นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อาทิตย์ 12 พ.ค. 2024 2:22 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: เรื่องราว
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 26 มิ.ย. 2012 8:10 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4555
วันที่ ๓๐ มีนาคม ท่านพระครูลงรับแขกเป็นวันแรก หลังจากที่หยุดไปหนึ่งเดือนเต็ม ผู้คนมารอกันแน่นกุฏิเช่นเคย เพราะเป็นวันเสาร์
เจ้าทุกข์รายหนึ่งเป็นสุภาพสตรีวัยสามสิบ ผิวขาว หน้าตาแม้จะดูเศร้าโศก หากก็แฝงเอาไว้ซึ่งความงดงามหาที่ติมิได้ หล่อนเข้าไปกราบท่านพระครูสามครั้ง แล้วเอ่ยทั้งน้ำตาว่า
"หลวงพ่อคะ ช่วยหนูด้วย"
"โยมจะให้อาตมาช่วยอะไรก็ว่ามาเลย" ท่านพูดอย่างปรานี ครั้นเห็นรอยฟกช้ำดำเขียวที่แขนทั้งสองข้างจึงถาม
"นั่นไปโดนอะไรมา ถึงได้เนื้อตัวเขียวปั้ดออกอย่างนั้น" หล่อนร้องไห้หนักขึ้น แล้วตอบว่า
"สามีตีค่ะ"
"ทำไมถึงต้องตีด้วยล่ะ โยมไปทำอะไรให้เขาโกรธ เขาถึงได้ตีเอา แต่จริง ๆ แล้วก็ไม่ควรจะทุบตีกันแบบนี้ จะโกรธจะเคืองยังไง ก็น่าจะพูดกันได้ อาตมาไม่ชอบให้ทำอย่างนี้เลย" แล้วท่านจึงพูดกับบรรดาสุภาพบุรุษที่นั่งอยู่ ณ ที่นั้นว่า "คุณพ่อบ้านทั้งหลาย อาตมาอยากจะขอร้องนะ อย่าได้รังแกแม่บ้านเขายังงี้เลย มีอย่างที่ไหน มาทุบตีกันยังกะเขาเป็นวัวเป็นควาย แบบนี้ไม่ใช่วิสัยของสุภาพบุรุษ" มนุษย์เพศชายที่นั่งอยู่ ณ ที่นั้น ต่างพากันสงสารหญิงสาวที่นั่งร้องไห้อยู่เบื้องหน้าท่านพระครู หนุ่มหนึ่งก็นึกในใจว่า "ถ้าเมียข้าสวยยังงี้ จ้างก็ไม่ตีให้โง่ แต่ที่ต้องตีเพราะมันไม่สวย"
"จะสวยหรือไม่สวย ก็ห้ามตีเด็ดขาด ไม่ใช่ว่าต้องสวยถึงจะไม่ตี" ท่านเจ้าของกุฏิพูดพร้อมกับสบตาคนแอบนึก เจ้าหนุ่มจึงนึกต่ออีกว่า
"โอ้โฮ หลวงพ่อนี่ชั้นหนึ่งเลย ขนาดเราอุตส่าห์พูดในใจ ยังได้ยินเสียอีกแน่ะ"
"จะพูดในใจ หรือพูดนอกใจ อาตมาก็ได้ยินทั้งนั้น ถ้าอยากจะได้ยิน แต่ถ้าไม่อยากก็แล้วไป"
"พระอรหันต์" หนุ่มนั้นสรุปในใจ
"อาตมาไม่ใช่เป็นพระอรหันต์ อย่างเก่งก็เป็นได้แค่พระอรเห เพราะใครมีทุกข์ก็พากันเหเข้ามาหา" ผู้ที่นั่งอยู่ ณ ที่นั้น ชักจะงุนงงด้วยรู้สึกว่าท่านพูดอยู่คนเดียว แถมเรื่องที่พูดก็ไม่ไปด้วยกันอีกด้วย ท่านพระครูไม่อยากให้พวกเขาต้องงงนาน จึงถามหญิงสาวผู้นั้นว่า
"โยมไปทำอะไรให้เขาโกรธหรือเปล่า เขาถึงได้ตีเอา"
"ไม่ได้ทำค่ะ แต่เขาเป็นคนขี้หึง หนูคุยกับใครไม่ได้เลย เขาหาว่าหนูพยายามนอกใจเขา คนอะไรก็ไม่รู้หึงไม่ดูตาม้าตาเรือ หนูไม่อยากอยู่กับเขาแล้วค่ะหลวงพ่อ เขาตียังกะวัวกะควาย"
"แล้วเขาทำงานอะไรล่ะ"
"เป็นทหารค่ะ ทหารยศร้อยเอก อยู่ค่ายจังหวัดลพบุรีนี่เอง เวลาจะไปทำงาน เขาก็ใส่กุญแจขังหนูไว้ในบ้านไม่ให้ออกไปไหน เกิดฟืนไฟไหม้บ้านหนูคงถูกย่างสดตายอยู่ในนั้น"
"โอ้โฮ หึงมากขนาดนั้นเชียวหรือ แล้วมีลูกกี่คนล่ะ มีลูกด้วยกันหรือเปล่า"
"มีค่ะ มีลูกชายสอง ลูกสาวสอง เข้าโรงเรียนหมดแล้ว"
"ขนาดมีลูกสี่คน ก็ยังหึงหรือ"
"ค่ะ หนูถึงไม่อยากจะทนอีกต่อไป หลวงพ่อดูซิคะ อยู่กันมาสิบปี เขาขังหนูไว้ในบ้านตลอด" หญิงสาวเล่า และท่านเจ้าของกุฏิก็ "รู้" ว่าหล่อนมิได้พูดเกินความจริง
"ผมว่าแบบนี้ผิดปกติแล้วนะครับหลวงพ่อ สงสัยจะเป็นโรคจิต" หนุ่มที่อ้างในใจว่า "เพราะเมียไม่สวยถึงตี" เอ่ยขึ้น
"นั่นสิ คนที่ชอบตีเมียน่ะเป็นโรคจิตทั้งนั้น" ท่านพระครูเห็นช่องทาง "ตีวัวกระทบคราด" พ่อหนุ่มนั่นจึงจำต้องนิ่ง
"หลวงพ่อต้องช่วยหนูนะคะ" คนถูกสามีตี อ้อนวอน
"จะให้ช่วยแบบไหนล่ะ ช่วยไม่ให้เขาตียังงั้นหรือ"
"ช่วยให้หนูเลิกกับเขาน่ะค่ะ หนูเบื่อชีวิตแบบที่แล้ว ๆ มา มันเหมือนตกนรกทั้งเป็นค่ะ"
"จะเลิกกันยังไงล่ะโยม ลูกเต้าก็มีด้วยกันตั้ง ๔ คน อาตมาไม่ชอบให้ผัวเมียเลิกร้างกัน เพราะมันจะเป็นปัญหากับลูกในภายหลัง จะให้ช่วยแบบนั้น อาตมาไม่ช่วยแน่นอน เพราะอาตมากลัวบาป" แล้วท่านจึงพูดกับผู้ที่นั่งอยู่ ณ ที่นั้นว่า "ญาติโยมทั้งหลายโปรดจำเอาไว้ การยุแหย่ให้ผัวเมียเขาเลิกกันนั้นบาปมาก ใครคิดจะทำก็ให้ล้มเลิกความคิดนั้นเสีย และใครที่เคยทำมาแล้ว ก็อย่าได้ทำอีก ไม่งั้นบาปกรรมจะตามมาถึงตัว ขอให้เชื่ออาตมาสักครั้ง" ท่านจงใจ "เทศน์" สตรีสามคนที่มานั่งรอคิวอยู่ "กฎแห่งกรรม" ของคนทั้งสามฟ้องว่า พวกหล่อนมีความสามารถในการ "ยุแยงตะแคงแซะ" ให้ผัวเมียเขาเลิกกัน และก็ทำจนประสบความสำเร็จมาหลายคู่แล้ว
คนประเภทนี้จะรู้เรื่องของคนอื่นไปหมดทุกเรื่อง ผัวใครมีเมียน้อยไว้ที่ไหน พวกหล่อนรู้หมด แต่พอผัวตัวเองมีเมียน้อย พวกหล่อนกลับไม่รู้! ที่มาหาท่าน ก็ใช่ว่าจะเลื่อมใสศรัทธา แต่มาเพื่อขอเลขเด็ด กับขอให้ท่านดูดวงให้ เมื่อท่านปฏิเสธ พวกหล่อนก็จะไม่มาเหยียบวัดนี้อีก พร้อมกันนั้นก็จะเอาไปเที่ยวโพนทะนาว่า "หลวงพ่อวัดนี้ไม่ดี!"
"ถ้าอย่างนั้นหลวงพ่อช่วยให้เขาเลิกตีหนูนะคะ" สตรีวัยสามสิบอ้อนวอน
"ตกลงโยม ถ้าช่วยแบบนี้ไม่บาป เอาละ อาตมาจะแนะวิธีการให้ ขุนทองช่วยหยิบแผ่นปลิวบทสวดมนต์มาให้โยมเขาแผ่นนึง" ท่านสั่งหลานชายแล้วพูดกับสตรีนั้นว่า
"โยมสวดมนต์นะ สวดทุกวันแล้ว ก็อธิษฐานขอให้เขาเลิกตี วันไหนเขาทำท่าจะตี ก็หนีขึ้นไปห้องพระเลย ไปนั่งสวดมนต์อยู่ในห้องพระนั่นแหละ รับรองว่าเขาไม่กล้าตีคนที่กำลังสวดมนต์หรอก"
"แต่ถ้าเขาตีล่ะคะ" หล่อนถามอย่างหวั่นหวาด
"ให้มาตีอาตมาแทน บอกเขาเลยว่า ถ้าจะตีคนที่กำลังสวดมนต์ ก็ให้ไปตีหลวงพ่อวัดป่ามะม่วงโน่น" คราวนี้หล่อนยิ้มทั้งน้ำตา คนอื่น ๆ พลอยยิ้มไปด้วย
"ถ้าเกิดเขามีตีหลวงพ่อจริง ๆ หนูก็บาปแย่นะซีคะ" หล่อนว่า
"เขาไม่ตีหรอกหนู แหม อย่าไปดูถูกสามีเราถึงขนาดนั้นซี อาตมาดูแล้วเขาก็เป็นคนดีพอสมควร"
"ถ้าดีแล้ว ทำไมต้องตีเมียด้วย" สตรีผู้หนึ่งถามขึ้น
"ก็เขาหึง ทำไมถึงต้องหึง โยมรู้ไหม" ท่านถามสตรีผู้นั้น
"ไม่ทราบค่ะ"
"ไม่ทราบหรือคะ ถ้างั้นอาตมาจะตอบให้ ที่เขาหึงก็เพราะเขาหวง แล้วทำไมเขาถึงหวง โยมตอบซิ"
"ไม่ทราบค่ะ" หล่อนยืนยันคำตอบเดิม ท่านพระครูจึงเฉลยว่า
"เพราะเขาตกห้วงรัก" แล้วพูดกับบรรดาสุภาพบุรุษว่า "โยมผู้ชาย อย่าไปทำอย่างนั้นนะ อย่าไปตกห้วงรักถึงขนาดทุบตีแม่บ้านเขานะ เกิดเขาหนีไป แล้วใครจะหุ้งข้าวให้เรากิน ต้องเอาใจเขามาก ๆ เขาจะได้อยู่กับเรานาน ๆ"
"หลวงพ่อครับ แต่ที่บ้านผม แม่ล้านเขาไม่ได้หุงข้าวให้ผมกินหรอกครับ ผมเป็นฝ่ายหุงให้เขากินครับ หุงมาตั้งแต่สมัยแต่งงานกันใหม่ ๆ จนเดี๋ยวนี้ลูกสามแล้ว" บุรุษร่างท้วมพูดฉาดฉาน ที่กล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำ เพราะคนเป็นเมียไม่ได้มา หากว่าหล่อนมาด้วยแล้วไซร้ ใครเลยจะกล้าพูด นี่ก็มานิมนต์ท่านไปงานทำบุญวันเกิดเมีย
"ก็ดีแล้วนี่ แสดงว่าโยมเป็นสามีที่ประเสริฐมาก ใครมีพ่อบ้านแบบนี้สบายไปเจ็ดชาติเลย" ท่านเจ้าของกุฏิชม
"แต่ผมว่าไม่ดีนะครับหลวงพ่อ ผู้หญิงต้องเป็นแม่บ้านแม่เรือน ไม่ใช่ให้สามีมาทำให้กิน ผมยอมไม่ได้เด็ดขาด" พ่อบ้านผู้หนึ่งแสดงความคิดเห็น
"ที่โยมว่ามานั้นมันก็ถูก แต่ถูกสำหรับคนรุ่นเก่า ที่ผู้ชายเป็นฝ่ายหาเลี้ยงครอบครัว ผู้หญิงอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน เป็นแม่บ้าน แต่สมัยนี้ ผู้หญิงต้องออกทำงานนอกบ้านเช่นเดียวกับผู้ชาย ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้ชายจะมาทำงานบ้านแทนผู้หญิงเขาบ้าง" โยมเห็นด้วยไหม" ท่านถามคนหุงข้าวให้เมียกิน
"เห็นด้วยครับหลวงพ่อ แล้วแม่บ้านของผม เขาก็ทำงานหนักมาก กลางวันสอนโรงเรียนมัธยม เย็นสอนพิเศษที่บ้าน กลางคืนก็ต้องเขียนบทความส่งนิตยสาร เลยไม่มีเวลามาทำหน้าที่แม่บ้าน ผมไม่ชอบเอาเปรียบผู้หญิง แล้วผมก็ไม่ใช่คนขี้อิจฉาด้วย ผู้ชายบางคนนะครับ อิจฉาแม้กระทั่งเมียตัวเอง กลัวเมียจะสบาย เลยต้องแกล้งใช้ให้ทำงานอย่างกับทาส" เขาตั้งใจพูดแดกดันผู้ชายคนนั้น
"คุณว่าใคร พูดยังงี้หมายความว่ายังไง" บุรุษนั้นมีโทสะ ท่าทางเขาบอกชัดว่า พร้อมจะเอาเรื่อง
"ผมก็ว่าคนที่เป็นอย่างที่ผมว่า คุณมาเดือดร้อนอะไรด้วย อ๋อ หรือว่าคุณเป็นอย่างที่ผมว่า" อีกฝ่ายตั้งใจยั่วโทสะ บุรุษนั้นสุดจะทานทน เขาผุดลุกขึ้นยืมท่ามกลางความตระหนกตกใจของคนทั้งกุฏิ
"พูดยังงี้มันต้องสั่งสอนกันหน่อยละ" คนพูดถลกแขนเสื้อขึ้น
"ขอโทษนะครับ ผมขอร้องว่า อย่ามีเรื่องมีราวกันในวัดในวาเลยนะครับ อย่างน้อยก็นึกว่าเห็นแก่หลวงพ่อท่าน" อาจารย์ชิตเอ่ยห้าม บุรุษเจ้าโทสะจึงนั่งลง แต่ยังแสดงอาการฮึดฮัดอย่างไม่พึงพอใจ เห็นอีกฝ่ายเอาจริง คนไม่ชอบเอาเปรียบเมียจึงต้องนิ่ง ขืนมีเรื่องมีราวกัน ก็รังแต่จะนำความเดือดเนื้อร้อนใจมาให้คนเป็นเมีย
"หลวงพ่อเจ้าคะ ทำบุญแทนกันได้ไหมเจ้าคะ" สตรีวัยกลางคนถาม
"ทำแทนกันแบบไหนล่ะโยม"
"คือยังงี้เจ้าค่ะ พ่อเด็กเขาเป็นคนไม่เชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ ชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต อิฉันก็เตือนเขา เขาก็ไม่เชื่อ อิฉันก็ขอร้องเขาว่า ยังไง ๆ ก็หยุดฆ่าวันพระสักวันก็ยังดี พอถึงวันพระ อิฉันก็บอกเขา เขาก็ถามว่า วันนี้วันพระกี่ค่ำ อิฉันบอกสิบห้าค่ำ เขาก็ว่า "ดีแล้ว วันนี้ข้าจะต้องฆ่ามันได้สิบห้าตัว" พูดจบเขาก็ไปตลาดไปซื้อปลาหมอเป็น ๆ มาสิบห้าตัว มาฆ่าต่อหน้าต่อตาอิฉัน"
"แล้วโยมทำยังไงล่ะ"
"อิฉันก็ไม่ทราบจะทำยังไงเจ้าค่ะ ก็ได้แต่สงสารเขา เวลาอิฉันทำบุญใส่บาตร อิฉันก็จะอุทิศส่วนกุศลให้เขา อธิษฐานว่า บุญทั้งหมดที่อิฉันทำอิฉันขอยกให้สามี ขออย่าให้เขาต้องตกนรกเลย แบบนี้ได้ไหมเจ้าคะ อิฉันทำบุญแทนเขาแบบนี้ได้หรือเปล่า เพราะอย่างอื่นเขาดีหมด เสียอยู่เรื่องเดียวนี่แหละเจ้าคะ"
"ทำกรรมแทนกันไม่ได้หรอกโยม บุญนั้นก็คือกุศลกรรม ใครทำใครได้ การจะตกนรกหรือขึ้นสวรรค์ตัวเองต้องทำเอง คนอื่นจะมาทำแทนไม่ได้ ใครทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว"
"แล้วอิฉันจะช่วยเขายังไงเจ้าคะ เขาถึงจะไม่บาป"
"เรื่องอย่างนี้มันก็พูดยากนะโยม เรื่องบุญเรื่องบาปใครทำใครได้ อย่าว่าแต่คนธรรมดาอย่างเรา ๆ จะทำแทนกันไม่ได้เลย แม้แต่พระอรหันต์ท่านก็ยังทำแทนคนอื่นไม่ได้ อย่างเช่นเรื่องของพระเจ้าอโศกมหาราช พระองค์มีพระโอรสพระธิดาเป็นพระอรหันต์ คือ พระมหินท์ กับ นางภิกษุณีสังฆมิตตา แต่พระองค์ก็ยังไปเกิดเป็นงูเหลือม พระองค์เองก็ทำบุญไว้กับพระพุทธศาสนามาก แต่ทำไมถึงไปเกิดเป็นงูเหลือมโยมรู้ไหม"
"ไม่ทราบเจ้าค่ะ"
"เพราะโทสะ ตอนจะสวรรคตโกรธรัชทายาท คือตอนที่พระองค์ประชวรได้สั่งให้อำมาตย์นำพระราชทรัพย์มาบริจาคให้คนยากคนจน รัชทายาทก็ห้ามไม่ให้อำมาตย์ทำตาม บอกว่าพระองค์ทำบุญมากจนพระราชทรัพย์จะหมดพระคลังอยู่แล้ว อย่าทำอีกเลย พระองค์ก็ทรงพระพิโรธ คือโกรธรัชทายาทกระทั่งสิ้นพระชนม์ เมื่อดับจิตในขณะที่จิตเป็นอกุศล ก็เลยไปเกิดในทุคติ คือเกิดในกำเนิดเดรัจฉาน ไปเป็นงูเหลือม
วันหนึ่งพระมหินท์ซึ่งตอนนั้นสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว พระองค์ก็อยากจะทราบว่า พระราชบิดาสวรรคตแล้วไปเกิดที่ไหน ก็ใช้ญาณตรวจสอบดู จึงได้ทรงทราบว่า พระราชบิดาไปเกิดเป็นงูเหลือม นี่เห็นไหม อบายน่ะ ไปง่ายเหลือเกิน เผลอสตินิดเดียวไปเกิดเป็นเดรัจฉานเสียแล้ว แล้วโยมรู้หรือเปล่าว่า ไปเกิดเป็นเดรัจฉานไม่ดียังไง"
"ไม่ทราบเจ้าค่ะ"
"ไม่ทราบอีกแล้ว แหม คนที่มาวัดนี้ ตอบเป็นอยู่อย่างเดียว "ไม่ทราบเจ้าค่ะ" ท่านเลียนแบบเสียงสตรีผู้นั้น
"ก็อิฉันไม่ทราบจริง ๆ นี่เจ้าคะ" นางว่า
"อ้อ ไม่ทราบจริง ๆ หรือเจ้าคะ อาตมานึกว่า แกล้งไม่ทราบเสียอีก" ท่านพูดยิ้ม ๆ คนอื่น ๆ พลอยยิ้มไปด้วย
"เป็นเดรัจฉาน ไม่ดีตรงหมดโอกาสสร้างบุญกุศลน่ะโยม นอกจากนี้ ยังเป็นช่องทางให้ประกอบอกุศลกรรมได้ง่ายอีกด้วย เพราะตัวโมหะมันครอบงำ อย่างงูเหลือมตัวที่เคยเป็นพระเจ้าอโศกนั้น ตอนที่พระมหินท์ท่านเล็งญาณไปทอดพระเนตร โยมรู้ไหมว่ากำลังทำอะไรอยู่
"ไม่ทราบเจ้าค่ะ"
"ไม่ทราบอีกแล้ว ถ้าอย่างนี้มีอะไรบ้างที่โยมทราบน่ะ ไหนบอกอาตมาซิว่า โยมทราบอะไรบ้างเจ้าคะ"
"ทราบว่าหลวงพ่อใจดีเจ้าค่ะ มาวัดนี้แล้วสบายใจ แล้วอาหารก็อร่อย แถมหลวงพ่อไม่เคยบอกบุญเรี่ยไรเงินอีกด้วย ใครมีศรัทธาจะทำก็ทำ ใครไม่ทำ หลวงพ่อก็ไม่ว่า ไม่เหมือนบางวัดที่พอไปถึง ยังไม่ทันจะนั่ง สมภารก็แจกใบฎีกาเสียแล้ว" คราวนี้คนไม่ทราบ สาธยายเสียยืดยาว
"โอ้โฮ ทราบเยอะเหมือนกันนี่ แหม อาตมานึกว่าไม่ทราบอะไร" ท่านสัพยอก สตรีนั้นยิ้มเบิกบานกับคำชม
"ตกลงงูเหลือมพระเจ้าอโศกกำลังทำอะไรอยู่เจ้าคะ" นางไม่ลืมที่จะทวงคำถาม
"ก็ทำบาปน่ะซี ทำยังไงรู้ไหม อ้อ ไม่ต้องตอบก็ได้ เพราะอาตมารู้แล้วว่า โยมจะตอบยังไง งูเหลือมตัวนั้น กำลังวิดน้ำ วิธีวิดน้ำของเขาก็คือ เอาหัวพาดต้นไม้ต้นหนึ่ง หางพาดอีกต้นหนึ่ง แล้วเอาลำตัววิดน้ำ วิดน้ำทำไมรู้ไหม โยมลองตอบซิ" ท่านถามสตรีที่ถูกสามีตี
"ไม่ทราบค่ะ"
"จะกินปลา ก็หนองน้ำมันมีปลา เขาก็อยากจะกินปลา แล้วก็ฉลาดเสียด้วย แต่ฉลาดในทางที่ผิด เพราะเป็นเดรัจฉาน จะไม่รู้เรื่องบาปบุญคุณโทษ"
"หลวงพ่อครับ หลวงพ่อเคยเทศน์บนศาลาการเปรียญ วันที่เท่าไหร่ เดือนอะไร ผมก็จำไม่ได้เสียแล้ว แต่ที่จำได้คือ หลวงพ่อเทศน์ว่า คนที่ตายขณะที่จิตมีโทสะ จะไปเกิดเป็นสัตว์นรก ถ้ามีโลภะ จะไปเกิดเป็นเปรต หรือ อสุรกาย แต่ถ้ามีโมหะ จะไปเกิดเป็นเดรัจฉาน แต่ทำไมพระเจ้าอโศกจึงไปเกิดเป็นงูเหลือม ทั้งที่ตอนดับจิต พระองค์โกรธรัชทายาท" บุรุษผู้หนึ่งถาม
"เรื่องนี้มันลึกซึ้งนะโยม เรื่องของจิตนี่ลึกซึ้งมาก แต่อย่างไรก็ตาม คนที่กำลังจะตายนั้น ถ้าจิตเขาเป็นอกุศล เขาจะไม่รู้ตัวเลยว่า ขณะนั้นจิตของเขามีโลภะ หรือ โทสะ หรือ โมหะ แต่เท่าที่อาตมาวิจัยนะ อาตมาว่ามีทั้งสามตัวนั่นแหละ เพียงแต่ว่าตัวไหนจะมากกว่าอีกสองตัว ถ้าดับจิตขณะที่ตัวไหนมีดีกรีสูง ก็จะไปเกิดตามกรรมนั้น ๆ
ในกรณีของพระเจ้าอโศก แม้พระองค์มีโทสะอยู่ก็จริง แต่ก็เป็นโทสะที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของโมหะ โมหะซึ่งมีกำลังแรงกว่า จึงส่งผลให้ไปอุบัติในกำเนิดเดรัจฉาน เห็นหรือยังว่า แม้พระองค์จะทรงสร้างคุณประโยชน์ใหญ่หลวงให้กับพระศาสนา แต่เมื่อถึงเวลาละโลกนี้ไป ก็ยังต้องไปเกิดในทุคติ นับประสาอะไรกับคนที่ไม่เคยสร้างคุณความดีเลย ขอให้ญาติโยมเก็บไปคิดเป็นการบ้านนะ"
"ตกลง อิฉันไม่มีทางช่วยพ่อเด็กเขาได้เลยหรือเจ้าคะ" หน้าตาและท่าทางคนถามบ่งบอกว่าทุกข์ร้อน
"ถ้าจะช่วยได้ โยมก็ต้องสวดมนต์ให้มาก ๆ แล้วอธิษฐานขอให้ส่วนกุศลที่โยมทำ ช่วยให้เขาเลิกทำปาณาติบาต ส่วนเขาจะเลิกได้หรือไม่ได้ ก็ขึ้นอยู่กับกรรมของเขา"
"ต้องให้เขาสวดด้วยไหมเจ้าคะ"
"ไม่ต้องหรอก เพราะจะไปบอกยังไง ๆ เขาก็ไม่ยอมทำ เพราะเขาไม่เชื่อ คนเราลงไม่มีศรัทธาเสียแล้ว ก็เลิกพูดกัน"
"งั้นก็แปลว่า ถึงแม้อิฉันจะสวดมนต์ แต่ก็ไม่อาจช่วยเขาได้ยังงั้นหรือเจ้าคะ" นางรู้สึกสับสน
"ได้สิ ได้ในแง่ที่ว่า เมื่อโยมสวดมนต์มาก ๆ โยมก็จะรู้ว่า เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา นั้นมันมีขอบเขตแค่ไหน เพียงใด แล้วโยมก็จะวางใจให้เป็นอุเบกขาได้ เขาก็จะไม่เป็นสาเหตุทำให้โยมทุกข์อีกต่อไป ยังไงล่ะ"
"หลวงพ่อยิ่งพูด อิฉันยิ่งงง เจ้าค่ะ"
"ทำไมจะไม่งงล่ะ ก็ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ได้มีไว้ให้พูดกันเฉย ๆ แต่มีไว้ให้ปฏิบัติ แล้วก็จะหายงงไปเอง ขอให้เชื่ออาตมาสักครั้ง เชื่อประเทศไทยสักครั้ง"
เจ้าทุกข์รายต่อมาเป็นคู่สามีภรรยาวัยสี่สิบเศษ ใบหน้าของบุคคลทั้งสองดูหมดอาลัยตายอยากในชีวิต กราบท่านพระครูแล้ว คนเป็นเมียก็เอ่ยขึ้นว่า
"หลวงพ่อช่วยทิดบวบเขาด้วยเถิดจ้ะ"
"ช่วยอีกแล้ว แหม ใคร ๆ มาก็จะให้ช่วยทั้งนั้น ไม่มีสักรายที่จะมาบอกว่า "หลวงพ่อเจ้าคะ ดิฉันจะมาช่วยหลวงพ่อเจ้าค่ะ มีอะไรให้ดิฉันช่วยบ้างเจ้าคะ" ท่านพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน ลอยหน้าลอยตาเสร็จสรรพ เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศเคร่งเครียดให้เป็นครึกครื้นมีชีวิตชีวา คนอื่น ๆ พากันหัวเราะในมุขตลกของท่าน แต่สองผัวเมียหัวเราะไม่ออก เพราะความทุกข์ท่วมท้นทับอกอยู่
"เอาละ โยมมีอะไรก็ว่าไปเลย อาตมาช่วยได้ก็จะช่วย"
"แกเล่าแหละดีแล้ว ข้าใจคอไม่ดี เล่าไม่ถูก" ตาผัวว่า
"มัวเกี่ยงกันอยู่นั่นแหละ เอาละใครเป็นต้นเหตุของเรื่อง ก็ให้คนนั้นเล่า" ท่านพระครูตัดสิน
"ทิดบวบจ้ะหลวงพ่อ ตานี่แหละเป็นตัวต้นเหตุ ทำให้พี่น้องลูกหลานฉันพลอดเดือดร้อนไปหมด" คนเป็นเมียถือโอกาส "ฟ้อง"
"เอ้า งั้นโยมบวบก็เล่าไปว่า ต้นสายปลายเหตุมันเป็นยังไง" นายบวบจึงเล่าว่า
"คือยังงี้ครับหลวงพ่อ ผมถูกเขาใส่ร้ายว่าไปเผาไร่เขา คือผมมีอาชีพทำไร่ เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ผมก็ไปเผาไร่ เผาเสร็จ ผมก็ตรวจตราดูไฟมันดับเรียบร้อยแล้ว ผมก็กลับเข้าบ้าน พักใหญ่ ๆ ไร่ที่ติดกับไร่ผม เขาถูกไฟไหม้ เป็นไร่อ้อย ผมก็ไปช่วยเขาดับ แต่ช่วยไม่ไหว เพราะไฟมันลามมาทุกทิศเลย ในที่สุดมันก็ไหม้หมดทั้งแปลงเลยครับ"
"แล้วยังไง เราไปช่วยเขาดับก็ดีแล้วนี่นา"
"ครับ แต่เขามาโทษครับ มาโทษว่า ไฟจากไร่ผมลามไปไหม้ไร่เขา มีพยานรู้เห็นหลายคน เขามาบอกผมว่าไฟมันไหม้มาจากทิศทางที่ตรงข้ามกับไร่ผม เจ้าของเขาเจตนาเผาไร่ตัวเองแล้วโยนความผิดมาให้ผม" เรื่องนี้จำเป็นที่จะต้องใช้ "เห็นหนอ" เข้าตรวจสอบ จะได้รู้ว่าใครผิดใครถูกกันแน่
"อ้าว นี่โยมไปทำให้เขาโกรธนี่ เขาก็เลยใส่ร้ายเอาน่ะซี"
"ทำให้เขาโกรธยังไงครับ" นายบวบไม่เข้าใจ
"ก็เขาเจตนาจะเผ่าไร่เพื่อเอาเงินค่าประกัน แล้วโยมอุตส่าห์ไปดับของเขา เขาก็โกรธน่ะซี เรื่องมันยุ่งเสียแล้วละ"
"ครับ ยุ่งมากเลยครับ พอเขากล่าวหา เขาก็เขียนหนังสือขึ้นฉบับหนึ่งให้ผมเซ็นรับว่าเป็นคนเผ่าไร่เขาจริง และเขาเรียกค่าเสียหายสองหมื่นบาท"
"แล้วโยมก็เซ็นให้เขาไปเรียบร้อย"
"ครับ"
"แหม ฉลาดจริง ๆ ฉลาดในการหาเรื่องเดือดร้อนมาให้ตัวเองและลูกเมีย"
"นั่นซีจ๊ะหลวงพ่อ ผัวฉันมันฉลาดยังกะควาย นี่ไม่ได้หาเรื่องเดือดร้อนมาให้ลูกเมียเท่านั้น พี่น้องฉันก็พลอยเดือดร้อนไปด้วย เขาจับไปขังคุกไว้คืนนึง หลานฉันต้องเอาที่ดินไปประกันถึงได้ออกมานั่งอยู่ที่นี่ได้" นางบัวผันพูดอย่างคั่งแค้น แค้นทั้งฝ่ายโจทก์ ทั้งฝ่ายผัวตัวดีนั่นแหละ
"หลวงพ่อพอจะมีทางช่วยผมบ้างไหมครับ นี่เขาก็ฟ้องทั้งทางอาญาและทางแพ่ง ผมไม่อยากติดคุกเลย แค่ไปอยู่ในห้องขังคืนเดียว ผมยังแทบบ้า"
"แล้วพวกพยานเขาทำไมไม่มาเป็นพยานให้"
"เขาไม่กล้าครับ เพราะเจ้าของไร่เป็นคนมีอิทธิพล ไม่มีใครกล้ามาเป็นพยานให้ผมหรอกครับ"
"งั้นก็เห็นจะลำบากเสียแล้ว" ได้ยินท่านพูด นายบวบถึงกับน้ำตาตก
"หลวงพ่อไม่มีทางช่วยผมเลยหรือครับ" เขาอ้อนวอนเสียงเครือ
"หนักใจ เรื่องนี้อาตมาหนักใจจริง ๆ ก็โยมไปผูกไว้เสียแน่นแล้วจะมาให้อาตมาแก้ เรียนผูกแล้วก็ควรจะเรียนแก้ด้วยตัวเอง มันถึงจะถูก" ท่านเจ้าของกุฏิพูดอย่างอ่อนใจ
"หลวงพ่อกรุณาผมด้วยเถิดครับ จะให้ผมทำอะไร ผมยอมทั้งนั้น ขออย่างเดียว อย่าให้ผมไปติดคุกเลย ผมกราบละครับ" เขาก้มลงกราบด้วยทีท่าน่าสงสาร
"เอาละ ทางเดียวที่พอจะช่วยได้ ก็คือให้โยมสองคนพากันมาเข้ากรรมฐานสักเจ็ดวัน ทำได้ไหมล่ะ" ท่านเสนอวิธีดีที่สุดให้
"ผมคงมาไม่ได้หรอกครับหลวงพ่อ เพราะผมต้องทำไร่ นี่ก็จะเริ่มไถแล้ว พอฝนลงก็จะหยอดข้าวโพด" สามีนางบัวผันว่า ท่านพระครูรู้สึกสมเพชเวทนาบุรุษตรงหน้าเสียนัก จึงถามเขาว่า
"แล้วถ้าโยมไปติดคุกล่ะ โยมจะมีโอกาสมาทำไร่ไหม อาตมาขอถามหน่อยเถอะ"
"ไม่มีครับ ผมถึงมาขอความเมตตาหลวงพ่อให้ช่วยไงครับ โปรดช่วยอย่าให้ผมต้องติดคุกเลย" คนที่เมียยกย่องว่าฉลาดเหมือนควายชี้แจง
"โยม" ท่านเจ้าของกุฏิเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แสนสุดระอา "ทำกรรมแทนกันไม่ได้หรอกนะ แล้วรับผลแทนกันก็ไม่ได้อีกเหมือนกัน เรื่องนี้โยมเป็นคนทำขึ้น โยมก็ต้องรับผล นี่อาตมาก็เสนอแนวทางที่ดีที่สุดให้แล้ว ถ้าโยมทำไม่ได้ อาตมารับรองว่าติดคุกแน่ เลือกเอาก็แล้วกันว่า ระหว่างติดคุกกับเข้ากรรมฐาน โยมจะเลือกอย่างไหน"
"เลือกมาเข้ากรรมฐานครับ" คนตอบไม่รั้งรอ เข็ดเสียนักกับการนอนในคุก
"หลวงพ่อครับ ทำไมผมถึงโชคร้ายอย่างนี้ครับ ผมหากินในทางสุจริตไม่เคยคดโกงใคร แต่ผมก็ต้องมาถูกใส่ร้าย ส่วนเจ้าคนที่มันใส่ร้ายผม มันหากินในทางทุจริต คนโกง เป็นชู้กับลูกเมียคนอื่น แต่มันกลับมั่งมีศรีสุขร่ำรวยเงินทองมหาศาล ขณะที่ผมจนลง ๆ แบบนี้ไม่เรียกว่า ทำดีได้ชั่ว ทำชั่วได้ดีหรือครับ" นายบวบพูดอย่างคนที่มองโลกในแง่ร้าย บวกกับความโง่เขลาเบาปัญญา
"โยมอย่าไปคิดว่า ความดีคือความรวย ความจนคือความชั่วสิ เพราะมันคนละเรื่องกัน อาตมาขอยืนยันว่า ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว คนทุกวันนี้ ให้ค่าทางวัตถุมากกว่าทางจิตใจ อะไร ๆ ก็วัดกันด้วยวัตถุ แม้แต่ความดี ความชั่ว คนดีก็คือคนรวย คนชั่วก็คือคนจนใช่ไหม เดี๋ยวนี้คนเขาคิดกันอย่างนี้ใช่ไหม"
"ครับ คนส่วนใหญ่คิดอย่างนี้" คนไม่อยากติดคุกตอบ
"นี่แหละ ๆ สังคมทุกวันนี้ถึงได้สับสนวุ่นวาย ก็เพราะคนพากันยึดถือค่านิยมผิด ๆ อย่างนี้ แล้วคนที่ยอมลดตัวลงไปเป็นทาสของเงิน ยอมทำบาปทำชั่วเพราะเงินตัวเดียว อาตมาเห็นแล้วก็ให้รู้สึกสะท้อนสะเทือนในหัวใจ
แต่โยมเชื่อไหมล่ะ เวลาที่กฎแห่งกรรมมาให้ผล เงินทองก็ช่วยอะไรไม่ได้ จริงอยู่ เราอาจจะเห็นว่า เงินทองมันสามารถซื้ออะไรได้เกือบทุกอย่าง ซื้อแม้กระทั่งคนบางคน แต่มันก็จะเป็นอย่างนี้เฉพาะในโลกมนุษย์เท่านั้น สำหรับปรโลก เงินทองไม่มีความหมายเลย คนที่ทำความชั่วจะต้องตกนรก ถึงจะเอาเงินสักสิบล้านไปจ้างยมบาลไม่ให้ลงโทษ เขาก็ไม่รับจ้าง เพราะเงินไม่มีความหมายสำหรับเขา
ฉะนั้นโยมไม่ต้องน้อยอกน้อยใจว่า เราทำความดี แต่ทำไมถึงจน คนทุกความชั่วกลับร่ำรวย แล้วก็ไม่ต้องไปอิจฉาคนชั่ว ไม่ต้องไปอิจฉา กฎแห่งกรรมทำหน้าที่เมื่อไรเมื่อนั้นเขาก็จะรู้ละว่า ทำชั่วต้องได้ชั่ว"
"ครับ ฟังหลวงพ่อแล้ว ผมสบายใจขึ้นมากเลยครับ ถ้าเช่นนั้นผมกับแม่บ้านขอกราบลา พรุ่งนี้จะมาเข้ากรรมฐานนะครับ"
"เจริญพร ขอให้โยมจงหมดเคราะห์หมดโศก แล้วก็อย่าเปลี่ยนใจเสียล่ะ ถ้าไม่มาเข้ากรรมฐาน อาตมารับรองว่า ต้องติดคุกแน่"
"ครับ เป็นตายยังไงผมต้องมาแน่ ขอกลับไปเอาเสื้อผ้าก่อนนะครับ" คนทั้งสองกราบลาท่านพระครูแล้วลุกออกไป หน้าตาดูสดชื่นขึ้นเพราะมีความหวัง
"หลวงพ่อเจ้าคะ อิฉันไม่อยากจะพูดว่า ขอให้หลวงพ่อช่วย แต่อิฉันก็ไม่อยากมุสา เพราะที่มานั่งรอคิวตั้งแต่เช้านี่ ก็เพื่อมาให้ท่านช่วยเจ้าค่ะ" สตรีวัยห้าสิบอารัมภบท
"จะให้ช่วยอะไรล่ะโยม เอาเถอะว่าไปเลย ไม่ต้องเกรงใจ เพราะถ้าเกรงใจ โยมก็คงไม่มาใช่ไหม"
"แหม หลวงพ่อพูดแบบนี้ คนฟังก๊อสะดุ้งแย่ เขาเรียกว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกทั้งฝูง" สตรีหน้าตาจิ้มลิ้มผู้หนึ่งต่อว่า
"ก็หรือโยมว่าอาตมาพูดไม่จริงล่ะ ที่อาตมาพูดนั้นไม่จริงใช่ไหม" ท่านถามยิ้ม ๆ
"จริงค่ะ แต่เป็นความจริงที่เสียดแทงใจคนฟัง หลวงพ่อไม่น่าพูดตรง ๆ อย่างนี้" หญิงสาวตัดพ้อ
"ก็อาตมาเป็นคนตรง จึงต้องพูดตรง ๆ อ้อมค้อมกับใครเขาไม่เป็น เอาละ โยมมีอะไรก็ว่าไป" ท่านบอกสตรีวัยห้าสิบ
"คือยังงี้เจ้าค่ะหลวงพ่อ อิฉันแสนจะอึดอัดกลัดกลุ้ม ชีวิตหาความสุขสงบไม่ได้เลย บ้านก็ขัด วัดก็ขูด พูดไม่ออกเจ้าค่ะ"
"โอ้โฮ ขนาดพูดไม่ออก ยังพูดได้คล้องจองกันถึงปานนี้" ท่านเจ้าของกุฏิออกปากชม "ไหนว่าวัดขูดน่ะ เป็นยังไง ลองอธิบายให้อาตมาฟังซิ"
"เป็นยังงี้เจ้าค่ะ คือว่า อิฉันมีอาชีพทำนา บ้านอยู่อ่างทอง รายได้ก็ไม่แน่ไม่นอน เพราะเดี๋ยวแล้งเดี๋ยวน้ำท่วม ความเป็นอยู่ค่อนข้างขัดสน ทีนี้สมภารข้างบ้านมาเรี่ยไร บอกปีนี้ขอเรี่ยไรสร้างโบสถ์ห้าพัน อิฉันกับพ่อเด็กก็ไม่รู้จะทำยังไง ก็ผลัดท่านว่า รอให้เก็บเกี่ยวขายข้าวได้แล้วค่อยให้ พออิฉันขายข้าวเสร็จท่านก็มาทวงทันที แต่ทีนี้มันยังงี้ซีเจ้าคะหลวงพ่อ" นางหยุดเล่าด้วยเกิดความรู้สึกลังเล เพราะเรื่องที่จะเล่านั้นเกี่ยวกันไปถึงคนเป็นพระ หากพระท่านเข้าข้างกัน นางนั่นแหละจะเดือดร้อน
"มันยังงี้น่ะยังไง ว่าต่อไปซีโยม"
"ฉันชักไม่กล้าเล่าแล้วละเจ้าค่ะ ดีไม่ดี หลวงพ่อจะพลอยโกรธฉันไปด้วย" คนเล่าพูดออกตัว
"รับรอง อาตมาไม่โกรธ อาตมาเลิกโกรธมาหลายปีแล้ว โยมจะพูดอะไรพูดได้เลย" เมื่อท่านพูดเช่นนี้ นางจึงเล่าต่อไปว่า
"คือปีนี้อิฉันขายข้าวได้แค่สองหมื่น ก็ใช้หนี้สินเขาไปหมื่นนึง เหลืออีกหมื่นนึง ก็ต้องเก็บไว้ทำทุนสำหรับปีต่อไป ถ้าเอาไปทำบุญเสียห้าพัน อิฉันกับครอบครัวก็จะต้องลำบาก อิฉันก็เลยต้องต่อรองท่านว่าขอทำสองพันจะได้หรือไม่"
"แล้วท่านว่ายังไง"
"ท่านไม่ยอมเจ้าค่ะ ท่านบอกพูดก็ต้องเป็นพูด โกหกพระโกหกเจ้าจะต้องตกนรก อิฉันก็กลุ้มใจ กลัวตกนรกเจ้าค่ะ หลวงพ่อช่วยบอกอิฉันทีว่าจะทำยังไง"
"แล้วโยมคิดว่า จะทำยังไงล่ะ" ท่านเจ้าของกุฏิย้อนถาม
"อิฉันก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงซีเจ้าคะ ถึงได้มาเรียนถามหลวงพ่อ อิฉันจะทำยังงี้ได้ไหมเจ้าคะ"
"ทำยังไง โยมว่าไปสิ อาตมากำลังฟัง"
"ก็จะมาขอยืมหลวงพ่อสักห้าพันไปถวายสมภารท่าน ปีหน้าฟ้าใหม่ หากอิฉันเงยหน้าอ้าปากได้ ก็จะเอามาใช้เจ้าค่ะ"
"แปลว่า จะมายืมเงินวัดนี้ ไปทำบุญวัดโน้น ว่างั้นเถอะ"
"เจ้าค่ะ"
"แหม โยมนี่เข้าใจแก้ปัญหานะ แก้ปัญหาได้แจ๋วเลย" ท่านตั้งใจประชด แต่คนฟังกลับคิดว่าท่านพูดจริงจึงถาม
"แปลว่า หลวงพ่อจะให้อิฉันยืมใช่ไหมคะ"
"อาตมายังไม่ได้พูดยังงั้น โยมอย่าเพิ่งเข้าใจผิด" ท่านรีบบอก
"หรือว่าหลวงพ่อกลัวอิฉันจะโกง ไม่โกงแน่เจ้าค่ะ อิฉันเตรียมโฉนดที่นามาให้หลวงพ่อด้วย" พูดพลางหยิบโฉนดออกมาจากถุงกระดาษ
"เอาละ ๆ ขอให้อาตมาพูดบ้าง โยมฟังนะ อาตมาไม่ได้มีอาชีพออกเงินให้กู้ เพราะอาตมาเป็นสงฆ์ ย่อมไม่เป็นการสมควรที่จะประกอบธุรกิจเช่นนั้น ถึงโยมจะเคยเห็นพระวัดอื่นเขาทำกัน แต่สำหรับอาตมาไม่เคยคิดจะทำ เคยมีบ้างเหมือนกันที่อาตมาให้ญาติโยมยืมเงิน แต่ก็ไม่ได้คิดดอกเบี้ย เพียงแต่จะช่วยสงเคราะห์ยามที่เขาเดือดร้อน แต่ในรายของโยม อาตมาไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องให้ยืม เพราะโยมไม่ได้เดือดร้อนอะไร
การจะยืมเงินคนอื่นไปทำบุญนั้น เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง แล้วโยมก็จะไม่ได้บุญอีกด้วย ญาติโยมทั้งหลายโปรดจำไว้ การทำบุญชนิดที่เรียกว่า "เมาบุญ" นั้นไม่ได้บุญแน่นอน เราต้องทำตามกำลังศรัทธาและกำลังทรัพย์ที่เรามีอยู่ หากทำแล้วตัวเองต้องเดือดร้อน จะไปได้บุญอะไรจริงไหม"
"จริงครับ" บุรุษผู้หนึ่งตอบ แล้วเขาก็ถามอีกว่า
"แล้วสมภารวัดนั้นจะได้บุญหรือครับหลวงพ่อ บังคับให้คนอื่นเขาทำบุญ ผมว่าไม่น่าจะได้บุญ"
"ไม่ได้แน่นอน เพราะเท่ากับทำให้เขาเดือดร้อน อย่างน้อย ๆ ก็ทำให้เขาทุกข์ใจ จริงไหมโยม" ท่านถามเจ้าของเรื่อง
"จริงเจ้าค่ะ อิฉันนอนไม่หลับมาหลายวัน ถึงได้ตัดสินใจมาหาหลวงพ่อ"
"กลับไปนี่ก็หายกลุ้มนะ อย่าไปกลุ้ม เพราะมันไม่เกิดประโยชน์อะไร"
"แล้วอิฉันจะไปบอกสมภารวัดนั้น ยังไงดีเจ้าคะ"
"ก็บอกอย่างที่อาตมาพูดนี่แหละ แต่อย่าไปอ้างชื่ออาตมาล่ะ ประเดี๋ยวท่านจะมาโกรธอาตมาอีกคน บอกท่านไปว่า โยมมีศรัทธาแค่นี้ ก็จะทำเท่านี้แหละ รับก็รับ ไม่รับก็แล้วไป บอกอย่างนี้ไม่บาปหรอก แล้วก็ไม่ตกนรกด้วย"
"จริงหรือเจ้าคะ แหมอิฉันโล่งใจจริง ๆ กลัวตกนรกน่ะเจ้าค่ะ เมื่อท่านบอกว่าไม่ตก อิฉันก็ดีใจ ถ้างั้นอิฉันกราบลานะเจ้าคะ"
"เจริญพร ทีนี้โยมก็เลิกบ่นได้แล้วนะ ไม่ต้องไปบ่นว่า "บ้านก็ขัด วัดก็ขูด พูดไม่ออก" เพราะถ้าทางบ้านกำลังขัดสนแล้วทางวัดยังมาขูด โยมจะต้องพูด อย่าไปทำเป็นพูดไม่ออก แล้วก็เก็บมากลุ้มอกกลุ้มใจแบบนี้ เข้าใจหรือเปล่า"
"เข้าใจเจ้าค่ะ ต่อไปนี้อิฉันจะกล้าพูดแล้วเจ้าค่ะ กราบลานะเจ้าคะ" สตรีวัยห้าสิบลุกออกไปแล้ว ก็ถึงคิวของบุรุษวัยหกสิบ
"หลวงพ่อครับ ลูกชายคนเล็กผมไม่เอาถ่านเลยครับ ส่งไปเรียนหนังสือกรุงเทพฯ ก็ไม่เรียน ประพฤติตัวเกกมะเหรกเกเร ขอแต่เงิน หลวงพ่อช่วยหน่อยเถอะครับ" ท่านพระครูพิศใบหน้าของเขาแล้วรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
"อายุเท่าไหร่แล้วล่ะ ลูกชายที่ว่านี่"
"สิบแปดครับหลวงพ่อ" เขาตอบท่านเจ้าของกุฏิพยายามนึกว่าเคยรู้จักบุรุษผู้นี้ที่ไหน เมื่อไหร่ ครั้นนึกไม่ออกจึงจำต้องพึ่ง "เห็นหนอ" แล้วท่านจึงตั้งสติกำหนด เห็นหนอ ตาคนนี้เป็นใครกันหนอ เคยรู้จักกับเราเมื่อไหร่หนอ อ้อ! นึกออกแล้วหนอ ตาคนนี้เราเคยโกงค่าก๋วยเตี๋ยวแกสมัยที่เรายังเป็นเด็กหนอ นี่แกก็มาขอความช่วยเหลือ เราได้โอกาสชดใช้กรรมอีกแล้วหนอ"
"พรุ่งนี้พามาหาอาตมา" ท่านสั่ง "เจ้ากรรมนายเวร" แล้วจึงถามเขาว่า "โยมมีอาชีพขายก๋วยเตี๋ยวใช่ไหม"
"ครับหลวงพ่อ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้ขายแล้ว เลิกมาได้สักสิบปีเข้านี่แล้ว"
"ทำไมเลิกเสียล่ะ"
"มันขายไม่ค่อยดีครับ ผมเลยหันไปซื้อขวดมาขาย กำไรดีกว่ากันเยอะ"
"อ้อ สมัยอาตมาเป็นเด็ก ก็เคยซื้อก๋วยเตี๋ยวโยมกินทุกวัน" ท่านเล่าความหลังต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้ ท่านยังไม่บอกหรอกว่า เงินที่ใช้ซื้อนั้น ก็ขโมยของแกนั่นแหละมาซื้อ คือแอบไปขโมยเงินทางด้านหลังแล้วอ้อมมาซื้อทางด้านหน้า!
"หรือครับ ตอนนั้นผมขายจานละเท่าไหร่ครับ" คนถามรู้สึกตื่นเต้น ที่ได้พบ "ลูกค้าเก่า"
"จานละสองสตางค์"ถ้าใส่ไข่สามสตางค์
"ก็หลายสิบปีแล้วนะซีครับ ครั้งสุดท้าย ก่อนที่ผมจะเลิกขาย ราคาก็ขึ้นมาเป็นจานละห้าสิบสตางค์" การสนทนาระหว่างท่านพระครู กับอดีตพ่อค้าก๋วยเตี๋ยวผัดไทย ทำให้ผู้ที่นั่งฟังรู้สึกหิว แล้วเหมือนกับสวรรค์โปรด เมื่อท่านเจ้าของกุฏิ พูดขึ้นว่า
"ได้เวลาอาหารกลางวันแล้ว ขอเชิญญาติโยมทุกท่านรับประทานอาหารกันให้อิ่มหนำสำราญเสียก่อน วันนี้แม่ครัวเขาทำก๋วยเตี๋ยวผัดไทยเลี้ยง" ที่ท่านทราบเพราะ "เห็นหนอ" บอก...





เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ถวายเทียน ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO