"ขุนทอง" คราวนี้ท่านพระครูถอดแว่นออก เพราะคิดว่าหลานชาย คงไม่เห็นตอนท่านขยิบตา
"อ้าว หลวงลุงหลับตาปริ๊บ ๆ เป็นอะไรหรือเปล่า หรือว่าจะเป็นลมเดี๋ยวนะ หนูจะไปชงยาหอมมาให้" พูดจบก็กุลีกุจอลุกออกไป
"หมายความว่ายังไงคะหลวงพ่อ" คุณหญิงหันมา "เล่นงาน" ท่านสมภารแทน
"ไม่มีอะไรหรอกคุณหญิง เจ้าหมอนี่มันธาตุไม่ค่อยจะดี เลยพูดจาเลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปหน่อย ไม่มีอะไรหรอก"
"แต่ดิฉันว่า มันจะต้องมีอะไร หลวงพ่ออย่าปิดดิฉันเลยค่ะ" คนเป็นคุณหญิงพูดเสียงดังกว่าปกติ จนทำให้คนที่กำลังรับประทานอาหารกันอยู่หันมามอง
"เบา ๆ หน่อยคุณหญิง อาตมาขอร้องเถอะนะ วันนี้ก็เป็นวันมงคลของคุณหญิง จึงควรที่จะต้องทำจิตใจให้ผ่องใสเบิกบาน อะไรที่ไม่ดีไม่งาม ไม่ต้องเก็บเอามาคิด นะคุณหญิงนะ" ท่านพระครูพูดเตือนสติคนเป็นคุณหญิง คิดว่าเสร็จงานนี้แล้ว จะต้องพิจารณาโทษพ่อหลานชายตัวดีสักหน่อย โทษฐานที่นำความลับของผู้อื่นมาเปิดเผย
"ดิฉันขอโทษค่ะ เอาเถอะเมื่อหลวงพ่อไม่ให้คิด ดิฉันก็จะพยายามไม่คิด" ปากพูดอย่างนี้ หากใจนั้นคิดว่าเสร็จงานนี้แล้วจะต้อง "สัมภาษณ์" พ่อหนุ่มท่าทางกระตุ้งกระติ้งคนนั้นให้รู้ความจริงให้จงได้
นายขุนทองประคองถาดใบเล็กมีถ้วยกระเบื้องใส่ยาลมซึ่งละลายเรียบร้อยแล้ว มาประเคนท่านพระครู ปากก็ว่า
"หลวงลุงฉันยาลมหน่อย จะได้รู้สึกดีขึ้น" สมภารวัยห้าสิบจึงจำต้องรับถ้วยยาขึ้นมาดื่ม เพื่อไม่ให้คนเป็นคุณหญิงสงสัย ท่านพูดเบาๆให้หลานชายได้ยินแต่ผู้เดียวว่า "ความรู้สึกของข้าคงจะดีขึ้น ถ้าเอ็งไปให้พ้นหูพ้นตาข้า ไปเลย ไปเฝ้ากุฏิแทนสมชาย แล้วให้เขามาแทนเอ็งที่นี่" หลานชายทำตามคำสั่งผู้เป็นหลวงลุง เขาหายไปสักพัก นายสมชายก็ขึ้นมาบนศาลา ชายหนุ่มยกมือไหว้คุณหญิงแล้วมิได้พูดว่ากระไร ใจนั้นอยากจะถามว่าทำไมท่านรัฐมนตรีจึงไม่มาด้วย แต่ก็เห็นว่าไม่ใช่เรื่องอะไรของตน ท่านจะมาหรือไม่มา มันก็ไม่ใช่กงการอะไรของเขา
เมื่อรับประทานอาหารกันเสร็จสรรพแล้ว คณะของคุณหญิงก็ค่อย ๆ ทยอยกันมานั่งสนทนากับท่านพระครู คุณหญิงจึงถือโอกาสลุกออกมาทำทีว่าจะไปห้องสุขา ครั้นพ้นสายตาเจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงแล้ว เธอก็เดินไปที่กุฏิ มีคนมารอพบท่านพระครูหลายคน เธอจึงกวักมือเรียกนายขุนทองมาหา
"คุณหญิงมีอะไรจะใช้หนูหรือฮะ" เขาถาม คุณหญิงยังไม่ตอบ เธอเปิดกระเป๋าถือ หยิบธนบัตรสีแดงออกมาจากกระเป๋าสตางค์สามใบ ส่งให้ชายหนุ่ม
"เอาไว้ซื้ออะไรที่เธออยากจะซื้อ" คุณหญิงว่า
หากเป็นนายสมชายจะต้องปฏิเสธ แต่นายขุนทองไม่ใช่นายสมชาย ชายหนุ่มรีบยกมือไหว้ พร้อมกล่าวคำขอบคุณ ใจนั้นกระหยิ่มยิ้มย่อง "คราวนี้อีขุนทองมีเงินดัดผมกะซื้อรองเท้าส้นสูงแล้ว"
ให้สินบนเรียบร้อยแล้ว คุณหญิงจึงเริ่มเรื่อง นายขุนทองกลัวใครจะมาได้ยิน จึงชวนไปคุยกันที่ศาลาท่าน้ำ แล้วเขาก็เล่าให้คุณหญิงฟังทุกอย่างทุกประการ เหมือนจะให้คุ้มกับค่าเงินค่าจ้างสามร้อยบาทที่คุณหญิงให้! คนเล่าเล่าจบ คนฟังก็เข่าอ่อน มือไม้อ่อนรู้สึกเหมือนใจจะขาดเสียให้ได้ เธอร้องไห้คร่ำครวญพร้อมก่นด่าคนเป็นสามี
ฮือ ๆ ไอ้แก่นะไอ้แก่ ทรยศกูจนได้ ไอ้งูเห่า เลี้ยงไม่เชื่อง กูอุตส่าห์ช่วยมันวิ่งเต้น เข้าหาผู้หลักผู้ใหญ่ กูก็ทำ กว่าจะได้ขึ้นเป็นรัฐมนตรี กูลำบากจนเลือดตาแทบกระเด็น พอได้ดิบได้ดีมึงก็มาทรยศกู ไอ้เวรห้าร้อย"
นายขุนทองรู้สึกเสียใจที่ทำให้คนเป็นคุณหญิงต้องร้องไห้ และคนเป็นรัฐมนตรีต้องถูกด่า ไม่รู้ที่จะแก้ตัวอย่างไร จึงส่งเงินสามร้อยบาทคืนให้คุณหญิงเป็นการไถ่โทษ คิดว่ายังไงเสียเธอคงไม่ยอมรับคืน แต่ก็ผิดคาด เพราะคนเป็นคุณหญิงเอื้อมมือมากระชากเงินนั้นไปใส่กระเป๋าของตน ได้เงินคืนแล้วก็ยังไม่หยุดร้องไห้ นายขุนทองจึงปลอบว่า "คุณหญิงอย่าคิดอะไรมากเลยฮะ อีกหน่อยเขาก็เลิกกัน ผู้หญิงที่ไหนเขาจะโง่เอาคนจวนเข้าโลงมาทำผัว"
"อ้อ นี่มึงว่ากูเหรอ มึงว่ากูโง่เหรอ" เธอแหวเข้าใส่ นายขุนทองตกใจจนอ้าปากค้าง นึกสมน้ำหน้าตัวเองที่อยู่ดีไม่ว่าดี คนเป็นคุณหญิงยังคงรำพันต่อไปว่า
"ฮือ ๆ กว่ามันจะเลิกกัน กูก็หมดตัวพอดี นี่เงินทองได้มา คงเอาไปบำรุงบำเรออีนั่นหมด คอยดูนะ กูจะต้องสืบให้รู้จนได้ จะถลกหนังมันเอาเกลือทาเชียวละ"
ค่ำคืนนั้น เมื่ออาคันตุกะกลับไปหมดแล้ว ท่านพระครูจึงเรียกตัวนายขุนทองมาซักฟอก
เอ็งนี่มันแย่มากนะเจ้าขุนทอง มีอย่างที่ไหน ไปพูดให้ผัวเมียเขาแตกกัน ระวังจะตกนรก คราวหน้าคราวหลังอย่าทำอย่างนี้อีก ได้ยินไหม ข้าอุตส่าห์ถอดแว่นขยิบตาให้ เอ็งก็ยังไม่รู้เรื่อง ยังดีนะที่ข้าไหวทัน จึงใช้ให้เอ็งมาเฝ้ากุฏิแทนเจ้าสมชาย ไม่งั้นความลับแตกแน่ ๆ" นายขุนทองร้องไห้โฮ ๆ ออกมา จนท่านพระครูตกใจ
"อะไร ว่าแค่นี่ก็ต้องร้องไห้ เกิดจะมีคุณธรรมสูงขึ้นมาเดี๋ยวนี้หรือไง" ท่านประชด
"มันไม่แค่นี้ซีฮะหลวงลุง มันไม่แค่นี้" คนพูดร้องไห้สะอึกสะอื้น
"แล้วมันแค่ไหนล่ะ"
"มันหมดเปลือกเลยฮะ หนูแอบเล่าให้คุณหญิงฟังหมดเปลือกเลย เขาจ้างหนูสามร้อย พอเล่าจบเขาก็เอาเงินคืน กรี๊ด!




เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ถวายเทียน ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ



ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพ
เททองหล่อพระประธาน ปางลีลาประทานพร สูง ๔ เมตร (คล้าย พุทธมณฑล)
ประดิษฐานบนภูเขา ณ วัดป่ามงคลธรรม ต.ตะขบ อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา
โทร 081-408-7825<O


เชิญร่วมทำบุญ ซื้อที่ดินเพื่อทำสถานปฏิบัติธรรม วิปัสสนากรรมฐาน
โทร.081-1279188


28-29 กรกฎาคม 2555 ร่วมเป็นเจ้าภาพบริจาคปัจจัย สมทบทุน "สร้างวัด" ถวายเป็นพุทธบูชา
โทร: 02-7141975


ร่วมสร้างพระเจดีย์บรรจุพระจักษุธาตุ-อรหันต์ธาตุ วัดป่าศรีคุณาราม จ.อุดรฯ (ปิดรับ 2 พ.ย.)
081-345-8656


ขอเชิญร่วมบุญสร้างถวายพระจักรพรรดิ์ทรงเครื่องขนาดหน้าตัก 30 นิ้ว
0896699699

ขอเชิญร่วมทำบุญเททองหล่อระฆัง ณ วัดล่องกระเบา
โทร. 086-8054133


ร่วมทำบุญทอดผ่าป่ามหาทาน
สำหรับท่านที่ประสงค์จะร่วมทำบุญ
แต่ไม่สะดวกในการเดินทางมาทำบุญ หรืออยู่ต่างประเทศ
สามารถทำบุญผ่าน
บัญชี วัดยานนาวา (เพื่อการศาสนศึกษา)
ธนาคารกรุงเทพ สาขาบางรัก ประเภทบัญชี ออมทรัพย์
เลขที่บัญชี 242-0-12440-2



เชิญทอดผ้าป่าสร้างศาลาการเปรียญฯ
สมทบทุนยกช่อฟ้า สร้างประตู -บานหน้าต่างศาลา
ทอด ณ สำนักสงฆ์เขาเต่าสำเภาทอง
ต.ดอนตาเพชร อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี
กำหนดการ

พฤหัสบดีที่ 2 สิงหาคม 2555(วันอาสาฬหบูชา)

เวลา 09.00 น. ถวายผ้าป่าสามัคคี




งานบุญหนึ่งในสายหลวงปู่ใหญ่
http://www.watpatungkulachalermraj.com/ ... uage=th-TH



ขอเชิญร่วมป็นเจ้าภาพโครงการบวชพระ 99 รูป 99 วัน www.watnonggai.com

เชิญร่วมบวชเนกขัมมะ ปิดวาจา ณ.สำนักสงฆ์เขาสันติ หัวหิน
โทร. 086-8990642<O </O
<O </O


เชิญร่วมบวชเนกขัมมะ ถือศีล 8 ณ.วัดพิชัยพัฒนาราม (วัดเขาน้อยสามผาน) จ.จันทบุรี
086-8990642<O </O
<O </O



เชิญร่วมขับเคลื่อนพระธรรมจักรสู่ชาวเขา
โทร. ๐๘-๖๙๑๔-๖๕๔๘


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO