นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อาทิตย์ 12 พ.ค. 2024 5:50 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: เรื่องราว
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 23 มิ.ย. 2012 8:40 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4556
ส่งท่านพระครูแล้ว พันโทวิชญ์ก็กลับไปทำงาน เพราะลามาครึ่งวัน
ที่กุฏิ นายขุนทองกำลังนั่งคุยประจ๋อประแจ๋กับชายหญิงคู่หนึ่ง ครั้นเห็นหน้าชัดเจน จึงได้รู้ว่า คนคู่นั้นคือหลานชายและหลานสะใภ้ของท่านนั่นเอง
เมื่อคนทั้งสองก้มลงกราบท่านเรียบร้อยแล้ว นายจ่อยก็เอ่ยทักขึ้นว่า "หลวงน้าสบายดีหรือครับ เห็นเจ้าขุนทองมันว่าหลวงน้าตกกระไดขาหัก จริงหรือเปล่าครับ"
"เอ็งว่าจริงหรือเปล่าเล่า" ท่านย้อนถามคนเป็นหลาน
"ไม่รู้ซีครับ ก็เห็นหลวงน้าเดินปกติดีอยู่" นายจ่อยตอบ
"แต่ก็ปวดนะครับ หลวงพ่อท่านบอกผมว่า ท่านปวดเกือบตลอดเวลา แต่ที่พี่เห็นว่าปกติเพราะท่านใช้คาถา "พระโมคคัลลาน์ประสานกระดูก" นายสมชายบอกกล่าว หลังจากที่ได้ทักทายคนทั้งสองด้วยการ "ไหว้" แล้ว
"อ้อ ยังงั้นหรอกหรือ แล้วหลวงน้าไม่ไปหาหมอหรือครับ"
"ผู้พันจะพาไป แต่หลวงพ่อท่านไม่ยอม ท่านบอกว่า ต้องการจะชดใช้กรรม อีกเดือนเดียวก็จะหายเป็นปกติ" ศิษย์วัดตอบอีก นายจ่อยรู้สึกไม่พอในที่นายสมชายตอบคำถามแทนท่านพระครู เขาอุตส่าห์ลงท้ายด้วย "ครับ" ก็เพราะต้องการจะให้ท่านตอบ
"คุณรู้ได้ยังไงว่า อีกเดือนเดียวจะหาย" คราวนี้เขาถามชายหนุ่มและไม่มี "ครับ" ลงท้าย
"หลวงพ่อท่านบอก" คนตอบไม่ยอมลง "ครับ" เช่นกัน
"อ้าว โยมเขาไปไหนเสียล่ะ ท่านเจ้าของกุฏิถามหาอาจารย์ชิต เมื่อไม่เห็นเขาอยู่ ณ ที่นั้น
"ไปเดินจงกรมอยู่หน้าโบสถ์ฮ่ะ เขากระซิบบอกหนูว่ารู้สึกเกรงใจจมูกของพี่จ่อยกับพี่จุก" นายขุนทองเป็นคนตอบ
"แล้วเอ็งจัดการให้เขากินข้าวกินปลาหรือยัง"
"เรียบร้อยแล้วฮ่ะ พอเขาอิ่ม พี่จุกกับพี่จ่อยก็มาถึง เขาก็ไปหน้าโบสถ์"
"ลมอะไรหอบเอ็งสองคนมาล่ะ แล้วนี่กินข้าวกินปลาแล้วหรือยัง" ท่านถามสองสามีภรรยา
"ยังเลยจ้ะหลวงน้า ฉันก็รู้สึกหิวอยู่เหมือนกัน พี่จ่อย เราไปกินข้าวกันก่อนดีไหม" นางจุกชวนสามี ท่านพระครูจึงว่า
"พากันไปกินให้อิ่มท้องเสียก่อน เรื่องอื่นไว้ค่อยคุยกันทีหลัง จะค้างไหมเล่า"
"คงไม่ค้างหรอกหลวงน้า ผมจะเอารถมาให้หลวงน้าช่วยเจิม ผมออกรถใหม่แล้วครับ" คนเป็นหลานบอกอย่างภาคภูมิใจ
"ยังงั้นหรือ ไปรวยอะไรมาล่ะ"
"ผมไม่ได้รวยหรอกครับ เงินจุกเขา"
"เอ็งถูกรางวัลที่หนึ่งหรือไงจุก" ท่านสัพยอกคนเป็นหลานสะใภ้ หากหล่อนกลับยอมรับหน้าตาเฉยว่า
"จ้ะหลวงน้า เรื่องมันประหลาดมาก เดี๋ยวกินข้าวอิ่มแล้ว ฉันจะเล่าให้หลวงน้าฟัง ไปกันเถอะพี่จ่อย" คนทั้งสองลุกออกไปแล้ว ท่านพระครูจึงถามนายขุนทองว่า
"แล้วเอ็งล่ะ กินแล้วหรือยัง"
"เรียบร้อยแล้วฮ่ะหลวงลุง ตอนหนูไปเอามาให้อาจารย์เขา หนูก็อัดใส่ท้องตัวเองให้เต็มเสียก่อน" หลานชายตอบ
"การกินการอยู่ ใครไม่สู้พ่อ" นายสมชายเปรยขึ้น
"การพายการถ่อ พ่อไม่สู้ใคร" นายขุนทองต่อให้ แล้วอรรถาธิบายว่า "พ่อ" ในที่นี้หมายถึงพี่นะ เพราะพี่เป็นผู้ชาย ถ้าพี่จะว่าหนู ต้องใช้คำว่า "แม่" ถึงจะถูก"
"ขนาดนั้นเชียว" นายสมชายเย้า
"ใช่สิ ว่าแต่ว่าพี่ไม่หิวเหรอ น่าจะไปกินพร้อมกับพี่จ่อยกะพี่จุกเขา"
"ข้ายังอิ่มแปล้อยู่เลย อาหารบ้านงานเขาอร่อย ๆ ทั้งนั้น แล้วข้าก็หิวด้วย เลยว่าซะท้องกางไปเลย"
"เอาละ เป็นอันว่าเอ็งสองคนอิ่มหมีพีมันกันดีแล้ว ทีนี้ฟังข้า ตั้งใจฟังให้ดีนะ"
"ครับ"
"ฮ่ะ" คนทั้งสองรับปาก ท่านพระครูจึงว่า
"เอาละ ประเดี๋ยวข้าจะขึ้นข้างบน ถ้าสองคนนั่นมา ก็ให้ขึ้นไปคุยกับข้าข้างบน แล้วขุนทอง เอ็งไปตามโยมเขามาปฏิบัติข้างในนี้ ส่วนสมชาย เธอจัดการทำความสะอาดกุฏิชั้นบนให้เรียบร้อย จัดข้าวของเสียใหม่ ฉันคงจะอยู่แต่ข้างบนจนกว่าขาจะหายเป็นปกติ จะไม่ลงมาข้างล่าง ยกเว้นเวลาถ่ายหนักถ่ายเบา"
"แล้วเวลาสรงน้ำล่ะครับ"
"ฉันก็จะงด จะใช้เช็ดตัวแทน หรือไม่ก็สรงตอนลงมาถ่าย"
"งั้นก็เหม็นแย่ซิฮะหลวงลุง ไม่อาบน้ำตั้งเดือน อยู่ได้ไง"
"ก็ทน ๆ อยู่มันไปงั้นแหละ ทำยังไงได้ล่ะ ในเมื่อเกิดมาแล้ว หรือเอ็งจะให้ข้าทำยังไงก็ลองว่ามา" แม้จะปวดขา หากก็ยังมีแก่ใจยั่วเย้า
"หนูก็ว่าทนอยู่ไปนั่นแหละดีแล้วดีกว่าฆ่าตัวตาย จริงไหมพี่" คนมากวัยกว่า จึงย้อนว่า
"นี่ถ้าเป็นเอง คงฆ่าใช่ไหม ใช่ไหม"
"เรื่องอะไร กว่าจะได้เกิดเป็นคนนั้นแสนยาก จริงไหมฮะหลวงลุง" ท่านพระครูจึงตัดสินอย่างรำคาญ ๆ ว่า
"เอาเถอะ ๆ เลิกต่อล้อต่อเถียงกันได้แล้ว ฟังข้าพูดคนเดียวก็พอ เอ็งสองคนไม่ต้องพูด ห้ามพูดห้ามเถียง"
"แล้วหลวงพ่อจะออกบิณฑบาตไหมครับ" เมื่อท่านไม่ให้เถียง นายสมชายจึงเปลี่ยนเป็นถาม
"นี่สมชาย ถ้ามีเวลาก็ลองไปวัด ไอ. คิว. ดูเสียบ้าง รู้สึกว่า มันจะต่ำเกินพิกัดไปแล้วนะ"
"ครับ ถ้าผมมีเวลาจะทำตามที่หลวงพ่อแนะนำครับ" ศิษย์วัดตอบหน้าตาเฉย ท่านพระครูมิรู้ว่าจะยอกย้อนประการใด จึงนิ่งเสีย
"หลวงพ่อยังไม่ตอบคำถามของผมเลยครับ" ชายหนุ่มทวง
"เอาละ เมื่ออยากรู้ ฉันก็จะตอบ แต่ถ้าคน ไอ. คิว. สูงหน่อย เขาจะรู้เอง แล้วก็จะไม่ถามอย่างที่เธอถามมานี่หรอก" ท่านถือโอกาสเหน็บแนมก่อนตอบว่า
"ฉันจะไม่ออกบิณฑบาต เพราะแม้จะลงไปสรงน้ำ ฉันยังไม่ลง แล้วทำไมจะต้องไปเดินเป็นกิโล ๆ การทำเช่นนั้นเป็นการทรมานตัวเองมากเกินไป เข้าข่าย "อัตตกิลมถานุโยค" ที่พระพุทธองค์ทรงติเตียนว่าเป็นทางปฏิบัติที่สุดโต่ง ฉันเป็นศิษย์พระตถาคต จึงต้องดำเนินรอยตามพระพุทธองค์ เข้าใจหรือยัง"
"เข้าใจแล้วครับ เป็นอันว่า ผมจะไปนำอาหารจากโรงครัวมาถวายหลวงพ่อทุกเช้า ส่วนเรื่องหนักเรื่องเบา ผมว่าหลวงพ่อไม่ต้องลงมาก็ได้ ผมจะเป็นคนเทกระโถนเอง นะครับ"
"ขอบใจเธอมาก แต่ฉันคงจะไม่รบกวนเธอถึงขนาดนั้น เท่าที่มาคอยปรนนิบัติรับใช้ ก็ขอบใจเหลือเกินแล้ว"
"ไม่เป็นไรครับ ถึงคราวผมบ้าง หลวงพ่อจะได้ช่วย หลวงพ่ออย่าลืมสัญญานะครับ ปีหน้าฟ้าใหม่ หลวงพ่อบอกว่าผมจะได้แต่งงาน" คำบอกกล่าวนั้นกินความไปถึง "ค่าสินสอด-ทองหมั้น" ที่ท่านพระครูจะช่วยอนุเคราะห์
"ผมเห็นพี่จุกเขาถือถุงสีน้ำตาลมาด้วย สงสัยจะนำปัจจัยมาถวายหลวงพ่อ ยังไงก็อย่าลืมผมนะครับ" เขาเกริ่น
"หนูด้วยฮ่ะหลวงลุง แล้วหนูก็เป็นญาติกะพี่จ่อยเขาด้วย เพราะฉะนั้นก็ไม่ควรจะได้น้อยกว่าพี่สมชายเขา" คนทั้งสองต่างตั้งความหวัง
"เอ็งจะเอาเงินไปทำอะไร" ท่านถามคนเป็นหลาน
"ดัดผมแล้วก็ซื้อเสื้อ กระโปรง รองเท้าส้นสูง" นายขุนทองตอบด้วยใฝ่ฝันอยากได้มานาน
"น้อย ๆ หน่อย ถ้าเอ็งจะเอาไปซื้อสิ่งเหล่านี้ ข้าไม่ให้เอ็งหรอก ที่ให้มาอยู่ด้วย ก็เพื่อจะให้เอ็งเป็นผู้ชายเต็มตัว" ท่านพระครูว่า
"แต่หนูอยากเป็นผู้หญิงเต็มตัวมากกว่า" หลานชายทำกระเง้ากระงอด
"เจ้าขุนทอง" ท่านพระครูเรียกชื่อหลาน ด้วยเสียงหนัก ๆ
"ขา" หลานชายตัวดีขานรับเสียงใส
"นี่ข้าขอร้องเถอะนะ ข้ากำลังปวดขา อย่าให้ต้องมาปวดหัวอีกเลย เธออีกคน" ท่านหันไปเล่นงานนายสมชาย
"ร่วมมือกันทำให้ฉันปวดหัวดีนัก จะไปไหนก็ไปเถอะไป๊ ฉันไม่อยากเห็นหน้าพวกเธอ"
"ก็หลวงพ่อให้ผมทำความสะอาดกุฏิชั้นบน แล้วผมจะไปไหนได้ล่ะครับ" นายสมชายยังยั่ว
"หนูก็เหมือนกัน หลวงลุงให้คอยดูว่า ถ้าพี่สองคนเขามา ให้เขาขึ้นไปหาหลวงลุงข้างบน แล้วก็ให้ไปตามอาจารย์เขามาปฏิบัติข้างในนี้ แล้วหนูจะไปไหนได้ล่ะฮะ" ประโยคท้ายเขาเลียนแบบนายสมชาย
"งั้นก็ทำหน้าที่กันไป หยุดพูดได้แล้ว ข้าชักจะเวียนหัวเต็มแก่แล้ว ข้าจะขึ้นข้างบนละ" แล้วท่านจึงค่อย ๆ ลุกจากอาสนะ รู้สึกปวดที่ขาข้างขวาเป็นกำลัง นายสมชายกับนายขุนทองจะช่วยพยุง ท่านก็ว่า "ไม่ต้อง ข้าไปเองได้" แล้วท่านก็เดินขึ้นชั้นบนอย่างเชื่องช้า ในใจนั้นกำหนด "ปวดหนอ ปวดหนอ" เกือบตลอดเวลา
เรื่องที่ท่านพระครูตกบันไดขาหักแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว โดยนายขุนทองเป็นผู้กระจายข่าว พระสงฆ์องค์เณรตลอดจนอุบาสกอุบาสิกาที่อาศัยอยู่ในวัดป่ามะม่วง ต่างพากันห่วงใยท่าน
ครั้นทราบจากคนกระจายข่าวว่า ท่านยังคงปฏิบัติกิจนิมนต์ได้ พวกเขาก็โล่งใจและคอยหาโอกาสมากราบเยี่ยม เมื่อเห็นท่านกลับมา จึงพากันมาที่กุฏิ ด้วยความเป็นห่วงคนกระจ่ายข่าวจึงต้องขึ้นไปรายงานให้ท่านทราบ
"ลงไปบอกเขาว่า ข้าขอบใจที่เป็นห่วง ข้าไม่เป็นอะไรมาก แล้วก็ขอโทษที่ไม่ได้ลงไปให้พบ ครั้นจะให้มาพบข้างบน ก็ไม่มีที่จะให้นั่ง ขอให้ทำหน้าที่ของตัวเองไป ใครมีปัญหาอะไร ก็ให้ไปปรึกษาพระมหาบุญหรือพระบัวเฮียวก็ได้" ท่านเจ้าของกุฏิสั่งการ
"แล้วถ้าหลวงพี่สององค์นี้ท่านไม่สามารถแก้ปัญหาให้เขาได้ล่ะฮะ"
"ก็ให้เขารอถามข้า ถ้าไม่ด่วนมาก ก็บอกเขาว่าให้ข้าหายเสียก่อน แต่ถ้าเป็นเรื่องด่วน ข้าก็อนุญาตให้เขาขึ้นมาพบเป็นกรณีพิเศษ เข้าใจหรือยัง"
"เข้าใจแล้วฮะ"
"งั้นก็ลงไปบอกเขาได้แล้ว" หนุ่มวัยยี่สิบเอ็ดจึงลงมาแจ้งแก่ภิกษุสามเณร และอุบาสก อุบาสิกา ที่นั่งรออยู่เต็มกุฏิชั้นล่าง คนทั้งหมดรับทราบ และพากันกลับ ยกเว้นพระบัวเฮียวซึ่งลุกขึ้นไปจด ๆ จ้อง ๆ อยู่ที่ตู้พระไตรปิฎก ครั้นเห็นคนอื่น ๆ ไปกันหมดแล้ว จึงบอกนายขุนทองว่า
"อาตมามีเรื่องด่วน ช่วยไปบอกหลวงพ่อว่า อาตมาขอเข้าพบเป็นกรณีพิเศษ" นายขุนทองจึงต้องขึ้นไปรายงานอีกครั้ง
"ถ้าอย่างนั้น ก็ลงไปบอกให้ขึ้นมาได้" ท่านพระครูกล่าวอนุญาตประเดี๋ยวหนึ่ง ภิกษุวัยย่างยี่สิบเจ็ดก็เดินเข่าเข้ามากราบท่านสามครั้ง แล้วนั่งในที่อันสมควร ประนมมือกล่าวว่า
"พระเดชพระคุณหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง กระผมพระบัวเฮียวขอกราบขอบพระคุณที่ท่านอนุญาตให้เข้าพบเป็นกรณีพิเศษขอรับ" แล้วจึงเอามือลง ท่านพระครูนึกขำ ทั้งรู้สึกว่าความเจ็บปวดนั้นลดลงไปเกือบครึ่ง จึงถามยิ้ม ๆ ว่า
"ไม่ได้เจอกันหลายวัน เธอพูดเก่งขึ้นเยอะ ไปเรียนมาจากใครล่ะ"
"จากพระมหาบุญครึ่งหนึ่ง แล้วก็เรียนรู้ด้วยตนเองอีกครึ่งหนึ่งขอรับ" คนถูกชมยิ้มหน้าบานก่อนตอบ
"ดีมาก แสดงว่าเธอเป็นคนชอบขวนขวายหาความรู้ ทั้งจากผู้อื่นและค้นคว้าด้วยตนเอง เรียกว่าดีทั้งขึ้นทั้งล่อง" ท่านพระครูชมอีก คราวนี้ภิกษุหนุ่มยิ้มแก้มแทบปริ เพราะปีติยินดีในคำชมนั้น
"แต่ในด้านการปฏิบัติ รู้สึกว่าจะย่อหย่อนลงไปนะ มีอย่างที่ไหน พอฉันชม ก็ดีอกดีใจ ยิ้มแย้มแจ่มใสจนลืมกำหนด "ดีใจหนอ" แสดงว่า "จิตยังหวั่นไหวในโลกธรรม" ชมอยู่หยก ๆ ท่านก็เปลี่ยนเป็นติเสียแล้ว พระบัวเฮียวหุบยิ้มลงทันใด พร้อมต่อว่าต่อขานพระอุปัชฌาย์
"แหม หลวงพ่อ ผมเคยได้ยินคำพังเพยเขาว่า "ตบหัวแล้วลูบหลัง" แต่หลวงพ่อเล่นลูบหลังแล้วตบหัว จนผมตั้งตัวไม่ติด นึกแล้วเชียวว่าจะต้องมีอะไรผิดปกติ แล้วก็มีจริง ๆ" นายสมชายกำลังทำความสะอาดพื้น และจัดข้าวของอยู่ ได้ยินการสนทนามาตั้งแต่ต้น เลยอมยิ้มไปทำงานไป ชายหนุ่มนึกขำในใจ "ดูเอาเถอะ เราแซวหลวงพ่อ หลวงพ่อกลับไปแก้แค้นเอากับหลวงพี่ แล้วนี่หลวงพี่จะไปแก้แค้นใครต่อก็ไม่รู้" ชายหนุ่มเฝ้าพะวงสงสัย
"แล้วตอนนี้ตั้งตัวติดหรือยัง จะต้องใช้เวลาซักกี่นาที กี่ชั่วโมง" พระอุปัชฌาย์ยั่วอีก ตั้งแต่ตู้ว่าพระบัวเฮียวเคยเป็นน้องชายของท่านในอดีตชาติ ความรู้สึกอยากยั่วเย้าก็มีมากขึ้น ภิกษุหนุ่มไม่ตอบ หากตั้งจิตกำหนด "ตั้งตัวหนอ ตั้งตัวหนอ" สักครู่ก็รายงานว่า
"เอาละครับ ผมพร้อมแล้ว ขอกราบเรียนเชิญพระเดชพระคุณหลวงพ่อสอบอารมณ์ได้เลย" พระบัวเฮียวประชด ความจริงท่านมิได้มาเพื่อการนี้
"เรื่องสอบอารมณ์พักไว้ก่อน แต่ฉันอยากรู้ว่า เธอมีธุระอยากพบฉันเรื่องอะไร" คำถามของพระอุปัชฌาย์ ทำให้พระบัวเฮียวนึกขึ้นได้ จึงว่า
"แหม ผมมัวแต่พูดเรื่องอื่นเสียเพลิน เกือบลืมเรื่องสำคัญที่จะมาเรียนถาม คือผมอยากทราบว่า หลวงพ่อขาหักแล้วทำไมยังปฏิบัติกิจนิมนต์ได้ ผมเป็นห่วงมาก แล้วหลวงพ่อไปหาหมอหรือเปล่าครับ" ท่านพระครูจึงต้องเล่าเรื่องทั้งหมดให้ภิกษุหนุ่มฟังแล้วสรุปแบบยาว ๆ ว่า
"กรรมเก่าต้องใช้หนี้ทั้งนั้น แต่กรรมใหม่อย่าไปสร้าง กรรมที่ฉันพูดถึงนี่ หมายเฉพาะอกุศลกรรมเท่านั้นนะ คนที่สร้างกรรมไว้แล้ว เมื่อสำนึกได้ก็ต้องยอมรับใช้ ยอมรับผิด กรรมเก่านั้นไม่มีอะไรที่จะแก้ได้ เพราะมันทำไปแล้ว ผ่านไปแล้ว หน้าที่ของเราคือต้องชดใช้ ต้องใช้กรรมนะ"
"เราทำบุญเพื่อล้างบาปไม่ได้หรือครับ เช่นเราเคยทำบาปไว้ในอดีต ปัจจุบันเราก็ทำบุญลบล้าง" ภิกษุหนุ่มถาม
"อะไรกันบัวเฮียว นี่เธอบวชมาตั้งหลายเดือนแล้วนะ ทำไมถึงถามอะไรเปิ่น ๆ ยังงี้ ฉันก็นึกว่าเธอก้าวหน้าไปถึงไหน ๆ แล้ว ที่แท้ก็ยังเหมือนเดิม"
"เหมือนเดิมอย่างไรครับ" ผู้อ่อนวัยกว่าถามกลับ
"ก็ไม่ก้าวหน้าน่ะซี ยังอยู่กับที่ตามเดิม"
"แหม หลวงพ่อครับ การปฏิบัติธรรมให้ได้ผลนั้น มันต้องตั้งหลักให้ดี ๆ ที่ผมไม่ก้าวหน้าเพราะยังไม่มั่นใจน่ะครับ ขอเวลาตั้งหลักอีกหน่อยเถอะครับ ผมให้สัญญาว่า จะไม่ทำให้หลวงพ่อต้องเสียชื่อในฐานะที่เป็นพระอุปัชฌาย์ของผม"
"ตกลง ฉันจะยอมเชื่อเธออีกสักครั้ง อีกครั้งเดียวเท่านั้นนะ"
"ครับผม และเมื่อหลวงพ่อเชื่อผมแล้ว ก็โปรดตอบคำถามผมด้วยว่า เราทำบุญเพื่อล้างบาปได้หรือไม่"
"ดูเหมือนฉันจะเคยพูดเรื่องนี้กับเธอไปแล้วนะ แต่เอาเถอะ ไม่เป็นไร ฉันจะอธิบายซ้ำอีกก็ได้ว่า เราทำบุญล้างบาปไม่ได้ นี่เป็นกฎตายตัวเลยนะ บุญก็ไปตามบุญ บาปก็ไปตามบาป เหมือนน้ำกับน้ำมัน ย่อมเข้ากันไม่ได้ฉะนั้น"
"ถ้าอย่างนั้น ผมก็คงต้องชดใช้กรรมที่ฆ่าวัวฆ่าควาย ที่ผมมาปฏิบัติกรรมฐานนี่ ผมนึกว่าจะล้างบาปได้" พระภิกษุหนุ่มพูดเสียงเศร้า และรู้สึก "จิตตก" ขึ้นมาทันที
"อย่าให้จิตตก ตั้งสติไว้ ดูฉันเป็นตัวอย่าง ฉันก็กำลังใช้กรรมอยู่นี่ไง ฉันเคยบอกเธอแล้วใช่ไหมว่า กรรมของฉันนั้นหนักกว่าของเธอหลายเท่านัก ของเธอน่ะไม่ถึงกับตาย แต่ของฉันตายหยังเขียดเลยแหละ" ท่านตั้งใจจะให้คนฟังรู้สึกขำ หากพระบัวเฮียวก็ขำไม่ออก ท่านพระครูจึงปลอบอีกว่า "ไม่ดีหรือ เธอใช้กรรมให้หมด ๆ ไปเสียในชาตินี้ ดีกว่าไปใช้ในนรกอเวจี ถ้าเธอปฏิบัติกรรมฐานอย่างเคร่งครัด เธอจะไม่ต้องไปเกิดในอเวจีนรกอย่างแน่นอน ไฟนรกนั้นท่านว่าร้อนแรงกว่าไผในโลกมนุษย์หลายเท่านัก"
"หลวงพ่อไปเห็นมาหรือครับ"
"ฉันไม่ตอบดีกว่า เอาไว้ให้เธอรู้เอาเองจากการปฏิบัติ แต่ก็จะขอยกตัวอย่างให้ฟังนะ แล้วเธอไปเปรียบเทียบเอาเอง อยากฟังไหม"
"อยากครับ" พระหนุ่มตอบ นายสมชายเองก็เงี่ยหูฟังด้วยความสนใจ ท่านเจ้าของกุฏิจึงหยิบยกเรื่องราวของพระเถระรูปหนึ่ง มาเล่าว่า
"ในครั้งพุทธกาล พระโลมสนาคเถระ ท่านนั่งเจริญกรรมฐานอยู่ภายนอกที่จงกรม อากาศขณะนั้นร้อนอบอ้าวเพราะเป็นฤดูร้อน ท่านนั่งอยู่ ณ ที่ตรงนั้น จนเหงื่อไหลออกมาจากรักแร้ทั้งสองข้าง ก็ไม่ยอมลุกไปไหน พวกลูกศิษย์ได้มาอาราธนาให้ไปนั่งในที่ร่ม ซึ่งอากาศร้อนน้อยกว่า ท่านบอกลูกศิษย์ว่าที่ต้องนั่ง ณ ที่นั้น เพราะกลัวความร้อน แล้วนั่งพิจารณาอเวจีนรกอยู่ ท่านเคยตกนรกอเวจีมาแล้วหลายชาติ จึงเห็นว่า ความร้อนของแดดนั้นยังน้อยกว่าความร้อนของอเวจีนรก ซึ่งร้อนแรงกว่าหลายร้อยเท่า ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงไม่ลุกไปไหนและตั้งใจเจริญกรรมฐานต่อไป" พระบัวเฮียวฟังแล้วถึงกับขนลุก จนต้องกำหนด "ขนลุกหนอ" อยู่ชั่วครู่ แล้วจึงบอกพระอุปัชฌาย์ว่า
"หลวงพ่อครับ ถ้าผมระลึกชาติได้ ผมคงรู้ว่าตัวเองเคยตกนรกอเวจีมาแล้วเช่นกัน เพราะแค่ได้ยินชื่อก็ขนลุกเสียแล้ว หลวงพ่อช่วยตรวจสอบได้ไหมครับว่า ผมตกนรกอเวจีมากี่ครั้งแล้ว"
"เหลวไหลน่าบัวเฮียว เธอจะอยากรู้ไปทำไม อดีตเป็นสิ่งที่ผ่านไปแล้ว และจะไม่คืนกลับมาอีก ส่วนอนาคตก็ยังมาไม่ถึง ฉะนั้นเธอไม่ต้องไปพะวงทั้งอดีตและอนาคต ให้มีสติตั้งมั่นอยู่กับปัจจุบันเป็นพอ เข้าใจหรือยัง"
"เข้าใจแล้วครับ"
"เข้าใจแล้ว ก็ต้องทำให้ได้ ต้องทำให้ได้นะ"
"ครับผม" ภิกษุวัยย่างยี่สิบเจ็ดรับคำหนักแน่น
อิ่มข้าวแล้ว นายจ่อยกับภรรยาก็กลับมาที่กุฏิ เห็นอาจารย์ชิตกำลังนั่งสมาธิอยู่ จึงถามนายขุนทองด้วยเสียงที่ค่อนข้างเบาว่า "หลวงน้าจะลงมากี่โมง"
"ไม่ลงหรอกพี่จ่อย ขาท่านหัก ขึ้น ๆ ลง ๆ จะทำให้หายช้า"
"อ้าว ก็พี่บอกแล้วว่า จะเอารถมาเจิม ท่านน่าจะรอก่อน" นายจ่อยพูดอย่างผิดหวัง
"ขอขึ้นไปข้างบนได้ไหม ขุนทองช่วยไปบอกท่านว่า พี่ขออนุญาตขึ้นไปพบข้างบน นะน้องนะ" นางจุกปะเหลาะญาติสามี
"พี่จะเอาของในถุงนั่นไปถวายหลวงลุงหรือ" นายขุนทองถามด้วยคิดว่า สิ่งที่อยู่ในนั้นเป็นเงิน
"ถูกแล้ว พี่ตั้งใจมาถวายท่านเทียวแหละ" ภรรยานายจ่อยตอบ
"งั้นก็ขึ้นไปได้เลยพี่ ขึ้นไปเถอะหนูอนุญาต" หนุ่มวัยยี่สิบเอ็ดพูดเอาบุญเอาคุณ ด้วยได้โอกาส เขามั่นใจว่า จะต้องได้ส่วนแบ่งไม่มากก็น้อย..
เห็นพระบัวเฮียวนั่งคุยอยู่กับท่านพระครู นายจ่อยให้ดีใจยิ่งนัก กราบท่านสามครั้งแล้ว ชายหนุ่มจึงว่า
"ผมคิดถึงหลวงพี่เหลือเกิน นี่ก็ว่าเสร็จธุระแล้วจะแวะไปกราบเยี่ยม ดีใจจริง ๆ ที่ได้พบ"
"โยมจ่อยมาตั้งแต่เมื่อไหร่ โยมจุกล่ะ สบายดีหรือ หายไปหลายเดือนเลยนะ" พระหนุ่มทักทายสองสามีภรรยา
"หลวงพี่ดูอ้วนขึ้นนะจ๊ะ จวนสำเร็จหรือยังจ๊ะ"
"สำเร็จอะไรล่ะโยม"
"สำเร็จมรรคผลน่ะจ้ะ หลวงพี่จวนสำเร็จหรือยัง"
"ยังหรอกโยม ยังอีกไกลเชียวแหละ นี่ก็ถูกหลวงพ่อท่านตำหนิว่า ปฏิบัติไม่ก้าวหน้า" ท่านชิงบอกเสียก่อน ก็ยังดีกว่าให้ท่านพระครูเป็นผู้บอก เพราะจะทำให้ท่านต้อง "เสียหน้า" มากกว่านี้
"เธอจะน้อยอกน้อยใจไปใยนะบัวเฮียว ฉันติเพื่อก่อต่างหาก ฉันรู้ว่าเธอเป็นคนบ้ายอ ถ้าฉันชมเธอ เธอก็คิดว่าตัวเองเก่งแล้ว ดีแล้ว ก็เลยไม่ขวนขวายทำความเพียร จริงไหมล่ะ" ท่านเจ้าของกุฏิชี้แจง พระบัวเฮียวรู้สึกใจชื้นขึ้นเป็นกอง จึงถือโอกาสยั่วพระอุปัชฌาย์ว่า
"ผมเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าที่หลวงพ่อติผมเป็นเพียงอุบายเท่านั้นเองใช่ไหมครับ ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า หลวงพ่อเป็นบุคคลผู้มากด้วยอุบาย"
"เธอจะว่าฉันมากเล่ห์เพทุบายใช่ไหมล่ะ" ท่านเจ้าของกุฏิรู้เท่าทัน
"หามิได้ครับ ผมจะบังอาจว่าพระอุปัชฌาย์ยังงั้นได้ยังไง หลวงพ่อเห็นผมเป็นคนเนรคุณไปแล้วหรือครับ พระบัวเฮียวได้ชื่อว่า เนรคุณพระอุปัชฌายาจารย์หรือครับ"
"นี่หลวงน้ากะหลวงพี่จะโต้คารมกันอีกนานไหมครับ ถ้านานผมจะได้ขออนุญาตหลับรอ" นายจ่อยขัดขึ้น เมื่อเห็นว่าภิกษุสองรูปต่างก็มีคุณสมบัติ "ช่างเจรจา" ไม่ย่อหย่อนกว่ากัน
"พอหนังท้องตึง หนังตาก็หย่อนหรือไง เอ็งนี่ไม่ไหวเลยนะ แบบนี้เขาเรียกว่าคนขี้เกียจ ใช่ไหมจุก" ท่านพระครูหันมา "เล่นงาน" ลูกชายของพี่สาว
"พี่จ่อยเขาไม่ขี้เกียจหรอกจ้ะหลวงน้า เขาขยันทำมาหากิน ใคร ๆ ก็ออกปากชมกันทั้งนั้น" นางจุกแก้ต่างให้สามี
"แสดงว่ามันเพิ่งจะขยันตอนมีเมีย สมัยที่อยู่กะข้า มันขี้เกียจยังกะอะไรดี" ท่านเจ้าของกุฏิไม่ยอมแพ้ เห็นหลานสะใภ้ไม่เข้าข้าง ท่านจึงถือโอกาสเล่าเรื่องในอดีตที่พาดพิงไปถึงหล่อนว่า
"คิดถึงตอนนั้นแล้วข้ายังนึกขำไม่หาย สองคนน้าหลานเทข้าวทิ้งน้ำทุกวัน เพราะรังเกียจขี้มูกเอ็ง เอ็งทำให้ข้าต้องผิดวินัยข้อไม่เคารพบิณฑบาต"
"ใช่ หลวงน้า เรื่องมันผ่านไปเป็นสิบปีแล้วยังจะขุดขึ้นมาเล่าอีก" นางจุกชักโมโหโกรธา พระบัวเฮียวได้โอกาสแก้แค้นจึงว่า
"นั่นสิโยม หลวงพ่อเพิ่งสอนอาตมาอยู่หยก ๆ ว่าไม่ให้พะวงถึงอดีตและอนาคต ให้อยู่กับปัจจุบันเท่านั้น ยังไม่ทันไรหลวงพ่อลืมซะแล้ว
"โอ้โฮ สนุกกันใหญ่ ช่วยกันตะลุมบอนฉันอยู่คนเดียว วันนี้วันอะไรนะ ฉันถึงได้ดวงตกขนาดนี้ ขาหักแล้วยังมาถูกคนเขารุมว่า" ท่านเจ้าของกุฏิโอดครวญ ใจจริงนั้นรู้สึกอบอุ่นที่คนใกล้ชิดทั้งในอดีตและปัจจุบันมาชุมนุมกันพร้อมหน้า
"วันพฤหัสบดี ขึ้นเจ็ดค่ำ เดือนสี่ ปีขาลครับ" นายสมชายหันไปอ่านปฏิทินที่แขวนอยู่ข้างฝา ท่านเจ้าของกุฏิหันไปมองลูกศิษย์ แล้วค้อนงาม ๆ หนึ่งวง นายจ่อยโวยวายว่า
"ต๊าย หลวงน้าค้อนก็เป็นด้วย นี่เพราะอยู่ใกล้เจ้าขุนทองใช่ไหมครับ" นายสมชายรีบสนับสนุนว่า
"นั่นซีครับพี่จ่อย หลวงพ่อพูดเสมอ ๆ ว่า นายขุนทองมาอยู่รับใช้ใกล้ชิดท่าน จะได้หายเป็นกระเทย ไป ๆ มา ๆ หลวงพ่อกลับจะมาเอาเยี่ยงอย่างเจ้าขุนทองเสียแล้ว"
"อะไร ๆ ใครเอาเยี่ยงอย่างใคร" นายขุนทองเข้ามาได้ยินพอดี เขาเลือกนั่งตรงหัวบันไดด้วยไม่มีที่จะนั่ง เพราะความคับแคบของห้อง
"ดีจริง ๆ มากันพร้อมหน้าพร้อมตาดีจริง เอาเลย พากันเล่นงานข้าเสียให้สมแค้น" ท่านพระครูประชด
"หลวงลุงกำลังถูกเล่นงานหรือฮะ"
"แน่ละซี เอ็งจะช่วยข้าหรือเปล่าล่ะ" ท่านหาพวก
"ช่วยซี้ ไม่ช่วยหลวงลุงแล้วหนูจะช่วยใครล่ะ" หลานชายว่า ครั้นมองไปที่ถุงกระดาษสีน้ำตาลซึ่งวางอยู่บนตักนางจุก จึงพูดใหม่ "หนูอยู่ฝ่ายพี่จุกดีกว่า เพราะเป็นผู้หญิงเหมือนกัน พี่จุกอยู่ฝ่ายไหน หนูก็อยู่ฝ่ายนั้น"
"อ้าว ไหงเปลี่ยนใจเร็วนักล่ะ ว่าแต่ว่าที่ขึ้นมานี่มีธุระอะไรกับข้าหรือเปล่า" ท่านพระครูถาม
"ไม่มีหรอกฮ่ะ หนูนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในห้อง รู้สึกเซ็ง เลยลองขึ้นมาฟังดูซิว่าคุยเรื่องอะไรกันบ้าง และที่สำคัญคือ อยากจะรู้ว่าพี่จุกทำยังไงถึงได้ถูกรางวัลที่หนึ่ง"
"โยมจุกถูกรางวัลที่หนึ่งหรือ" พระบัวเฮียวถาม
"จ้ะหลวงพี่ เรื่องมันประหลาดมาก ฉันว่าจะมาเล่าให้หลวงน้าฟัง" นางจุกตอบ ท่านพระครูจึงว่า
"งั้นเล่าได้เลย อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาแล้วนี่ หรือว่าจะไปตามโยมเขามาฟังอีกคน" ท่านหมายถึงอาจารย์ชิต
"อย่าเลยจ้ะหลวงน้า ตัวแกเหม็นยังไงก็ไม่รู้ เหมือนกลิ่นหนูตาย ฉันคงทนไม่ได้ ยิ่งห้องแคบ ๆ ยังงี้ ฉันคงเป็นลมเสียก่อนที่จะเล่าจบ" ภรรยานายจ่อยว่า
"หลวงลุงค่อยเล่าให้เขาฟังทีหลังก็ได้นี่ฮะ" นายขุนทองตัดสิน เขาเองแม้จะชินกับกลิ่นนั้น แต่หากเลี่ยงได้ ก็อยากจะเลี่ยง
"ตกลง เมื่อจะเอายังงั้นก็ตกลง เอาละ เอ็งเล่าไปเลยจุก"
"เรื่องมันประหลาดมากจ๊ะหลวงน้า" นางจุกอารัมภบท
"นี่เอ็งพูดยังงี้สามครั้งแล้วนะ" ท่านพระครูขัดขึ้น
"พูดยังไงจ๊ะ" นางจุกชักงง
"ก็พูดว่า "เรื่องมันประหลาดมาก" น่ะซี
"โธ่ หลวงน้า ก็มันประหลาดจริง ๆ นี่นา" หล่อนเถียง
"งั้นก็เล่าไปเลย เล่าไปเสียก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนใจ"
"เปลี่ยนใจเรื่องอะไรหรือหลวงน้า"
"ก็เปลี่ยนใจไม่ฟังเอ็งเล่าไงล่ะ" ท่านเล่นตัว
"งั้นฉันก็เปลี่ยนใจไม่เล่า" หล่อนถือโอกาสเล่นตัวบ้าง นายขุนทองต้องคะยั้นคะยอว่า
"เล่าเถอะฮ่ะพี่จุก หนูอยากฟัง ใครไม่อยากฟังก็เอามืออุดหูไว้" เขาประชดผู้เป็นลุง
"อาตมาขอฟังด้วยคน" พระบัวเฮียว "เว้าซื่อ ๆ"
"ผมด้วยครับ" นายสมชายพูดบ้าง
"ข้าในฐานะเจ้าของห้อง ถึงจะไม่อยากฟังก็ต้องฟัง" ท่านเจ้าของกุฏิพูดเลี่ยงไปอีกทางหนึ่ง
"ถ้างั้นเราลงไปเล่ากันข้างล่างดีไหม" นายจ่อยชวน
"อย่าเลย ฉันเหม็นลุงคนนั้น" คนเป็นเมียว่า
"พวกเอ็งเป็นอะไรกันไปแล้วนี่ พูดจาเลอะเลือนล่ามป้ามกันอยู่ได้ เอาละ ๆ จะเล่าก็เล่าไป อย่ามัวโอ้เอ้" ท่านพระครูตัดบทอย่างรำคาญ นางจุกจึงตั้งต้นเล่า
"เรื่องมันประหลาดมากจ้ะหลวงน้า"
"รู้แล้ว ๆ เอ็งพูดยังงี้มาสี่หนแล้ว" ท่านพระครูขัดขึ้น
"เอาอีกแล้วหลวงน้าขัดคอฉันอีกแล้ว เป็นยังงี้ทุกที แล้วก็มาหาว่า พวกฉันพูดจาเลอะเลือนล่ามป้าม" นางจุกต่อว่าและได้รับเสียงสนับสนุนจากผู้ที่นั่งอยู่ ณ ที่นั้นทุกคน ยกเว้นพระบัวเฮียว ผู้ซึ่งเพิ่งจะรู้สึกสงสารพระอุปัชฌายาจารย์
"เอาเถอะ ๆ ทีนี้ข้าไม่ขัดคอเอ็งแล้ว เล่าต่อไปซิว่ามันประหลาดยังไง"
"เรื่องมันประหลาดมากจ้ะหลวงน้า" หล่อนพูดประโยคเดิมอีก คราวนี้คนฟังต่างพากันเห็นคล้อยตามท่านพระครู ว่าคนเล่าพูดจาซ้ำ ๆ ซาก ๆ น่ารำคาญ แล้วก็น่าขัดคอจริง ๆ นั่นแหละ ครั้นไม่มีผู้ใดขัดคอ คนเล่าจึงพูดต่อ
"เมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง ขณะที่ฉันนั่งเย็บเสื้อโหลส่งเขาอยู่ในร้านของฉัน ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับร้านขายกาแฟ ฉันก็เห็นตัวเงินตัวทองคลานมาที่หน้าร้านกาแฟ..."
"เป็นยังไง ตัวเงินตัวทองที่ว่าน่ะ" นายสมชายถาม นายจ่อยจึงอธิบายแทนคนเป็นเมียว่า
"ตัวคล้าย ๆ กิ้งก่า แต่ใหญ่กว่าหลายสิบเท่า ดูเผิน ๆ คล้ายน้องจระเข้ จะเรียกว่าพี่กิ้งก่าหรือน้องจระเข้ก็ได้"
"อ๋อ ตัวเหี้ย" นายขุนทองโพล่งออกมา นางจุกจึงว่า
"ถูกแล้ว แต่พ่อแม่ปู่ย่าตายายฉันสอนไว้ว่า ให้เรียก "ตัวเงินตัวทอง" ทีนี้คนขายแกแฟนั่นก็ไล่ใหญ่ ตาผัวก็ไล่ ยายเมียก็ไล่เสียง "ไป๊ ไอ้ตัวเหี้ย ไปให้พ้น" ตัวเงินตัวทองเขาก็ไม่ไป แล้วยังคลานเข้าไปในร้าน เสียงเมียร้องว่า "ตายแล้ว ซวยตายเลยกู ตัวเหี้ยเข้ามาในร้าน" ส่วนผัวก็เอาน้ำร้อนในหม้อที่ใช้สำหรับชงกาแฟขาย ราดลงบนตัวเขา เขาคงร้อนเลยวิ่งหนีมาเข้าร้านฉัน ฉันกลัวก็กลัว เขามาชะเง้ออยู่ตัวหน้าฉัน ฉันก็ปลดสายสร้อยหนักสองสลึงโยนใส่เขา ปากก็ว่า "เงินไหลนองทองไหลมา" พร่ำอยู่อย่างนี้ ยกมือไหว้เขาด้วย เขาก็ยังไม่ไป ฉันก็มีเงินอยู่ห้าบาท เป็นแบงค์ ๔ ใบ เหรียญห้าสิบสตางค์ ๒ เหรียญ ฉันก็โยนใส่เขาและว่า "เงินไหลนอง ทองไหลมา" เขาก็ผงกหัวแล้วแลบลิ้นออกมา
สักครู่ก็คลานไปที่หลังร้าน ฉันก็มองตาม ก่อนออกไป เขายังเอี้ยวตัวมาดูฉัน แลบลิ้นแผล็บ ๆ แล้วก็ไป สักพักนึงก็มียายซิ้มเอาล็อตเตอรี่มาขายให้ แกบอกเหลือใบเดียว ช่วยซื้อแกหน่อย ฉันก็บอกมีเงินอยู่แค่ ๕ บาท ถ้าจะช่วยซื้อได้เสี้ยวเดียว แกบอกเอาไว้ทั้งใบแล้วกัน แกก็ยัดเยียดให้ฉันจนได้ ฉันก็เลยต้องเป็นหนี้แกอีกห้าบาท ปกติฉันไม่เคยเล่นหวยนะหลวงน้า ไม่เคยซื้อแกเลย เพราะหลวงน้าเคยสอนว่ามันเป็นการพนัน เป็นสิ่งไม่ดี แต่วันนั้นยายซิ้มแกมายัดเยียด ฉันสงสารแกเลยซื้อไว้ โดยไม่ได้คิดไม่ได้หวังอะไร แล้วฉันก็ไม่รู้ด้วยว่าฉันถูก ยายซิ้มแกเป็นคนมาบอก พี่จ่อยเขาก็เลยเอไปซื้อรถโดยสารมาขับรับคน เขาเคยรับจ้างขับรถอยู่กับเถ้าแก่ ทีนี้เลยมีรถของเราเอง เรื่องมันประหลาดมาก ใช่ไหมจ๊ะหลวงน้า" หล่อนพูดประโยคเดิมอีก
"เออ มันก็ประหลาดเหมือนกันแต่ไม่มาก เป็นเรื่องของกฎแห่งกรรมนั่นแหละ แล้วสองผัวเมียที่ขายกาแฟเป็นยังไงบ้าง" ท่านถามด้วยต้องการตรวจสอบ "ทฤษฎี" ของท่าน
"ก็แปลกอีกนั่นแหละหลวงน้า ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เขาก็ขายไม่ค่อยดี แถมทะเลาะเบาะแว้งกันทุกวัน ในที่สุดก็เลิกกัน ผัวไปทาง เมียไปทาง" ภรรยานายจ่อยเล่า
"นั่นไง ตรงกับทฤษฎีของข้าทุกประการเลย เห็นไหม นี่ กรรม สองผัวเมียได้รับกรรมทันตาเห็น เขาทำอกุศลกรรม ก็เลยต้องมีอันเป็นไป ทำครบสามเลย กาย วาจา ใจ กายก็คือเอาน้ำร้อนไปราดเขา วาจาก็ไปด่าเขา ใจก็โหดร้ายต่อเขา ส่วนเอ็งก็ครบสามเหมือนกัน แต่เป็นกุศลกรรม เอ็งก็เลยถูกล็อตเตอรี่ แต่ถ้าจะดูให้ลึกซึ้งลงไปกว่านั้น ข้าก็เห็นว่า เพราะเอ็งทำบุญมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย เอ็งใส่บาตรทุกวัน ถึงจะขี้มูกย้อยลงไปในบาตร แต่ก็ชื่อว่าเอ็งได้ทำบุญ" ท่านพูดถึงอดีตหลานสะใภ้
"เอาอีกแล้ว หลวงน้าเอาเรื่องขี้มูกฉันมาประจานอีกแล้ว เมื่อไหร่จะลืม ๆ เสียทีก็ไม่รู้" หล่อนบ่น
"เถอะน่า พอข้าตายข้าก็ลืมเองแหละ" ท่านพระครูว่า
"งั้นฉันคงถูกหลวงน้าประจานไปอีกหลายสิบปี เผลอ ๆ ฉันอาจจะตายก่อนก็ได้"
"ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ยังไง ๆ เอ็งก็ไม่มีวันที่จะตายก่อนข้า เอ็งเกิดทีหลังก็ต้องตายทีหลังสิ"
"มันก็ไม่แน่เสมอไปหรอกหลวงน้า มีออกถมเถไปที่พ่อแม่ไปงานเผาศพลูก" หล่อนว่า ท่านพระครูเห็นสมควรแก่เวลาที่จะบอกความลับเรื่องการมรณภาพของท่านให้ผู้เป็นหลานทราบ จึงออกอุบายว่า
"ขุนทอง เอ็งขึ้นมานานแล้ว ลงไปดูโยมเขาซิ เผื่อขาดเผื่อเหลืออะไรจะได้หามาให้เขา" นายขุนทองกราบสามครั้ง แล้วลุกออกไป หลานชายออกไปแล้ว ท่านจึงพูดกับนายจ่อยและภรรยาว่า
"ข้ามีความลับจะบอกเอ็งสองคน แต่ยังไม่อยากให้เจ้าขุนทองมันรู้ เดี๋ยวก็จะไปบอกคนหมดวัด ยิ่งปากสว่างอยู่ด้วย"
"หลวงน้ามีอะไรจะบอกผมกับจุกหรือครับ"
"มีสิ ฟังให้ดีนะ เอ็งสองคนไม่ค่อยจะมาให้ข้าเห็นหน้าเห็นตา ยิ่งมีรถใหม่ ก็จะไม่มีเวลามา ข้อนั้นข้าไม่ว่าหรอก เพราะเอ็งต้องทำมาหากิน แต่จำไว้นะ วันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๒๑ ให้มาหาข้าหน่อย"
"มาตอนไหนครับ เช้าหรือบ่าย"
"ถ้าอยากเห็นข้าตอนเป็นก็มาแต่เช้า แต่ถ้าอยากเห็นตอนตายแล้วจะมาตอนบ่ายก็ได้"
"หมายความว่าอย่างไรจ๊ะหลวงน้า" นางจุกถาม
"ก็หมายความว่า วันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๒๑ ข้าจะได้รับอุบัติเหตุรถคว่ำคอหัก เวลาเที่ยงสี่สิบห้า"
"จริงหรือครับ" นายจ่อยถาม
"จริงหรือไม่จริง พอถึงวันนั้น เอ็งอย่าลืมมาก็แล้วกัน" เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงตอบด้วยสีหน้าปกติ
"แต่ผมว่าหลวงพ่อต้องไม่ตาย เอ๊ย ไม่มรณภาพครับ ผมมั่นใจว่า หลวงพ่อจะต้องไม่เป็นเช่นนั้น" พระบัวเฮียวขัดขึ้นด้วยความรู้สึกแสนรันทด แสนเสียดาย ผู้มีเมตตาธรรมสูงส่งเช่นนี้จะหาได้ที่ไหนอีก
"มันเป็นกฎแห่งกรรมนะบัวเฮียว ใครเลยจะฝืนได้"
"แต่ ผมไม่อยากให้หลวงพ่อมรณภาพนี่ครับ" พระหนุ่มแย้ง
"จะอยากหรือไม่อยาก ฉันก็ต้องตาย เอาเถอะ แล้วคอยดูกันไปว่าจะจริงอย่างที่เขาเตือนมาหรือเปล่า"
"เขาน่ะใครครับ" นายจ่อยถาม
"เจ้ากรรมนายเวรน่ะซี เอาละ เลิกพูดเรื่องนี้กันได้แล้ว ขอให้เอ็งจำไว้อย่างเดียวว่าข้าจะต้องตายในวันนั้น" นางจุกร้องไห้กระซิก ๆ ข้างฝ่ายนายจ่อยก็ตาแดงก่ำ ท่านเจ้าของกุฏิจึงว่า
"เอ็งสองคนไม่ต้องมาแสดงความโศกเศร้าล่วงหน้าไว้ก่อนหรอก อีกตั้งสี่ปีข้าถึงจะตาย"
"หลวงน้าไม่ตายไม่ได้หรือจ๊ะ" นางจุกอ้อนวอน
"ฟังเมียเอ็งพูดนะเจ้าจ่อย ฟังเอาไว้" ท่านบอกหลานชาย
"ครับ ผมกำลังฟังอยู่ แล้วก็อยากจะพูดแบบเดียวกับเขา หลวงน้าไม่ตายไม่ได้หรือครับ"
"เอ็งสองคนนี่พอกันเลย ไอ.คิว. พอกัน อย่างนี้นี่เอง ถึงอยู่ด้วยกันได้"
"ไอ.คิว. คืออะไรครับหลวงน้า" หลานชายถาม
"คือภูมิปัญญา เอ็งกับเมียเอ็งมีภูมิปัญญาเสมอกัน ไม่มีใครสูงกว่าใคร" ท่านพระครูอธิบายแกมประชด
"แล้วดีไหมครับ" นายจ่อยถามอีก
"ดี แต่ดีสำหรับเองนะ ไม่ใช่สำหรับข้า"
"งั้นก็ดีไม่จริงน่ะซีครับหลวงน้า เพราะถ้าดีจริงจะต้องดีสำหรับทุกคน ไม่ใช่เฉพาะคนใดคนหนึ่ง" นายจ่อยพูดเหมือนนักปรัชญา ทั้งที่ไม่เคยเรียนปรัชญา
"คิดเอาเอง" ท่านเจ้าของกุฏิตอบด้วยคร้านที่จะต่อนัดต่อแนงด้วย
"ผมคงไม่คิดแล้วละครับ ชักปวดหัวแล้ว ว่าแต่ว่าหลวงน้าจะลงไปเจิมรถให้ผมได้ไหมครับ" เขาพูด "ธุระ"
"อย่าเลยครับพี่จ่อย หลวงพ่อท่านตั้งใจว่าจะไม่ลงไปไหน จนกว่าขาท่านจะหายเป็นปกติ หลวงพ่อเสกแป้ง แล้วให้หลวงพี่เป็นคนไปเจิมก็ได้นี่ครับ" ศิษย์วัดแนะนำด้วยความเป็นห่วงท่านพระครู
"ดีเหมือนกัน เพราะสองย่อมดีกว่าหนึ่ง หลวงพ่อก็ขลัง หลวงพี่ก็ขลัง ก็เป็นขลังกำลังสอง" นายจ่อยว่า
"ถ้าเอ็งอยากจะให้ขลังกำลังสามเอ็งก็ต้องอยู่ในศีลในธรรม หากินด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และหมั่นปฏิบัติกรรมฐาน" เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วง "อบรม" ลูกชายของพี่สาว
"ครับ" คนเป็นหลานรับคำ นายสมชายจัดการหาวัสดุอุปกรณ์มาให้ มีขันจอกทำด้วยทองเหลือง ดินสอพอง และน้ำมันจันทน์ ท่านพระครูหยิบดินสอพองใส่ลงในขันจอก ใช้นิ้วบดจนเป็นผง แล้วเทน้ำมันจันทน์ลงไป ผสมเสร็จแล้วจึง "เสก" ด้วยคาถามหานิยม
"เอาละ เรียบร้อยแล้ว อย่าลืมนะ คาถาจะศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นอยู่กับพลังจิตของผู้ใช้ อันที่จริงข้าไม่อยากยุ่งกับเรื่องเสกเรื่องเป่านักหรอก แต่ในเมื่อเอ็งมาขอให้ทำก็ไม่อยากขัดใจ เพราะอะไร ๆ ก็สู้กรรมฐานไม่ได้ เอาละ พระบัวเฮียวช่วยไปเจิมให้เขาหน่อย" นายจ่อยถือขันจอกบรรจุแป้งเสกลงบันไดไป ตามด้วยพระบัวเฮียวและนางจุก ครู่ใหญ่ ๆ ภิกษุรูปหนึ่งกับฆราวาสสองคนก็ขึ้นมา นายขุนทองถือโอกาสตามขึ้นมาด้วย
"เสร็จธุระแล้ว ผมเห็นจะต้องกราบลา" นายจ่อยเอ่ย อดใจหายไม่ได้ เมื่อคิดไปว่าอีกสี่ปีเขาจะไม่มี "หลวงน้า" อีกแล้ว
"หลวงน้าจ๊ะ ฉันมีของมาถวายจ้ะ" นางจุกพูด พร้อมกับหยิบถุงกระดาษสีน้ำตาลส่งให้สามี
"พี่จ่อยช่วยประเคนแทนฉันด้วย" นายจ่อยจึงประเคนสิ่งนั้นให้ท่านพระครู
"อะไรของเอ็งล่ะ"
"หลวงน้าเปิดดูเองก็แล้วกัน" หล่อนว่า นายสมชายกับนายขุนทองจ้องเขม็ง ขณะที่ท่านเจ้าของกุฏิหยิบสิ่งนั้นออกมาจากถุง เป็นรองเท้าหนังสีน้ำตาลหนึ่งคู่!
"เอ็งถูกรางวัลที่หนึ่งตั้งห้าแสน ซื้อรองเท้าแตะมาให้ข้าคู่เดียวเองหรือจุก" ท่านสัพยอกหลานสะใภ้ด้วยความรู้สึก "ซาบซึ้ง" ในความตระหนี่ถี่เหนียวของหล่อน
"คู่เดียวก็ตั้งแปดสิบบาทนะหลวงน้า แพงกว่าของฉันตั้งสิบเท่า ฉันใช้คู่ละแปดบาทเอง" คนขี้เหนียวว่า
"ของผมก็คู่ละแปดบาทเหมือนกันครับหลวงน้า" นายจ่อยเข้าข้างภรรยา
"เอาเถอะ ๆ ข้าไม่ว่าอะไร จะกลับก็กลับได้แล้ว ข้าจะได้พักผ่อน" สองสามีภรรยาจึงกราบท่านสามครั้ง แล้วลุกออกมา นายสมชายกับนายขุนทองรู้สึกผิดหวังจนไม่มีเรี่ยวแรงที่จะลุกออกไปส่ง
"เอาซี เอาไปแบ่งกันคนละครึ่ง" ท่านพระครูพูดพลางส่งถุงกระดาษสีน้ำตาลให้นายสมชาย
"โธ่ หลวงพ่อ ใครเขาจะใส่รองเท้าข้างเดียว" ศิษย์วัดว่า
"หนูก็ไม่เอา นั่นมันรองเท้าสำหรับผู้ชาย หนูอยากได้รองเท้าส้นสูง" นายขุนทองว่า
"งั้นก็ถวายพระบัวเฮียวก็แล้วกัน" ท่านพระครูตัดสิน
"อย่าเลยครับหลวงพ่อ โยมจุกเขาตั้งใจถวายหลวงพ่อ" พระบัวเฮียวปฏิเสธ
"ก็ในเมื่อเขาให้ฉัน ก็เป็นของฉัน แล้วฉันจะให้ใครมันก็เป็นสิทธิ์ของฉันใช่ไหมล่ะ"
"ใช่ครับ"
"งั้นฉันให้เธอ รองเท้าฉันยังดีอยู่ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ของใหม่" ผู้พูดถือสันโดษ
"แต่คู่นี้ราคาตั้งแปดสิบนะครับ คู่ของหลวงพ่อแค่สามสิบเท่านั้น" นายสมชายแย้ง ที่จำได้เพราะเขาเป็นคนไปซื้อ
"ก็เพราะมันแพงน่ะซี แล้วฉันก็คิดว่าของแพงคงจะเป็นของดี เมื่อจะให้อะไรใครก็ต้องให้แต่ของดี ๆ ดังนั้นฉันจึงให้เธอไงล่ะบัวเฮียว" ประโยคหลัง ท่านพูดกับภิกษุหนุ่ม
"แล้วคนให้เขาจะได้บุญหรือครับ เขาตั้งใจให้หลวงพ่อ แต่หลวงพ่อกลับมาให้ผม" พระบัวเฮียวพูดเพราะจิตของท่านไม่ถูกครอบงำด้วย "โลภะ"
"ได้สิ ได้สองต่อเลยแหละ สมมุติว่าเขาให้ฉัน เข้าได้บุญห้าสิบ ฉันเอาให้เธอ ฉันก็ได้บุญห้าสิบ คนให้คนแรกได้บุญสองต่อ เขาได้บุญร้อยนะ ฉันได้ห้าสิบ เขาได้ร้อย"
"งั้นถ้าผมเอาไปถวายพระมหาบุญ ผมก็จะได้บุญห้าสิบ หลวงพ่อก็ได้ร้อย โยมจุกก็ได้ร้อยห้าสิบใช่ไหมครับ"
"ก็คงจะเป็นยังงั้น แต่ฉันว่าเธอเก็บไว้เป็นที่ระลึกดีกว่า อีกสี่ปีฉันก็ไม่อยู่ให้เธอเห็นหน้าอีกแล้ว เวลาเธอใส่รองเท้าจะได้คิดถึงฉันไง"
"ครับ ถ้าเช่นนั้นผมจะเก็บไวอย่างดีที่สุด อีกสี่ปีค่อยเอาออกมาใช้" ภิกษุวัยยี่สิบหกตอบ แล้วกราบลาเพื่อกลับไปปฏิบัติกรรมฐานยังกุฏิ...





เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ถวายเทียน ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO