นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อาทิตย์ 12 พ.ค. 2024 6:03 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: เรื่องราว
โพสต์โพสต์แล้ว: อาทิตย์ 24 มิ.ย. 2012 8:45 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4556
นับตั้งแต่อาจารย์ชิตเข้ามาพักรักษาตัวที่วัดป่ามะม่วง แขกของท่านพระครูก็ร่อยหรอลงไป ไม่มีการมานั่งรอคิวตั้งแต่เช้ามืดเหมือนเช่นแต่ก่อน ทั้งนี้และทั้งนั้นก็เพราะพวกเขาไม่อาจทานทนต่อ "กลิ่น" ที่มาจากแผลของบุรุษวัยหกสิบได้
ครั้นเจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงได้รับอุบัติเหตุตกบันไดขาหัก นายขุนทองก็ประกาศงดรับแขกเป็นเวลาหนึ่งเดือน นอกจากผู้ที่มีธุระสำคัญเร่งด่วนเท่านั้น จึงจะได้รับอนุญาตให้เข้าพบ
บรรดาผู้ประสบทุกข์ทั้งหลาย เมื่อมาด้วยตนเองไม่ได้ ก็ใช้วิธีเขียนจดหมายมา ดังนั้นแทนที่จะได้พักผ่อน ท่านพระครูก็ต้องมานั่งตอบจดหมาย ซึ่งแรก ๆ ก็มาวันละ ๙-๑๐ ฉบับ ต่อมาก็เพิ่มจำนวนขึ้น จนท่านต้องขอให้นายสมชายและอาจารย์ชิตมาช่วยตอบ คนทั้งสองยินดีปรีดาที่ได้ช่วยแบ่งเบาภาระของท่าน
ส่วนนายขุนทองไม่ได้รับเกียรติให้ทำหน้าที่นี้ ท่านเจ้าของกุฏิให้เหตุผลว่า "เจ้าหมอนี่มันปากสว่าง เดี๋ยวก็ได้เอาความลับของเขาไปเปิดเผย เสียชื่อวัดป่ามะม่วงหมด"
"เช้าวันที่ ๕ มีนาคม หลังจากรับประทานอาหารกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อาจารย์ชิตกับนายสมชายก็ขึ้นไปช่วยงานท่านพระครูเป็นวันที่สอง ส่วนนายขุนทองก็รับหน้าที่เก็บล้างถ้วยชามลามไหและทำความสะอาดกุฏิชั้นล่าง
ทำงานเสร็จก็จับเจ้าหมี เจ้าโฮม และเจ้าขาวมาอาบน้ำอาบท่าแถมโรงแป้งฝุ่นให้เสร็จสรรพ เป็นแป้งยี่ห้อเดียวและกระป๋องเดียวกับที่ตัวเขาใช้ แม้ตัวเองจะอาบน้ำวันละสองครั้ง เช้า-เย็น แต่สำหรับสุนัขสามตัวนี้ เขาอาบน้ำและโรยแป้งให้มันอาทิตย์ละครั้งเท่านั้น
เมื่อขึ้นไปถึง อาจารย์ชิตก็ทำหน้าที่เปิดผนึกจดหมายแล้วอ่านให้ท่านพระครูฟัง จากนั้นก็จะเขียนตอบ โดยท่านพระครูจะเป็นผู้บอกว่าตอบอย่างไร เขียนเสร็จก็เป็นน้าที่ของนายสมชายที่จะพับใส่ซองปิดผนึก ติดแสตมป์ และจ่าหน้าซองถึงผู้รับ
บางร้าย เจ้าของจดหมายก็สองซองติดแสตมป์ และจ่าหน้าซองถึงตัวเองไว้เสร็จสรรพ นายสมชายจึงเพียงแต่พับจดหมายตอบใส่ซองและปิดผนึกเท่านั้น
จดหมายฉบับแรกมาจากเด็กชายหาญกล้า บุญเสริมส่ง อาจารย์ชิตอ่านให้ท่านพระครูฟังตั้งแต่ต้นจนจบ ความว่า
เขียนที่บ้านเลขที่ ๖๗/๘ หมู่ ๑ ถนนเพชรบุรี อ.พญาไท กรุงเทพฯ
กราบนมัสการหลวงตา ที่เคารพอย่างสูง
กระผมเด็กชายหาญกล้า นามสกุลบุญเสริมส่ง อายุ ๑๔ ปี กำลังเรียนอยู่ ชั้น ม.ศ. ๒ ผมไม่เคยรู้จักหลวงตามาก่อน แต่คุณลุงข้างบ้านเขารู้จักและให้ที่อยู่ผมมา ผมจึงเขียนมาขอความเมตตาให้ช่วยแก้ปัญหาให้ผมด้วย
ผมอยู่กับแม่สองคนครับ แม่ผมอายุ ๓๖ ปี แม่บอกว่าพ่อทิ้งเราไปตั้งแต่ผมยังแบเบาะ แล้วผมก็ไม่เคยเห็นหน้าพ่อเลยตั้งแต่จำความได้ แม่ไม่ยอมบอกว่าพ่อผมชื่ออะไร อยู่ที่ไหน แม้นามสกุลที่ผมใช้อยู่ก็เป็นนามสกุลของแม่ ผมจึงไม่มีโอกาสได้รู้จักพ่อเลย ผมพยายามสืบถามจากเพื่อนบ้าน ก็ไม่มีใครให้ความกระจ่างแก่ผม จนผมหมดหวังที่จะได้พบพ่อ ผมอยู่กับแม่สองคนก็มีความสุขตามอัตภาพ แม่ทำงานบริษัท เงินเดือนสองพันบาท ก็มากพอสมควร สำหรับเราสองคนแม่ลูก
มาเมื่อต้นปีที่แล้ว แม่เริ่มประพฤติตัวเหลวไหล ด้วยการกลับบ้านดึกทุกคืนและมีกลิ่นเหล้าติดตัวมาด้วย หนักเข้าก็เมาแอ๋มาเลย แล้วก็เป็นอย่างนี้เกือบทุกวัน เงินทองก็เริ่มไม่พอใช้ ผมก็คิดมากจนเรียนไม่รู้เรื่อง เมื่อเงินไม่พอใช้ แม่ก็เที่ยวไปหยิบยืมจากเพื่อนบ้าน กระทั่งกลายเป็นคนมีหนี้สินรุงรัง
วันไหน ไม่มีเงินซื้อเหล้ากิน แม่จะอารมณ์เสีย พาลด่าผมอย่างหยาบ ๆ คาย ๆ ผมกลัวว่าแม่จะกลายเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง และกลัวถูกไล่ออกจากงานจึงต้องเขียนจดหมายมารบกวนหลวงตาให้ช่วยแนะนะผมด้วยว่า ผมจะสอนแม่อย่างไรดี จึงจะทำให้เขาเกิดความสำนึกและกลับตัวเป็นคนดีเหมือนแต่ก่อน ขอหลวงตาโปรดตอบผมด้วย ผมจะรอคำตอบพร้อมกันนี้ ผมได้ส่งซองติดแสตมป์มาด้วยครับ
นมัสการมาด้วยความเคารพอย่างสูง
หาญกล้า บุญเสริมส่ง
ป.ล. ผมเคยเป็นเด็กเรียนดี สอบได้ไม่เคยต่ำว่า ๘๐% แต่เดี๋ยวนี้ผมกลายเป็นคนคิดมาก การเรียนตกต่ำลง และคงจะสอบตก ถ้าแม่ยังเป็นอย่างนี้
"น่าสงสารแกนะครับ" อาจารย์ชิตเอ่ยเมื่ออ่านจบ
"คนเราต่างก็มีกรรมต่าง ๆ กันไป ตัวเองทำเองทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่ว ทำไว้แต่ครั้งอดีตชาติบ้าง มาทำในปัจจุบันบ้าง พอกรรมมาให้ผล จึงสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ตามชนิดของกรรมที่ทำ แต่ทั้งสุขและทุกข์ มันก็ไม่เที่ยงหรอกโยม ประเดี๋ยวก็เปลี่ยนแปลงผันแปรไปตามเหตุปัจจัย ไม่มีใครทำแต่กรรมชั่วอย่างเดียว แล้วก็ไม่มีใครทำแต่กรรมดีอย่างเดียว หากจะทำดีบ้างทำชั่วบ้าง คละเคล้ากันไป"
"เว้นแต่คนที่เป็นพระอรหันต์เท่านั้น จึงจะทำแต่กรรมดีอย่างเดียว ไม่ทำกรรมชั่วเลยใช่ไหมครับ" นายสมชายถาม
"นั่นเป็นความเข้าใจผิดของเธอ พระอรหันต์ท่านเป็นผู้อยู่เหนือกรรม การกระทำของท่าน เราไม่เรียกว่า กรรม แต่เรียกว่า กิริยา เพราะถ้าเป็นกรรม ก็ยังมีผลต่อการเวียนว่ายตายเกิด เช่น กรรมดีทำให้ไปเกิดในสุคติ กรรมชั่วทำให้ไปเกิดในทุคติ แต่พระอรหันต์ท่านตัดขาดจากสงสารวัฏแล้ว จึงไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสงสารสาครเฉกเช่นปุถุชนทั้งหลาย" ท่านพระครูอธิบายทั้งที่รู้ว่า คนถามไม่เข้าใจ แต่คนที่เข้าใจกลับเป็นอาจารย์ชิตผู้ซึ่งมิได้ถาม
"ยังข้องใจสงสัยอะไรอีกหรือเปล่า ฉันให้โอกาสซักถาม"
"มีครับ แต่คงจะไม่ถาม เพราะที่หลวงพ่ออธิบายมานั้น ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ไม่อยากให้หลวงพ่อต้องเป่าปี่ให้ควายฟังครับ" ชายหนุ่มว่า
"ก็ดีที่รู้ตัว แต่คำถามของเธอก็มิใช่จะไม่มีประโยชน์เสียเลย เพราะคนที่เข้าใจก็มีอยู่"
"หลวงพ่อหมายถึงอาจารย์หรือครับ"
"ก็จะมีใครเสียอีกล่ะ มีกันแค่สองคน ไม่น่าถาม"
"แล้วรายนี้ หลวงพ่อจะให้ตอบว่าอย่างไรครับ คนสูงวัยถาม ท่านเจ้าของกุฏิจึงบอก
"ตอบไปว่า ให้อดทน แล้วก็ไม่ต้องไปคิดสอนแม่เขา ลูกไม่ได้มีหน้าที่สั่งสอนพ่อแม่ เขาจะดีจะชั่วยังไง ก็เป็นผู้ให้กำเนิดเรามา ใส่แผ่นปลิวบทสวดมนต์ไปให้ด้วย บอกให้สวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ และพาหุงมหากาฯ อย่างละหนึ่งจบ จากนั้นก็สวดพุทธคุณอย่างเดียวอีก ๑๕ จบ เขาอายุ ๑๔ ใช่ไหม"
"ครับ"
"อายุ ๑๔ ก็สวด ๑๕ จบ บอกหลวงตาให้สวดทุกคืน เสร็จแล้วแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้แม่เขา ปฏิบัติสม่ำเสมอจนจิตถึงขึ้นเมื่อไหร่ แม่เขาก็จะกลับตัวได้เอง แต่ถ้าไม่ทำตาม หลวงตาก็ไม่รู้จะช่วยได้ยังไง บอกเขาไปอย่างนี้ก็แล้วกัน" อาจารย์ชิตจัดการเขียนตามที่พระครูบอก นายสมชายหยิบแผ่นปลิวบทสวดมนต์พับใส่ซองลงไปก่อน เมื่ออาจารย์ชิตเขียนเสร็จ ท่านพระครูให้เขาอ่านทวนให้ฟังอีกครั้ง แล้วท่านจึงลงนาม จากนั้นนายสมชายก็จะพับจัดหมายใส่ซองปิดผนึก
ฉบับที่สองมาจากนางนนทรี จันทร์กระพริบ เขียนเล่ามาว่า
หนูมาที่วัดเมื่อวันที่ ๑ มีนาคม แต่ลูกศิษย์บอกว่า หลวงพ่องดรับแขกหนึ่งเดือน เพื่อพักรักษาตัว เนื่องจากได้รับอุบัติเหตุตกบันได แต่หนูคงรอไม่ได้ เพราะมีเรื่องร้อนใจมาก จึงเขียนจดหมายมาขอคำปรึกษาหลวงพ่อค่ะ ปัญหาของหนูมีดังนี้คือ
เมื่อประมาณปีที่แล้ว หนูได้รู้จักกับเพื่อนใหม่คนหนึ่ง เรารู้จักกันที่วัดแห่งหนึ่ง เขามาทำบุญเช่นเดียวกับหนู ผู้หญิงคนนี้ชื่อ สุธาวดี เป็นคนสวย น่ารัก พูดจาไพเราะ เราก็คบกันมาเรื่อย ๆ เพราะหนูเห็นเขาเป็นคนดีและชอบทำบุญทำทาน เพื่อน ๆ ของเขาได้มาเตือนหนูว่า ผู้หญิงคนนี้เป็นคนไม่ดี อย่าไปคบ หนูก็ไม่เชื่อ เพราะเชื่อว่าตัวเองคงดูคนไม่ผิด แต่ก็แปลกอยู่อย่างหนึ่งคือ สุธาวดีเขาไม่ค่อยมีเพื่อน ดังนั้นเขาจึงมาสนิทกับหนู
อยู่มาวันหนึ่งก็มีสุภาพสตรีคนหนึ่งมาที่วัด และมาเล่าให้เจ้าอาวาสฟังว่า ผู้หญิงคนชื่อสุธาวดี ได้เที่ยวไปพูดกับคนอื่น ๆ ว่า เจ้าอาวาสมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับหนู เจ้าอาวาสท่านโกรธมาก จะให้หนูไปตามเพื่อนคนนี้มาพูกันต่อหน้าท่าน และสุภาพสตรีผู้นั้น ซึ่งยินดีจะเป็นพยานให้ หนูได้นำเรื่องนี้มาให้สามีฟัง สามีบอกว่าคนเช่นนี้เป็นคนพาล ฉะนั้นไม่ต้องไปคบหาสมาคม แล้วก็ไม่ต้องไปชี้แจงอะไรกับเขา เพราะคนพาลย่อมไม่ยอมรับในสิ่งที่ถูกต้อง เป็นการเสียวเวลาเปล่า หนูไม่ทราบจะเชื่อใครดี เจ้าอาวาสหรือสามี จึงคิดถึงหลวงพ่อ และมั่นใจว่าหลวงพ่อจะช่วยแก้ปัญหาให้หนูได้ค่ะ
หนูขอสาบานว่า ไม่เคยคิดสกปรกลามก อย่างที่ผู้หญิงคนนี้กล่าวหา หนูไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมเขาใส่ร้ายหนูได้ ทั้งที่ไม่มีมูลความจริง เวลาไปวัดหนูก็ไปกับเขาทุกครั้ง เพราะตอนหลัง ๆ เขาน่าสงสารมาก สามีก็ขอหย่า เพื่อนฝูงซึ่งมีอยู่ไม่กี่คนก็พากันเลิกคบเขา ธุรกิจการค้าก็ขาดทุน หนูสงสารเขา ก็พยายามปลอบใจเขา
มีอยู่ครั้งหนึ่ง เขาชวนหนูไปวัดและขอร้องให้หนูช่วยพูดกับเจ้าอาวาส ขอยืมเงินท่านมาลงทุน (ตอนแรกเขาขอยืมหนู แต่หนูไม่มีเงินมากขนาดนั้น เขาจึงขอให้หนูไปพูดกับเจ้าอาวาส) เป็นการขอร้องที่หนูลำบากใจมาก แต่เพราะสงสารเขาจึงช่วยพูดให้ เจ้าอาวาสท่านก็บอกว่า เงินที่มีอยู่นั้นเป็นเงินวัด ไม่ใช่เงินส่วนตัวของท่าน จึงไม่สามารถให้ยืมได้ เขาแสดงอาการไม่พอใจออกมา โดยว่าประชดท่านว่าเป็นพระแต่ไม่มีเมตตา แล้วก็ชวนหนูกลับ
นี่แหละค่ะ เรื่องกลุ้มใจของหนู ตอนนี้เขาก็หลบหน้าหลบตาไม่มาหาหนูอีกเลย หนูอยากโทรศัพท์ไปว่าเขาเหมือนกันว่า คนอย่างหนูนั้นไม่จนปัญญา ถึงขนาดจะเอาพระมาเป็นผัวหรอก แล้วหนูก็กลัวตกนรกอเวจี เพราะในพระวินัยระบุไว้ว่าหญิงที่เสพเมถุนกับพระจะต้องตกนรกอเวจี ที่สำคัญคือ หนูก็มีสามีแล้ว ถ้าไปทำอย่างนั้น ก็ตกนรกสองต่อ หนูไม่ทำแน่นอนค่ะ
ขอความกรุณาหลวงพ่อช่วยตอบหนูด่วนนะคะ หนูควรจะจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร พร้อมจดหมายนี้ หนูได้แนบซองติดแสตมป์และจ่าหน้าซองถึงตัวเองมาด้วยค่ะ ขอกราบขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ
อาจารย์ชิตอ่านจบ ท่านพระครูจึงพูดขึ้นว่า
"คนทุกวันนี้ ใจบาปหยาบช้าจังเลยนะโยม แค่พระไม่ให้ยืมเงินก็ลงทุนใส่ร้ายป้ายสี ไม่กลับบาปกลัวกรรม"
"หลวงพ่อจะให้ตอบเขาว่าอย่างไรครับ"
"บอกให้ทำตามที่สามีเขาแนะนำนั่นแหละ โยมเห็นหรือยังว่า โทษของการคบคนพาลนั้นเป็นอย่างไร ไม่งั้น พระพุทธองค์จะทรงสอนหรือว่า "อะเสวะนา จะ พาลานัง บัณฑิตานัญจะ เสวะนา - ไม่คบคนพาล คบบัณฑิต นี้ปรากฏอยู่ในมงคลสูตร ซึ่งบรรดามนุษย์และเทวดาทั้งหลายต่างพากันถกเถียงกันว่าอะไรเป็นมงคล เถียงกันอยู่ ๑๒ ปี ก็ยังหาข้อยุติไม่ได้ จึงพากันมาเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อทูลถาม
พระพุทธองค์ได้ตรัสมงคล ๓๘ ประการ ดังนี้คือ ไม่คบคนพาล ๑ คบบัณฑิต ๑ บูชาคนที่ควรบูชา ๑ อยู่ในถิ่นที่มีสิ่งแวดล้อมดี ๑ ได้ทำความดีให้พร้อมไว้ก่อน ๑ ตั้งตนไว้ชอบ ๑ เล่าเรียนศึกษามาก ๑ มีศิลปวิทยา ๑ มีระเบียบวินัย ๑ วาจาสุภาษิต ๑ บำรุงบิดามารดา ๑ สงเคราะห์บุตร ๑ สงเคราะห์ภรรยา ๑ ทำการงานไม่คั่งค้าง ๑ บำเพ็ญทาน ๑ ประพฤติธรรม ๑ สงเคราะห์ญาติ ๑ ทำงานไม่มีโทษ ๑ เว้นจากความชั่ว ๑ เว้นจากการดื่มน้ำเมา ๑ ไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย ๑ มีสัมมาคารวะ ๑ อ่อนน้อมถ่อมตน ๑ สันโดษ ๑ กตัญญู ๑ ฟังธรรมตามกาล ๑ มีความอดทน ๑ เป็นผู้ว่านอนสอนง่าย ๑ พบเห็นสมณะ ๑ สนทนาธรรมตามกาล ๑ มีความเพียรเผากิเลส ๑ ประพฤติพรหมจรรย์ ๑ เห็นอริยสัจ ๑ ทำพระนิพพานให้แจ้ง ๑ จิตไม่หวั่นไหว ๑ จิตไม่เศร้าโศก ๑ จิตปราศจากกิเลส ๑ จิตเกษม ๑ ทั้ง ๓๘ ประการนี้ จัดเป็นมงคลอันสูงสุด มงคลก็คือ สิ่งที่ทำให้มีโชคดี หรือธรรมอันนำมาซึ่งความสุขความเจริญ"
"เหมือนเวลาที่พระท่านสวดในงานมงคล เช่น งานแต่งงาน งานทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ท่านมักจะสวดมงคล ๓๘ ประการ นี้ใช่ไหมครับ"
"ถูกแล้วโยม แต่ถ้าว่ากันตามข้อเท็จจริงแล้ว มงคลนั้นไม่ใช่สิ่งที่ใครจะให้แก่ใคร เช่นไม่ใช่สิ่งที่พระท่านจะนำมาให้ญาติโยม เพราะไม่ใช่สิ่งของที่จะนำมาหยิบยื่นให้กันและกัน แต่มงคลจะเกิดขึ้นได้ บุคคลนั้น ๆ ต้องสร้างเองทำเอง เช่นเดียวกับการทำกรรม เราทำกรรมแทนกันไม่ได้ มงคลจัดเป็นกุศลกรรม ถ้าเราอยากให้มงคลเกิดแก่ตัวเรา เราก็ต้องทำ ต้องสร้างของเราเอง ไม่ใช่เที่ยวไปขอจากคนโน้นคนนี้ เช่นไปขอจากพระเป็นต้น ที่ถูกจะต้องทำเอง เกี่ยวกับเรื่องนี้ ยังมีคนเข้าใจผิดกันอยู่มาก หรือโยมคิดว่ายังไง"
"ผมก็คิดเหมือนหลวงพ่อครับ" บุรุษสูงวัยคล้อยตาม
"ดีแล้ว เอาละ ทีนี้ก็ตอบจดหมายโยมนนทรีเขาได้แล้ว ตอบอย่างที่อาตมาแนะนำนั่นแหละ"
"ต้องเขียนมงคล ๓๘ ลงไปด้วยหรือเปล่าครับ" อาจารย์ชิตถาม หากต้องเขียน เขาก็คงจะต้องให้ท่านทวนให้ใหม่ทีละข้อ เพราะไม่สามารถจดจำได้ทั้งหมด
"ไม่ต้อง เอาเฉพาะสองข้อแรกเท่านั้น แล้วลอกโอวาทของท่านเจ้าคุณนรรัตน์ วัดเทพศิรินทราวาส ลงไปด้วย สมชายเธอไปหยิบรูปท่านเจ้าคุณนรรัตน์ มาให้อาจารย์เขาด้วย" นายสมชายลุกขึ้นไปหยิบภาพถ่ายซึ่งวางอยู่บนหิ้งพระ มาส่งให้อาจารย์ชิต เป็นภาพพระภิกษุร่างผอมบาง นั่งพับเพียบอยู่กลางใบโพธิ์ ใต้ภาพมีข้อความที่เขียนด้วยลายมือของท่าน มีความยาวถึง ๑๓ บรรทัด แล้วลงนาม "นรรัตน" ไว้ใต้ข้อความนั้น
"ลอกลงไปทั้งหมดนี่แหละ บอกโยมนนทรีเขาว่า เมื่ออ่านแล้วก็นำไปให้เจ้าอาวาสท่านอ่านด้วย ท่านจะได้หายโกรธโยมคนนั้น แล้วก็เลิกล้มความคิดที่จะเรียกเขามาต่อว่า
อันที่จริง โยมคนนั้นแกคิดสั้นนะ ถ้าแกทำดีกับเจ้าอาวาสและโยมนนทรี อีกหน่อยกิจการค้าของแกก็จะดีขึ้นเพราะอำนาจของบุญกุศล แต่ในเมื่อแกมาทำอย่างนี้ แกก็ไม่กล้ามาวัดอีกก็เลยหมดโอกาสสร้างบุญสร้างกุศล เขาเรียกว่า ฆ่าตัวเองทางอ้อม เอาละ โยมลอกโอวาทของท่านเจ้าคุณนรรัตน ลงไปก่อน แล้วค่อยตอบจดหมายทีหลัง เสร็จแล้วจะได้ให้นายสมชายเขานำไปไว้บนหิ้งพระตามเดิม" บุรุษสูงอายุจึงลงมือลอกข้อความนั้นลงในแผ่นกระดาษโอวาทของท่านเจ้าคุณนรรัตน มีใจความดังนี้
คนเราเมื่อมีลาภก็มีเสื่อมลาภ เมื่อมียศก็เสื่อมยศ เมื่อมีสุขก็มีทุกข์ เมื่อมีสรรเสริญก็มีนินทา เป็นของคู่กันมาเช่นนี้ จะไปถืออะไรกับปากมนุษย์ ถึงจะดีแสนดีมันก็ติ จะชั่วแสนชั่วมันก็ชม นับประสาอะไร พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐเลิศยิ่งกว่ามนุษย์และเทวดายังมีคนนินทาติเตียน ปุถุชนอย่างเราจะรอดพ้นจากโลกธรรมดังกล่าวแล้วไม่ได้ ต้องคิดเสียว่าเขาจะติก็ช่าง ชมก็ช่าง เราไม่ได้ทำอะไรให้เขาเดือดเนื้อร้อนใจ ก่อนที่เราจะทำอะไร เราคิดแล้วว่าไม่เดือดร้อนแก่ตนเองแลคนอื่นเราจึงทำ เขาจะนินทาว่าร้ายอย่างไรก็ช่างเขา บุญเราทำกรรมเราไม่สร้าง พยายามสงบกาย สงบวาจา สงบใจ จะต้องไปกังวงกลัวใครติเตียนทำไม ไม่เห็นมีประโยชน์ เปลืองความคิดเปล่า ๆ
นรรัตน
ลอกเสร็จแล้วนายสมชายจึงนำภาพถ่ายนั้นไปวางไว้ที่เดิม อาจารย์ชิตจัดการตอบจดหมายแล้วอ่านให้ท่านพระครูฟัง เพื่อตรวจสอบอีกครั้งก่อนลงนาม จากนั้นก็เป็นหน้าที่ของนายสมชาย ที่จะพับใส่ซองและปิดผนึก
ฉบับที่สามเป็นของนายทหารยศพันเอก เขียนมา ๕ หน้ากระดาษฟุลสแก๊ป แถมลายมือก็ขยุกขยิกยุ่งเหยิงพอ ๆ กับใจความใจจดหมายซึ่งเขียนวกไปวนมา บ่งบอกถึงสภาวะทางจิตใจของเข้าของในขณะที่เขียน กว่าจะอ่านจบทั้งผู้ฟังและผู้อ่านต่างอ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปตาม ๆ กัน คนเป็นฆราวาสนั้นยังฝึกสติไม่ถึงขั้น จึงรู้สึกเครียดกว่าคนเป็นพระ ท่านเจ้าของกุฏิมีอันต้องกำหนด "เครียดหนอ เครียดหนอ" อยู่ชั่วครู่จึงหายเครียด ท่านบอกคนเป็นฆราวาสว่า
"เอาละ โยมพักได้แล้ว พักสักยี่สิบนาที จากนั้นให้เดินจงกรมสามสิบนาที นั่งสมาธิอีกครึ่งชั่วโมง ก็ได้เวลารับประทานอาหารกลางวันพอดี" ท่านพูดราวกับรู้ว่าขณะนั้นเป็นเวลา ๙.๔๐ นาฬิกา อาจารย์ชิตกราบท่านสามครั้งแล้วจึงลงมาข้างล่าง เหลือบดูนาฬิกาที่แขวนอยู่ข้างฝา ปรากฏว่าเหลืออีก ๒๐ นาทีจะสิบโมง แสดงว่าท่านเจ้าของกุฏิรู้เวลาโดยไม่ต้องใช้นาฬิกา....
อาจารย์ชิตลงไปแล้ว ท่านพระครูจึงถามนายสมชายว่า
"เป็นไง เธอรู้สึกเครียดบ้างไหม"
"ผมไม่กล้าเครียดหรอกครับ หลวงพ่อ ผมกลัวมะเร็งเต้านมเล่นงานผม" ชายหนุ่มตอบอย่างคนรักตัวกลัวตาย
"เรื่องนั้นเธอไม่ต้องกลัวหรอก รับรองว่าไม่เป็น" ท่านเจ้าของกุฏิตอบ เพราะผู้ชายหมดโอกาสเป็นมะเร็งเต้านมและมะเร็งมดลูก
"แต่เจ้าขุนทองมีสิทธิ์เหมือนกันนะครับหลวงพ่อ หลวงพ่อสังเกตไหมครับว่า นมมันใหญ่ขึ้น" คำถามนั้นสะดุดใจท่านพระครู ท่านรู้สึกเหมือนกันว่า หน้าอกของหลานชายมันดูผิดหูผิดตาไป
"มันไปทำยังไงเข้าล่ะ หน้าอกหน้าใจมันถึงผิดปกติยังงั้น"
"ผมหลอกถามดู เห็นมันบอกว่าเอามดตะนอยไปต่อย มันว่าถ้าใหญ่มาก ๆ ก็จะไปซื้อยกทรงมาใส่ หลวงพ่ออย่าบอกนะครับว่าผมมาพูด มันเอาผมตายเลย" ชายหนุ่มเล่าพลางขอร้อง
"แปลว่า เธอเอาความลับเจ้าขุนทอง มาเปิดเผยน่ะซี" ท่านพระครูพูดเสียงตำหนิ
"โธ่ หลวงพ่อครับ ผมไม่ได้คิดทรยศเพื่อนนะครับ แต่ที่ทำไปเพราะหวังดีต่อมัน ผมกลัวมันจะเป็นมะเร็งเต้านมนะครับ ก็เห็นน้าขำเล่าว่า คนที่เอามดตะนอยต่อลูกอัณฑะยังเป็นมะเร็งตายได้" ศิษย์วัดอ้างเหตุผลที่ต้องเปิดเผยความลับของเพื่อน
"นั่นเพราะกรรมที่เขาไปหลอกลวงหลวงต่างหากล่ะ หลอกหลวงเพื่อจะไม่ต้องเป็นทหาร แต่เจ้าขุนทองมันไม่มีกรรมเช่นนั้น ฉันรับรองว่า มันไม่เป็นมะเร็งแน่ เธออย่าห่วงไปเลย"
"ครับ ถ้าหลวงพ่อยืนยันเช่นนี้ ผมก็สบายใจ แล้วหลวงพ่ออย่าเผลอบอกเรื่องนี้มันเข้านะครับ ไม่งั้นถูกมันด่าล้างน้ำแน่เลย"
"ล้างน้ำก็ดีน่ะซี เธอจะได้สะอาดสะอ้านขึ้น" ท่านเริ่มยั่ว เพื่อคลายเครียด
"มันก็คงจะดีหรอกครับ ถ้าผมเป็นคนชอบอาบน้ำ แต่บังเอิญผมเป็นโรคกลัวน้ำครับ" ชายหนุ่มว่า ได้ยั่วลูกศิษย์พอหอมปากหอมคอแล้ว ท่านพระครูจึงให้เขาลงไปล้างรถ เพราะจอดไว้หลายวันจนฝุ่นเกาะเต็มไปหมด ถึงไม่ต้องลงไปดูก็รู้ได้ว่า มันจะต้องเป็นอย่างที่ท่านคิด
นายสมชายลงไปแล้ว เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงจึงนั่งหลับตาทบทวนข้อความในจดหมายของนายพันเอก ในความโดยสรุปก็คือ เขาหลงรักครูสาวที่จ้างมาสอนพิเศษให้ลูกที่บ้าน ทั้งหลงรักและหลงใหล ถึงขนาดคิดขอหย่ากับภรรยา เพื่อจะแต่งงานกับเธอ เหตุผลที่เขาอ้างกับภรรยา คือ ตัวเขาเป็นนายพัน อีกไม่นานก็จะได้เป็นนายพล และคนเป็นภรรยาก็จะต้องได้ตำแหน่งคุณหญิง แต่ภรรยาของเขา ไม่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้ เพราะหล่อนแก่เกินไป ทั้งยังมีความรู้แค่มัธยมหก ขณะที่ครูสาวจบปริญญา แล้วก็สวยกว่าสาวกว่า
"ผมอุตส่าห์ร้องห่มร้องไห้เพื่อให้เขาเห็นอกเห็นใจในความรักของผม แต่เขาใจร้ายกับผมมาก เพราะนอกจากจะไม่ยอมหย่าแล้ว ยังไม่สงสารเห็นใจ ไม่มีน้ำตาสักหยดเดียว ทั้งที่ผมร้องไห้น้ำตาแทบเป็นสายเลือดอย่างนี้แล้วผมจะอยู่กับเขาได้อย่างไรครับหลวงพ่อ ผมพยายามพูดขอร้องเขาทุกวัน เขาก็ไม่ใจอ่อนกระทั่งผมอ่อนใจ มาวันนี้เองผมยื่นคำขาดว่า ถ้าเขาไม่ยอมหย่า ผมจะฆ่าตัวตาย เขาก็นิ่งไปพักหนึ่งแล้วบอกผมว่า "ตกลง ฉันจะยอมหย่าให้ เพราะเห็นใจในความรักของคุณ ความรักมันกินได้ ส่วนเงินกินไม่ได้ ฉะนั้น ฉันจะยอมหย่าให้คุณ แต่คุณต้องยกเงินเดือนให้ฉันทั้งหมด" หลวงพ่อคิดดูสิครับว่า ผมจะทำตามข้อเสนอของเขาได้อย่างไร ถ้าผมให้เงินเดือนเขาหมด ผมกับภรรยาคนใหม่จะอยู่ได้หรือ หลวงพ่อช่วยผมหน่อยเถิดครับ ช่วยให้เขาเห็นใจผมและยอมหย่าให้ผม โดยไม่เอาเงินเดือนของผม โปรดช่วยให้เขาไปจากชีวิตผม ส่วนลูกผมเลี้ยงได้ และแม่ใหม่ของแกก็จะช่วยติววิชาให้โดยไม่ต้องไปเสียเงินให้โรงเรียนกวดวิชา ผมจะรอคำตอบจากหลวงพ่อ ความจริงผมอยากมากราบเรียนถามด้วยตนเอง แต่เขาทำให้ผมหมดแรงและหมดหวังจนไม่สามารถขับรถมาได้ หลวงพ่อกรุณาตอบผมโดยด่วนเลยนะครับ"
จดหมายไม่มีซองเปล่าติดแสตมป์สอดมาด้วย เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วง จึงจัดการหยิบซองมาจ่าหน้าถึงผู้รับตามที่อยู่ตรงหัวกระดาษ เสร็จแล้วจึงลงมือตอบ
เขียนที่วัดป่ามะม่วง
วันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๑๗
เจริญพร ท่านผู้พัน ที่นับถือ
อาตมาอ่านจดหมายของผู้พันแล้ว รู้สึกสงสารและเห็นใจเป็นที่สุด อย่าเพิ่งดีใจว่า อาตมาจะช่วยให้สมความปรารถนา อาตมาจะช่วยได้อย่างไร ในเมื่อสิ่งที่ผู้พันปรารถนานั้น มันไม่ถูกต้องทำนองคลองธรรม คนที่อาตมาสงสารและเห็นใจเป็นที่สุดนั้นไม่ใช่ผู้พัน หากแต่เป็นภรรยาของผู้พัน ภรรยาคนที่มีความรู้น้อย และถูกสามีตำหนิติเตียนว่าทั้งแก่และไม่สวยนั่นแหละ เรื่องทั้งหมดที่ผู้พันเล่ามา มันเหมือนนิยายมากกว่าจะเป็นเรื่องจริง แต่อาตมาก็ไม่คิดว่า ผู้พันจะแต่งนิยายมาให้อาตมาอ่านหรอกนะ เพราะอาตมาไม่ใช่นักอ่าน แล้วก็คงไม่มีเวลา เพราะมีงานที่ต้องทำอีกมากมาย
อาตมาคิดว่า ที่ภรรยาของผู้พันเขาไม่ร้องไห้นั้น คงเป็นเพราะน้ำตาตกในมากกว่า เอาล่ะ เรื่องนี้อาตมาก็ขอตอบสั้น ๆ ว่า ให้ผู้พันเลิกล้มความคิดที่จะแต่งงานกับผู้หญิงคนใหม่เสียเถิด เพราะไม่มีประโยชน์อันใดเลย อาตมาขอร้องนะ โปรดอย่าทำลายจิตใจผู้หญิงที่เป็นแม่ของลูก ปกติคนเราเมื่อตั้งความหวังในทางที่ผิด ครั้นสมหวังจะสุขสโมสรก็เฉพาะตอนต้น ๆ แล้วมันก็จะเปลี่ยนเป็นความทุกข์ความเดือดร้อนในภายหลัง
เพราะฉะนั้นอาตมาจึงขอแนะนำว่า ยอมผิดหวังเสียดีกว่า ซึ่งแม้จะต้องโศกเศร้าเสียใจอาลัยหา ต่อเมื่อทำใจได้เมื่อใด ก็จะเกิดความภูมใจ เอิบอิ่มใจว่า ตนมีความประพฤติสุจริต ไม่บกพร่องเสียหาย ใคร ๆ ก็ติเตียนไม่ได้ ผู้พันลองนำไปพิจารณาดู ส่วนเรื่องการเป็นคุณหญิงนั้น อาตมาได้ตรวจสอบดูกฎแห่งกรรมของคุณโยมทั้งสองแล้ว ไม่มีใครจะได้เป็นคุณหญิง
สุดท้ายนี้ อาตมาขอเจริญพร ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย และบารมีขององค์สมเด็จพระสยามเทวาธิราช จงปกป้องคุ้มครองให้ผู้พันและครอบครัวมีความสุขความเจริญ คิดหวังสิ่งใดในทางที่ถูกที่ควร จงสมความปรารถนาทุกประการเทอญ
ขอเจริญพร
พระครูเจริญ ฐิตธัมโม
เขียนเสร็จ ท่านพระครูก็อ่านทบทวนอีกครั้ง เสร็จแล้วจึงพับใส่ซอง ปิดผนึกอย่างเรียบร้อย ขาข้างที่หักกำลังอักเสบ ท่านเลิกสบงดูขึ้นก็พบว่ามันบวมเป่ง ทั้งที่นวดด้วยน้ำมันมนต์ทุกวัน การขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวจึงเป็นไปด้วยความยากลำบาก หากท่านก็ไม่เคยคิดทดถอย แม้จะอยู่ในภาวะอาพาธเจ็บป่วย ก็ไม่เคยหยุดพัก ท่านทำงานทุกวันไม่มีวันหยุด ข้าราชการเขายังได้หยุดวันเสาร์วันอาทิตย์ แต่ท่านพระครูเจริญแห่งวัดป่ามะม่วงไม่มีวันหยุดกับใครเขา ทั้งงานที่ทำก็ไม่มีเงินเดือนให้อีกด้วย
ฉบับต่อมาเป็นของนางวรวิน นิลเนตร เขียนมาจากบ้านเลขที่ ๑๖๗๖/๒๑๓ ถนนเพชรเกษม อ.สามพราน จ.นครปฐม จดหมายลงวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๑๗ หล่อนเขียนเล่ามาว่า
เมื่อวานนี้ดิฉันกับสามีได้พาเพื่อนชาวอเมริกันไปดูการเข้าทรงที่บางแค ดูแล้วต่างก็รู้สึกสลดหดหู่ไปตาม ๆ กัน ดิฉันจะเล่าให้ท่านพระครูฟังนะเจ้าคะ
คณะของเราไปถึงสถานที่ที่ใช้ทำพิธี ซึ่งเขาเรียกกันว่า "พระตำหนัก" เมื่อประมาณ ๗ นาฬิกา พระตำหนักสร้างด้วยหินอ่อนทั้งหลัง (คงราคาหลายล้าน) อยู่ในเนื้อที่ประมาณ ๑๐ ไร่ หน้าพระตำหนักมีรูปหล่อของหลวงพ่อทวด ตั้งตระหง่านอยู่กลางสนาม
ผู้ไปร่วมงานมีทั้งพระและฆราวาส เวลา ๗.๓๐ น. พระสงฆ์ ๙ รูปเจริญพระพุทธมนต์ พระที่มาเจริญพระพุทธมนต์นี้ส่วนใหญ่เป็นพระราชาคณะ มีสมเด็จอยู่องค์หนึ่ง นอกนั้นก็เป็นท่านเจ้าคุณ หลวงพ่อที่มีชื่อเสียงโด่งดังของจังหวัดสิงห์บุรีก็ไปร่วมงานด้วย หลังจากพระเจริญพระพุทธมนต์แล้ว ก็มีการถวายภัตตาหาร และเครื่องไทยธรรมแด่พระสงฆ์ทั้ง ๙ รูปนั้น เสร็จแล้วท่านก็พากันกลับ ไม่ได้อยู่ดูเขาเข้าทรง และท่านก็คงไม่ทราบว่าเขาทำอะไรกันบ้าง
ดิฉันคิดว่าคนทรงเขาเข้าใจนิมนต์พระระดับสูงมา เพื่อจะเป็นเครื่องยืนยันว่า สิ่งที่เขาทำนั้นถูกต้องตามหลักพุทธศาสนา เป็นการหลอกลวงสงฆ์อย่างแนบเนียนที่สุด หลอกลวงสงฆ์มาเพื่อจะใช้หลอกชาวบ้านอีกต่อหนึ่ง
เสร็จพิธีสงฆ์แล้วก็เป็นพิธีเข้าทรง ที่ดิฉันสะท้อนสะเทือนใจมาก ก็คือ คนทรงเป็นพระภิกษุ ดิฉันรู้สึกอับอายแทนชาวไทยพุทธทั้งประเทศ ที่ยังมีชาวพุทธบางคนโง่เขลางมงายไร้เหตุผล ทั้งที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนา อันเป็นศาสนาแห่งปัญญา
นอกจากคนทรงจะเป็นพระภิกษุแล้ว ก็ยังมีพระภิกษุอยู่ร่วมงานอีกกว่าสองร้อยรูป ซึ่งท่านเหล่านี้อาจจะไม่ได้ศึกษาพระวินัย เพราะคงไม่ได้ตั้งใจบวช สามีของดิฉันต้องอธิบายให้เพื่อนชาวอเมริกันฟังว่า คนพวกนี้เป็นพระเทียม ไม่ใช่พระแท้ ที่ต้องอธิบายเพราะขานับถือพระพุทธศาสนา และได้ศึกษาพระวินัยมาอย่างดี ทั้งเคยบวชมาแล้วด้วย เขาจึงวิพากษ์วิจารณ์พระเหล่านี้ว่า กระทำผิดพระพุทธบัญญัติ
ดิฉันจะเล่าเรื่องคนทรงต่อนะเจ้าคะ เขาโกนศีรษะ ห่มผ้าเหลือง แต่งตัวเรียนแบบพระ ทั้งยังประกาศตัวว่าเป็นพระอีกด้วย เขาอ้างว่าหลวงพ่อทวดมาเข้าฝัน ขอร้องให้เขาเป็นร่างทรงของท่าน เพื่อสร้างบารมี
เมื่อจะเริ่มเข้าทรง เขาจุดรูปมัดใหญ่ทั้งมัด แล้วเสียบไว้ในกระถางข้างหน้า แล้วจึงจุดเทียนมัดใหญ่เช่นกัน มันเทียนตั้งไว้บนศีรษะให้น้ำตาเทียนไหลย้อยมาอาบใบหน้า จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิ ประนมมือหลับตาร่ายคาถาด้วยเสียงอันดัง ภาษาที่ใช้จะว่าบาลีก็ไม่ใช่ ไทยก็ไม่เชิง เพราะปนเปกันไปหมดจนฟังไม่ออก แต่ที่พอจะจับได้คำหนึ่งคือ คำว่า "เทวา" เพราะพูดซ้ำ ๆ หลายครั้ง ขณะที่ร่ายคาถา ก็นั่งขยุกขยิกท่าทางหลุกหลิก ไม่มีการสำรวมเลย ร่ายคาถาจบ ลูกศิษย์ก็จะนำจานหมากที่ผสมไว้เรียบร้อยแล้วมาประเคน เขาก็ใช้มือหยิบใส่ปาก ทำท่าเคี้ยว ๆ ปล่อยน้ำหมากไหลย้อยลงมาเปรอะคาง
เพื่อนชาวอเมริกันบอกน่าเกลียดมาก เหมือนแคร๊กคูล่ากำลังกินเลือด เพราะน้ำหมากแดงเหมือนเลือดจริง ๆ จากนั้นพวกลูกศิษย์ก็ช่วยกันยกขันบรรจุน้ำมาให้ทำน้ำมันต์ เป็นขันทองเหลืองขนาดมหึมาบรรจุน้ำได้ ๓๐ ลิตร เขาหยิบมันเทียนจากบนศีรษะ ลงมาจ่อที่ปากขัน ให้น้ำตาเทียนหยดลงน้ำ ลูกศิษย์ส่งถาดบรรจุพวกมาลัยดอกมะลิมาให้ เขายกถาดขึ้นสูงระดับศีรษะหลับตาทำปากขมุบขมิบ ทำทีว่า "เสก" แล้วเทพวงมาลัยลงในขันน้ำมนต์
จากนั้นทั้งพระ (เทียม) และฆราวาส ก็จะเรียงแถวกันเข้ามารับน้ำมนต์ แถวพระเข้ามาก่อน เขาก็ใช้พวงมาลัยที่ลอยอยู่ในขันน้ำมนต์ตบที่ศีรษะพระ ซึ่งเข้าไปก้มศีรษะประนมมือรับอย่างนอบน้อม หมดจากแถวพระ (เทียม) ซึ่งมีประมาณสองร้อยรูป ก็เป็นแถวของฆราวาส ซึ่งมีนายทหารยศนายพลเดินนำหน้า
ที่ดิฉันทราบเพราะเขาแต่งเครื่องแบบมา แล้วดิฉันก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า เป็นนายพลจริงหรือนายพลปลอม หากเป็นตัวจริงก็น่าสงสารมาก ที่ท่านตกเป็นเครื่องมือหากินของคนพวกนั้น ท่านพระครูเจ้าคะดิฉันสลดใจเหลือเกิน ชาวพุทธเราอับจนปัญญาและไร้ที่พึงพิงเสียแล้วหรือ จึงได้ฝากชีวิตไว้กับการเซ่นเจ้าเข้าทรงเช่นนี้ พระพุทธศาสนาใกล้จะถึงจุดจบเสียแล้วหรือ จึงถูกคนใจบาปหยาบช้านำมาใช้เป็นเครื่องมือกอบโกยเงินเข้ากระเป๋า
เพื่อนชาวอเมริกันที่ดิฉันพามาดูได้แสดงความห่วงใย หากคนศาสนาอื่นเขามาพบเข้า ก็จะเป็นจุดให้เขาโจมตีได้ ท่านพระครูคิดว่าจะแก้ไขอย่างไรดีเจ้าคะ
สามีของดิฉันบอกว่า อยากจะไปร้องเรียนต่อมหาเถรสมาคม หรือไม่ก็กรมการศาสนา ให้เขาสอดส่องดูแลบ้าง เพราะมันเป็นภัยร้ายแรงต่อพระศาสนาของเรา เป็นการเปิดช่องให้คอมมิวนิสต์และศาสนาอื่นเขาโจมตีเอาได้ ท่านพระครูกรุณาตอบปัญหาของดิฉันด้วยนะเจ้าคะ สิ่งที่ดิฉันอยากทราบมี ๒ ประการคือ
๑. ๑. ท่านพระครูเชื่อหรือเปล่าเจ้าคะ ว่าหลวงพ่อทวดท่านมาเข้าทรงจริง ๆ
๒. ๒. หากคนทรงและพระที่มารับน้ำมนต์ เป็นพระแท้ จะถือว่าเป็นการผิดวินัยตามพุทธบัญญัติหรือไม่
ขอกราบพระคุณล่วงหน้าเจ้าค่ะ
นมัสการมาด้วยความเคารพอย่างสูง
วรวิน นิลเนตร
จดหมายทุกฉบับที่ท่านพระครูได้รับ ไม่มีฉบับใดที่ไม่ทำให้ท่านไม่เครียด พูดให้ฟังง่ายเข้าก็คือทุกฉบับล้วนแล้วแต่ทำให้ท่านเครียด แต่ความรู้สึกเช่นนี้มันก็เกิดขึ้นไม่นาน เพราะเมื่อกำหนด "เครียดหนอ เครียดหนอ" มันก็หายไป แต่ฉบับของนางวรวิน นิลเนตร นี้สิ ท่านต้องกำหนดทั้ง "เครียดหนอ" และ "สลดใจหนอ" ควบคู่กันไป กระนั้นเจ้าความรู้สึกทั้งสองอย่างนี้ มันก็ยังไม่ยอมเลือนหายไป ท่านจึงต้องลุกขึ้นเดินจงกรม ให้ความเจ็บปวดในแต่ละย่างก้าวนั้นมาช่วยฆ่าความเครียดและความสลดรันทดใจ!
"ว้าย หลวงลุงทำไมลุกขึ้นเดิน ตายแล้ว ๆ ประเดี๋ยวขาก็ไม่หายหรอก" นายขุนทองส่งเสียงวี้ดว้าย เมื่อขึ้นมาเห็นกับตาว่า หลวงลุงกำลังทำอะไรอยู่
"ข้าเดินมาตั้งร่วมชั่วโมงแล้ว เอ็งเพิ่งจะมาโวยวาย มีธุระอะไรกับข้าอีกล่ะ" ท่านหยุดเดินพลางถาม
"หลวงลุงนั่งก่อนดีกว่าฮ่ะ นั่งนะคนดี๊คนดีของขุนทอง" หลานชายพูดเหมือนกับว่า "หลวงลุง" เป็นเด็กสามขวบ
"นี่นี่เจ้าขุนทอง มันจะมากไป มันจะมากไป ข้าไม่ใช่เด็กอมมือนะ เอ็งอย่ามาพูดกะข้ายังงั้น" ท่านเอ็ดหลานชาย
"ไม่พูดก็ได้ แต่หลวงลุงนั่งก่อนซีนะฮะ หนูขอร้อง"
"นั่งก็นั่ง เอาละ มีอะไรก็ว่าไป" ท่านหายเครียด หายสลดหดหู่ แต่ก็มีอันต้องกำหนด "ปวดหนอ ปวดหนอ" แทน เพราะรู้สึกปวดระบมไปทั้งร่าง โดยเฉพาะที่ขาข้างขวา
"ผัวนังเตยมาตามฮ่ะ" หนุ่มวัยยี่สิบเอ็ดรายงาน
"เอ็งรู้ได้ยังไงว่า เขาเป็นผัวแม่หนูคนนั้น เขาบอกเอ็งหรือ"
"เปล่าหรอกฮ่ะ แต่หลวงลุงเคยบอกไว้ว่า วันที่ ๕ มีนา ผัวนังเตยจะมารับไปแต่งงาน หนูเลยเดาเอา ก็เขามาถามหานังเตยนี่ฮะ"
"งั้นก็บอกเขาให้ขึ้นมาหาข้าก็แล้วกัน"
"ฮ่ะ" ชายหนุ่มรับคำสั่งแล้วจึงลงไปสักพักหนึ่ง ชายหนุ่มอีกคนก็ขึ้นมา แม้หน้าตาจะเศร้าสร้อย หากก็ดูหล่อเหลาชวนมอง "มิน่า แม่หนูคนนั้นถึงได้เผลอใจเผลอกาย" ท่านเจ้าของกุฏิลงความเห็นในใจ ชายหนุ่มกราบท่านพระครูสามครั้ง แล้วแนะนำตัวเอง
"ผมชื่อสุเมธ มาจากจังหวัดพระนครศรีอยุธยาครับ" ท่านพระครูนิ่งไม่พูดไม่ถามเพราะต้องการจะ "ดัดนิสัย" ลูกผู้ชายที่ประพฤติตัวไม่สมกับเป็นลูกผู้ชาย"
"ผมมาตามหาภรรยาครับ ได้ข่าวว่ามาบวชชีอยู่ที่วัดนี้" เขาพูดอีก หากท่านพระครูก็เฉยอีก
"มีผู้หญิงชื่อเตย มาบวชที่วัดนี้หรือเปล่าครับ" เมื่อท่านเจ้าของกุฏิเฉยอีก ชายหนุ่มก็หมดความอดทน เขาพูดด้วยเสียงเยาะเย้ยประชดประชนว่า
"ผมไม่นึกเลยว่า จะมาเจอเอาพระใบ้ เจ้ากระเทยนั่นก็ไม่ยักบอกว่า สมภารวัดนี้เป็นใบ้" ได้ผล เพราะท่านพระครูพูดขึ้นว่า
"อาตมาไม่ได้เป็นใบหรอกคุณ แต่อาตมาต้องการทดสอบคนที่มาวัดนี้ ทดสอบความอดทนไงล่ะ คนที่มาวัดนี้จะต้องอดทน อดได้ ทนได้ รอได้ คุณอยากพบภรรยาไม่ใช่หรือ"
"ครับ" คราวนี้เขาพูดเสียงอ่อนลง แม้ใจจะยังรู้สึกโกรธขึ้ง
"ถ้างั้นก็นั่งรอประเดี๋ยว เดี๋ยวอาตมาจะคุยด้วย ขอตอบจดหมายฉบับนี้ให้เสร็จก่อน" แล้วท่านก็ก้มหน้าก้มตาตอบจดหมาย ที่เป็นสาเหตุแห่งความเครียดของท่าน
เจริญพร โยมที่นับถือ
อาตมาได้อ่านจดหมายของคุณโยมแล้ว รู้สึกสลดหดหู่ใจไม่แพ้คุณโยมเช่นกัน นึกไม่ถึงว่า เรื่องที่เล่ามานั้นมัจจะเกิดขึ้นได้
ในเรื่องนี้อาตมาเห็นว่า ถ้าคนทรงเขาเป็นฆราวาส และไม่มีพระสงฆ์ไปรับน้ำมนต์ อาตมาจะไม่นึกตำหนิเลย เพราะมันเป็นวิธีการหากินของพวกเขา ที่จะหลอกคนโง่เขลาเบาปัญญา คุณโยมอย่าไปคิดว่า คนที่เป็นชาวพุทธนั้นจะเป็นผู้มีปัญญาไปเสียหมดทุกคน พระพุทธเจ้าแห่งคนไว้ ๔ ประเภท เปรียบเทียบกับบัว ๔ เหล่า คุณโยมคงพอจะจำได้ อุคฆฏิตัญญู วิปจิตัญญู เนยยะ และ ปทปรมะ ฉะนั้นจะให้ฉลาดหลักแหลมเหมือนกันหมด ย่อมเป็นไปไม่ได้
หากจะถามความเห็นของอาตมาว่า เชื่อหรือไม่ว่า ผู้ที่มาเข้าทรงนั้นเป็นหลวงพ่อทวด อาตมาก็ขอตอบว่าไม่เชื่อ เพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่ท่านจะต้องทำเช่นนั้น และที่ชอบอ้างกันว่า เทพมักจะลงมาสร้างบารมีในเมืองมนุษย์นั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ อีกประการหนึ่ง ที่พึ่งของชาวพุทธก็ไม่ใช้เทพยดา หรือ เจ้าพ่อเจ้าแม่ที่ไหน แต่คือพระรัตนตรัย คุณโยมคงจะจำบทสวดมนต์ได้ บทสวดที่ว่า
นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง พุทโธ เม สะระณัง วะรัง - สรณะอื่นของข้าพเจ้าไม่มี พระพุทธเจ้าเป็นสรณะอันประเสริฐของข้าพเจ้า
นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง ธัมโม เม สะระณัง วะรัง - สรณะอื่นของข้าพเจ้าไม่มี พระธรรมเป็นสรณะอันประเสริฐของข้าพเจ้า
นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง สังโฆ เม สะระณัง วะรัง - สรณะอื่นของข้าพเจ้าไม่มี พระสงฆ์เป็นสรณะอันประเสริฐของข้าพเจ้า
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ วัฑเฒยยัง สัตถุสาสะเน - ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้ ข้าพเจ้าพึงเจริญในพระศาสนาของพระศาสดา
คุณโยมเห็นแล้วใช่ไหม พระพุทธองค์ ไม่ทรงสอนให้ยึดสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง นอกจากพระรัตนตรัยเท่านั้น แต่ชาวพุทธทุกวันนี้เขาไปยึดอะไรกันก็ไม่รู้ เลอะเลือนล่ามป้ามกันไปหมด จนหาข้อยุติไม่ได้
คุณโยมไม่ต้องไปกลัวว่า คอมมิวนิสต์ หรือศาสนาอื่นเขาจะมาทำลายพระพุทธศาสนาของเราหรอก ไม่ต้องกลัว ผู้ที่จะทำลายก็คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา นี่แหละ พระพุทธองค์เคยตรัสไว้ว่า ศาสนาจะตั้งอยู่ได้นาน ก็เพราะพุทธบริษัท ๔ และจะเสื่อมไปก็เพราะพุทธบริษัท ๔ เช่นกัน ก็ยังดีที่ในปัจจุบันนี้ไม่มีภิกษุณีแล้ว ผู้ที่จะทำลายจึงเหลือเพียงสามคือ ภิกษุ อุบาสก อุบาสิกา อาตมาเองพยายามอุทิศเวลาเพื่อพระศาสนา อุทิศทั้งเวลาและชีวิต จะพยายามทำหน้าที่อย่างดีที่สุด จนกว่าวาระสุดท้ายของชีวิตจะมาถึง อาตมาทำได้เพียงเท่านี้
ในที่สุด อาตมาขอสรุปสั้น ๆ ว่า เมื่อมีหลวงพ่อทวด ก็ต้องมีหลวงพ่อเทียบ หลวงพ่อเทียม มันเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปเสียแล้วสำหรับสมัยนี้ คนที่มีปัญญา เขาก็จะรู้เองว่า นี่เป็นหลวงพ่อเทียม ไม่ใช่หลวงพ่อทวด ส่วนคนเขลาเบาปัญญา ถึงคุณโยมจะไปบอกเขาว่า เป็นหลวงพ่อเทียม เขาก็ยังเชื่อว่าเป็นหลวงพ่อทวดอยู่นั่นเอง ก็ต้องปล่อยไปตามกรรมของเขา ขอให้คุณโยมวางใจเป็นอุเบกขาเถิด อาตมาขอเจริญพร..




เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ถวายเทียน ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ



ขอเชิญร่วมบุญเติมน้ำมันตะเกียง..เติมแสงสว่างให้กับชีวิตพิชิตความมืดในดวงจิต
๐๘๕๔๙๒๑๕๗๗


ขอเชิญร่วมทำบุญเป็นเจ้าภาพ "อ่างใส่น้ำ,ขันน้ำ,อ่างล้างมือ,โถปัสสาวะ" ห้องน้ำ
โทรศัพท์ 08-5037-0370


ขอเชิญร่วมสร้างพระมหาเจดีย์พระพุทธมหาลาภ
วัดแหลมหิน ต.ไม้เค็ด อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี
อยู่ตรงข้ามศูนย์ราชการจังหวัดปราจีนบุรี (หลังใหม่)

หมายเหตุ หากมีข้อสงสัยสามารถโพสสอบถามรายละเอียด หรือสอบถามได้ที่ทางเมล์ lek_ep10@yahoo.com




ขอเชิญร่วมทำบุญหล่อพระปัจเจกพุทธเจ้า หน้าตัก 4 ศอก
http://www.ponboon.com/board/index.php/ ... 012.0.html


เชิญร่วมกราบพระสังฆราช ประเทศภูฏาน และหล่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ วัดถ้ำพุหว้าจ.กาญจนบุรี
กำหนดการ
วันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน 2555


เรียนเชิญร่วมบุญ สร้างตู้กระจก องค์พุทธปฐม หน้าตัก4ศอก
โทรศัพท์ ๐๘๒ - ๑๑๙ –๖๗๑๖


ขอเชิญร่วมบุญ เพื่อสมบทสร้างปราสาทประดิษฐ์พระธาตุประจำวัดบางมูลนาก
โทร ๐๘๓-๙๕๑๕๗๕๖


บริจาคอิฐตัวหนอน 200 ก้อน ไม่รู้จะบริจาคที่ไหนดี อยู่ในกรุงเทพฯ เขตสะพานสูง ซึ่งจะเป็นการดีมากถ้ามีรถเข้ามารับของ ใจจริงเห็นประกาศอยู่เยอะมากแต่ไม่สะดวกขนไปไม่มีรถเลยจำเป็นต้องมาประกาศตรงนี้ ฝากด้วยนะ โทร. 081-8111-583 คุณณวัฒน์



6-7ก.ค.55 ผ้าป่าสามัคคีบูรณะซ่อม แซมสวนแสงธรรม ณ สวนแสงธรรม‏
ถนนพุทธมณฑลสาย ๓ กรุงเทพมหานคร หรือ ร่วมบุญโอนเข้าบัญชีออมทรัพย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาอุดรธานี เลขที่ 510-428305-5 ชื่อบัญชี "ผ้าป่าเพื่อสวนแสงธรรม"




ขอเชิญร่วมถวายผ้าป่าสามัคคี
อาศรมมรกต จ.เชียงราย http://www.อาศรมไผ่มรกต.com/



มูลนิธิบ้านอารีย์ขอเชิญร่วมเรียนอภิธรรมเบื้องต้น
0-22797838


แนวทางการทำระบบกรองน้ำใช้ กรณีน้ำในวัด ฯลฯ มีสารแขวนลอย ตะกอนต่างๆ ใช้วิธีทำกรองน้ำใช้แบบนี้ ช่วยได้ ตามลิงค์นี้ครับ
http://linkadded.blogspot.com/2011/12/blog-post.html


วัดอยู่อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ กำลังจะจัดพิมพ์หนังสือสวดมนต์ประจำวัด ขณะนี้ได้พิมพ์เป็น file word เรียบร้อยแล้ว
หนังสือมีทั้งหมด 300 หน้า รวมบทสวดภาษาบาลี (ที่เขียนเป็นคำไทยแล้วและคำแปล ซึ่งได้ตรวจทานจากต้นฉบับเดิมไปแล้ว 2 ครั้ง
แต่เกรงว่าจะมีความผิดพลาดในการพิมพ์ภาษาบาลี (ที่เขียนเป็นคำไทยแล้ว) และกำลังจะส่งโรงพิมพ์

จึงขอบอกบุญมายังท่านที่สามารถตรวจทานบทสวดมนต์ได้
ขอความกรุณาช่วยตรวจทานภาษาบาลี (ที่เขียนเป็นคำไทยแล้ว) ให้อีกครั้ง ก่อนส่งโรงพิมพ์



บอกบุญ หาเจ้าภาพตัดเเว่นตาให้เเก่พระภิกษุศักดิ์ชัย โชติปญฺโญ
0900022786


ร่วมสักการะบูชา พระพุทธศานติหยกเขียว @ Central World


ถวายภัตตาหาร ภิกษุ-สามเณร ร้อยกว่ารูป
โทร.090-6128077


ขอเชิญร่วมถวายเทียนพรรษา9วัด2555
08-5088-9150


ร่วมบูรณะพัทธสีมา วัดนางตะเคียน ตำบลคลองเขิน อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม
086-177-0878


ขอเชิญผู้มีจิตอันเป็นกุศลสร้างบุญด้วยการเป็นเจ้าภาพนมกล่อง ๆ ละ ๑๐ บาท เพื่อนำไปมอบให้กับทางโรงเรียนที่อยู่บนเขา ห่างไกลความเจริญ เพื่อแจกแก่นักเรียนชาวเขาที่ไม่ค่อยมีโอกาสได้ดื่มนมเสริมสร้างสุขภาพ ในวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ นี้ เพื่อเป็นการสร้างบุญทดแทนพระคุณแม่และยังได้เผื่อแผ่ถึงเด็กน้อยผู้ด้อยโอกาสด้วย
โทร. ๐๘๙-๘๕๒๓๔๙๘


ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพถวายค่าพาหนะ,ค่าภัตตาหารสามเณร เดือนละ ๒,๕๐๐ บาท
๐๘๓-๑๑๔๓๖๘๑


ขอเชิญร่วมทำบุญสร้างพระ(ทรงจักรพรรดิ์)
ร่วมทำบุญโดยการ โอนเงิน เข้า บัญชีออมทรัพย์ ธนาคาร ไทยพาณิชย์ สาขา ตลาดศาลายา เลขที่่บัญชี 402-741152-9



ขอความช่วยเหลือบริจาค ธูป เทียน ยากันยุง
ไม่เกินวันที่ 5 กรกฎาคมนี้ (วันที่อาจเปลี่ยนแปลง พระท่านจะแจ้งมาให้แน่นอนอีกครั้ง) โดยส่งสิ่งของไปที่
พระภาคภูมิ สุภัทโท สำนักสงฆ์ป่าช้าบ้านหนองสะโน บ้านหนองสะโน ต. วังยาง อ. วังยาง จ. นครพนม 48130



ขอเชิญร่วมบุญสมทบทุน
เพื่อสร้างมหากุศลอันยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งแห่งชีวิตอันเป็นมงคลสุด
ในการจัดสร้าง-เททอง-หล่อองพระประธาน (หลวงพ่อเพชร) ประจำอุโบสถวัดเจดีย์
และ
หล่อรูปเหมือนไอ้ไข่เด็กวัดเจดีย์ขนาดเท่าองค์จริงเพื่อสำหรับไว้สักการะประจำวัด
จัดสร้า่งโดย
พระอธิการอภิชิต พุทธฺสโร (อาจารย์แว่น) เจ้าอาวาสวัดเจดีย์ (ไอ้ไข่)
ม.๗ ต.ฉลอง อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช



ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพมอบทุนการศึกษาเด็กเรียนดี แต่ยากจน
ด้วยวันที่ 28-30 มิถุนายน 55
จึงประชาสัมพันธ์มาเพื่อขอเชิญผู้มีจิตศรัทธา และใจบุญ และอยากร่วมบุญกับกระผม ร่วมบริจาค ได้ที่ บัญชีธนาคาร กรุงไทย สาขาสวนใหญ่ (ท่าน้ำนนทบุรี) เลขบัญชี 145-0-07908-3 ชื่อบัญชี พระณรงค์เดช อธิมุตฺโต



ร่วมบริจาคทุนทรัพย์หรือสิ่งของให้เด็กกำพร้าได้นะที่วัดโบสถ์
มือถือ 086- 1345003


ร่วมเป็นเจ้าภาพแจกทุนการศึกษา วันแม่แก่เด็กเรียนดีแต่ยากจน
087-785-0509

ร่วมสร้างโรงพยาบาล สตภ ภูเพ็กกับ ลตสุริยา วัดป่าโสมนัส
โทร 080-7472194


มีน้องหมา แก่ๆ อ้วน มองไม่เห็น กำลังหาบ้าน ด่วนมาก
ใครสนใจอุปการะ ติดต่อ คุณหนึ่ง บริษัท โฮยาเลนซ์ (รังสิต ปทุม)
โทร 086-9966908


ขอความเมตตา หมาจรรถชน ไร้ค่ารักษา
โทร. 086-533-8552


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO