นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อาทิตย์ 12 พ.ค. 2024 10:15 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: เรื่องราว
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 21 มิ.ย. 2012 8:23 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4556
หากเป็นปุถุชนคนทั่วไป คงจะรู้สึกเหนื่อยหน่ายและหงุดหงิดรำคาญใจที่ต้องถูกรบกวนครั้งแล้วครั้งเล่า จนแทบจะหาเวลาเป็นของตัวเองไม่ได้
แต่สำหรับท่านพระครูผู้เปี่ยมด้วยเมตตาธรรมรูปนี้ ความรู้สึกดังกล่าวไม่เคยบังเกิดขึ้น เพราะท่านยึดหลักว่าการสงเคราะห์ญาติโยมเป็นหน้าที่โดยตรงของท่าน ซึ่งแม้จะเหนื่อยยากสักปานใดก็ไม่คิดทดถอย ดังนั้นเมื่อนายสมชายบอกกล่าวเรื่องที่แม่ชีเจียนมารายงาน ท่านจึงออกคำสั่งว่า "ไปตามตัวมา บอกฉันให้มาพบที่กุฏิโดยด่วน" ครั้นนึกถึงภาพที่ศิษย์หนุ่มจ้องอกสาวเมื่อตอนสายจึงสั่งอีกว่า "ปลุกเจ้าขุนทองไปเป็นเพื่อนด้วย"
"ไม่ต้องหรอกครับ ผมไปคนเดียวดีกว่า ขี้เกียจฟังมันบ่นในยามวิกาล" เขาว่า เพราะเคยรู้ฤทธิ์กันมาแล้ว
"งันก็ชวนแม่ชีไปด้วยสองคน จะได้ไม่น่าเกลียด"
"ครับ" ชายหนุ่มรับคำแล้วลงมาบอกให้แม่ชีเจียนทราบ
"งั้นฉันจะเดินไปเป็นเพื่อนอีกคน" แม่ชีพูดพลางหันไปมองอาจารย์ชิต แม้ฝ่ายนั้นจะกำลังนั่งสมาธิอยู่ หากก็คงไม่เหมาะถ้าเธอจะนั่ง ณ ที่นั้นโดยไม่มีคนที่สามอยู่ด้วย
เมื่อคนทั้งสี่เดินไปถึงสำนักชี ก็ได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญสลับกับเสียงก่นด่า เสียงสาปแช่งที่ออกมาจากปากของนางสาวส้มป่อย
"ได้ยินไหม เห็นฤทธิ์แม่เจ้าประคุณหรือยัง ฉันเอาไม่ไหวจริง ๆ ถึงต้องไปเรียนให้หลวงพ่อท่านทราบ ทั้งที่แสนที่จะเกรงใจ" แม่ชีเจียนว่านายสมชาย ทั้งขำทั้งนึกสมเพชเมื่อได้ยินได้ฟัง
"โอ๊ย ปวดโว้ย ปวดจะตายอยู่แล้ว โธ่เว้ย ไม่มีใครเห็นใจอีกส้มป่อยเลย แม่ชีโว้ย ไปตามหลวงพ่อมาหน่อย ฮือ ๆ โธ่เอ๋ย กูนะกู เกิดมาอาภัพ ฮือ ๆ พ่อแม่พี่น้องก็พากันหายหัวไปหมด...ฮือ ๆ อีแม่ ..อีแม่นั่นแหละทำกรรมให้กู เสือกใช้ให้กูเอาลูกหมาไปปล่อย กูก็เลยต้องมาเป็นอย่างนี้ ฮือ ๆ อีแม่เฮงซวย แม่หมา ๆ ยังงี้ก็มีด้วย..." หล่อนก่นด่าแม่บังเกิดเกล้า
"ส้มป่อย หลวงพ่อให้มาตามไปพบด่วน" ชายหนุ่มบอก ได้ยินว่าท่านพระครูให้ไปพบ หญิงสาวก็ได้สติและหยุดร้องครวญคร่ำรำพัน
"จริงหรือ ไปเดี๋ยวนี้เลยหรือ" หล่อนถามด้วยหวังใจว่า การได้พบท่านจะทำให้ความเจ็บปวดที่กำลังได้รับอยู่นั้นบรรเทาลง
"เขาจะมาโกหกเอ็งทำไมกัน ไปรีบไปเดี๋ยวนี้แหละ เดินไหวหรือเปล่า หรือจะต้องให้หาม" แม่ชีเจียนพูดอย่างรำคาญ
"ไหวจ้ะไหว" หญิงสาวว่า ออกเสียในที่ "แผลงฤทธิ์" จนทำให้คนเขาเดือดร้อน ทั้งที่ท่านพระครูกำชับนักหนาว่าให้อดทน
"งั้นก็ไปกันเดี๋ยวนี้แหละ" นายสมชายพูดพลางออกเดินนำหน้านางสาวส้มป่อย กับชีอีกสามคนเดินตาม ต่างพากันเดินไปเงียบ ๆ โดยไม่มีผู้ใดปริปากพูด ชีสาวสองคนที่มาเป็นเพื่อนแม่ชีเจียนนั้นไม่ผิดกับคนใบ้ เพราะไม่พูดไม่จาทั้งตอนไปและตอนกลับ
เมื่อคนทั้งห้าเดินมาถึงกุฏิ ท่านสมภารวัดป่ามะม่วงนั่งรออยู่ที่อาสนะแล้ว อาจารย์ชิดยังคงนั่งสมาธิอยู่ที่เดิม เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าท่านเจ้าของกุฏิลงมาข้างล่าง คนทั้งห้าทำความเคารพด้วยการกราบสามครั้ง แล้วท่านพระครูจึงพูดกับนางสาวส้มป่อยว่า
"ไง อาละวาดใหญ่เลยหรือ ข้าเพิ่งเตือนไปหยก ๆ ทำไมลืมเสียได้" ท่านมิได้แผ่เมตตาให้หล่อนด้วยเหตุผลที่ว่า "เดี๋ยวจะเคยตัว" กระนั้นหญิงสาวก็ยังรู้สึกว่าความเจ็บปวดทุเลาลง เมื่อได้มานั่งต่อหน้าท่าน เป็นอุปาทานที่เกิดจากความยึดมั่นถือมั่นในตัวบุคคล เวลานี้ หล่อนเสมือนคนไร้ที่พึ่ง จึง "ยึด" เอาท่านพระครูเป็นสรณะ
"ฉันปวดจ้ะหลวงพ่อ มันทนไม่ไหวจริง ๆ"
"ก็เลยอาละวาดงั้นหรือ การทำเช่นนั้นทำให้เอ็งหายปวดใช่ไหม"
"ไม่หายจ้ะ มันก็ยังปวดเหมือนเดิม แต่มันแปลกนะหลวงพ่อ เวลาฉันมานั่งต่อหน้าหลวงพ่อ ฉันรู้สึกสบายขึ้น"
"นั่นเป็นอุปาทานของเอ็งต่างหาก เอ็งดูโยมเขาซิ เขาก็ปวดไม่แพ้เอ็งเหมือนกัน แต่ทำไมเขาไม่โวยวายอย่างเอ็ง" หญิงสาวมองดูอาจารย์ชิต เห็นเขานั่งนิ่งเหมือนไม่มีความรู้สึกใด ๆ จึงเถียงว่า
"เขาไม่ปวดอย่างฉันน่ะซี ถ้าปวดเขาต้องทำอย่างที่ฉันทำนั่นแหละ"
"งั้นเดี๋ยวเอ็งลองถามเขาดูก็ได้ รอให้หมดเวลาเสียก่อน"
"เกิดเขานั่งอยู่อย่างนี้ทั้งคืน ฉันมิรอแย่หรือ" หล่อนพูดอย่างวิตก
"ถ้าเอ็งอยากรู้จริง ๆ ก็น่าจะรอได้"
"งั้นฉันไม่อยากรู้ดีกว่า" หล่อนเปลี่ยนใจ พอดีกับเสียงนาฬิกาปลุกดังกังวานขึ้น อาจารย์ชิตถอนจิตออกจากสมาธิ แล้วลืมตาช้า ๆ เขาก้มลงกราบท่านพระครูสามครั้งแล้ว อุทธรณ์ว่า
"ปวดเหลือเกินครับหลวงพ่อ ปวดมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา"
"ได้ยินหรือยังส้มป่อย ไหนเอ็งว่าเขาไม่ปวดไงล่ะ" ท่านพระครูหันไปพูดกับสาวคนป่วย
"ปวดแล้วทำไมลุงนั่งเฉยราวกับไม่ปวดล่ะจ้ะ" หล่อนถามอาจารย์ชิต
"ก็ลุงพยายามใช้สมาธิข่มเวทนา แล้วลุงก็คิดว่ากำลังใช้หนี้กรรม ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าลุงทำกรรมอะไรไว้ ถึงอย่างไรหนูก็ยังดีกว่าลุงตรงที่รู้กรรมของตัวเองแล้ว อีกประการหนึ่งหนูก็ปวดอย่างเดียว ไม่มีกลิ่นน่ารังเกียจเหมือนของลุง เพราะฉะนั้นหากจะเปรียบเทียบกันแล้ว ลุงอยู่ในสภาพที่แย่กว่าหนูมากนัก แต่ลุงก็พยายามอดทนสู้กับมัน" ฟังอาจารย์ชิตพูดแล้ว นางสาวส้มป่อยก็เถียงไม่ออก ท่านพระครูจึงพูดเสริมอีกว่า
"ฟังข้านะส้มป่อย ฟังแล้วก็เก็บไปคิดเป็นการบ้าน ปราชญ์เขาสอนไว้ว่า "หัสดินย่อมไม่ทิ้งลีลาแม้ออกศึก ไม้จันทน์ย่อมไม่ทิ้งความหอมแม้แห้ง อ้อยย่อมไม่ทิ้งความหวานแม้ผ่านหีบ...บัณฑิตแม้มีความทุกข์ย่อมไม่ทิ้งธรรม" โยมชิตเขาเป็นบัณฑิตนะ แม้เขาจะมีความทุกข์ก็ยังรักษาธรรมไว้ได้ ส่วนเอ็งทำตัวเยี่ยงคนพาล พอประสบทุกข์ก็ทิ้งธรรม มีอย่างที่ไหน แม้แต่แม่บังเกิดเกล้าของตัวเอง ก็ยังด่าได้" ท่านตำหนิติเตียน
"หลวงพ่อได้ยินหรือจ๊ะ" คนถามมองหน้านายสมชาย ด้วยคิดว่าเขามาฟ้อง
"ก็ถ้าไม่ได้ยินแล้วข้าจะพูดถูกหรือ เอ็งไม่ต้องไปสงสัยว่าจะมีใครมาบอกข้าหรอก ข้ารู้ของข้าเองโดยไม่ต้องมีคนบอก ขอให้เอ็งรู้ไว้เสียด้วยว่า ข้ารู้ได้หากอยากจะรู้ ฉะนั้นก็อย่าพูด อย่าคิดอะไร ๆ ที่มันไม่ดี ขอให้สำเหนียกไว้ว่า อย่างน้อยข้าก็รู้ ถึงคนอื่นจะไม่รู้แต่ข้ารู้" ท่านพระครูย้ำ มิใช่จะอวดอุตริมนุสสธรรม หากต้องการจะสอนบุคคลผู้สอนยากเช่นนางสาวส้มป่อยผู้นี้
"ฟังหลวงพ่อท่านสอนแล้วก็เก็บไปคิดทบทวนนะส้มป่อย คิดแล้วก็ต้องทำให้ได้ ขืนเอ็งอาละวาดอีก ข้าคงถูกคนอื่น ๆ เขาเล่นงานแน่" แม่ชีเจียนพูดเสริม ชีสาวสองคนไม่ปริปากพูดเช่นเคย
"หลวงพ่อจ๊ะ ฉันไม่ชอบชื่อส้มป่อยเลย มันทำให้ฉันนึกถึงกรรมที่ปล่อยลูกหมา หลวงพ่อช่วยเปลี่ยนชื่อใหม่ให้ฉันด้วยได้ไหมจ๊ะ" หญิงสาวเปลี่ยนเรื่องเสียทันใด ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะไม่อยากฟังคำตำหนิติเตียน
"ไม่ชอบชื่อส้มป่อยหรือ งั้นก็เปลี่ยนเป็นส้มแป้น เอาไหมเล่า หรือ จะเอาส้มเช้ง" คราวนี้ทั้งแม่ชีทั้งฆราวาสต่างพากันหัวเราะ คนป่วยจึงว่า
"ไม่เอาจ้ะ ฉันไม่อยากได้คำว่า "ส้ม" ด้วย หลวงพ่อช่วยเปลี่ยนให้ใหม่ ไม่เอาทั้ง "ส้ม" ทั้ง "ป่อย" แล้วก็ไม่เอาอักษร ป. ด้วยนะจ๊ะ
"งั้นชื่อเพชราก็แล้วกัน เผื่อได้เป็นนางเอกหนังกะเขาบ้าง ชอบไหมล่ะ ชื่อเพชราน่ะ" คราวนี้คนป่วยยิ้มหน้าบาน รีบสนองว่า
"ดีจ้ะ ฉันก็เคยคิดไว้เหมือนกัน" แล้วพูดกับทุกคนในที่นั้นว่า "ต่อไปนี้อย่าเรียกฉันว่าส้มป่อยนะจ๊ะ ฉันเปลี่ยนชื่อเป็นเพชราแล้ว หลวงพ่อท่านเปลี่ยนให้ นี่ฉันต้องไปแจ้งอำเภอไหนจ๊ะ" ประโยคหลัง หล่อนถามท่านพระครู
"ถ้าเอ็งจะเปลี่ยนจริง ๆ ก็คงต้องแจ้ง แต่เอาเถอะ ให้หายป่วยเสียก่อนค่อยดำเนินการ อันที่จริงมันก็ไม่เกี่ยวกับชื่อหรอกนะ คนเราจะดีหรือเลว จะสุขหรือทุกข์ไม่เกี่ยวกับชื่อ แต่อยู่ที่กรรม จะชื่อไพเราะเพราะพริ้งแค่ไหน หากทำกรรมชั่วก็ชื่อว่าเป็นคนชั่ววันยังค่ำ จริงไหมโยม" ท่านถามอาจารย์ชิต
"จริงครับ" บุรุษวัยหกสิบรับคำ
"แล้วเอ็งละ ที่ข้าพูดมานี่เอ็งเห็นด้วยไหมเพชรา" คนถูกถามยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก่อนตอบว่า
"จริงจ้ะ" เห็นชีสาวสองคนนั่งยิ้มหากไม่ยอมพูดจา ท่านพระครูจึงถามแม่ชีเจียนว่า
"แม่ชีสองคนนี้เขาถือ "วจีวิรัติ" หรือยังไง ถึงไม่ยอมพูดจา"
"ถูกแล้วจ้ะหลวงพ่อ เขาถือมาสามวันเข้านี่แล้ว"
"ดีจริง อาตมาขออนุโมทนา การปฏิบัติธรรมนั้นหากจะให้ได้ผลจะต้องไม่พูดไม่คุยกับใครเลย เอาละกลับที่พักกันได้แล้ว หวังว่าเอ็งคงไม่ทำฤทธิ์อีกนะจ๊ะแม่เพชรา" ท่านกำชับนางสาวเพชรา คนได้ชื่อใหม่รับคำหนักแน่น แล้วก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงถามท่านเจ้าของกุฏิว่า
"หลวงพ่อจ๊ะ ด่าพ่อแม่นี่ต้องตกนรกใช่ไหมจ๊ะ ฉันกลัวตกนรกจังเลยจ้ะ"
"กลัวก็ต้องรีบเจริญกรรมฐานเข้า หากเอ็งปฏิบัติได้ถึงขั้นบรรลุญาณ ๑๖ เอ็งก็จะสามารถตัดอบายภูมิได้ ตายไปก็ไม่ต้องไปตกนรก" ท่านพระครูตอบ
"แล้วฉันต้องปฏิบัติอยู่นานสักกี่ปีจ๊ะถึงจะบรรลุ"
"อันนี้ข้าตอบไม่ได้ เพราะมันขึ้นอยู่กับความเพียรพยายามของเอ็ง คนอื่นจะมากะเกณฑ์ให้ไม่ได้"
"ด่าพ่อแม่ที่บาปกว่าเอาลูกหมาไปปล่อยอีกใช่ไหมจ๊ะ" หล่อนถามอีก
"ถูกแล้ว ทั้งนี้เพราะพ่อแม่นั้นมีบุญคุณต่อเรามาก ในมาตาปิตุคุณสูตร พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ว่า ลูกจะให้แม่นั่งบนบ่าขวา ให้พ่อนั่งบนบ่าซ้าย ถ่ายอุจจาระปัสสาวะรดลงไปบนบ่าลูก ลูกเป็นผู้เช็ดให้ หาอาหารมาป้อนให้ กระทั่งจนท่านตายหรือกระทั่งลูกตายไป ก็ไม่สามารถจะตอบแทนพระคุณค่าป้อนข้าว ป้อนน้ำนมที่ท่านได้ถนอมกล่อมเกลี้ยงบำรุงเลี้ยงมาอย่างดีได้" พุทธวจนะที่ท่านพระครูหยิบยกมากล่าวอ้าง ทำให้คนฟังต่างระลึกนึกถึงบิดามารดาของตน โดยเฉพาะคนที่ชื่อยังใหม่เอี่ยมอ่องอยู่นั้นถึงกับน้ำตาซึม
"แล้วทำอย่างไรจึงจะได้ชื่อว่าได้ทดแทนบุญคุณพ่อแม่อย่างเลิศที่สุดครับ" อาจารย์ชิตถาม
"กล่าวโดยสรุปก็คือ ถ้าพ่อแม่เป็นมิจฉาทิฐิแล้วลูกสามารถชักจูงพ่อแม่ให้กลับเป็นสัมมาทิฐิได้ นั่นถือว่าได้ทดแทนบุญคุณอย่างเลิศ"
"อันนี้ฉันไม่เข้าใจจ้ะ" คนจบชั้นประถมปีที่สี่ว่า อาจารย์ชิตจึงช่วยอธิบายให้หล่อนฟังเป็นการ "ผ่อนแรง" ท่านพระครู
"หมายความว่า ถ้าพ่อแม่ของหนูมีความเห็นผิดเป็นต้นว่า ไม่เชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ แล้วหนูสามารถชักจูงชี้แจ้งให้ท่านมีความเห็นที่ถูกต้อง เชื่อว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว บุญบาปมีจริง ถ้าทำอย่างนี้ได้ถือว่าทดแทนบุญคุณอย่างเลิศที่สุด"
"แล้วถ้าฉันพาพ่อแม่มาเข้ากรรมฐานล่ะจ๊ะ"
"ถ้าทำเช่นนั้นก็ถือว่า เอ็งได้ทดแทนบุญคุณพ่อแม่อย่างเลิศที่สุด แต่ก็มีข้อแม้ว่าพ่อแม่เอ็งจะต้องตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ ไม่ใช่มานั่งกิน นอนกิน เปลืองข้าวสุกวัด คนประเภทนี้มีมากเหมือนกัน โดยเฉพาะที่วัดนี้ พอออกจากวัดเลยไม่ได้อะไรกลับไป แล้วก็เที่ยวไปพูดว่ามานั่งหลับหูหลับตาเสียเวลาทำมาหากิน"
"หลวงพ่อจ๊ะ ฉันอยากพาพ่อกะแม่มาเข้ากรรมฐาน แต่ก็จนใจ เพราะไม่รู้ว่าเขาไปอยู่กันที่ไหน จะยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้" นางสาวเพชราพูดน่าสงสาร ท่านพระครูจึงจำต้อง "ช่วย" โดยบอกหล่อนว่า
"ยังอยู่ทั้งสองคนนั่นแหละ เอาเถอะ เอ็งช่วยตัวเองเสียก่อน ขอให้ตั้งใจปฏิบัติ หายป่วยเมื่อใดค่อยคิดช่วยพ่อแม่"
"ช่วยยังไงจ๊ะ"
"ข้ายังไม่บอกเอ็งตอนนี้หรอก เอาไว้เวลานั้นมาถึงแล้วค่อยว่ากันใหม่ เอาละ กลับไปได้แล้ว แม่ชีสองคนที่ถือ "วจีวิรัติ" นั้น อาตมาขออนุโมทนา ขอให้ปฏิบัติก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้น" คนทั้งสี่กราบลาท่านพระครูแล้วจึงลุกออกมา นายสมชายจัดการปิดประตูด้านหน้าและด้านหลัง แล้วเตรียมขึ้นนอนเพราะใกล้สองยามแล้ว
"หลวงพ่อง่วงหรือยังครับ" อาจารย์ชิตถาม เขายังอยากคุยกับท่านพระครูต่อ เนื่องจากมีข้อข้องใจสงสัยที่อยากจะเรียนถาม
"อาตมาไม่เคยง่วงหรอกโยม จิตมันเป็นอัตโนมัติเสียแล้ว ปกติอาตมานอนตอนตีสอง พอนอนปุ๊บก็หลับปั๊บโดยไม่รู้สึกง่วง พอตีสี่ก็ตื่นเองโดยอัตโนมัติ"
"ถ้าเช่นนั้นผมขออนุญาตเรียนถามเรื่องฌานต่อได้ไหมครับ เพราะมันค้างใจผมอยู่ จนเกิดเป็นความกังวลเวลานั่งสมาธิ"
"งั้นก็ถามมาเถอะ อาตมาจะได้ตอบให้หายข้องใจสงสัย แต่ต้องบอกไว้ก่อนนะว่า ถ้าเข้าใจเรื่องนี้แล้วก็อย่าไปสงสัยเรื่องอื่นต่อไปอีก ประเดี๋ยวจะกลายเป็นวิจิกิจฉา ทำให้การปฏิบัติไม่ก้าวหน้า"
"ครับ ผมจะพยายาม สิ่งที่ผมจะเรียนถามหลวงพ่อคือ ผมอยากทราบว่า ฌานที่จะนำมาเป็นบาทฐานของวิปัสสนานั้น เป็นฌานขั้นไหน และถ้าเราไม่ได้ฌานก็จะไม่สามารถเจริญวิปัสสนาได้ เป็นอย่างนั้นหรือเปล่าครับ"
"เอาละ อาตมาจะตอบคำถามหลังก่อน ที่โยมถามมานี้แสดงว่ายังแยกไม่ออก ระหว่างฌานกับสมาธิ อาตมาจะอธิบายคำหลังก่อน คำว่า "สมาธิ" แปลว่า ความตั้งมั่นของจิต หรือ ภาวะที่จิตแน่วแน่ต่อสิ่งที่กำหนด จึงเป็นภาวะจิตที่มีอารมณ์เป็นหนึ่ง ไม่ฟุ้งซ่านหรือส่ายไป สมาธิมี สามระดับคือ ขณิกสมาธิ เป็นสมาธิชั่วขณะ อุปจารสมาธิ เป็นสมาธิจวนแน่วแน่ และอัปปนาสมาธิ เป็นสมาธิแน่วแน่อันเป็นสมาธิระดับสูงสุดซึ่งมีในฌานทั้งหลาย
ดังนั้น ภาวะจิตที่มีสมาธิถึงขั้นอัปปนาสมาธิแล้วจึงจะเรียกว่าฌาน ฌานมีหลายขั้น ยิ่งเป็นขั้นสูงขึ้นไปเท่าใด องค์ธรรมต่าง ๆ ที่เป็นคุณสมบัติของจิตก็ยิ่งลดน้อยลงไปเท่านั้น ฌานโดยทั่วไปแบ่งเป็น ๒ ระดับใหญ่ ๆ คือ รูปฌาน ๔ และอรูปฌาน ๔ รูปฌาน ๔ ได้แก่ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุตถฌาน ส่วนอรูปฌาน ๔ ได้แก่ อากาสานัญจายตนฌาน วิญญญาณัญจายตนฌาน อากิญจัญญายตนฌาน และ เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน"
ท่านพระครูอธิบายช้าและชัดเจน คนฟังกำหนด "ฟังหนอ" แล้วตั้งอกตั้งใจฟัง ใจจดจ่ออยู่กับเรื่องที่ฟัง จึงเกิดความเข้าใจแจ่มแจ้งแม้เป็นเรื่องยาก
"ที่อาตมาพูดมาทั้งหมดนี้ โยมเข้าใจใช่ไหม"
"ครับ ผมเข้าใจแจ่มแจ้งเลยครับ"
"ถ้าอย่างนั้นลองอธิบายให้อาตมาฟังหน่อยซิว่า ฌานคืออะไร"
"คือ ภาวะจิตขั้นอัปปนาสมาธิครับ ขั้นขณิกสมาธิกับอุปจารสมาธิ ยังไม่เรียกว่าฌาน"
"ดีมาก ทีนี้อาตมาก็จะได้อธิบายถึงสมาธิที่ใช้เป็นบาทฐานของวิปัสสนาหรือจะเรียกว่า วิปัสสนาสมาธิก็ได้ วิปัสสนาสมาธิ ได้แก่ สมาธิในระดับระหว่างขณิกสมาธิ กับ อุปจารสมาธิ ทีนี้โยมตอบมาซิว่า การที่จะเจริญวิปัสสนานั้นจำเป็นต้องได้ฌานหรือไม่"
"ไม่จำเป็นครับ"
"เอาละ ทีนี้ก็มาถึงคำถามแรกที่โยมถามว่า ฌานที่จะนำมาเป็นบาทฐานของวิปัสสนา เป็นฌานขั้นไหน โยมพอจะมองเห็นคำตอบไหม"
"เป็นขั้นไหนก็ได้ใช่ไหมครับ"
"ถูกแล้ว เพราะเมื่อจะยกจิตขึ้นสู่อารมณ์วิปัสสนา จะต้องถอนจิตออกจากฌานเสียก่อน หรือถ้าหากไม่ได้ฌาน ก็ต้องถอนจิตออกจากสมาธิเสียก่อน
ในสมัยพุทธกาล ภิกษุรูปหนึ่งชื่อ พระมหาติสสเถระ ท่านเจริญอัฏฐิกรรมฐาน จนบรรลุปฐมฌาน แล้วใช้ปฐมฌานนั้นเป็นบาทฐาน เจริญวิปัสสนาจนได้บรรลุเป็นพระอรหันต์"
"ถ้าอย่างนั้นฌานก็ไม่มีความสำคัญมากนัก สำหรับผู้ที่มุ่งในทางวิปัสสนากรรมฐานใช่ไหมครับ"
"ถูกแล้ว แต่ถ้าผู้ปฏิบัติมุ่งในเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ ฌานมีความสำคัญมากและต้องเจริญให้ถึงจตุตถฌาน แต่ทั้งนี้ก็มิได้หมายความว่าผู้ที่ได้จตุตถฌานทุกคนจะมีอิทธิปาฏิหาริย์ จะได้เฉพาะบางคนที่มีสมาธิแก่กล้าเท่านั้น ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคยังระบุไว้ด้วยว่า ผู้ที่จะได้อิทธิปาฏิหาริย์นั้น ต้องมีบุญบารมีอันสำเร็จมากแต่ชาติก่อน มิใช่ได้เพราะความเชี่ยวชาญในสมาบัติ"
"อย่างพระอาจารย์สุวินท่านก็ต้องเคยสร้างบารมีมาจากชาติก่อน ๆ ใช่ไหมครับ"
"ถูกแล้ว"
"แต่ท่านก็ไม่สามารถฝืนกฎแห่งกรรมไปได้ แสดงว่าอิทธิปาฏิหาริย์ก็ยังอยู่ใต้กฎแห่งกรรม ใช่ไหมครับ"
"แน่นอน บางคนไม่เข้าใจ คิดว่า ถ้าได้อิทธิปาฏิหาริย์แล้วจะพ้นเวรพ้นกรรม มันพ้นไม่ได้หรอกโยม เอาละ นี่ก็ดึกมากแล้ว โยมควรจะพักผ่อนเสียที อาตมาก็จะขึ้นไปเขียนหนังสือต่อ" เมื่อท่านบอกจะขึ้นข้างบน อาจารย์ชิตก็รู้สึกปวดแผลขึ้นมาทันที จึงพยายามประวิงเวลาการสนทนาด้วยการถามว่า
"หลวงพ่อเคยเจริญฌานหรือเปล่าครับ"
"เคยโยม อาตมาเคยปฏิบัติเตโชกสิณ กับ อาโปกสิณ อยู่หลายปี"
"แล้วเป็นอย่างไรบ้างครับ หลวงพ่อกรุณาเล่าประสบการณ์ที่ได้จากการเจริญฌานให้ผมฟังเป็นธรรมทานได้ไหมครับ" ท่านพระครูไม่ตอบ หากลุกขึ้นไปหยิบคัมภีร์พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ มาจากตู้ เปิดตรงหน้า ๗๗ แล้วส่งให้ผู้สูงอายุ
"โยมช่วยอ่าน อจินติสูตร ให้อาตมาฟังหน่อยซิ" อาจารย์ชิตจึงอ่านตามที่ท่านสั่ง ในสูตรนั้นมีข้อความว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อจินไตย ๔ ประการนี้ อันบุคคลไม่ควรคิด เมื่อบุคคลคิดพึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความบ้า เดือดร้อน อจินไตย ๔ ประการเป็นไฉน
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พุทธวิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ๑ ฌานวิสัยของผู้ได้ฌาน ๑ วิบากแห่งกรรม ๑ ความคิดเรื่องโลก ๑
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อจินไตย ๔ ประการนี้แลไม่ควรคิด เมื่อบุคคลคิดพึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความบ้า เดือดร้อน
เมื่อบุรุษนั้นอ่านจบ ท่านเจ้าของกุฏิ จึงถามขึ้นว่า
"เป็นยังไง อยากรู้เรื่องฌานอีกไหม"
"ไม่อยากแล้วครับหลวงพ่อ ผมยังไม่อยากเป็นบ้า และก็ไม่อยากเดือดร้อนมากกว่านี้ เท่าที่เดือดร้อนเพราะโรคภัยไข้เจ็บก็หนักแทบจะรับไม่ไหว ผมไม่อยากรู้เรื่องนี้อีกแล้วครับ"
เสียงเคาะประตูตามด้วยเสียงเรียกท่านพระครูดังขึ้นอีก เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงเดินไปหยิบลูกกุญแจ
"ผมเปิดเองครับ" อาจารย์ชิตขันอาสา แล้วรับลูกกุญแจจากท่านไปไขประตู ท่านเจ้าของกุฏิกลับไปนั่งยังอาสนะเพื่อรอรับการร้องทุกข์ บุรุษวัยห้าสิบ เข้ามากราบท่าน ตามด้วยเพื่อนบ้านวัยไล่เลี่ยกันอีกสองคน
"หลวงพ่อครับ อีเช้าเมียผมถูกผีเข้า หลวงพ่อช่วยไปดูมันหน่อยเถิดครับ" บุรุษนั้นรายงาน
"ผีที่ไหนมาเข้าล่ะ"
"ไม่ทราบเหมือนกันครับ แหมมันด่าเป็นไฟลามทุ่งเลย หลวงพ่อช่วยไปไล่มันออกหน่อยเถอะครับ"
"ตกลง ไปก็ไป เดี๋ยวนะ ขอขึ้นไปเอาของหน่อย" ท่านขึ้นไปปลุกนายสมชาย แล้วหยิบย่ามพร้อมไฟฉายหนึ่งกระบอก ก่อนออกจากวัดท่านสั่งอาจารย์ชิตว่า
"โยมพักผ่อนตามสบายนะ ไม่ต้องกังวลเรื่องเปิดประตู อาตมาจะเอาลูกกุญแจไปด้วย"
คนทั้งสามพาท่านพระครูกับนายสมชาย เดินตัดท้องทุ่งอันเป็นทางลัดไปสู่บ้ายของนางเช้า เพราะหากเดินไปตามถนนลูกรัง จะต้องใช้เวลามากกว่าถึงสองเท่า ขณะเดินลัดเลาะไปตามคันนา ท่านพระครูก็แผ่เมตตาให้สิงสาราสัตว์ จำพวกงูเงี้ยวเขี้ยวขอเพื่อให้สัตว์เหล่านั้นอยู่เย็นเป็นสุข ปราศจากการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน และเพื่อให้ฆราวาสสี่คนกับนักบวชอีก ๑ รูปที่กำลังเดินอยู่ภายใต้แสงสลัวของพระจันทร์ครึ่งดวง ได้ปลอดภัยจากสัตว์เหล่านั้นอีกด้วย
เวลาผ่านไปประมาณสี่สิบนาทีก็ถึงบ้านของนางเช้า เป็นบ้านไม้ชั้นเดียว ใต้ถุนสูง หลังคามุงสังกะสี บนบ้านจุดตะเกียงเจ้าพายุสว่างไสว เสียงผู้หญิงด่าอย่างหยาบคายดังมาจากบนบ้าน นายสมชายได้ยินถึงกับขนลุก ขนาดฟังนางสาวส้มป่อยด่ามาหยก ๆ ก็ยังรู้สึกว่า เสียงด่าที่กำลังได้ยินอยู่ขณะนี้ หยาบคายกว่าหลายเท่า ทั้งไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกนึกขำแต่ประการใด
นายบ่ายนำท่านพระครูไปนั่งข้าง ๆ ภรรยาผู้ซึ่งนอนหลับหูหลับตาด่าอยู่บนเสื่อจันทบูรผืนใหม่ มีหมอนสีขาวหนุนที่ศีรษะ ลูก ๆ นั่งล้อมวงดู ด้วยไม่อาจจะช่วยอะไรได้ และทุกครั้งที่มารดาเป็นเช่นนี้ พวกเขาก็จะนั่งเฝ้าดูกระทั่งผีมันออกไปเอง หากคราวนี้มันเข้านานกว่าทุกครั้ง และไม่มีทีท่าว่าจะออกไปง่าย ๆ บิดาจึงชวนเพื่อนบ้าน แล้วพากันไปนิมนต์ท่านพระครูมาช่วยไล่ผี
"นี่แหละครับหลวงพ่อ ผีเข้าทีไรมันด่าลูกด่าผัวไม่พัก ไม่รู้ผีห่าผีเหวที่ไหนมาเข้า" นายบ่ายบอกท่านพระครูพร้อมด่าผีไปด้วย ได้ยินสามีพูดกับท่านพระครู คนถูกผีเข้าลืมตาขึ้นดูนิดหนึ่ง เป็นเวลาเดียวกับที่ท่านพระครูจ้องดูนางพอดี เสียงด่าหยุดชะงักลงประเดี๋ยวหนึ่ง แล้วคนถูกผีเข้าก็หลับหูหลับตาด่าต่อไปอีก หากคราวนี้เสียงเบาลงกว่าเดิมมาก
"ผีมันคงจะเกรงใจพระ" นายสมชายคิด เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงให้สงสัยยิ่งนักว่าผีที่มาเข้านางเช้านั้น เป็นผีจริงหรือผีปลอมกันแน่ ท่านต้องใช้ "เห็นหนอ" เข้าตรวจสอบ จึงได้รู้ว่าเป็นผีปลอม
"เห็นหนอ" รายงานว่า วันไหนเล่นไพ่เสีย วันนั้นจะต้องถูกผีเข้า แล้วก็จะด่าลูกด่าผัวกระทั่งหลับไปเอง แต่ถ้าวันไหนเล่นได้ วันนั้นผีไม่เข้า วันนี้เสียมากกว่าทุกวัน ผีก็เลยเข้าตั้งแต่หัวค่ำ แล้วก็ยังไม่ยอมออก จนนายบ่ายสามีต้องไปนิมนต์ท่านมาไล่ผี
"ช่วยหน่อยเถอะครับหลวงพ่อ ดูท่าทางมันจะด่ายันรุ่งแน่เลย ผมกับลูกเต้าคงไม่ได้หลับไม่ได้นอนกัน" นายบ่ายพูดท่าทางน่าสงสาร
"ช่วยแน่โยม อาตมาช่วยแน่ เดี๋ยวเถอะ เดี๋ยวจะไล่ให้ออกแทบไม่ทันเชียว คอยดูฝีมืออาตมาก็แล้วกัน" ท่านพูดข่มขวัญผีปลอม
"ต้องทำน้ำมนต์หรือเปล่าครับ ผมจะได้ให้ลูกไปหาขันน้ำกับเทียน" นายบ่ายถาม
"ไม่ต้อง ไม่ต้อง ผีรายนี้มันไม่กลัวน้ำมนต์"
"แล้วจะใช้อะไรไล่ละครับ" ท่านพระครูนั่งนึกอยู่ประเดี๋ยวหนึ่ง จึงตอบว่า
"ใช้ยา เดี๋ยวอาตมาจะปรุงยาให้ผีกิน รับรองว่ากินปุ๊บออกปั๊บเลย"
"ต้องใช้อะไรบ้างครับ"
"ใช้พริกขี้หนูกับเกลือ มีหรือเปล่า"
"แห้งหรือสดครับหลวงพ่อ"
"เอาสด ๆ ดีกว่า มีไหมพริกขี้หนูน่ะ"
"มีครับ ที่ต้นมีเยอะ เดี๋ยวผมจะเอาไฟฉายลงไปเก็บมาให้" นายเย็นบุตรชายคนโตของนางเช้าตอบ
"ดี ๆ เอาที่แก่ ๆ นะ ยิ่งได้สีแดงยิ่งดี ผีมันจะได้กลัว เอามาสักกำมือนึงแล้วตำกับเกลือ มาให้หลวงพ่อ"
"ครับ" ชายหนุ่มรับคำแล้วเดินไปหยิบไฟฉายในห้อง ด้วยการลงไปเก็บพริกมาหนึ่งกำมือ แล้วนำไปโขลกกับเกลือที่ในครัว เสร็จแล้วจึงตักใส่ถ้วยนำมาให้ท่านพระครู
"ขอช้อนด้วย" คราวนี้ลูกสาวคนรองเป็นคนไปหยิบมาให้ ได้อุปกรณ์ครบถ้วนแล้ว เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงจึงสั่งว่า
"เอาละ ช่วยกันจับผีไว้แล้วป้อนยาเข้าไปทางปาก กรอกลงไปให้หมดถ้วยเลย" นายบ่ายและลูก ๆ ทำตามที่ท่านสั่ง แต่กว่าจะง้างปากผีให้อ้าได้ก็ต้องออกแรงกันพอสมควร เพราะผีดิ้นรนขัดขืน ไม่ยอมให้กรอกยา เมื่อยาเข้าปาก ผีหลอมก็พ่นออกมาเพราะความแสบร้อน นายบ่ายและลูก ๆ ต่างพากันหลบเป็นพัลวัน
"โอย...เผ็ด เผ็ดฉิบหายเลย" เสียงผีปลอมโอดครวญ
"ขอน้ำหน่อย..น้ำ หลวงพ่อไม่น่าทำฉันเลย" นางเช้าตัดพ้อ
"ฉันน่ะใคร ผีหรือคน" ท่านพระครูย้อนถาม
"คนจ้ะ อีเช้าไงล่ะ หลวงพ่อไม่น่าทำกับอีเช้าอย่างนี้เลย" นางลืมตาลุกขึ้นนั่ง สั่งลูกชายคนโตว่า
"ไอ้เย็น ขอน้ำให้ข้าหน่อย เผ็ดจะตายอยู่แล้ว" นายเย็นกำลังจะลุกออกไปหาน้ำ แต่ท่านพระครูห้ามไว้ ท่านบอกเขาว่า
"อย่าเพิ่ง ถ้าได้น้ำตอนนี้ ผีจะไม่ยอมออก เดี๋ยว ต้องให้หลวงพ่อเจรจากับผีก่อน" ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะท่านต้องการจะ "ดัดสันดานผี" นางเช้าเห็นดังนั้น จึงต่อว่าท่านพระครูเป็นการใหญ่
"ฉันไปทำอะไรให้หลวงพ่อหรือ หลวงพ่อถึงทำกับฉันแบบนี้"
"อาตมาไม่ได้ทำโยม อาตมาทำผีต่างหาก ก็ผีมันเข้าโยม อาตมาก็จะช่วยไล่มันออกไป เห็นไหมพอให้กินยามันรีบออกเลย ทีหน้าทีหลังถ้ามันมาเข้าอีก ก็เอายานี่กรอกปากมันนะหนูนะ" ท่านหันไปบอกลูก ๆ ของนางเช้า
"โอ๊ย พอแล้วจ๊ะ พอแล้ว มันไม่เข้าอีกแล้ว ฉันรับรอง" นางเช้าบอกเสียงลั่น
"แน่นา" ท่านพระครูย้ำ
"แน่จ้ะ" คนถูกผีปลอมเข้ารับคำหนักแน่น นางนึกในใจว่า ต่อแต่นี้ไปถึงจะเสียไพ่มากแค่ไหน ก็จะไม่ยอมทำเป็นผีเข้าอย่างเด็ดขาด เข็ดแล้ว เข็ดเป็นตอนแมวเชียวละ
"ขอน้ำฉันกินหน่อยเถอะจ้ะหลวงพ่อ" นางอ้อนวอน เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วง จึงสั่งให้นายเย็นไปนำน้ำมาให้มารดาดื่ม เพื่อนบ้านสองคนที่นั่งดูท่านพระครูไล่ผี เมื่อเห็นว่าผีออกเป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงกล่าวลา
"หลวงพ่อครับ ผมเห็นจะต้องกราบลา ดึกมากแล้ว ชักง่วง" หนึ่งในสองพูดขึ้น คนทั้งสองกราบท่านพระครูสามครั้งแล้วพากันลุกออกมา
"ขอบใจมากนะที่ไปเป็นเพื่อน" นายบ่ายขอบใจเพื่อนบ้าน แล้วเหมือนจะนึกอะไรได้ จึงบอกบุรุษทั้งสองว่า
"แล้วใครจะไปเป็นเพื่อนข้า ส่งหลวงพ่อกลับวัดล่ะ"
"ไม่ต้องไปส่ง อาตมากลับเองได้ โยมสองคนไปเถอะ อาตมาจะอยู่อีกสักพักแล้วค่อยกลับ" เมื่อท่านพูดเช่นนี้ เพื่อนบ้านสองคนจึงลงเรือนไป อาคันตุกะไปแล้ว เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วง จึงพูดกับลูก ๆ ของนางเช้าว่า
"เอาละ พวกหนู ๆ พากันไปนอนได้แล้ว หลวงพ่อจะดูแลแม่เขาให้ ปลอดภัยแล้ว ผีออกไปแล้ว" ลูกชายหญิงทั้งห้าคน จึงลุกออกมาแล้วต่างแยกย้ายกันไปนอน ท่านพระครูพูดกับนางเช้าว่า
"เอาละ ทีนี้อาตมาจะเทศน์โยมละ เห็นไหมนี่ยังไว้หน้าโยมนะ ถึงได้รอให้เพื่อนบ้านและลูก ๆ ของโยมลุกออกไปเสียก่อน แต่โยมบ่ายต้องอยู่ฟัง จะได้ช่วยอบรมสั่งสอนและฝึกนิสัยให้โยมเสียใหม่" คนถูกผีปลอมเข้านั่งฟังตาปริบ ๆ สูดลมเข้าปากซี๊ด ๆ เพราะยังเผ็ดไม่หาย
"นี่โยมบ่าย รู้ไหมว่าผีอะไรมันมาเข้าโยมเช้า" ท่านถามสามีคนถูกผีเข้า
"ผีอะไรครับหลวงพ่อ"
"ผีการพนัน โยมเช้าถูกผีการพนันเข้าสิง หนีไปเล่นไพ่ทุกวัน วันไหนเล่นได้ ผีไม่อาละวาด วันนี้เล่นเสียไปแยะ เลยอาละวาดนานกว่าทุกวัน โยมรู้ไว้ด้วย"
"อ้อ ยังงี้นี่เอง ผมถึงว่าทำไมเงินทองมันถึงไม่คอยพอใช้ เพราะมันเอาไปเสียไพ่นี่เอง" นายบ่ายโมโหโกรธา มองหน้าคนเป็นเมียอย่างจะกินเลือดเนื้อ
"หลวงพ่อ เรื่องอะไรมายุให้ผัวเมียเขาทะเลาะกัน เป็นพระทำไมทำยังงี้" นางเช้าต่อว่าพลางสูดปากซี๊ด ๆ
"อาตมาไม่ได้ยุ โยมอย่าเข้าใจผิด นี่อาตมาจะช่วยโยมนะ ช่วยไม่ให้โยมต้องตกนรกไงล่ะ" ท่านพระครูชี้แจง
"โธ่ หลวงพ่อ นรกยังอยู่อีกไกล แล้วจะมีจริงหรือเปล่าก็ยังไม่รู้แน่ แต่ที่ใกล้ตัวนี่ซี ฉันยังวิตก รับรองพอหลวงพ่อลงเรือนไป ไอ้บ่ายมันเตะฉันแน่" นางคาดการณ์เมื่อเห็นสายตาท่าทางของสามี
"หลวงพ่อครับ ผมบอกตามตรงว่า ผมเกลียดขี้หน้ามันเหลือเกิน อีนี่มันหาความดีไม่ได้เลย" คนเป็นสามีพูดอย่างแค้นใจ
"ไม่ดีแล้วมึงเอากูมาเป็นเมียทำไม แถมยังมีลูกหัวปีท้ายปี นี่ถ้ากูไม่ทำหมันป่านนี้มิเป็นโหลแล้วรึ" นางเช้าคุยอวด "เสน่ห์" ของตัว
"เอาละ ๆ อย่ามาทะเลาะเบาะแว้งกันต่อหน้าพระสงฆ์องค์เจ้า บาปกรรมรู้หรือเปล่า" เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงปราม
"เดี๋ยวเถอะมึง หลวงพ่อลงเรือนเมื่อไหร่ มึงถูกกูเตะแน่ คอยดูก็แล้วกัน" นายบ่ายผูกอาฆาต
"ขอที ๆ อาตมาขอบิณฑบาตเถอะ การทำร้ายร่างกายกันไม่ใช่สิ่งดี คนเราไม่ใช่เดรัจฉาน พูดจากันได้ สัตว์มันพูดไม่ได้ ถึงต้องใช้กำลังเข้าปะทะกัน โยมอยากเป็นยังงั้นหรือ"
"ไม่อยากครับ" คนตอบก้มหน้าดูพื้น
"มันซ้อมฉันประจำเลยแหละหลวงพ่อ สงสัยจะเป็นสัตว์เดรัจฉานมากเกิด" นางเช้าถือโอกาสฟ้องและด่าสามีไปด้วย
"ก็โยมมันร้ายกาจนักนี่ ปากคอยังกะตะไกรโรงพยาบาล นี่อาตมาไม่ได้เข้าข้างโยมบ่ายนะ" ท่านพระครูพูดอย่างเหลืออด
"ถึงว่าซีครับหลวงพ่อ ผมถึงได้เบื่อมันนัก อยากจะทิ้งไปหาเมียใหม่ ก็สงสารลูก ๆ"
"เอาละ ๆ เลิกพูดเลิกทะเลาะกันเสียที ต่อไปนี้ก็ทำตัวเสียใหม่นะโยมเช้า ส่วนโยมบ่ายก็ห้ามทำร้ายกันแบบนั้น ค่อย ๆ พูด ค่อย ๆ จากัน เดี๋ยวอาตมาจะช่วยอบรมให้" แล้วท่านจึงพูดกับนางเช้าว่า
"โยมต้องปรับปรุงตัวเสียใหม่นะ ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีของลูก ๆ อีกหน่อยก็จะเป็นย่าเคนยายคนแล้ว อย่าให้ลูกหลานมาถอนหงอกเอาได้ ประการแรกโยมต้องเลิกเล่นไพ่อย่างเด็ดขาด อาตมารู้ว่ามันทำยาก เพราะคนที่ถูกผีการพนันเข้าสิงนั้น มักจะเลิกไม่ได้"
"นั่นซีจ๊ะหลวงพ่อ บอกตามตรงว่า ฉันคงอกแตกตายแน่ ๆ หากไม่ได้เล่น บางวันฉันก็คิดจะเลิก แต่มันก็เลิกไม่ได้ ขาไพ่เขามาตาม"
"ทีนี้ถ้าเขามาตาม ก็บอกให้ไปหาอาตมาที่วัดนะ ไปตั้งวงกันที่วัดโน่น บอกเขาอย่างนี้นะ แล้วโยมก็ควรจะไปอยู่วัดสักระยะนึง ไปอบรมจิตใจให้กิเลสตัณหามันเบาบางลงเสียบ้าง"
"ทิดบ่ายเขาจะยอมให้ฉันไปหรือเปล่าก็ไม่รู้" คราวนี้นางเปลี่ยนจาก "ไอ้" มาเป็น "ทิด"
"โอ๊ย เชิญเลย เชิญไปวันนี้พรุ่งนี้เลย ถ้าไปแล้วจะทำให้แกดีขึ้น จะไปอยู่นาน ๆ ก็ได้ ข้าไม่ว่าหรอก ช่วยดัดสันดานให้มันหน่อยนะครับหลวงพ่อ" คนเป็นสามีถือโอกาสฝากฝัง
"ตกลง งั้นพรุ่งนี้โยมเตรียมข้าวของไปอยู่วัดได้" แล้วหันไปพูดกับนายบ่ายว่า "แน่ใจนะว่าจะไม่ไปตามกลับมา ประเดี๋ยวไม่ทันถึงสามวัน ก็จะไปบอก "แม่อีหนูกลับบ้านเถอะ ลูก ๆ มันคิดถึง" ที่แท้ตัวเองนั่นแหละคิดถึงแต่เอาลูกบังหน้า อาตมาเห็นมาหลายรายแล้ว"
"คงไม่หรอกครับหลวงพ่อ ผมกับลูก ๆ คงจะสบายขึ้น เพราะอย่างน้อย ๆ ก็ไม่ต้องถูกมันด่าตอนผีการพนันเข้า"
"ต่อไปนี้ผีไม่เข้าแล้ว ข้ารับรองได้" นางเช้ารีบบอกสามี ด้วยยังแสบปาก แสบคอไม่หาย
"ดีแล้ว โยมต้องเลิกให้ได้นะ เพราะการพนันมันเป็นอบายมุข"
"อบายมุขคืออะไรจ๊ะ หลวงพ่อ"
"คือเหตุแห่งความเสื่อม หรือเหตุแห่งความฉิบหาย มี ๖ ประการ คือ เสพสุราและของมึนเมา ๑ เที่ยวกลางคืน ๑ เที่ยวดูการละเล่น ๑ เล่นการพนัน ๑ คบคนชั่วเป็นมิตร ๑ และเกียจคร้านการงาน ๑ ทั้งหกประการนี้ หากใครประพฤติปฏิบัติ บุคคลนั้นจะไม่ประสบกับความเจริญรุ่งเรือง ในกรณีของโยมก็เช่นกัน ขืนไม่เลิกเล่นไพ่ รับรองวันหนึ่งต้องหมดเนื้อหมดตัว คนโบราณเขาสอนไว้ว่า โจรปล้นสิบครั้งก็ยังดีกว่าไฟไหม้ เพราะบ้านและที่ดินยังเหลือ ไฟไหม้สิบครั้งก็ยังดีกว่าเล่นการพนัน เพราะบ้านไหม้ที่ดินยังอยู่ แต่การพนันนั้นหมดทั้งบ้านทั้งที่ โยมเคยเห็นไหมที่เศรษฐีต้องกลายเป็นยาจก เพราะถูกผีการพนันเข้าสิง โยมอยากเป็นอย่างนั้นใช่ไหม"
"แต่ฉันไม่ใช่เศรษฐีนี่นา" นางเช้าเถียงไปข้าง ๆ คู ๆ
"ฟังมันเถอะหลวงพ่อ แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ผมอยากเตะมันได้ยังไง" นายบ่ายพูดอย่างหมั่นไส้เมียเต็มแก่
"จริง ๆ นะ โยมเช้า โยมนี่กวนโทสะเขาจริง ๆ นั่นแหละ อาตมาเองก็ชักเบื่อที่จะพูดกับโยมแล้ว ก็ในเมื่อเศรษฐียังหมดเนื้อหมดตัว แล้วคนไม่ใช่เศรษฐี จะไม่แย่ยิ่งกว่าหรือ ยังจะมีหน้ามาเถียงอีก"
"เอาเถอะจ้ะ ฉันยอมแพ้ ตกลงเป็นอันว่า ฉันจะเลิกเล่นไพ่อย่างเด็ดขาด แต่เรื่องไปอยู่วัด ขอคิดดูก่อน อ้อ แล้วที่หลวงพ่อบอกจะช่วยได้จริง ๆ หรือ แล้วนรกที่ว่า มันมีอยู่จริง ๆ ใช่ไหม" นางเช้าถามอย่างสนใจ
"อาตมาช่วยได้ก็แค่บอกทางให้ว่าทางนี้ไปนรก ทางนี้ไปสวรรค์ เมื่อรู้แล้วโยมจะยังเลือกไปนรก อาตมาก็ช่วยอะไรโยมไม่ได้ โยมต้องช่วยตัวเอง ทำกรรมแทนกันไม่ได้"
"แล้วนรกมันมีจริง ๆ อย่างที่คนเขาเชื่อกันหรือจ๊ะ" นางถามอีก
"ถามอย่างนี้ แปลว่าโยมไม่เชื่อใช่ไหม"
"ก็เชื่อเหมือนกัน แต่ไม่ค่อยมั่นใจนัก"
"ถ้าโยมอยากมั่นใจ ก็ต้องปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ถ้าตั้งใจปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจัง เมื่อบรรลุญาณที่ ๑๓ เมื่อไหร่ เมื่อนั้นโยมก็จะไม่สงสัยเรื่องนรกสวรรค์อีกต่อไป ถ้าอยากรู้ก็ต้องลงมือพิสูจน์ด้วยตนเอง"
"ญาณ ๑๓ คืออะไรจ๊ะ"
"คือ โคตรภูญาณ ใครปฏิบัติได้ถึงญาณนี้ ก็จะเลิกสงสัยเรื่องการมีอยู่ของนรกสวรรค์ ถ้าบรรลุถึงญาณ ๑๖ ก็จะได้เป็นพระอริยบุคคลระดับต้นที่เรียกว่า พระโสดาบัน เอาเถอะ พูดไปโยมก็ไม่เข้าใจหรอก ของอย่างนี้ไม่อาจเข้าใจด้วยคำพูด ต้องลงมือปฏิบัติ ถึงจะเข้าใจ ถ้าโยมอยากพิสูจน์เรื่องนรกสวรรค์ ก็ต้องปฏิบัติให้ได้ถึงญาณ ๑๓"
"ไม่มีวิธีอื่นเลยหรือหลวงพ่อ คือรู้โดยวิธีอื่นน่ะจ้ะ"
"มี วิธีที่ว่านี้คือ ให้ลองตายดู ถ้าอยากรู้ก็ลองตายเดี๋ยวนี้เลยก็ได้ รับรองได้เห็นนรกแน่"
"โอ๊ย ไม่เอาหรอกหลวงพ่อ ฉันไม่กล้าลอง กลัวมันจะตายจริง ๆ " นางรีบปฏิเสธ
"ในเมื่อไม่กล้าลอง แล้วจะรู้ได้ยังไง อยากรู้มันก็ต้องลอง จริงไหมโยม" ท่านถามนายบ่าย
"จริงครับ แต่สำหรับผม ผมเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์เลยครับหลวงพ่อ เชื่อโดยไม่ต้องลอง"
"ทำไมโยมถึงเชื่อล่ะ"
"เพราะผมเชื่อพระพุทธเจ้าน่ะครับ ที่เชื่อเพราะมั่นใจว่าท่านไม่ได้หลอกลวง ท่านจะมาหลอกลวงเราเพื่อประโยชน์อะไร จริงไหมครับ หลวงพ่อ"
"แหม พูดเข้าที นี่แหละเขาถึงเรียกว่าคนฉลาด หรือโยมเช้าว่ายังไง"
"งั้นก็แปลว่า ฉันโง่ใช่ไหม หลวงพ่อว่าฉันโง่ใช่ไหม" ถามอย่างไม่พอใจ
"อันนี้โยมคิดเอาเอง เอาละ จะตีสองแล้ว อาตมาเห็นจะต้องกลับเสียที" ท่าน "รู้" โดยไม่ต้องดูนาฬิกา นายสมชายนั่งสัปหงกอยู่ใกล้ ๆ ได้ยินว่าท่านจะกลับก็ตาสว่าง
"อย่าลืมนะโยมเช้า เลิกเล่นไพ่ แล้วโยมบ่ายเลิกทุบตีเมีย" ท่านกำชับกำชาสองผัวเมีย
"แต่ถ้ามันยังขืนเล่นอีกล่ะครับ หลวงพ่อจะให้ผมทำยังไง"
"ก็ปรุงยาให้กินซี พริกขี้หนูโขลกกับเกลือ จะยากอะไร" ท่านพระครูบอกเคล็ดลับในการปราบผีการพนัน นางเช้ารีบยืนยันด้วยเสียงหนักแน่นว่า
"เลิกจ้ะหลวงพ่อ ฉันเลิกเด็ดขาด ทิดบ่ายอย่าให้ฉันกินยานั่นอีกเลย ฉันเข็ดแล้วจ้ะ"
ขากลับ เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงช้าเวลาเพียงยี่สิบนาทีก็ถึงวัด กระนั้นก็เป็นเวลาตีสองพอดี นายสมชายง่วงเสียใจไม่อยากจะวิเคราะห์หาเหตุผลว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เขาจัดการปิดประตูกุฏิ แล้วล้างมือล้างเท้าขึ้นนอน พอหัวถึงหมอนก็หลับเป็นตาย...




เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ถวายเทียน ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


ขอเชิญร่วมเททองหล่อพระประทาน พระพุทธเมตตาฯ 14-16 ก.ค.55 วัดคลองทราย บ้านฉาง จ.ระยอง

ขอเชิญร่วมบุญเป็นเจ้าภาพสร้างโบสถ์ วัดสมเด็จดอยน้อย
โทร. 089-950-3179


บุญใหญ่ ร่วมสร้างวิหารทาน สถานปฏิบัติธรรม+ศาลา วัดโนนใจดี จ.อำนาจเจริญ
081-3218613


ขอเชิญร่วมบุญถวายค่าน้ำไฟข้าวสาร
080-904-9778


ขอเชิญร่วมทำบุญจัดสร้างเขตพุทธวาสเฉลิมพระเกียรติฯ ณ วัดธัมมธโร ประเทศออสเตรเลีย
บริจาคในประเทศไทย: โอนเข้าบัญชีเงินฝาก
ชื่อบัญชี กองทุนก่อสร้างเขตพุทธาวาส ณ วัดธัมมธโร
ธนาคาร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาเพลินจิต
เลชที่บัญชี 059-2-70325-3
ส่งใบโอนเงิน (พร้อมรายละเอียดที่อยู่เพื่อรับใบอนุโมทนาบัตร) มาที่ เลขที่ 49/21 ซอยหลังสวน ถนนเพลินจิต กทม.10330



ขอเชิญทำบุญทอดผ้าป่าสามัคคี สร้างอุโบสถศาลา ณ วัดธรรมประทีปร่วมสร้างอุโบสถศาลา ณ วัดธรรมประทีป วอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา ทำพิธีทอดถวายที่ตึกติสสะมหาเถระ วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน กทม.
วันอาทิตย์ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๕ เวลา ๐๙.๓๙ นาฬิกา หรือโอนเงินผ่าน ธนาคารกรุงเทพ
สาขาเซ็นทรัลรามอินทรา ชื่อบัญชี วัดธรรมประทีป วอชิงตัน ดี.ซี. เลขที่บัญชี/Account No_930-0-07864-0 หรือสอบถามได้ที่ เจ้าอาวาสวัดธรรมประทีปฯ 084-707-6149



ร่วมทำบุญทอดผ้าป่า เพื่อช่วยเหลือค่าภัตตาหารวัดกันดารกับมูลนิธิหลวงปู่หลุย
ท่านใดประสงค์จะร่วมบุญ สามารถโอนเงินชื่อบัญชี มูลนิธิจันทสาโร (หลุย)
ธนาคารกรุงเทพ สาขาประชาชื่น สะสมทรัพย์
เลขที่ 193-0-10107-4

กำหนดการ
อาทิตย์ที่ 15 ก.ค. 2555
9.30 น. ทอดผ้าป่าสามัคคี วัดป่ากรรมฐาน 34 วัด
ประธานสงฆ์ หลวงปู่ทองพูล สิริกาโม วัดภูกระแต (วัดป่าสามัคคี) บึงกาฬ



ร่วมทอดผ้าป่าซื้อที่ดินถวายวัด
โทร 0879972979


ขอเชิญร่วมทำบุญสร้างปราสาทประดิษฐ์ฐานพระธาตุประจำวัดบางมูลนาก อำเภอบางมูลนาก จังหวัดพิจิตร


ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพทอดผ้าป่ามหากุศล เพื่อก่อสร้างเมรุ ณ.วัดป่าเกษมคงคาราม
083-2894990


การสร้างเว็บไซต์ธรรมะด้วยตนเอง
________________________________________
http://goodnethost.com/



ร่วมทำบุญบทสวดมนต์ เพื่อเป็นธรรมทาน แผ่นละ 9 บาท
เพราะข้าพเจ้าต้องไปจัดอบรมทุกสัปดาห์ จะนำแผ่นพับนี้เข้าไปแจกเพื่อเป็นธรรมทาน แก่คนที่สนใจ
หลยคนที่ข้าพเจ้าไปอบรม ทุกคนสนใจแต่ปัญหาหลักคือ จะสวดอะไรบ้าง บทไหนบ้างเริ่มต้นจากอะไรบ้างแล้วบทสวดหาได้จากที่ไหน ขออนุโมทนาบุญกับทานผู้ใจบุญ
ร่วมบุญได้ที่ ธนาคารไทยพานิช 5692439411 รุ่งเรือง ภักดิ์ประไพ



ขอเรียนเชิญร่วมถวายพระไตรปิฎก วัดดอยพระฌาน และวัดป่าตันหลวง ต.ป่าตัน อ.แม่ทะลำปาง
ท่า่นใดต้องการจารึกนามบนตู้พระไตรปิฏก โปรดแจ้งก่อนวันที่ ๑๕ กรกฏาคม
บัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาย่อยบิ๊กซีลำปาง
ชื่อบัญชี นายพีระพัชร์ มหาวรรณ์ เลขที่บัญชี 880-222903-6



ท่านใดต้องการรับเป็นเจ้าภาพบวชพระ ติดต่อสอบถามได้
โทร.๐๘๕-๑๙๘-๒๙๑๑


ร่วมเป็็นเจ้าภาพบวชพระเข้าพรรษา วัดบ้านห้วยน้ำขาว จ.กาญจนบุรี
๐๘๗ - ๗๘๕ – ๐๕๐๙


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 2 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO