นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน เสาร์ 11 พ.ค. 2024 8:56 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: เรื่องราว
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 19 มิ.ย. 2012 9:57 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4555
เสียงยามเคาะแผ่นเหล็กสิบสองครั้งบอกเวลาเที่ยงคืน ท่านพระครูจึงบอกอาจารย์ชิตว่า
"สองยามแล้ว โยมควรจะพักผ่อนเสียที พรุ่งนี้อาตมาจะให้ขึ้นกรรมฐาน แล้วก็จะปรุงยารักษาโรคให้ เอาละ ประเดี๋ยวอาตมาจะไปเอาเครื่องนอนมาให้ นอนตรงหน้าอาสนะนี่แหละ" ท่านลุกจากที่นั่งแล้วเดินเข้าไปในห้องนายขุนทอง ประเดี๋ยวหนึ่งก็ออกมาพร้อมเครื่องนอนหนึ่งชุด อาจารย์ชิตรับของจากมือท่านแล้วจัดการปู่เสื่อและกางมุ้ง เขากราบท่านสามครั้ง ด้วยซาบซึ้งในพระคุณอย่างหาที่สุดมิได้
"เอาละ นอนได้แล้ว อาตมาจะให้การบ้านตั้งแต่คืนนี้เลย"
"การบ้านอะไรครับ" บุรุษวัยหกสิบไม่เข้าใจ
"ก็ให้โยมเริ่มปฏิบัติกรรมฐานเสียตั้งแต่คืนนี้เลยน่ะซี วิธีปฏิบัติคือให้เอามือวางไว้ที่ท้อง สังเกตอาการ พอง-ยุบ ขณะที่หายใจเข้า-ออก เมื่อท้องพอง โยมก็ว่าในใจว่า "พอง-หนอ" เมื่อยุบก็ว่า "ยุบ-หนอ" ทำอย่างนี้ไปจนกว่าจะหลับ ไม่ต้องไปสนใจความเจ็บปวดที่ตรงคอ ให้เอาสติมาไว้ที่ท้องตลอดเวลา พยายามทำให้ได้ นี่แหละคือการบ้าน อาตมาจะขึ้นไปทำงานต่อล่ะ"
"หลวงพ่อยังไม่จำวัดหรือครับ"
"ยังหรอกโยม อาตมาไม่เคยนอนต่ำกว่าตีสอง บางคืนก็ทำงานจนถึงตีสี่ซึ่งเป็นเวลาปฏิบัติกรรมฐานพอดี ก็เลยไม่ต้องนอน เอาละ พักผ่อนเถอะ อาตมาจะขึ้นข้างบนเสียที" ท่านปิดไฟห้องรับแขก แล้วพูดกับ "บุรุษผู้มากับก้อนหิน" ด้วยเสียงแผ่วเบาว่า "ช่วยดูแลแขกของอาตมาด้วยนะ เขากำลังป่วยหนัก"
"ครับ กระผมจะดูแลอย่างดีที่สุด ขอขอบพระคุณเจ้าอย่าได้เป็นกังวลเลยขอรับ" บุรุษนั้นรับคำ เขานั่งประนมมือ หมอบอยู่ตรงประตูทางขึ้น
"เอาละ ขอบใจ เป็นยังไงบ้าง ปฏิบัติกรรมฐานไปถึงไหนแล้ว ไม่เห็นมาให้สอบอารมณ์เลย"
"กระผมเกรงใจพระคุณเจ้าน่ะขอรับ เห็นทำงานจนไม่มีเวลาพักผ่อน การปฏิบัติของกระผมก็ก้าวหน้าดีขอรับ หากบรรลุญาณ ๑๖ เมื่อใด ก็จะต้องขอกราบลา"
"แล้วจวนหรือยังล่ะ"
"จวนแล้วขอรับ คิดว่าอีกไม่นานคงได้"
"แล้วไม่ห่วงคู่รักหรือ ไปแล้วไม่ห่วงคนที่มากับเสานั่นหรือ" ท่านหมายถึงเสาตกน้ำมันที่พิงอยู่ใต้ต้นปีบ หลังกุฏิ
"เรานัดกันแล้วขอรับ กระผมจะไปรอเธอที่สวรรค์ชั้นดุสิต เธอบอกจะอยู่รับใช้หลวงพ่อไปก่อน เธอช่วยกวาดบริเวณวัดทุกคืนเลยขอรับ"
"อาตมาทราบแล้ว ฝากขอบใจเขาด้วย ลานวัดสะอาดสะอ้านขึ้นมากตั้งแต่เขามาอยู่ เอาเถอะ พากันสร้างบารมีเข้าไว้ จะได้ไม่ตกลงไปในภพภูมิต่ำ อย่าลืมดูแลแขกของอาตมาด้วย จะขึ้นไปทำงานละ" พูดจบ ท่านจึงขึ้นไปชั้นบน
อาจารย์ชิตไหว้พระสวดมนต์เสร็จแล้วจึงล้มตัวลงนอน เอามือวางบนท้องสังเกตอาการเคลื่อนไหวของมันดังที่หลวงพ่อท่านสอน นับตั้งแต่ถูกโรคร้ายรุมเร้า เขากลายเป็นคนโกรธง่าย เจ้าโทสะ ฉุนเฉียว จนลูกเมียเข้าหน้าไม่ติด ห้าปีเต็มที่ต้องมีชีวิตอย่างทุกข์ทรมานและสิ้นหวัง ชะรอยคงเป็นบุญเก่าที่นำให้มาพบพระภิกษุผู้เปี่ยมด้วยเมตตาธรรม เช่นท่านพระครู
เป็นวันแรกที่เขารู้สึกสบายอกสบายใจ และมีความหวังว่าชีวิตจะปลอดภัยจากโรคมะเร็งร้าย ในภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น บุรุษวัยหกสิบรู้สึกว่ามีคนเอาสำลีชุบน้ำอุ่นมาเช็ดแผลที่คอ ซึ่งมีน้ำเหลือไหลเยิ้มอยู่ตลอดเวลา และส่งกลิ่นเหม็นอย่างร้ายกาจ ขาพยายามจะลืมตาขึ้นดูว่าเป็นผู้ใด หากก็รู้สึกว่าเปลือกตาหนักจนลืมไม่ขึ้น จะว่าเป็นพ่อหนุ่มกระเทยคนนั้นก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะแกแสดงท่าทางรังเกียจ ขนาดหนีขึ้นไปนอนข้างบน คงเป็นหลวงพ่อผู้มีจิตเปี่ยมด้วยเมตตานั่นเอง แล้วเขาก็ผล็อยหลับไปอย่างมีความสุข เป็นความสุขที่ชีวิตไม่เคยได้สัมผัสในช่วงห้าปีที่ผ่านมา
เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงนั่งเขียนหนังสืออยู่จนถึงตีสอง จากนั้นจึงลงมาล้างมือล้างเท้าที่ห้องน้ำใต้บันได เพื่อเตรียมจำวัด ขณะเอนกายลงอย่างมีสตินั้น บัดดลก็ให้รู้สึกปีติซาบซ่านทั่วสรรพางค์จึงใช้ "เห็นหนอ" ตรวจสอบดู พระบัวเฮียวนั่นเองที่เป็นต้นเหตุของความรู้สึกเช่นนี้ ท่านพูดในใจว่า
"ขอบใจเธอมากบัวเฮียวที่อุตส่าห์แผ่เมตตามาให้ แต่คงจะไม่มีใครช่วยฉันได้หรอก ใครเลยจะฝืนกฎแห่งกรรมไปได้ ฉันรู้ตัวดี วันเสาร์ที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๒๑ เวลา ๑๒.๔๕ น. ฉันจะต้องคอหักตายเพราะอุบัติเหตุรถคว่ำ ต้องตายอย่างแน่นอน ฉันตรวจสอบดูแล้ว"
ก่อนเข้าสู่ห้วงนิทรารมณ์ ท่านหวนระลึกถึงพุทธวจนะที่ว่า "คนทำบาปเอง ตนก็เศร้าหมองเอง ตนไม่ทำบาป ตนก็บริสุทธิ์เอง ความบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์เป็นของเฉพาะตน คนอื่นจะให้คนอื่นบริสุทธิ์แทนไม่ได้"
เมื่อท่านพระครูกลับจากบิณฑบาต นายสมชายจัดสำรับถวายท่าน แล้วนั่งคอยรับใช้อยู่ห่าง ๆ อาจารย์ชิตยังคงนอนหลับอย่างมีความสุข และท่านเจ้าของกุฏิก็ไม่ต้องการจะรบกวนเขา ด้วยรู้ว่าบุรุษวัยหกสิบมิได้หลับสบายเช่นนี้มาห้าปีแล้ว เมื่อท่านฉันเสร็จ คนที่กำลังหลับอยู่ก็ตื่นพอดี เขารีบออกตัวว่า
"ผมตื่นสายขนาดนี้เชียวหรือครับ ต้องขอประทานโทษ เพราะหลับสบายดีเหลือเกิน" พูดพลางลุกขึ้นมาเก็บที่นอน รู้สึกกระปรี้กระเปร่าเหมือนไม่ใช่คนที่กำลังป่วยหนัก จากนั้นจึงนำแปรงและยาสีฟันออกมาจากกระเป๋าเสื้อผ้า ท่านพระครูชี้ไปที่ห้องน้ำใต้บันได พลางกล่าวอนุญาตให้เขาเข้าไปใช้ได้
"หลวงพ่อให้เขาใช้ทำไม ประเดี๋ยวก็เหม็นแย่" นายสมชายติง พอดีกับนายขุนทองทำความสะอาดกุฏิชั้นบนเสร็จ และลงมาข้างล่าง เมื่อรู้ว่าบุรุษนั้นเข้าใช้ห้องน้ำใต้บันได ก็โวยวายลั่น
"หนูไม่ย้อมไม่ยอม ทำไมหลวงลุงถึงทำแบบนี้"
"เบา ๆ หน่อยเจ้าขุนทอง ยังไงก็เห็นแก่หน้าข้ามั่ง" ท่านพระครูปราม "มันห้องน้ำของข้า ข้าจะให้ใครใช้ มันก็เรื่องของข้า พวกเอ็งมาเดือดร้อนอะไรด้วย"
"ดีแล้ว งั้นหลวงลุงทำความสะอาดก็แล้วกัน หนูไม่ทำอีกแล้ว" กระเทยหนุ่มว่า
"ผมก็คงไม่เหมือนกัน" นายสมชายสมทบ
"เอาละ ไม่เป็นไร พวกเอ็งไม่ทำ ข้าทำของข้าเองก็ได้ จะได้รู้ว่าคนอย่างพวกเอ็งนั้นเลี้ยงเสียข้าวสุก จิตใจไร้ความเมตตา เขาทุกข์เพราะโรคร้ายก็ทรมานพอแล้ว ยังจะมาทุกข์เพราะกิริยาท่าทางของพวกเอ็งอีก เสียแรงที่อยู่ใกล้ข้า แต่ไม่เอาเยี่ยงอย่างข้าเลยแม้แต่น้อย ลองเอาใจเขามาใส่ใจเราบ้างซิ ถ้าพวกเอ็งเป็นอย่างเขา จะรู้สึกยังไง" ท่านเจ้าของกุฏิ "เทศน์" เสียยืดยาวจนชายหนุ่มทั้งสองได้คิด เขาก้มลงกราบขอขมา
"ผมผิดไปแล้วครับ หลวงพ่อกรุณายกโทษให้ผมด้วย" นายสมชายพูดก่อน
"หนูก็ผิดไปแล้วฮ่ะหลวงลุง หนูกราบขอขมา" นายขุนทองพูดบ้าง
"พอดีอาจารย์ชิตออกมาจากห้องน้ำ เขาได้ยินการสนทนานั้น หากไม่ถือสา เพราะเข้าใจความรู้สึกของคนทั้งสองดี แต่ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็คงโกรธหน้าดำหน้าแดงไปเหมือนกัน
"ผมหลับสนิทเลยครับหลวงพ่อ รู้สึกตัวเหมือนกันตอนที่หลวงพ่อมาเช็ดแผลให้ ผมอยากจะกล่าวขอบคุณ แต่รู้สึกปากมันหนักจนพูดไม่ออก แถมลืมตาก็ไม่ขึ้นด้วยครับ"
"อ้อ ยังงั้นหรือ มีคนมาพยาบาลตอนหลับหรือ" ท่านพระครูถามยิ้ม ๆ ด้วยรู้ว่า "ใคร" คือบุคคลคนนั้น
"ไม่ใช่หลวงพ่อหรอกหรือครับ" อาจารย์ชิตถามอย่างฉงน
"อาตมาไม่ได้ลงมาเอง แต่สั่งคนอื่นมาทำแทน เอาเถอะ ไม่ต้องซักถามอะไร" นายสมชายกับนายขุนทองมองตากัน แล้วหนุ่มกระเทยก็โพล่งขึ้นว่า
"สงสัยจะเป็นนายก้อนหินมั้ง หลวงลุง"
"นายก้อนหินไหนครับ" อาจารย์ชิตถาม ท่านพระครูขยิบตาใส่หลานชาย เป็นเชิงห้ามไม่ให้พูด แต่ชายหนุ่มมองไม่เห็น จึงพูดต่อ
"ก็ที่ครูสองผัวเมียเอามาถวายหลวงลุงนั่นไงที่อยู่...." ยังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกนายสมชายสะกิดอย่างแรงจึงต้องหยุด
"อย่าไปฟังเจ้าขุนทองเลยโยมธาตุมันไม่ค่อยดี เลยชอบพูดเพ้อเจ้ออยู่เรื่อย" หลานชายอ้าปากจะเถียง หากนายสมชายพูดตัดบทขึ้นว่า
"เราไปกินข้าวที่หอฉันกันเถอะ จะได้ให้อาจารย์กินที่นี่" แล้วเขาก็จัดสำรับที่ท่านพระครูฉันเสร็จแล้วนั้นให้อาจารย์ชิต ตัวเขากับนายขุนทองพร้อมใจกันเดินไปรับประทานที่หอฉันร่วมกับเด็กวัดคนอื่น ๆ
"ทานอาหารเสียก่อน ประเดี๋ยวจะให้ขึ้นกรรมฐาน ทานได้หรือเปล่า หรือว่าจะทานข้าวต้ม"
"ไม่ต้องหรอกครับหลวงพ่อ ผมเบื่อข้าวต้นจะแย่อยู่แล้ว วันนี้จะขอทานน้ำพริกผักต้มดู คงไม่มีปัญหาอะไรครับ" แล้วเขาจึงลงมือรับประทาน รู้สึกรสชาติถูกปากจนรับประทานได้หลายคำ ทั้งที่ยังเจ็บคออยู่ รับประทานเสร็จ ก็เตรียมเก็บสำรับจะนำไปล้าง
"เอาไว้นั่นแหละ ไม่ต้องทำ ประเดี๋ยวสองคนนั่นเขามาจัดการเอง" ท่านหมายถึงคนเป็นศิษย์วัดกับคนเป็นหลาน พอดีนายขุนทองเดินเข้ามา
"สมขายไปไหนเสียล่ะ" ท่านถาม
"ไปหาต้นใต้ใบกับต้นไมยราบมาให้หลวงลุงฮะ บอกให้หนูมาเก็บสำรับ" เขายกสำรับออกไปวางบนโต๊ะหลังห้องรับแขก ครอบด้วยฝาชีทำจากตอกไม้ไผ่ แล้วจึงเก็บถ้วยชามที่ใช้แล้วออกไปล้างข้างตุ่มน้ำหลังกุฏิ ค่อยหายใจโลงอกเมื่อห่างบุรุษนั้นออกมา แต่ถึงอย่างไร วันนี้ก็ยังดีกว่าวันวาน อาจเป็นเพราะจมูกเขาเริ่มจะชินกับกลิ่นเน่านั้นก็เป็นได้
ครู่ใหญ่ นายสมชายก็หอบพืชสมุนไพรสองชนิด เข้ามากุฏิ
"เอาไปที่โรงครัว สับให้ละเอียดแล้วผึ่งแดด จากนั้นก็นำไปคั่วให้เหลือง แล้วค่อยเอามาที่นี่ อย่าให้ปนกันนะ" ท่านเจ้าของกุฏิสั่งการ ชายหนุ่มจึงหอบสองสิ่งนั้นไปยังโรงครัว เพื่อจัดการตามคำสั่ง
"ขุนทองช่วยไปตามพระบัวเฮียวมาช่วยนำโยมขึ้นกรรมฐาน แล้วจัดพานดอกไม้ธูปเทียนมาด้วย" ท่านสั่งหลานชายที่เพิ่งเสร็จจากการล้างถ้วยชาม
"ให้หลวงพี่จัดพานมาด้วยหรือฮะหลวงลุง รู้สึกว่าหลวงพี่จะไม่มีพานนะฮะ" หลานชายท้วง
"ข้าให้เอ็งต่างหาก"
"ก็หลวงลุงสั่งไม่ชัดเจนดีแล้วนาหรือว่าโยมว่ายังไง" ท่านหันไปถามอาจารย์ชิต บุรุษวัยหกสิบเพียงแต่ยิ้มหากไม่ออกความเห็น เพราะเกรงนายขุนทองจะโกรธ ทางที่ดีควรนิ่งเข้าไว้
"เห็นไหมหลวงลุง ที่โยมเขานิ่งก็แปลว่าเขาเห็นด้วยกะหนูใช่ไหมฮะ" เขาถามอย่างจะหาพวก ท่านพระครูจึงพูดตัดบทว่า
"เอาเถอะ ๆ อย่ามัวมาต่อนัดต่อแนงอยู่เลย รีบไปตามพระบัวเฮียวได้แล้ว หลังจากนั้นให้เอ็งไปเก็บดอกไม้มา พานและธูปเทียนมีอยู่ที่นี่แล้วไง ข้าสั่งขัดเจนหรือยังคราวนี้"
"ชัดเจ๋งเป้งเลยฮะ" หลานชายใช้ศัพท์ทันสมัย พลางหัวเราะคิก ๆ จากนั้นจึงลุกออกไปตามคำสั่ง
"ประเดี๋ยวโยมรับศีลแปดก็แล้วกันนะ ไหวหรือเปล่า อาตมาอยากจะให้ฝืนใจหน่อย ถ้าถือศีลแปดจะหายเร็วกว่าศีลห้า เพราะการประพฤติพรหมจรรย์ มันเอื้อต่อการปฏิบัติ"
"ไหวครับหลวงพ่อ ปกติผมก็ไม่ค่อยได้รับประทานมื้อเย็นอยู่แล้ว จะได้เตรียมตัวไว้ตอนบวชเลย" อาจารย์ชิตรับคำแข็งขัน
พระบัวเฮียวรู้ว่า อย่างไรเสียก็จะต้องถูกเรียกไปสอบแก้ตัวอีก ดังนั้น หลังจากฉันเช้าเสร็จ ท่านจึงนั่งสมาธิหนึ่งชั่วโมง โดยไม่เดินจงกรม ถอนจิตออกจากสมาธิ แล้วก็แผ่เมตตาให้ตัวเองและอาจารย์ชิต พร้อมทั้งอธิษฐานขอให้ "สอบผ่าน" นายขุนทองมาถึงตอนท่านแผ่เมตตาเสร็จพอดี
"หลวงพี่ฮะ หลวงลุงให้มาตามไปนำโยมคอเน่าคนนั้นขึ้นกรรมฐานฮะ" หนุ่มวัยยี่สิบเอ็ดรายงาน
"ขุนทอง อย่าไปเรียกเขาอย่างนั้นเลย เขาได้ยินเข้า มันจะไม่ดี เขาเป็นอาจารย์ไม่ใช่รึ เรียกเขาว่าอาจารย์ดีกว่านะ" พระบัวเฮียวปรามแล้วเสนอแนะ
"ตกลงฮะ จริงของหลวงพี่ ไอ้หนูมันกระโถนปากแตกเสียด้วย เมื่อเช้าก็ถูกหลวงลุง
เทศน์เพราะเรื่องนี้ เดี๋ยวหลวงพี่ไปเลยนะฮะ หนูจะไปเก็บดอกไม้ก่อน" เข้าไหว้หนึ่งครั้งแล้วเดินจากไป
พระบัวเฮียวกำหนด "ขวา-ซ้าย" ไปยังกุฏิพระอุปัชฌาย์ ครั้นถึงจึงกราบสามครั้งแล้วนั่งตรงที่ที่เคยนั่ง ชะรอยท่านคงจะปฏิบัติก้าวหน้าขึ้นมาก จึงสามารถทนต่อกลิ่นนั้นได้ดีกว่าวันวาน รู้สึกว่าความเหม็นของมันจะลดลงกว่าครึ่ง
อาจารย์ชิตกราบผู้มาใหม่สามครั้งโดยไม่ต้องให้ท่านพระครูบอก ครู่หนึ่งนายขุนทองก็ถือดอกไม้เข้ามา เป็นดอกเข็มกับดอกดาวเรือง เขาจัดการนำมาใส่พานพร้อมธูปและเทียน จากนั้นพระบัวเฮียวจึงกล่าวนำอาจารย์ชิต ขอกรรมฐาน และท่านพระครูให้ศีล
"เอาละ ทีนี่ก็จะลงมือปฏิบัติกันเลย บัวเฮียว เธอกลับที่พักได้แล้ว เป็นอันว่า เธอสอบผ่าน" ท่านเจ้าของกุฏิบอกภิกษุหนุ่ม
"หลวงพ่อจะสอนโยมเองหรือครับ" พระบัวเฮียวถาม เพราะปกติท่านพระครูจะให้ท่านเป็นผู้สอน
"ถูกแล้ว รายนี้ต้องสอนเป็นพิเศษ เพราะเขาป่วย มีอะไรที่ต้องแนะนำนอกเหนือไปจากสอนคนปกติ อ้อ แล้วก็ขอขอบใจนะที่แผ่เมตตามาให้เมื่อคืนนี้" ท่านไม่ได้พูดต่อดอกว่า การทำกรรมแทนกันนั้นเป็นเรื่องที่มิอาจทำได้เพราะ "คนอื่นจะให้คนอื่นบริสุทธิ์แทนไม่ได้"
ที่ไม่พูดเพราะไม่ต้องการให้คนเป็นศิษย์เสียกำลังใจ พระบัวเฮียวจึงเดินกลับกุฏิด้วยจิตที่ผ่องแผ้ว ท่านมิได้กำหนด "ขวา-ซ้าย" เหมือนเมื่อตอนขามา หากเปลี่ยนมากำหนด "ดีใจหนอ สอบผ่านแล้วหนอ" แทน
"เอาละ อาตมาจะสอนให้โยมเดินจงกรมและนั่งสมาธิ แต่ขอเกริ่นไว้ก่อนว่า โยมจะต้องอดทนมาก ๆ ยิ่งปฏิบัติ โยมก็จะยิ่งมีทุกขเวทนาเพิ่มขึ้น คือแผลที่คอมันจะปวดมากกว่าเดิมหลายเท่า โยมก็อย่าท้อถอยตั้งสติสู้กับมัน นึกเสียว่า เราทำกรรมเอาไว้และกำลังชดใช้กรรม ยิ่งปวดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีมากเท่านั้น เพราะถ้าไม่ปวด แสดงว่าจะไม่หาย ขอให้โยมจำอันนี้เอาไว้ให้ดี พอจะทำได้หรือเปล่า"
"ครับ ผมจะพยายามให้ถึงที่สุด กำลังใจผมดีขึ้นเป็นกอง คิดว่าคงสู้กับมันได้" เขาหมายถึงโรคร้าย
"นั่นต้องอย่างนั้น อย่าลืมว่าใจนี่สำคัญที่สุดเลยนะ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ถ้ากำลังใจดีก็ถือว่าสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว พระพุทธองค์จึงได้ทรงสอนไว้ "ธรรมทั้งหลาย มีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐที่สุด สำเร็จแล้วแต่ใจ ถ้าบุคคลมีจิตผ่องใส กล่าวอยู่ก็ตาม ทำอยู่ก็ตาม สุขย่อมไปตามบุคคลนั้น เพราะสุจริตสามอย่างนั้น เหมือนเงา มีปกติไปตามฉะนั้น" เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วง ยกพุทธพจน์มาอ้างเพื่อเป็นกำลังใจแก่คนป่วยหนัก
บ่ายวันเดียวกันนั้น ที่กุฏิท่านพระครูร้างผู้คน เพราะบรรดาผู้มีทุกข์ทั้งหลาย ไม่อาจทนกับกลิ่นเหม็นจากแผลที่คออาจารย์ชิตได้ ท่านเจ้าของกุฏิตั้งใจจะทดสอบความอดทนของพวกเขา จึงไม่ยอมเปลี่ยนไป "รับแขก" ที่ศาลาการเปรียญ ตามที่มีผู้เสนอแนะมา นายสมชายกับนายขุนทองจึงไม่ต้องทำหน้าที่คอยบริการแขก ทั้งสองช่วยกันทำความสะอาดกุฏิและขัดห้องน้ำ ทั้งยังตกลงกันว่า คืนนี้จะกลับมานอนยังที่ของตน ๆ"
"ในเมื่อหลวงพ่อท่านทนได้ เราก็ต้องทนได้ จริงไหมขุนทอง "ศิษย์วัดพูดเสียงเบา เพื่อไม่ให้คนเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองได้ยิน
"จริงฮะ จริงร้อยเปอร์เซ็นต์เลย แหม หนูชักอยากให้อาจารย์ชิตแกอยู่ที่นี่นาน ๆ แล้วฮะ เราจะได้ไม่ต้องรับแขก แล้วหลวงลุงก็จะได้มีเวลาพักผ่อน" หนุ่มวัยยี่สิบเอ็ดว่า ขณะใช้แปรงขัดพื้นห้องน้ำ
"พูดยังงั้นมันก็ไม่ดี อย่าลืมว่าญาติโยมที่เขามาหาหลวงพ่อเพราะเขามีทุกข์นะ แล้วหลวงพ่อท่านก็ช่วยแนะนำให้พวกเขาหายทุกข์ ซึ่งจะหายมากหายน้อยก็ขึ้นอยู่กับว่าเขาปฏิบัติตามได้แค่ไหน หรือบางคนไม่นำไปปฏิบัติเลย ก็ต้องทุกข์กันต่อไป เอ็งไปพูดอย่างนั้น ก็เหมือนกับขาดเมตตาธรรม" คนอาวุโสกว่าอธิบาย
"จริงของพี่ ถ้าพวกเขาไม่มาหลวงลุงก็ไม่ได้สร้างบารมี จริงไหม การช่วยคนให้พ้นจากความทุกข์เป็นการสร้างบารมีอย่างหนึ่ง ใช่ไหม"
"ถูกแล้ว แหมเดี๋ยวนี้เอ็งชักเก่งขึ้นนะ เก่งขึ้นกว่าแต่ก่อนจนเกือบจะเรียกได้ว่าเป็นคนละคนเลย" นายสมชายชม
"คนเรามันก็ต้องมีการพัฒนากันบ้างแหละพี่ จะให้งี่เง่าอยู่ตลอดเวลาได้ไง" นายขุนทองว่า
"นั่นสิ แต่ข้าว่า เพราะเอ็งได้มาอยู่ใกล้หลวงพ่อด้วยแหละ เพราะข้าเองก็รู้สึกตัวเหมือนกันว่า ถ้าไม่ได้มาอยู่รับใช้ใกล้ชิดหลวงพ่อ ป่านนี้อาจกลายเป็นไอ้โจรห้าร้อยไปแล้ว"
"ทำไมต้องห้าร้อยด้วยล่ะพี่ สองร้อยสามร้อยไม่ได้หรือ" นายขุนทองเริ่มยวน นายสมชายกำลังอารมณ์ดี จึงตอบว่า
"ก็คงได้มั้ง แต่ข้าไม่เคยได้ยินใครเขาพูดว่า ไอ้โจรสองร้อย หรือไอ้โจรสามร้อย ได้ยินแต่ไอ้โจรห้าร้อย"
เสียงร้องครวญครางให้ท่านพระครูช่วยดังมาจากด้านหน้าของกุฏิ
นายสมชายใช้ให้นายขุนทองออกไปดู ฝ่ายนั้นจึงละมือจากการขัดพื้นห้องน้ำ พอเปิดประตูออกมาก็ร้องกรี๊ด
"ว้าย ตาเถนหกคะเมนตีลังกา ตายแล้วตายแล้ว นางมณโฑนมโตข้างเดียว"
"โอยปวด....ปวดเหลือเกิน หลวงพ่อจ๋า ช่วยลูกช้างด้วย" สตรีวัยยี่สิบเศษนอนร้องครวญครางอยู่ตรงประตูทางเข้า หล่อนสวมผ้าซิ่นสีน้ำตาลเข้ม ทว่าท่อนบนเปลือยเปล่า ปทุมถันข้างหนึ่งใหญ่กว่าปกติประมาณสามเท่าของอีกข้าง ในมือหล่อนถือเสื้อมาด้วย อาจารย์ชิตกำลังนั่งสมาธิอยู่ ได้ยินเสียงร้องครวญคราง จึงลืมตาขึ้นดู
ภาพที่เห็นไม่ได้ทำให้เขาเกิดความกำหนัดยินดีในกามคุณ เพราะหญิงสาวผู้นี้คงอายุรุ่นราวคราวเดียวกับลูกสาวของเขา ความรู้สึกที่มีต่อหล่อนคือสมเพชเวทนา รู้ว่าหล่อนจะต้องเป็นมะเร็งที่เต้านมแล้วก็คงเจ็บปวดไม่แพ้มะเร็งต่อมน้ำเหลืองของเขา
"หนู ทำไมไม่ใส่เสื้อให้เรียบร้อยล่ะ มาหาพระหาเจ้าควรแต่งการให้มิดชิดนะหนูนะ" บุรุษสูงอายุพูดด้วยเมตตา
"มันใส่ไม่ไหวจ้ะลุง ปวด ปวดเหลือเกิน ลองลุงมาเป็นฉันมั่ง จะรู้ว่ามันทรมานแค่ไหน" หญิงสางพลางสะอื้นฮัก ๆ
"ลุงรู้ ทำไม่จะไม่รู้ นี่ลุงก็เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองมาห้าปีแล้ว ปวดอย่างที่หนูปวดนั่นแหละ แล้วก็เหม็นเน่าด้วย หนูได้กลิ่นไหมล่ะ" เขาชี้แผลที่คอบริเวณใต้กกหูข้างขวา
ขณะที่อาจารย์ชิตสนทนาอยู่กับผู้หญิงคนนั้น นายขุนทองก็ตะลีตะลานขึ้นไปรายงานท่านพระครู เห็นท่าทางลนลานของอีกฝ่าย นายสมชายจึงออกมาดูและรู้สึกสงสารหล่อน หากความสงสารนั้น ก็ระคนด้วยความกำหนัดยินดีตามประสาคนหนุ่มที่มาเห็นเพศตรงข้ามเปลือยอก
"หลวงลุงเร็ว ๆ เข้า นางมณโฑ.....นางมณโฑ" นายขุนทองละล่ำละลัก ท่านพระครูวางปากกาแล้วถาม
"อะไรของเอ็งล่ะ นางมณโฑไหน ใช่คนที่เป็นเมียทศกัณฐ์หรือเปล่า" ท่านเจ้าของกุฏิถามอย่างอารมณ์ดี
"จะใช่หรือเปล่าก็ไม่รู้ซีฮะ หลวงลุงลงไปดูเอาเองดีกว่า เขาร้องหาหลวงลุงอยู่น่ะ" ท่านพระครูจึงเดินลงมาทันเห็นสายตาของลูกศิษย์หนุ่มซึ่งจ้องเขม็งอยู่ที่อกหญิงสาว จึงออกอุบายว่า
"สมชายไปดูยาที่ตากไว้ซิว่า แห้งหรือยัง ถ้ายังก็ให้นั่งเฝ้าไว้จนกว่าจะแห้ง เมื่อแห้งแล้วก็นำไปคั่ว เสร็จแล้วก็ต้มน้ำมากาหนึ่ง ต้มให้เดือดด้วยนะ" ชายหนุ่มจึงจำลุกออกไปทั้งแสนเสียดาย เดินพลางนึกในใจว่า "แม่เจ้าโวย ทำไมมันถึงได้ใหญ่โตขนาดนั้น นี่ของแฟนเรา จะได้ครึ่งหรือเปล่าหนอ" ปุถุชนคนหนุ่มคิดคำนึงไปถึงคนรัก
เห็นท่านเจ้าของกุฏิลงมา หญิงสาวจึงคลานเข้ามาใกล้อาสนะ กราบพลางคร่ำครวญว่า
"หลวงพ่อช่วยลูกช้างด้วย ปวดจะตายอยู่แล้ว" หล่อนร้องไห้สะอึกสะอื้น ท่านพระครูแผ่เมตตาจิตไปให้ กระแสแห่งเมตตาทำให้หล่อนรู้สึกว่า ความเจ็บปวดนั้นบรรเทาเบาลง
"ใส่เสื้อก่อนหนู นุ่งห่มให้เรียบร้อย ไม่ต้องกลัว เดี๋ยวหลวงพ่อจะช่วย" ท่านพูดอย่างปรานี นายขุนทองนั่งคุมเชิงอยู่ใกล้ ๆ ด้วยเกรงว่าหล่อนจะเข้ามาประชิดติดตัวหลวงลุง ก็หล่อนดูเจ็บปวดจนขาดสติออกอย่างนั้น หญิงสาวหยุดสะอื้น เอาเสื้อในมือขึ้นมาใส่ แล้วจึงบอกท่านว่า
"ปวดเหลือเกินจ้ะหลวงพ่อ มันทรมานฉันเหลือเกิน ไอ้โรคบ้า ๆ นี่" หล่อนพูดอย่างโกรธแค้น ทั้งโกรธทั้งแค้นเจ้าโรคร้ายที่มาคุกคามชีวิตหล่อน
"หนูมาจากไหนเล่านี่ บ้านอยู่ไหน" ท่านเจ้าของกุฏิถาม
"โธ่ หลวงพ่อ จำฉันไม่ได้หรือ ส้มป่อยไงล่ะ บ้านอยู่ตรงข้ามวัดโน่นไง" หล่อนชี้มือไปยังบ้านที่ตั้งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำเจ้าพระยา
"อ้าวเอ็งหรอกหรือส้มป่อย แล้วมายังไงล่ะนี่" เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงถาม ท่านเห็นนางสาวส้มป่อยมาตั้งแต่หล่อนยังเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ เพราะหล่อนมักตามมารดามาทำบุญที่วัดนี้ทุกวันพระ เพิ่งมาหายหน้าหายตาไปเมื่อห้าหกปีมานี้
"ฉันมาเรือจ้างจ้ะ หลวงพ่อช่วยฉันด้วยเถอะ ฉันไม่มีเงินไปหาหมอ ทุกวันนี้ ฉันก็ตัวคนเดียว พ่อแม่พี่ส้องหายสาบสูญไปหมด"
"แน่ล่ะซี ข้าก็ได้ข่าวอยู่เหมือนกัน เอ็งเห็นหรือยังล่ะว่า เวรกรรมนั้นมีจริง ไม่ต้องรอไปถึงชาติหน้าหรอก จำได้หรือเปล่าว่าเอ็งทำกรรมอะไรไว้"
"จำไม่ได้จ้ะ หลวงพ่อช่วยบอกฉันด้วยเถอะ" หล่อนว่า
"อ้าว ก็เองทำเอง จะมาให้ข้าบอกได้ยังไง ลองนึกดูดี ๆ ซิ"
"ฉันขี้เกียจนึก หลวงพ่อนึกเผื่อฉันด้วย แล้วช่วยบอกฉันทีว่า จะแก้กรรมได้ยังไง" หล่อนพูดง่าย ๆ นึกโกรธขึ้นมาตะหงิด ๆ ตามวิสัยของคนที่เจ็บป่วยด้วยโรคร้าย ท่านพระครูไม่ถือสา เพราะมนุษย์ทุกรูปนาม ย่อมมีธรรมชาติเหมือนกันหมด นั่นคือ เมื่อสุขกาย ใจก็แช่มชื่น ครั้นเมื่อทุกข์กาย ใจก็เศร้าหมอง และมองโลกในแง่ร้าย เหมือนดังนางสาวส้มป่อยผู้นี้
"เอาละ เมื่อเอ็งนึกไม่ออก ข้าก็จะช่วยนึกให้ จำได้หรือเปล่า เมื่อห้าหกปีที่ผ่านมา เองเอาลูกหมาใส่เรือมาปล่อยที่ฝั่งนี้ แล้วข้าเตือนเอ็ง เอ็งก็ไม่เชื่อ ลูกหมามันยังเล็ก ยังไม่ทันลืมตาด้วยซ้ำ เอ็งก็นำมันมาปล่อยเสียแล้ว ข้าบอกให้มันโตอีกสักหน่อย พอช่วยตัวเองได้เสียก่อน แล้วจะเอามันมาปล่อยที่วัด ข้าก็ไม่ว่า นี่เอ็งเถียงฉอด ๆ ว่า แม่ใช้ให้มาปล่อย รู้ไหมลูกหมาเหล่านั้น มันก็นอนตายอยู่ริมหาดนั่นเอง ข้าเตือนทั้งแม่เอ็งด้วยว่า อย่าไปสร้างเวรสร้างกรรม แม่เอ็งก็ไม่เชื่อข้า แถมโกรธจะเป็นจะตาย ขนาดไม่ยอมมาทำบุญที่วัดนี้อีก ทีนี้เป็นยังไงล่ะ โดนกฎแห่งกรรมเล่นงานทั้งครอบครัวเลย ข้ารู้ตลอด เพราะมีคนเขาบอกข้า จะให้เล่าไหมล่ะว่าเกิดอะไรขึ้น"
อาจารย์ชิตกำลังนั่งสมาธิอยู่ใกล้ ๆ เขาได้ยินเรื่องที่ท่านพระครูพูดแล้วก็ฟังเพลิน จนถึงกับทิ้ง "พอง-ยุบ" มาสนใจที่การสนทนา ท่านเจ้าของกุฏิจึงพูดขึ้นว่า
"โยม อยากฟังก็ลืมตาได้ นั่งหลับตาฟังยังงั้นจะไปรู้เรื่องอะไร เอาเถอะ อาตมาอนุญาต" ดังนั้นบุรุษสูงวัยจึงลืมตาด้วยท่าทางขัดเขินที่ท่านรู้ทัน
"ว่าไง จะให้ข้าเล่าหรือเปล่า แต่ถึงไม่ให้ ข้าก็จะเล่า เพราะเอ็งมาให้ข้าช่วย ขอบอกไว้ ณ ที่นี้เสียเลยว่า นอกจากข้าแล้ว ไม่มีใครช่วยเอ็งได้ ถึงเอ็งจะไปหาหมอ เขาก็ช่วยเอ็งไม่ได้"
"เอาเหอะ ๆ หลวงพ่อจะเล่าก็เล่าไปเถอะ ก็ฉันไม่มีทางเลือกแล้วนี่ ไอ้หมอ ไอ้หมาที่ไหน ฉันก้ไม่ไปหามันหรอก ไม่มีเงินให้มัน" สาววัยยี่สิบเศษพูดพาล ๆ
"หนู พูดกับพระกับเจ้า ควรจะให้สุภาพหน่อย ลุงรู้ว่าหนูหงุดหงิดเพราะความเจ็บปวด ถึงลุงเองก็เป็นอย่างหนูมาก่อน แต่ลุงก็พยายามสงบสติอารมณ์ ที่หลวงพ่อท่านพูดมาก็จริงของท่านนะ นี่ขนาดลุงเป็นมาห้าปี ผ่าตัดมาสองครั้งก็ยังไม่หาย ลุงก็หวังจะมาตายอยู่ใกล้หลวงพ่อ เพิ่งมาได้วันเดียวยังรู้สึกว่าอาการดีขึ้น หนูจะต้องหายแน่ เชื่อลุงเถอะ แล้วก็พูดกับท่านให้สุภาพหน่อย ชีวิตของหนูอยู่ในกำมือท่านก็ว่าได้" เขาเตือนด้วยความหวังดี เพราะคิดว่าหล่อนก็เหมือนลูกหลานคนหนึ่งของเขา
"ลุงก็อยู่ส่วนลุงซี มายุ่งอะไรกะฉัน ฉันจะพูดยังไงก็ไม่เห็นจะหนักกบาลใคร" หล่อนถือโอกาสเล่นงานอาจารย์ชิต เพราะโกรธท่านพระครู
"อีส้มป่อย นี่กูชักจะทนไม่ไหวแล้วนะ ประเดี๋ยวก็ตบล้างน้ำซะนี่ จะตายอยู่รอมร่อแล้วยังมาทำกำแหง เดี๋ยวกูตบสลบแล้วลากไปทิ้งหาดทรายให้ตายอย่างลูกหมานั่นหรอก" นายขุนทองพูดอย่างเหลืออดเหลือทน พลางเงื้อมือไม้ นางสาวส้มป่อยตกตะลึกอ้าปากค้าง เห็นท่าทางเอาจริงของอีกฝ่าย ก็ชักกลัว
"ขุนทอง เอ็งไปดูที่ครัวซิ สมชายคั่วยาเสร็จหรือยัง ไปเดี๋ยวนี้เลย" ท่านเจ้าของกุฏิออกคำสั่ง คิดไม่ทันคาดไม่ถึงว่าหลานชายจะร้ายกาจถึงปานนี้ นายขุนทองขยับปากจะพูดแต่ท่านรีบห้ามว่า "ไม่ต้องพูดอะไรทั้งสิ้น รีบไปทำตามที่ข้าสั่ง" หนุ่มวัยยี่สิบเอ็ดจึงเดินตุปัดตุป่องออกไป
"ข้าต้องขอโทษเอ็งด้วยนะส้มป่อย ที่คนของข้าแสดงกิริยาไม่ดีกับเอ็ง อย่าถือสามันเลย มันเป็นเด็กมีปัญหา" ท่านขอโทษแทนหลาน
"เด็กเดิกอะไรกัน โตยังกะงัวกะควาย หลวงพ่ออบรมมันยังไง ถึงได้เป็นยังงี้" นางสาวส้มป่อยถือโอกาสตำหนิติเตียนทั้งนายขุนทองและท่านพระครู แต่กลับลืมตำหนิตัวเอง
"ข้าก็อบรมมันอย่างดีนั่นแหละแต่เพราะมันไม่เชื่อฟัง มันถึงได้เป็นอย่างนี้ เอ็งก็เหมือนกัน ถ้าเชื่อฟังข้า ก็จะไม่เป็นอย่างที่เป็นอยู่นี่หรอก" ท่านถือโอกาสเล่นงานหล่อนบ้าง คราวนี้หญิงสาวเถียงไม่ออก เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงจึงพูดต่ออีกว่า
"ที่ข้าพูดมาแล้วและที่กำลังจะพูดต่อไปนี้นั้น ข้าไม่ได้มีเจตนาจะประจานเอ็ง แต่ที่ต้องพูดเพราะมันเกี่ยวกับการรักษาโรคที่เอ็งเป็นอยู่ พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้ว่า ทุกข์จะดับได้ก็ต้องรู้สาเหตุของทุกข์ ฉะนั้นเอ็งจำเป็นจะต้องรู้สาเหตุของทุกข์ที่เอ็งได้รับอยู่ในขณะนี้ จะได้ไม่ไปโทษว่า โชคชะตาเล่นตลกกับเอ็ง คนสมัยนี้ชอบโยนความผิดไปให้โชคชะตา หารู้ไม่ว่าตัวเองนั่นแหละลิขิตตัวเอง เอาละ ทีนี้ข้าจะเล่าว่า เกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวเอ็ง ตามที่คนเขามาเล่าให้ข้าฟัง เอ็งฟังก่อน แล้วถ้าไม่จริงค่อยแย้งทีหลัง เข้าใจหรือเปล่า ระหว่างที่ข้าพูด ขอให้ฟังอย่างเดียว" ท่านวางเงื่อนไข
"เข้าใจจ้ะ นิมนต์หลวงพ่อพูดเถอะจ้ะ" เห็นว่าจะเป็นประโยชน์กับตัวหล่อนเอง นางสาวส้มป่อยจึงอารมณ์ดีขึ้น ท่านพระครูจึงเล่าว่า
"พ่อเอ็งหายไปก่อนใช่ไหม บอกจะไปหางานทำที่จังหวัดลำปาง แล้วก็หายเงียบไป ไม่ส่งข่าวคราวให้ทางบ้านรู้ รุ่งอีกปีนึง แม่กับพี่ชายเอ็งบอกจะไปตามหาพ่อเอ็ง แล้วก็หายเงียบไปอีก และเมื่อสองปีที่แล้ว พี่สาวกับน้องชายเอ็ง ก็ทิ้งเอ็งไว้คนเดียว แล้วพากันไปตามหาแม่กับพ่อของเอ็ง พอเอ็งอยู่คนเดียวก็คิดมาก เมื่อคิดมาก็เครียดมาก เมื่อเครียดหนัก ๆ มะเร็งก็เล่นงานเอ็ง นี่แหละผลกรรมที่เอ็งก่อไว้กับลูกหมา ไปพรากลูกพรากแม่มัน แล้วก็ทำให้มันตายอย่างทรมาน กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ที่เองเอามันมาทิ้ง จำได้หรือเปล่าว่ากี่ครั้ง" ท่านถามจำเลยซึ่งนั่งนิ่งเหมือนรูปปั้น
"จำไม่ได้จ้ะหลวงพ่อ รู้แต่ว่าอีด่าง อีเขียวออกลูกทีไร แม่ก็ให้ฉันเป็นคนเอามาทิ้งทุกที ฉันก็นึกไม่ถึงว่า เวรกรรมมันจะเล่นงานฉันถึงปานนี้ นี่ถ้าเชื่อหลวงพ่อเสียตั้งแต่ตอนนั้น ก็คงไม่เป็นอย่างนี้ใช่ไหมจ๊ะ" หล่อนเพิ่งจะสำนึกผิด
"เอาเถอะ ๆ ไหน ๆ เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว เมื่อเอ็งก่อกรรมก็ต้องรับผลของมัน ไม่มีใครมารับแทนเอ็งได้ รู้อย่างนี้แล้วก็ต้องอดทน คิดเสียว่า ใช้เวรที่ทำ ใช้กรรมที่ก่อ ใช้หมดเมื่อไหร่ เอ็งก็จะหาย นี่โยมเขาก็มาใช้เวรใช้กรรมแบบเดียวกับเอ็งนั่นแหละ" ท่านหมายถึงอาจารย์ชิต
"ลุงทำกรรมอะไรไว้หรือจ๊ะ" หล่อนหันไปพูดดีกับบุรุษสูงวัย เป็นการขอลุแก่โทษ
"ลุงยังนึกไม่ออกเลยหนู หลวงพ่อท่านก็ไม่ยอมบอกลุงเหมือนที่บอกหนู" บุรุษวัยหกสิบตอบ เขาเองก็อยากรู้ว่า ทำกรรมอะไรไว้
"ในกรณีของโยม อาตมาจะยังไม่บอก ต้องให้รู้เอง ถึงจะซึ้งใจ เอาเถอะ ภายในเจ็ดวันนี้ ถ้าโยมปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ก็คงจะนึกได้" เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงพูดให้กำลังใจ หากไม่บอกในสิ่งที่เขาอยากรู้
"เอาละ ประเดี๋ยวเอ็งไปพักที่สำนักชีก่อน เย็น ๆ ให้เขาพามาขึ้นกรรมฐาน ต้องมารักษาอยู่ที่วัดนี่นะ ไม่ต้องอยู่บ้าน ให้ชีเขาช่วยดูแล ถ้าไปอยู่บ้านคนเดียว ก็จะฟุ้งซ่านอีก ดีไม่ดีจะกลายเป็นคนวิกลจริตไป"
"มาเช้าเย็นกลับ ไม่ได้หรือจ๊ะหลวงพ่อ ฉันห่วงบ้าน" หล่อนต่อรอง
"ไม่ต้องเป็นห่วงของนอกกาย ให้ห่วงตัวเองก่อน ทิ้งไว้นั่นแหละ ใครเขาอยากได้อะไรก็ให้เขาไป นึกว่าใช้หนี้ แต่เชื่อข้าสักอย่างหนึ่งว่า ถ้าเอ็งไม่เคยไปลักขโมยใครเขาไว้ รับรองว่าไม่มีใครเขามาลักของเอ็ง"
"ถ้าอย่างนั้น ฉันขอกลับไปเอาเสื้อผ้า แล้วเก็บข้าวเก็บของใส่ในเรือนไว้ก่อนได้ไหมจ๊ะ เย็น ๆ ฉันค่อยมา" หล่อนขออนุญาต
"ตามใจเอ็งก็แล้วกัน จะไปก็ได้" หล่อนกราบท่านเจ้าของกุฏิสามครั้ง และยกมือไหว้อาจารย์ชิตหนึ่งครั้ง จากนั้นจึงเดินมุ่งหน้าไปยังท่าน้ำ ครั้งห่างรัศมีกุฏิออกไป ความเจ็บปวดกลับทวีความรุนแรงขึ้น จึงรีบเดินย้อนกลับมารายงานว่า
"โอย หลวงพ่อจ๊ะ ปวดเหลือเกิน เมื่อตะกี้รู้สึกค่อยยังชั่ว พอลุกออกไปกลับปวดเหมือนเดิมอีก หลวงพ่อช่วยฉันด้วย" หล่อนอ้อนวอนแม้มิได้ร้องไห้
"นั่นแหละ เอ็งกำลังใช้กรรมละ ยิ่งถ้าเอ็งปฏิบัติกรรมฐานจะยิ่งปวดมากกว่านี้ หน้าที่ของเอ็งก็คือจะต้องทนให้ได้"
"โอย แค่นี้ก็จะแย่อยู่แล้ว ถ้าปวดมากกว่านี้ ฉันขอตายดีกว่า"
"ตามใจ ถ้าเอ็งจะเอาอย่างนั้นก็ตามใจ แต่ข้าขอบอกเสียก่อนว่า ถึงเอ็งจะตาย ก็ใช่ว่าเอ็งจะพ้นทุกข์ อาจจะทุกข์กว่าตอนเป็นด้วยซ้ำ"
"จะทุกข์ยังไงล่ะหลวงพ่อ ตายแล้วก็แล้วหมดเวรหมดกรรมกันไป" หญิงสาวพูดด้วยมิจฉาทิฐิ
"ถ้ามันเป็นอย่างที่เอ็งว่ามาก็ดีน่ะสิ แต่ทีนี้มันไม่เป็นยังงั้น เพราะคนเราไม่ได้เกิดหนเดียวตายหนเดียว อย่างที่พวกวัตถุนิยมเขาเชื่อกัน ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ยายสะอิ้งก็คงไม่มาสร้างกุฏิกรรมฐานให้วัดนี้ เอ็งเห็นหรือเปล่า กุฏิกรรมฐานที่อยู่หน้าโบสถ์นั่นน่ะ ยายสะอิ้งเขามาสร้างให้เป็นหลังแรกด้วยเงินหนึ่งชั่ง ยมบาลเขาสั่งมาว่าถ้าไม่อยากมาเกิดในนรกอีก ก็ให้กลับมาสร้างกุฏิกรรมฐานถวายวัดหนึ่งหลัง ให้สร้างด้วยเงินหนึ่งชั่ง จะมากกว่านั้นน้อยกว่านั้นไม่ได้ แล้วแกก็มาสร้าง หมดเงินไปแปดสิบบาทพ่อดี" อาจารย์ชิตกำลังนั่งกำหนด "พอง-ยุบ" ก็มีอันต้องลืมตาอีกครั้งด้วยอยากรู้เรื่อง เขาถามเจ้าของกุฏิว่า
"สร้างนานหรือยังครับ"
"ก็สิบเจ็ดปีเข้านี่แล้ว แกมาเมื่อปี ๒๕๐๐ โยมเชื่อไหม แกบอกยมทูตเขาสั่งมาว่า ให้สร้างกุฏิกรรมฐานหนึ่งหลัง ด้วยเงินหนึ่งชั่ง และให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งวัน อาตมาก็คิดว่ามันจะเป็นไปได้ยังไง พอดีตอนแกมาเล่า ช่างไม้เขาก็ยังอยู่ เพราะกำลังซ่อมโบสถ์หลังเก่า แล้วก็มีเรือนหลังหนึ่งที่ชาวบ้านเขารื้อมาถวายวัด พอพวกชาวบ้านรู้เรื่องของนางสะอิ้ง ก็เฮโลกันมาช่วยคนละมือละไม้ ก็เลยเสร็จก่อนพระอาทิตย์ตก แล้วก็หมดเงินไปหนึ่งชั่งพอดิบพอดี เป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก อาตมาเคยเล่าให้ญาติโยมเขาฟังหลายครั้งแล้ว"
"กรุณาเล่าอีกสักครั้งได้ไหมครับ ผมอยากทราบว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร และหากมีโอกาสผมจะได้นำไปเล่าให้ลูกหลานญาติมิตรฟัง เพื่อเป็นข้อเตือนใจไม่ให้เขาทำความชั่ว"
"แหม โยมอ้างเหตุผลมาน่าฟัง อาตมาเห็นจะต้องเล่าอีกรอบนึงเสียแล้ว เอ็งล่ะอยากฟังหรือเปล่า" ท่านถามน้างสาวส้มป่อย
"อยากจ้ะ นิมนต์หลวงพ่อเล่าเถอะจ้ะ" หญิงสาวตอบ รู้สึกว่าความเจ็บปวดทุเลาลงเมื่อได้อยู่ใกล้ท่าน เห็นคนทั้งสองอยากฟัง ท่านพระครูจึงเล่าว่า
"เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อปี ๒๕๐๐ เล่าย่อ ๆ นะ เรื่องมันยาว ถ้าเล่าละเอียด วันนี้ทั้งวันก็ไม่จบ" ท่านทำความตกลงกับคนฟังแล้วจึงเริ่มต้นเล่าว่า
"วันนั้นเป็นวันพระ ญาติโยมเขาก็พากันมาทำบุญที่ศาลาการเปรียญ อาตมาก็มองไปเห็นลุงแก่ ๆ คนหนึ่งมากับผู้หญิงสองคน คนหนึ่งอายุไล่เลี่ยกับแก ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นสาวรุ่น ๆ อาตมาก็คิดว่า ตากับยายพาหลานมาทำบุญ เขาก็พากันเข้ามาหาอาตมา ลุงแก่ ๆ คนนั้นแนะนำตัวว่า เขาชื่อนายปุ่น มาจากอำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์ ผู้หญิงสองคนที่มาด้วยเป็นเมียแก คนอายุ ๗๒ ปีเป็นเมียคนที่สอง ส่วนเมียคนแรกอายุ ๑๕ ปี ตัวแกอายุ ๗๕ ปี"
"พวกญาติโยมได้ยินก็พากันหัวเราะ นึกว่าแกเป็นโรคประสาท หรือไม่ก็แก่จนหลง อาตมาเองก็คิดอย่างนั้น แกก็ยืนยันว่าเรื่องที่แกเล่ามานั้นเป็นความจริง ผู้หญิงคนที่เป็นเมียคนแรกนั้น ตายไปแล้ว และกลับชาติมาเกิดเป็นเด็กสาวอายุสิบห้าคนนี้ แล้วก็ก็ให้เมียคนแรกเล่าให้ฟัง แม่หนูคนนั้นแกก็เล่าว่า เมื่อชาติที่แล้วแกเป็นเมียตาปุ่น แล้วก็คลอดลูกตายที่โรงนา ไปตกนรกมาหลายปี ช่วงเวลาที่อยู่ในนรกนั้น ตาปุ่นสามีแกได้บวชและเจริญกรรมฐานอุทิศส่วนกุศลไปให้ ยมบาลก็เลยให้กลับมารับใช้ตาปุ่น แล้วก็ให้สร้างกุฏิกรรมฐานถวายวัดหนึ่งหลัง ด้วยเงินหนึ่งชั่ง และใช้เวลาหนึ่งวัน นอกจากนี้ยังให้ถือศีล ๘ ตลอดชีวิตอีกด้วย"
"แกเล่าหรือเปล่าครับว่า เหตุใดต้องไปตกนรก" อาจารย์ชิตถาม
"เล่าสิ แกเล่าว่า ตอนมีชีวิตอยู่แกก่อกรรมทำชั่วไว้มาก ไปอยู่โรงนา ก็ให้ลูกจ้างไปเที่ยวขโมยข้างในลานของคนอื่น นอกจากนี้ยังขโมยทองของญาติตาปุ่น แล้วโยนความผิดไปให้หลานชาย ทำให้หลานชายถูกตีจนหัวแตก แกเป็นคนโหดร้ายใจดำอำมหิต แล้วก็ไม่เคยทำบุญทำทานเลย สวดมนต์ก็ไม่เคยสวด โย โส ภะคะวา ก็ไม่เป็น พอแกตายไปก็เลยไปตกนรกอยู่หลายปี เมื่อได้รับส่วนกุศลที่ตาปุ่นส่งไปให้ ก็เลยได้รับอนุญาตให้กลับมาแก้ตัว
แกเล่าว่าในเมืองนรกนั้นมีการสอนกรรมฐานทุกวันพระ สอนให้สวดมนต์ด้วย ตอนเป็นนางสะอิ้ง แกสวดมนต์ไม่ได้เลย แต่พอมาเกิดใหม่สวดได้หมด เพราะเคยสวดตอนอยู่เมืองนรก อาตมาลองให้สวด โอ้โฮสวดได้แจ๋วไปเลย พวกญาติโยมก็พากันประหลาดใจ แกว่า ในเมืองนรกมีการลงโทษต่าง ๆ นานา แต่จะหยุดลงโทษในวันโกนวันพระ เพื่อให้พวกสัตว์นรกได้สวดมนต์และเจริญกรรมฐานและที่สำคัญคือพระก็ไปตกนรกด้วย
อาตมาก็ถามว่ารู้ได้อย่างไรว่า คนไหนเป็นพระ แม่หนูที่เป็นยายสะอิ้งกลับชาติมาเกิด ก็ตอบว่า คนที่เป็นพระจะมีผ้าเหลืองผูกติดอยู่ที่ข้อมือ โยมเห็นหรือยังว่า แม้แต่พระก็ยังไปตกนรกได้ นี่ไม่ได้ว่าพระนะ" ท่านรีบออกตัว
"ผมว่าคนพวกนี้ไม่ใช่พระหรอกครับ เป็นเพียงพวกอาศัยผ้าเหลืองหากินเท่านั้น" อาจารย์ชิตวิจารณ์
"ถูกของโยม อาตมาเห็นด้วย เพราะคนที่เป็นพระจริง ๆ นั้นเขาจะไม่ไปตกนรก และทีอาตมาเชื่อที่แม่หนูนั่นเล่า ก็เพราะเคยรู้มาก่อนแล้วจากตาเหล็งฮ้วย รายนี้หนีจากนรกมาเข้ายายเภา เพื่อจะขอส่วนบุญจากหลานสาว"
"งั้นหลวงพ่อเล่าเรื่องตาเหล็งฮ้วยด้วนะจ๊ะ" นางสาวส้มป่อยพูดขึ้น รู้สึกเพลิดเพลินเมื่อฟังท่านเล่า
"เอาไว้วันหลัง ขืนเล่าหมดวันนี้ ประเดี๋ยววันหลังไม่มีอะไรจะเล่า"
"หลวงพ่อยังเล่าเรื่องยายสะอิ้งไม่จบเลยครับ" อาจารย์ชิตทวง
"อ้าว ยังไม่จบอีกหรือ งั้นก็จะเล่าต่อ คือที่อาตมาเชื่อว่า ยายสะอิ้งแกพูดความจริง เพราะตรงกับที่ตาเหล็งฮ้วยเล่าให้อาตมาฟังทุกอย่าง แล้วอาตมาก็ลองทดสอบ ด้วยการถามว่านรกของศาสนาพุทธ เหมือนกับของศาสนาอื่นหรือเปล่า เป็นคนละนรกหรือว่าเป็นนรกเดียวกัน ยายสะอิ้งก็ตอบตรงกับตาเหล็งฮ้วยอีกว่าไม่มีการแบ่งศาสนา ไม่ว่าใครจะนับถือศาสนาอะไร ถ้าทำชั่วก็จะไปตกนรกเดียวกันหมด อันนี้เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลมากทีเดียว หรือโยมเห็นว่ายังไง" ท่านถามบุรุษวัยหกสิบ
"ครับ ผมเห็นด้วยครับ" อาจารย์ชิตคล้อยตาม
"นั่นต้องยังงั้น ขืนไม่เห็นด้วย อาตมาจะได้เลิกเล่า" ท่านถือโอกาสเล่นตัว
"ฉันก็เห็นด้วยจ้ะ นางสามส้มป่อยรีบบอก เพราะกลัวว่าท่านจะไม่เล่า
"อ้อ เอ็งก็เห็นด้วยเหมือนกันหรือส้มป่อย" ท่านถามยิ้ม ๆ แล้วจึงเล่าต่อไปว่า
"แม่หนูที่เป็นยายสะอิ้งกลับชาติมาเกิด แกก็เล่าให้อาตมาฟัง พวกญาติโยมก็พลอยได้ฟังไปด้วย อาตมาก็บอกญาติโยมว่า เรื่องที่แม่หนูเล่านี้ต้องเป็นความจริง เพราะเหมือนกับที่ตาเหล็งฮ้วยเล่าให้อาตมาฟังทุกประการ นอกจากนั้น ตาปุ่นผู้เป็นสามีก็ยังเล่าอีกว่า ทีแรกแกก็ไม่เชื่อ แต่นางสะอิ้งก็เล่าให้แกฟังทุกอย่าง ตั้งแต่แต่งงานกันมาว่า ค่าสินสอดทองหมั้นกี่บาท มีลูกกี่คน มีลูกจ้างกี่คน ชื่ออะไรบ้าง ตาปุ่นก็ยังไม่ยอมเชื่อ เพราะคิดว่า แม่หนูคนนี้จะมาหลอกเอาสมบัติเพราะแกรวยมาก
นางสะอิ้งหรือแม่หนูอายุสิบห้าก็เลยบอกว่า ก่อนตายแกได้ฝังสายสร้อยหนักเส้นละสิบบาทไว้ที่โรงนาสองเส้นจะพาไปขุด ตาปุ่นก็เลยพาลูกชายสองคนที่เป็นลูกนางสะอิ้งไป เอาจอบไปด้วย ขุดไปขุดมาปรากฏว่าพบทองจริง ๆ ตาปุ่นก็เลยเชื่อ ลูกชายสองคนซึ่งอายุเกือบ ๆ ห้าสิบแล้ว ก็เลยเชื่อว่าผู้หญิงอายุสิบห้านี่เป็นนางสะอิ้งแม่ของตน ที่กลับชาติมาเกิดจริง ๆ
นางสะอิ้งยังเล่าอีกว่ายมบาลเขาให้มารับใช้ตาปุ่นห้าปี พออายุยี่สิบก็จะไป แต่ไม่ไปตกนรกแล้ว จะไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พวกชาวบ้านที่ฟังอยู่ ก็รับอาสาจะช่วยสร้างกุฏิ วันนั้นอาตมาก็ให้ตาปุ่นกับเมียเก่าและเมียใหม่ของแก นอนที่ศาลาการเปรียญ พอรุ่งเช้าชาวบ้านก็พากันมาสร้างกุฏิกรรมฐาน ตกเย็นก็สร้างเสร็จพอดี หมดเงินไปแปดสิบบาทตามที่ยมบาลสั่งมา มันก็น่าแปลก
ทีนี้อาตมาก็เป็นคนชอบพิสูจน์พบครบห้าปี อาตมาก็เดินทางไปยังบ้านตาปุ่น ไปลำบากมากเพราะสมัยนั้นการคมนาคมยังไม่เจริญเหมือนเดี๋ยวนี้ อาตมาต้องเดินเท้าหนึ่งวันเต็ม ๆ จากตัวจังหวัดไปบ้านแก พอไปถึง แม่หนูนั่นก็เอาน้ำมาถวาย แล้วก็ก้มลงกราบอาตมา ก้มแล้วก็ฟุบอยู่ตรงนั้น ปรากฏว่าไปแล้ว ไปวันที่อาตมาไปพิสูจน์พอดี เมียใหม่ของตาปุ่นซึ่งตอนอาตมาไป ก็อายุ ๗๗ แล้ว เล่าให้อาตมาฟังว่า พอสร้างกุฏิแล้ว แม่หนูคนนั้นก็ตามมาอยู่กับตาปุ่น ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานก็ป่วยเป็นอัมพาต ลุกไปไหนมาไหนไม่ได้ แม่หนูนี่ก็คอยป้อนข้าวป้อนน้ำ เช็ดอุจจาระปัสสาวะให้โดยไม่รังเกียจ ก็ปฏิบัติอยู่ห้าปีเต็มดังที่รับปากยมบาลมา ตาปุ่นก็นอนพะงาบ ๆ พูดก็ไม่ได้ อาตมาถามว่าจำอาตมาได้ไหม แกก็พยักหน้า อาตมาก็ปลอบใจว่าไม่ต้องเสียใจนะ แม่สะอิ้งเขาไปดี แกก็เข้าใจและทำใจได้เพราะเคยบวช และปฏิบัติกรรมฐานมาแล้ว ตกลงยายสะอิ้งก็ตายก่อนตาปุ่นทั้งสองชาติ คือชาติที่เป็นสางสะอิ้ง และชาติที่เป็นแม่หนูอายุสิบห้า เอาละ จบเรื่องนางสะอิ้งแล้ว เอาละ ได้เวลาเพลพอดี โยมรับประทานข้าวเสียก่อน อาหารในสำรับนั่นแหละ ส่วนเอ็งเดินไปกินที่โรงครัวก็แล้วกัน" ท่านบอกนางสาวส้มป่อย
ไม่เป็นไรจ้ะ ฉันกลับไปกินที่บ้านได้" หล่อนว่า
"งั้นก็ตามใจเอ็ง" นางสาวส้มป่อยจึงกราบท่านสามครั้ง ก่อนลุกออกไป ก็โอดครวญว่า
"ปวดอีกแล้ว พอรู้ว่าจะไป มันก็เริ่มปวดเลยเชียว ทำไมมันถึงต้องปวดด้วยล่ะจ๊ะ หลวงพ่อ"
"ก็จะไม่ให้ปวดได้ยังไงล่ะ ที่ข้าเห็นน่ะนะ ข้าเห็นหนอตัวใหญ่เท่านิ้วก้อย กำลังพากันดูดกินเลือดกินหลองเอ็งอย่างเอร็ดอร่อยอยู่นั่น" ท่านตอบเพราะเห็นด้วย "เห็นหนอ"
"มันเข้าไปได้ยังไงล่ะจ๊ะ"
"ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะไม่เห็นตอนที่มันเข้า นี่แหละเขาเรียกว่าโรคเวรโรคกรรม บางคนก็ถูกหนอนกินตั้งแต่ยังไม่ทันตาย บางคนพอตายปุ๊บ ก็ถูกหนอนกินปั๊บ ใครเป็นอย่างนี้ละก็ รู้ได้ทันทีว่าเป็นคนบาป อันนี้ข้าวิจัยมาแล้ว ไม่ได้พูดสุ่มสี่สุ่มห้าแต่ประการใด เอาเถอะในเมื่อปวด เอ็งก็ท่องไว้ในใจว่า "ปวดหนอ ปวดหนอ" ก็แล้วกัน" ท่านแนะนำ
"ท่องแล้วจะหายปวดหรือจ๊ะ"
"ไม่หายหรอก แต่ถ้าเอ็งท่องมาก ๆ จนเพลิน ก็จะทำให้ลืมความปวดได้ชั่วครั้งคราว ก็ยังดีใช่ไหม นี่แหละเอ็งกำลังใช้กรรมละ ต้องอดทนให้มาก ๆ เข้าใจหรือยัง"
"เข้าใจแล้วจ้ะ ถ้างั้นฉันไปก่อนละ เดี๋ยวจะมาใหม่" พูดจบก็ลุกออกมาและเดินทอง "ปวดหนอ ปวดหนอ" ไปตลอดทาง



เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ถวายเทียน ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


ขอเชิญร่วมบุญถวายพระพุทธรูปประจำหน้าโรงเรียน
ด้วยวันที่ 28-30 มิถุนายน 55 นี้ อาตมาพระณรงค์เดช อธิมุตฺโต จักนำพระพุทธรูปขนาดหน้าตัก 30 นิ้ว ซึ่งได้รับความอนุเคราะห์จากวัดประสิทธิเวช จ.นครนายกไปมอบให้กับโรงเรียน ในจังหวัดนครราชสีมา และ จังหวัดนครพนม รวม ๗ โรงเรียน
จึงประชาสัมพันธ์มาเพื่อขอเชิญผู้มีจิตศรัทธา และใจบุญ และอยากร่วมบุญกับกระผม ร่วมบริจาค ได้ที่ บัญชีธนาคาร กรุงไทย สาขาสวนใหญ่ (ท่าน้ำนนทบุรี) เลขบัญชี 145-0-07908-3 ชื่อบัญชี พระณรงค์เดช อธิมุตฺโต


ขอเชิญร่วมทำบุญสร้างพระสังกัจจายน์ หน้าตัก ๗ เมตร ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ
โทรศัพท์ ๐๘-๕๐๓๗-๐๓๗๐


ครั้งหนึ่งในชีวิตครั้งใหญ่ได้ร่วมสร้างวัดไทยในต่างประเทศ
084-707-6149


ร่วมสร้างโรงพยาบาล
0807472194


ขอเชิญร่วมทำบุญเป็นเจ้าภาพจัดซื้อหญ้ามาเลเซีย เมตรละ ๓๐ บาท
โทร ๐๘๓-๑๑๔๓๖๘๑


ร่วมกันปรับปรุงห้องน้ำวัดหมื่นสาร ถนนวัวลาย อ.เมือง จ.เชียงใหม่
081 7646556

ขอเชิญร่วมทำบุญสร้างบันไดพญานาค วัดป่าถ้ำผาเพียงนาคแก้ว จ.ศรีสะเกษ
084-6619033

[ขอเชิญร่วมบุญกฐิน] สร้างศาลาอเนกประสงค์ วัดป่าพระพุทธบาท จ.อุบลราชธานี
086-0405643


บุญร่วมปรับปรุงแหล่งน้ำวัดเวียงคำ(กาขาว)ดอยจอมขวัญ บ้านเทิดไท แม่สลองใน เชียงราย
กำหนดทอดผ้าป่า ณ.โพธิสถานมงคลธัญ
1378 ถนนทรงวาด สัมพันธวงศ์ กทม.10100

วันอังคารที่ 3 กรกฎาคม 2555 เวลา 19.00 น.

(ผ้าป่าสามัคคีไม่กำหนดวงเงินตามกำลังศรัทธา)

เรียนเชิญสาธุชนและชาวสำนักร่วมบุญ-กุศล




ใกล้วางศิลาฤกษ์สร้างพระเจดีย์แล้วรวบรวมเงินได้
087 6341886


เชิญร่วมถวายปัจจัยแด่พระสงฆ์ในงานหล่อพระพุทธสิหิงค์
๐๘๐ - ๖๔๖ – ๒๕๕๙


เททองหล่อพระพุทธรูปปางเปิดโลก22 มิถุนายน 2555
ณ.ที่พักสงฆ์พรหมรังศรี
หมู่ 2 ต.น้ำพุ อ.เมือง จ.ราชบุรี




ขอเชิญร่วมทำบุญสร้างศาลาการเปรียญธรรมสรคุณประชานิยม วัดดอนเก้า จ.สุพรรณบุรี


ขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชน อุบาสก อุบาสิกาทุกท่าน ร่วมทำบุญถวายผ้าอาบน้ำฝน และทำบุญหล่อเทียนประจำพรรษาปีนี้
สอบถามเพิมเติม
โทร.0854921577



เชิญร่วมหล่อสมเด็จองค์พระปฐม หน้าตัก ๒๑ ศอก
วัดท่าขนุน
ต. ท่าขนุน อ. ทองผาภูมิ จ. กาญจนบุรี


ถวายสิ้นเดือน มิ.ย.ซื้อเจดีย์แก้วบรรจุเกศา และ เล็บ หลวงปู่โฮม ญาณธัมโม จ.ยโสธร
โทร.085-361-4989</O


ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพทุนการศึกษา-โรงทาน
สามารถบริจาคเงินได้ที่ บัญชีออมทรัพย์ หมายเลขบัญชี 403-065843-7 ชื่อบัญชี นาย ขรรค์ชัย แก้วมุสิก ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย



เทพบุตร-ธิดาร่วมสร้างแม่พิมพ์“ลพ.โสธรพระบารมีคู่แผ่นดิน”76จังหวัดถวายพ่อหลวง ขาด49,200บ.
081-875-4903


เรียนเชิญร่วมบุญแกะสมเด็จองค์ปฐมปางลีลาเปิดโลกทรงเครื่องจักรพรรดิไม้เทพทาโรสูง2ม
บัญชี เลขที่ ...633-276540-3
ธ.ไทยพาณิชย์ SCB สาขา ถนนเจ้าฟ้า ภูเก็ต
พจชนะ ทองทวีวิวัฒน์..


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO