นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน เสาร์ 11 พ.ค. 2024 6:29 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: เรื่องราว
โพสต์โพสต์แล้ว: จันทร์ 18 มิ.ย. 2012 8:37 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4555
ขณะขับรถกลับจากงานศพของสามีนางเน้ย นายสมชายดูเคร่งขรึม ไม่ช่างเจรจาพาทีเหมือนเช่นเคย จนท่านพระครูรู้สึกผิดสังเกต ความทุกข์อันใหญ่หลวง ที่ชายหนุ่มกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ก็คือทำอย่างไรจึงจะมีเงินแต่งงาน
ฝ่ายผู้หญิงเขาเรียกค่าสินสอดเป็นเงินถึงสี่หมื่นบาท อีกทองหมั้นหนัก ๕ บาท เบ็ดเสร็จแล้วเขาจะต้องมีเงินถึงสี่หมื่นแปดพันบาท จึงจะมีโอกาสได้เป็นเจ้าบ่าว เงินตั้งเกือบครึ่งแสนจะไปหาได้จากที่ไหน ก็ยืมใครเขาก็คงไม่ให้ เพราะไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ครั้นจะเอาวัดป่ามะม่วงไปจำนองกับธนาคาร ก็ไม่รู้ว่าหลวงพ่อท่านจะอนุญาตหรือเปล่า ยิ่งคิดก็ยิ่งร้อนรุ่มกลุ้มทรวง แต่กาลก่อนก็สุขใจสุขกายสบายดีอยู่ พอมาตกห้วงรักเหวลึก ก็มีอันทุกข์ระทบตรมไหม้ไม่เว้นแต่ละวัน "นี่แหละน้า เขาว่าอยู่ดีไม่ว่าดี" ลูกศิษย์กันกุฏินึกสมน้ำหน้าตัวเอง
"สงสัยว่าพรุ่งนี้พระอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตกเสียกระมัง" ท่านพระครูเปรยขึ้น คิดว่าฝ่ายนั้นจะโต้ตอบก็เห็นยังเงียบอยู่ นายสมชายกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก จึงไม่ได้ยินที่ท่านพูด
"กำลังเข้าฌานอยู่หรือไง สงสัยจะเข้าจตุตถฌาน" ท่านเย้าอีก ครั้งนี้คนถูกเย้ารู้สึกแค่ว่ามีเสียงผ่านหู หากมิได้สำเหนียกว่าท่านพูดว่ากระไร
"สมชาย เธอเอาหูมาด้วยหรือเปล่า หรือว่าลืมไว้ที่บ้านงานโน่น จะกลับไปเอาก็ยังทันนะ" ครั้งนี้ท่านพูดดังกว่าเก่า
"อะไรนะครับ หลวงพ่อว่าอะไร" คนถูกเรียกเพิ่งจะรู้สึกตัว
"ทำไมเดี๋ยวนี้เธอเหม่อ ๆ ยังไงชอบกล มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า"
"ก็...ก็ไม่...ไม่มีอะไรนี่ครับ" ปฏิเสธเสียงอ่อย
"ไม่ ไม่มี ก็แปลว่ามี เพราะปฏิเสธซ้อนปฏิเสธ ย่อมกลายเป็นบอกเล่า เธอมีอะไรไม่สบายใจก็บอกมา หรือถ้าไม่บอกมา ฉันจะได้บอกไป" ท่านเริ่มยั่ว นายสมชายไม่มีอารมณ์จะโต้ตอบ จึงระบายความกลุ้มให้ท่านฟังแทน
"ฝ่ายผู้หญิงเขาเรียกค่าสินสอนทองหมั้นตั้งร่วมห้าหมื่น ผมไม่รู้จะไปหาที่ไหน ก็เลยร้อนรุ่มกลุ้มทรวงอยู่นี่ไงครับ"
"แหม น่าสงสารจริง เอาเถอะตัวฉันนะ สงสารเธอใจแทบขาด และฉันก็อยากช่วยเธอ ทว่าไม่อยู่ในฐานะที่จะช่วยได้ ก็เลยจะไม่ช่วย"
"โธ่ หลวงพ่อ พูดเสียดิบดี ที่แท้ก็จะสรุปว่าช่วยไม่ได้ ผมรึอุตส่าห์ตั้งใจฟัง" นายสมชายต่อว่า รู้สึกความทุกข์ค่อยเบาบางลงเมื่อได้ระบายให้ท่านฟัง
"อ้าว ก็จริง ๆ นี่นา ฉันอยากจะให้เธอสมหวัง แต่ฉันก็ไม่มีเงินเดือน เพราะไม่ได้เป็นข้าราชการหรือลูกจ้างประจำ แล้วก็ไม่ได้เป็นพนักงานบริษัท เงินห้าหมื่น ฉันก็พอมีหรอก แต่เป็นเงินที่เขาบริจาค ถ้าเธอจะเอาไป..."
"โอ๊ะ ไม่ครับหลวงพ่อ ผมทำอย่างนั้นไม่ได้ มันผิดเจตนารมณ์ของญาติโยมเขา เขาเจตนาทำบุญ ไม่ได้ให้ผมเอามาแต่งเมีย" ชายหนุ่มปฏิเสธเป็นพัลวัน
"ก็ใครว่าฉันจะทำอย่างนั้นล่ะ ฉันยังพูดไม่ทันจบเลย"
"อ๋อ หรือครับ ขอประทานโทษ ถ้าอย่างนั้นนิมนต์หลวงพ่อพูดต่อให้จบเถิดครับ"
"ไม่ต้องแล้ว ก็ส่วนที่ฉันจะพูดต่อน่ะ เธอพูดมาหมดแล้ว เอ แต่พอมีทางนะ เธอจะลองดูไหม ลองเอาวัดป่ามะม่วงไปจำนองกับธนาคาร" ท่านตั้งใจจะล้อเล่น หากนายสมชายคิดว่าเป็นจริง จึงรีบสนองว่า
"แหม ผมก็คิดอยู่ทีเดียว นึกว่าหลวงพ่อจะไม่อนุญาตเสียอีก ต้องขอกราบขอบพระคุณอย่างสูง พรุ่งนี้ผมขออนุญาตเข้าจังหวัดนะครับ" คนตกหลุมรัก มองเห็นทางสมหวัง
"เธอจะเข้าไปทำอะไร"
"ก็ไปติดต่อกับผู้จัดการธนาคารซีครับ หลวงพ่อว่าควรจะกู้ธนาคารไหนดี" เขาขอคำปรึกษา
"ธนาคารไหนก็ดีทั้งนั้นแหละ ถ้าเขายอมให้กู้ แต่เธอไม่ต้องไปให้เสียเวลาหรอก เพราะฉันรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ แล้วก็ไม่มีใครเขาทำกัน ฉันเพียงแต่ล้อเธอเล่นเท่านั้น" ถ้อยคำของท่านพระครู ทำให้ความทุกข์ที่กำลังจะลดน้อยลงนั้น กลับเพิ่มระดับขึ้นอีก นายสมชายจึงพูดอย่างขัดเคืองว่า "เอาเถอะ หลวงพ่อไม่ตกที่นั่งอย่างผมบ้างก็แล้วไป แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่หลวงพ่อเป็นอย่างผม ผมก็จะไม่ช่วยหลวงพ่อเหมือนที่หลวงพ่อไม่ช่วยผม" เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงรู้สึกสมเพชคนเป็นศิษย์เสียนัก จึงพูดให้สติกับเขาว่า
"สมชายเอ๋ย อายุฉันก็ปูนนี้แล้ว ล่วงกาลผ่านวัยมาก็มากและที่สำคัญที่สุด คือฉันกำลังดำเนินตามมรรคาที่เป็นทางสายเอก จะให้เปลี่ยนไปเดินสายโทสายตรีนั้น ฉันไม่ทำแน่" เธอปัดความคิดเช่นนี้ออกจากสมองไปได้แล้ว" ลูกศิษย์วัดยังไม่หายเคืองขุ่น จึงเถียงไปข้าง ๆ คู ๆ ว่า
"มันก็ไม่แน่เสมอไปหรอกครับ ผมเคยอ่านข่าวอยู่บ่อย ๆ คนอายุเจ็ดสิบยังแต่งงานกับคนอายุสิบเจ็ด ขนาดถือไม้เท้ายักแย่ยักยัน ก็ยังอุตริมีเมียคราวลูกคราวหลาน นับประสาอะไรกับคนอายุเพิ่งจะห้าสิบอย่างหลวงพ่อ"
"นั่นเขาเป็นฆราวาส แต่ฉันเป็นบรรพชิต ไม่เหมือนกันหรอกนะ" ท่านพระครูแย้งเสียงเรียบ
"ถึงบรรชิตก็เถอะ บางรูปขนาดเป็นถึงท่านเจ้าคุณ ก็ยังอุตส่าห์สึกมาแต่งงาน หลวงพ่อจะให้ผมเอ่ยชื่อไหมล่ะ" ท่านพระครูเห็นว่าจะไปกันใหญ่ จึงรีบกล่าวห้าม
"สมชาย สมชาย อย่าลามปาม เธอพูดอยู่กับฉันสองคนเท่านั้น อย่าลามปามไปถึงคนอื่น ใครจะเป็นอย่างไรก็ช่างเขา กรรมของเขาทำมาอย่างนั้น แต่ที่ฉันกล้ารับรองกับเธอว่า จะไม่เป็นอย่างเขา ก็เพราะฉันไม่ได้ทำกรรมมาอย่างนั้น ฉันปรารถนาพระนิพพาน ไม่ใช่กามคุณห้า" นายสมชายเห็นว่าถึงอย่างไรก็ไม่สามารถจะเอาชนะท่านได้ จึงนิ่งเสีย ท่านพระครูรู้ว่าเขายังไม่หายหงุดหงิด จึงพูดให้กำลังใจว่า
"อย่าวิตกทุกข์ร้อนไปเลย อนาคตยังมาไม่ถึง แต่ฉันก็ขอรับรองว่า เธอต้องได้แต่งงานกับผู้หญิงคนนี้อย่างแน่นอน เพียงแต่ต้องรอเวลาหน่อยเท่านั้น" คนฟังรู้สึกใจมาเป็นกอง จึงกลับมาเป็นสมชายคนเดิมอีกครั้ง
"หน่อยของหลวงพ่อนะ กี่ปีครับ อย่าให้ผมถึงต้องตะบันน้ำกินนะครับ"
"ก็ไม่แน่ ถ้าเธอปรารถนาเช่นนั้นก็อาจเป็นได้"
"แต่ถ้าไม่ปรารถนาล่ะครับ" ศิษย์ก้นกุฏิเริ่มมีอารมณ์ยั่วเย้า
"ไม่ปรารถนาอะไร"
"ไม่ปรารถนาเช่นนั้นน่ะครับ" ผู้มิใช่ "ญวน" โดยกำเนิด เจตนายวน
"หายหยุดหงิดแล้วหรือ" ท่านพระครูย้อนถาม
"ผมน่ะหรือ หงุดหงิดเรื่องอะไรครับ" คนถามแสร้งตีหน้าเหลอ
"เรื่องไม่มีเงินไปซื้อบ่วงมาผูกคอน่ะสิ"
"แหม หลวงพ่อพูดอะไรยังงั้น กะเดี๋ยวผมก็เปลี่ยนใจไม่ตบไม่แต่งมันซะเลย" คนพูดปากไม่ตรงกับใจ
"ดี ฉันขออนุโมทนา ยิ่งบวชได้ตลอดชีวิตได้ยิ่งดี"
"หลวงพ่อคร้าบ" คนเป็นศิษย์ตั้งใจลากเสียงให้ยาวแล้วว่า
"ก็ถ้าบวชกันซะหมด แล้วใคร้จะมาขับรถให้หลวงพ่อนั่งล่ะครับ หรือว่าหลวงพ่อคิดจะขับรถเองขอรับ"
"อยากรู้ก็ลองบวชดีซี"
"ยังไม่กล้าลองหรอกครับ ยังไม่กล้า เดี๋ยวเกิดติดใจ บวชแล้วไม่ยอมสึกเหมือนหลวงพ่อ แฟนผมก๊อหม้ายขันหมากน่ะซีครับ"
"แต่ประเพณีโบราณเขาต้องบวชก่อนเบียดนะ นี่เธอคิดจะเบียดก่อนหรือไง"
"ก็ดวงผมมันเป็นยังงั้นนี่ครับ" คนพูดโยนกลองไปให้ "ดวง"
"เธออย่าให้ดวงมากำหนดเธอสิ เธอควรจะกำหนดดวง มันถึงจะถูก"
"จะถูกยังไง ก็ต้องแพงกว่าเผือกอยู่ดีนั่นแหละครับ" ท่านพระครูรู้สึกงงจึงย้อนถามว่า
"อะไรแพงกว่าเผือก พูดเรื่องดวงอยู่ดี ๆ ไหงเอาเผือกเข้ามาเกี่ยวด้วย"
"ก็มันซีครับ ที่หลวงพ่อว่า "มันถึงจะถูก" ผมก็ว่าถูกยังไง ก็ยังแพงกว่าเผือกอยู่ดี หรือว่าหลวงพ่อเคยเห็นเผือกแพงกว่ามันครับ"
"สมชาย เธอเคยไหม ที่อยู่ดี ๆ ก็เห็นดาวระยิบระยับไปหมดทั้งที่ความจริงไม่มีดาวสักดวงบนท้องฟ้าน่ะ เคยหรือเปล่า" เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงถามอย่างเหลืออดเหลือทนเต็มที
"ไม่เค้ยไม่เคยครับหลวงพ่อ แล้วผมก็ไม่อยากจะมีประสบการณ์อย่างนั้นด้วย ก็พอจะรู้ ๆ ว่ามันคงไม่สนุกนักหรอก" นายสมชายว่า
"ถ้าอย่างนั้น ก็เปลี่ยนเรื่องพูดได้แล้ว ขืนพูดเรื่องนี้ต่อไป ประเดี๋ยวอาจจะได้ประสบการณ์ที่เธอไม่พึงปรารถนา ที่แนะนำนี่เพราะหวังดีหรอกนะ"
"ใครจะเป็นคนให้ล่ะครับ หรือว่าหลวงพ่อจะให้ อย่านาครับ ผมไม่อยากเป็นต้นเหตุให้หลวงพ่อต้องอาบัติ เกิดผมตายละก็ หลวงพ่อต้องอาบัติปาราชิกเทียวนะครับ"
"รับรองว่าฉันไม่ต้องอาบัติแน่ เพราะกรณีนี้ไม่มีผู้กระทำ มีแต่ผู้ถูกกระทำเท่านั้น" ท่านพระครูเล่นสำนวนบ้าง
"มันก็ไม่สมเหตุสมผลตามหลักกรรมที่หลวงพ่อเคยสอนน่ะสิครับ เอ หรือว่ากรรมมันคอรัปชั่น" เขาทำทีครุ่นคิด
"ใส่ร้ายกรรม ระวังกรรมจะเล่นงานเธอ เดี๋ยวจะมาหาว่าฉันไม่เตือน วจีกรรมนั้น ถึงจะไม่มีผลมากเท่ามโนกรรม แต่มันก็ทำให้คนฟันหักมามากต่อมากแล้ว" ได้ผล เพราะครั้งนี้นายสมชายปิดปากเงียบ มิใช่กลัวว่าท่านพระครูจะทำร้าย ทว่าตัวเขาเริ่มจะมองเห็นทุกข์โทษแห่ง "วจีกรรม" นี่กระมังที่คนโบราณเขาสอนไว้ว่า "พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง"
"หลวงพ่อครับ เถ้าแก่ฮิมจะไปเกิดที่ไหนครับ ทุคติหรือสุคติ"
"อ้าว ทำไมเปลี่ยนเรื่องซะแล้วล่ะ" ท่านพระครูแกล้งยั่ว
"ก็ผมเคารพนับถือหลวงพ่อ จึงต้องเชื่อฟังหลวงพ่อซีครับ"
"งั้นหรือ แต่กว่าจะเชื่อฟัง ก็เล่นเอาฉันเหนื่อยเลย เอาเถอะสำหรับเรื่องของเธอ ฉันรับรอง ปีหน้าได้แต่งงานแน่ รอไหวไหม"
"ไหวครับ แต่ผมขอไม่บวชนะครับ เพราะห่วงว่าจะไม่มีคนขับรถให้หลวงพ่อ"
"ตามใจ แต่ต้องเข้ากรรมฐาน ๑๕ วัน แล้วก็ต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ถ้าทำได้ก็จะได้กุศลแรงกว่าพวกที่บวชจิ้ม ๆ จ้ำ ๆ เสียอีก"
"ครับ ผมยอมรับข้อเสนอ แต่ใน ๑๕ วัน ที่ผมเข้ากรรมฐาน หลวงพ่อต้องไม่รับนิมนต์ไปข้างนอกนะครับ ผมจะได้ไม่รู้สึกว่าละเลยต่อหน้าที่"
"ก็ได้ แต่มีเงื่อนไขว่า ถ้าเจ้าภาพเขาอาสารับส่ง ฉันก็รับนิมนต์ได้"
"ครับ แต่หลวงพ่อต้องไม่รับนิมนต์ติดต่อกันทั้ง ๑๕ วัน นะครับ"
"แต่วันพระ ฉันก็งดรับนิมนต์อยู่แล้ว"
"แต่...หลวงพ่อครับ"
"แต่อะไรอีกล่ะหือสมชาย"
"คือผมชักจะเวียนหัวกับคำว่า "แต่" เสียแล้วครับ เราเลิกพูด "แต่" กันดีไหมครับ
"แต่ฉันยังไม่อยากเลิกนี่" ท่านพระครูยั่วอีก
"ถ้าอย่างนั้นก็นิมนต์หลวงพ่อพูดเถอะครับ แต่ผมไม่พูดแล้ว"
"นั่นไง ขนาดว่าไม่พูดก็ยังเผลอ "แต่" ออกมาจนได้"
"ก็มันลืมนี่ครับ แต่ต่อไปนี้ผมจะไม่ลืม"
"เอาเถอะ ๆ ฉันก็ชักจะเวียนหัวเหมือนกัน สรุปว่าเรื่องของเธอไม่มีปัญหาและอุปสรรคแต่ประการใด และฉันก็ขอบอกว่า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ฉันจะตั้งเงินเดือนให้เธอเดือนละหนึ่งพันบาท ย้อนหลังไปถึงเดือนที่เธอเริ่มมาทำหน้าที่ขับรถให้ฉัน แต่ก็มีเงื่อนไขว่า"
"แน่ะ หลวงพ่อ "แต่" อีกแล้ว"
"เถอะน่า อย่าชักใบให้เรือเสีย เงื่อนไขก็คือ ฉันจะจ่ายให้เธอก็ต่อเมื่อฉันมีเงินส่วนตัวที่ไม่ใช่เงินวัด คืนนี้ฉันจะตั้งจิตอธิษฐานว่า ขอให้มีเงินส่วนตัวใช้ โดยไม่ต้องรับราชการ"
"ให้ผมอธิษฐานเองไม่ดีกว่าหรือครับ จะได้ไม่ต้องรบกวนหลวงพ่อ" ศิษย์ก้นกุฏิพูดอย่างเกรงใจ
"คนที่ไม่ได้ทำไว้อธิษฐานไม่ขึ้นหรอกสมชาย ไม่งั้นก็อธิษฐานให้รวยกันหมดทุกคนแล้ว ของอย่างนี้มันต้องทำต้องสร้างไว้ก่อน กรรมไม่เคยคอรัปชั่น" เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงอธิบาย
"หรือครับ ถ้าอย่างนั้น ผมก็ขอกราบขอบพระคุณ ที่หลวงพ่อจะอธิษฐานเผื่อผม เถ้าแก่ฮิมแกไปเกิดที่ไหน"
"เธออยากรู้ไปทำไมกัน"
"รู้ไปประดับความรู้น่ะครับ เพื่อสอนตัวเองด้วย"
"งั้นฉันก็จะบอก แต่ก่อนอื่น ฉันขอถามเธอก่อนว่า คนที่ดับจิตในขณะที่ยังห่วงลูกห่วงเมียน่ะ จิตเขาเป็นอย่างไร
"จิตมีโลภะครับ"
"แล้วคนที่ตายขณะที่จิตมีโลภะ จะไปเกิดทุคติหรือสุคติล่ะ"
"ทุคติครับ ไม่เป็นเปรต ก็ต้องเป็นอสุรกาย อย่างใดอย่างหนึ่ง"
"ถูกแล้ว ฉันกำลังจะบอกเธอว่า นายฮิมเขาไปเกิดเป็นเปรต"
"แล้วหลวงพ่อไม่ช่วยเขาหรือครับ"
"ช่วยไม่ได้ ก็เขาไม่มีทุนเดิมอยู่เลย คนที่ฉันจะช่วยได้นั้นจะต้องมีทุนเดิมอย่างน้อยหกสิบเปอร์เซ็นต์ ทุนที่ว่านี้หมายถึงกุศลกรรม ถ้าใครมีกุศลกรรมอยู่หกสิบเปอร์เซ็นต์ แล้วมาให้ฉันช่วยก็พอจะช่วยได้ แต่เขาก็ต้องช่วยตัวเองด้วย อย่างเช่น ฉันบอกให้มาเจริญกรรมฐานเพื่อเพิ่มทุน ถ้าเขาไม่มาหรือมาแต่ไม่ปฏิบัติจริงจัง ก็ไม่ได้ผล แก้กรรมไม่ได้"
"เรื่องของกรรมนี่ลึกลับซับซ้อนจังนะครับ หลวงพ่อ คนบางพวกก็ก่อกรรมทำชั่วโดยไม่กลัวบาป ขนาดหลวงพ่อตักเตือน เขาก็ไม่ยอมเชื่อฟัง"
"เพราะกรรมเขาทำมาอย่างนั้น"
"ครับ นึก ๆ ดูก็น่าขำเหมือนกัน คนทุกคนตกอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม แต่บางคนกลับไม่เชื่อกรรม ผมโชคดีที่ได้มาอยู่ใกล้หลวงพ่อ ไม่งั้นก็คงไม่เชื่อเหมือนกัน"
"เอาละ ๆ จบบทสนทนากันเสียที จะถึงทางแยกเข้าวัดแล้ว ดูซ้ายดูขวาให้ดีล่ะ ประเดี๋ยวจะไม่มีโอกาสได้แต่งานกับเขา" ท่านพระครูเตือน
"ถึงมีโอกาสก็ไม่แต่งหรอกครับหลวงพ่อ แหม อยู่ดีไม่ว่าดี จะให้ไปแต่งงานกับภูเขาเสียแล้ว แต่งกับคนยังพอว่า" ลูกศิษย์วัดไม่วายเล่นลิ้น เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงไม่โต้ตอบ เพราะต้องทำหน้าที่มองซ้ายขวา ช่วยคนขับซึ่งพูดมาก ปากไม่ค่อยได้พักผ่อนเช่นนายสมชายผู้นี้
เมื่อรถตู้สีครีมเลี้ยวขวาออกจากถนนสายเอเชีย นายขุนทองซึ่งมานั่งดักรออยู่ที่ศาลาตรงปากทางเข้าวัด ก็วิ่งมาสกัดหน้ารถ นายสมชายจึงจอดรถรับเขาขึ้นมาด้วย
"ไปไหนมาขุนทอง สามทุ่มกว่าแล้ว ยังไม่หลับอีกหรือ" คนขับตั้งคำถาม
"หลับได้ไงล่ะพี่ เหม็นอีตาคนนั้นจนอ้วกแตกอ้วกแตน เลยต้องหนีมานั่งที่ศาลา" นายขุนทองตอบ แล้วรายงานท่านพระครูว่า
"หลวงลุงฮะ มีตาคนนึงมารอหลวงลุงอยู่ที่กุฏิ หนูพาไปห้องพักก็ไม่ยอมไป แกว่าแกป่วยมาก เดินไม่ไหว"
"เดินไม่ไหวแล้วมาถึงกุฏิข้าได้ยังไง หรือว่ามีคนหามมา"
"ก็ไม่ทราบเหมือนกันฮะ หนูกำลังจะปิดกุฏิตอนเกือบ ๆ สองทุ่ม แกก็เดินโซซัดโซเซเข้ามาแล้วก็นอนร้องโอย ๆ อยู่หน้าอาสนะหลวงลุงนั่นแหละ"
"แสดงว่าเขาป่วยมาก แล้วเอ็งทิ้งเขาไว้อย่างนั้นน่ะหรือ ทิ้งแขกของข้าซึ่งกำลังป่วยหนักให้นอนอยู่อย่างนั้นหรือขุนทอง" ท่านเอ็ดหลานชาย
"โธ่ หลวงลุงฮะ หนูทนไม่ไหวจริง ๆ แกเหม็นอย่างร้ายกาจ ขนาดหนูเข้าไปหลบอยู่ในห้อง กลิ่นเหม็นนั้นก็ยังตามไปราวี หนูอ้วกซะไม่มีดี ทนอยู่ได้สักครึ่งชั่วโมง ก็ยอมแพ้ เลยเดินเล่น ๆ มาจนถึงศาลานั่นแหละฮะ" หลานชายชี้แจง
"เขาเป็นอะไร ถึงได้เหม็นขนาดนั้น"
"หนูก็ไม่ทราบฮะ สงสัยคอแกจะเน่า น้ำเหลืองไหลเยิ้มเลย"
"แล้วเขามาจากไหน เอ็งถามหรือเปล่า"
"หนูไม่กล้าถามฮะ กลัวกลิ่นเน่าเข้าปาก แค่เข้าจมูกก็เกือบตายแล้ว" นายสมชายอดรนทนไม่ได้ จึงเอ่ยขึ้นว่า
"เอ็งพูดเกินความจริงแล้วมั้งขุนทอง คนเป็น ๆ อะไรจะเหม็นขนาดนั้น" นายขุนทองชักอารมณ์ไม่ดีด้วยดูเหมือนไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่เขาบอกกล่าว จึง "แว้ด" ใส่คนอายุมากกว่า
"ไม่เชื่อเดี๋ยวพี่ก็ไปดูเองแล้วกัน แล้วจะรู้ว่าหนูไม่ได้โกหก" พอดีกับรถแล่นมาจอดที่ด้านหลังกุฏิ ทันทีที่ก้าวขาลงจากรถ ท่านพระครูก็มีอันต้องกำหนด "กลิ่นหนอ" ข้างฝ่ายนายสมชายถึงกับบ่นอุบ
"อะไรกันวะขุนทอง รุนแรงถึงขนาดนี้เชียวหรือ"
"เป็นไง หนูโกหกหรือเปล่า" ฝ่ายนั้นได้ทีจึงย้อนให้ แล้วหันไปพูดกับท่านเจ้าของกุฏิว่า "หลวงลุงฮะ คืนนี้หนูขออนุญาตไปนอนกับหลวงพี่บัวเฮียวนะฮะ ขืนนอนที่นี่มีหลัวอ้วกทั้งคืน" ท่านพระครูรู้นิสัยของหลานชายที่คิดเสมอว่าตัวเองเป็นผู้หญิง จึงไม่อนุญาต ด้วยเกรงพ่อตัวดีจะไปทำให้พรหมจรรย์ของภิกษุหนุ่มต้องมัวหมอง
"ไปไม่ได้ เอาเถอะ ข้าอนุญาตให้เอ็งขึ้นไปนอนบนห้องนายสมชาย แล้วให้เจ้าของห้องไปนอนที่กุฏิพระบัวเฮียวแทน"
"ขอบพระคุณครับหลวงพ่อ เดี๋ยวผมเก็บรถแล้วก็จะไปอาบน้ำที่นั่นเลย โอย ขืนอยู่คงต้องอ้วกแข่งกับเจ้าขุนทองมัน" นายสมชายว่า แล้วจึงนำรถเข้าไปเก็บ
ฝ่ายนายขุนทองก็กระฟัดกระเฟียดเดินเอามืออุดจมูกเข้าไปในกุฏิ แล้วก็ขึ้นไปนอนชั้นบน ท่านพระครูไม่ว่ากระไร เพราะแม้ท่านเอง ก็ยังแทบทนไม่ได้ "เมื่อเดินไปนั่งที่อาสนะ กลิ่นนั้นก็รุนแรงยิ่งขึ้นจนท่านเกือบจะต้องใช้มือปิดจมูก
เห็นท่านเข้ามา บุรุษวัยหกสิบพยายามยันกายลุกนั่ง แล้วกราบท่านสามครั้ง "หลวงพ่อครับ ช่วยผมด้วย โอย ทรมานเหลือเกิน" เขาพูด พลางส่งเสียงครวญคราง
"โยมเป็นอะไรมา" ท่านเจ้าของกุฏิถาม
"โอย...หมอเขาว่าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองครับ ผ่าตัดมาแล้วสองครั้งก็ไม่หาย มันเหม็นเหลือเกินครับ หลวงพ่อ โอย..ผมกะจะมาตายอยู่กับหลวงพ่อ ไ
"อ้าว นี่หนีลูกหนีเมียมานี่นา ใช่หรือเปล่า" ท่านจำเป็นต้องใช้ "เห็นหนอ" เข้าตรวจสอบเพื่อช่วยให้คนเจ็บไม่ต้องพูดนาน
"ครับ" เขาสารภาพ
"ไม่ได้ ทำอย่างนั้นไม่ได้ เอาละขอให้บอกชื่อและที่อยู่มา ถ้ายังไงอาตมาจะได้ส่งข่าวไปให้ลูกเมียได้ อย่าพูดปดนา อาตมารู้ว่า โยมมาจากเชียงใหม่ เคยเป็นอาจารย์สอนที่วิทยาลัยเกษตรกรรม ใช่ไหม แล้วภรรยาเป็นเจ้าของร้านขายผ้าไหมอยู่ในเมือง ลูกชายเป็นปลัดอำเภอ ลูกสาวเป็นพยาบาล ถูกหรือเปล่า"
"ถูกครับ โอย ทำไมหลวงพ่อทราบ" ถามด้วยความสงสัย
"ก็กฎแห่งกรรมของโยมบอกอาตมาน่ะซี ไหนบอกชื่อและที่อยู่มาก่อน แล้วที่มานี่เพราะเพื่อนบ้านแนะนำมาใช่ไหมเล่า"
"ถึงผมไม่บอก หลวงพ่อก็ทราบนี่ครับ โอย.." บุรุษนั้นรู้สึกศรัทธาในตัวท่านขึ้นมาทันที มิเสียแรงที่ลงทุนจ้างรถแท็กซี่มาส่งด้วยราคาถึงห้าร้อยบาท
"แต่อาตมาต้องการให้โยมบอกเอาละ ช่วยจดใส่สมุดเล่มนี้ให้ด้วย อาตมาจะเก็บไว้เป็นหลักฐาน" ท่านส่งสมุดเล่มหนาให้ อดีตอาจารย์วิทยาลัยเกษตรกรรมรับมา หากไม่สามารถเขียนได้ จึงเรียนท่านว่า
"ผมไม่สามารถเขียนได้ครับหลวงพ่อ" แม้อายุจะแก่กว่าท่านถึงสิบปี หากก็เรียกท่านว่า "หลวงพ่อ" อย่างเต็มอกเต็มใจ รู้สึกเหมือนว่าทุกขเวทนาลดลงเมื่อได้พูดคุยกับท่าน
"ปวดมากจนเขียนไม่ได้หรือ" ท่านพระครูถาม รู้ว่าเขากำลังต่อสู้กับทุกขเวทนา จึงแผ่เมตตาจิตไปช่วยให้ทุเลาลง
"ที่เขียนไม่ได้เพราะไม่มีปากกาครับ ผมไม่ได้เอาปากกามา" ตอบโดยไม่ต้องผสมด้วยเสียง "โอย" เพราะได้รับกระแสแห่งเมตตาโดยที่เจ้าตัวไม่รู้
"อ้าว แล้วก็ไม่บอก อาตมานึกว่าปวดมากจนเขียนไม่ได้เสียอีก" พูดแล้วจึงส่งปากกาให้ บุรุษวัยหกสิบรับมาแล้วเขียนชื่อ นามสกุล พร้อมทั้งที่อยู่ของตนลงในสมุดแล้วส่งคืนให้ท่าน
"อ้อ ชื่อชิตหรือ"
"ครับ"
เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงมองหน้าอาจารย์ชิต และเห็นกฎแห่งกรรมของเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง ทว่าบุรุษผู้นี้กลับไม่เห็นกฎแห่งกรรมของตัวเอง!
พระบัวเฮียวไม่อยากจะเชื่อเรื่องที่นายสมชายเล่า แต่คนเล่าอยากให้ท่านเชื่อ จึงต้องนิมนต์ไปพิสูจน์ บังเอิญภิกษุเชื้อสายญวนมีขับข้องใจสงสัย ที่จะเรียนถามท่านพระครูอยู่แล้ว จึงตกลงปลงใจที่จะไปพบพระอุปัชฌายาจารย์ของท่าน
"เฝ้ากุฏิไว้นะ อย่างเพิ่งหลับล่ะ" ท่านสั่งนายสมชาย แล้วออกเดินพลางกำหนด "ขวา-ซ้าย ขวา-ซ้าย" ไปยังกุฏิเจ้าอาวาส ครั้นถึงก็ได้กลิ่นเหม็นเน่า คล้ายกลิ่นสุนัขที่ตายมาหลายวัน ท่านคิดว่าคงเป็นอุปาทานมากกว่าจึงกำหนด "กลิ่นหนอ" ทว่าความรุนแรงของมันก็มิได้ลดลง จึงคิดจะเดินกลับ โชคดีที่ท่านพระครูยังไม่เห็น เพราะภิกษุหนุ่มเดินมาเข้าด้านหลังของกุฏิ
"บัวเฮียว จะกลับไปทำไมล่ะ เข้ามาก่อน" เสียงพระอุปัชฌาย์เรียกออกมาจากข้างใน พระบัวเฮียวเลิกสงสัยมานานแล้วว่า เหตุใดท่านพระครูจึงรู้ว่าท่านกำลังเดินมา ในความคิดของภิกษุหนุ่ม พระอุปัชฌาย์ของท่านเป็น "พระฉฬภิญญา"
ผู้บวชใหม่จึงจำต้องเดินเข้าไปกราบท่านสามครั้ง แล้งถอยห่างออกมานั่งติดกับประตูด้านหน้า กระนั้นก็มีความรู้สึกอยากอาเจียนเป็นกำลัง
"ทำไมไปนั่งเสียไกลเชียว เขยิบเข้ามานั่งใกล้ ๆ ซิ" ท่านเจ้าของกุฏิออกคำสั่ง เป็นคำสั่งที่พระบัวเฮียวจำใจต้องปฏิบัติตามอย่างยากเย็นยิ่ง
"ท่านคงเหม็นผมน่ะครับหลวงพ่อ ผมเองก็ยังแทบจะทนกับกลิ่นของตัวเองไม่ไหว" อาจารย์ชิดพูดอย่างเกรงใจ รู้สึกสงสารจมูกของพระคุณเจ้าทั้งสองรูปนี้ยิ่งนัก ที่เขาต้องหนีลูกหนีเมียซมซานมาหาท่านพระครู ขอมาตายใกล้ ๆ พระ จะได้ไม่ตกนรก
"บัวเฮียว สมมุตินี่เป็นสนามสอบ เธอลงมือทำข้อสอบได้แล้ว จะตกหรือจะผ่าน ประเดี๋ยวก็รู้ได้" อาจารย์ชิตไม่เข้าใจในสิ่งที่ท่านพระครูพูด ซึ่งย่อมเป็นธรรมดาของผู้ที่ยังไม่เคยปฏิบัติกรรมฐาน ส่วนพระบัวเฮียวนั้นเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ท่านเริ่มกำหนด "กลิ่นหนอ" ด้วยสติอันไม่ถึงกับว่องไว หากก็ไม่จัดว่าช้า เวลาผ่านไปประมาณสองนาที ก็โอดครวญกับพระอุปัชฌาย์ย่า
"พระเดชพระคุณหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง งวดนี้กระผมขออนุญาตสอบตกนะครับ ยังเตรียมไม่พร้อม จะกลับไปตั้งหลักก่อน แล้วค่อยกลับมาแก้ตัวใหม่ขอรับ"
"แล้วถ้างวดหน้าตกอีกล่ะ" พระอุปัชฌาย์ย้อนถาม
"ก็ขอไปแก้ตัวงวดโน้นขอรับ" ผู้บวชได้สี่เดือนเศษตอบ ขณะพูดมีความรู้สึกว่ากลิ่นเน่าโชยเข้ามาในปาก จึงเกิดอาการสะอิดสะเอียนจนมิอาจทนนั่งอยู่ได้
"แล้วถ้าฉันไม่อนุญาตล่ะ" ภิกษุหนุ่มไม่ทันได้ตอบ เพราะรีบลุกออกไปอาเจียนที่กอต้นเข็ม เสร็จแล้วจึงกลับมานั่งน้ำหูน้ำตาไหลเพราะความคลื่นเหียน เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงให้สงสารลูกศิษย์นัก จึงกล่าวอนุญาตว่า
"เอาเถอะ จะกลับมาสอบคราวหน้าก็ได้ แล้วช่วยกลับไปบอกสมชายด้วยว่า พรุ่งนี้เช้าให้ไปหา ต้นใต้ใบ กับ ต้นไมยราบ มาให้ฉันสักหอบย่อม ๆ จะเอามาปรุงยาให้โยมเขา" ท่านหมายถึงอาจารย์ชิต
"ครับ ผมกราบลาละครับ" ภิกษุหนุ่มกราบพระอุปัชฌาย์สามครั้งแล้วลุกออกมา แวะอาเจียนที่กอต้นเข็มอีกครั้ง จึงเดินกลับกุฏิของท่าน ความรู้สึกพะอืดพะอม ทำให้ลืมกำหนด "ขวา-ซ้าย" มานึกได้ก็ต่อเมื่อถึงที่พักแล้ว
"ผลแห่งการพิสูจน์เป็นยังไงครับหลวงพี่" นายสมชายถาม
"จะเป็นยังไง แต่เอาเถอะ อาตมาจะไม่บอกคุณหรอก"
"บอกเถอะครับ ผมอยากรู้"
"แต่อาตมาไม่บอก"
"บอกเถอะครับ เพราะผมอยากรู้จริง ๆ แล้วความอยากรู้ของผมนั้นมีมากกว่าความไม่อยากอกของหลวงพี่เสียอีก ฉะนั้นหลวงพี่จะต้องบอก" ลูกศิษย์วัดอ้างเหตุผลที่เข้าข้างตัวเอง
"คุณเอาอะไรมาวัด"
"ไม่ต้องวัดหรอกครับหลวงพี่ ของมันเห็นกันเจ๋ง ๆ อยู่แล้ว จะต้องไปวัดเวิ้ดทำไมกัน"
พระบัวเฮียวคร้านที่จะเถียง จึงบอกเสียงอ่อย ๆ ว่า "อาตมาสอบตกอย่างไม่เป็นท่าเลย"
"สอบอะไรครับ สอบบรรจุหรือสอบเลื่อนตำแหน่ง" ชายหนุ่มถามงง ๆ
"ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง คือพออาตมาไปถึง หลวงพ่อท่านก็ให้สอบ แล้วอาตมาก็สอบตก เอ แต่หลวงพ่อท่านฝากสั่งมาหาคุณแน่ะ" ท่านเปลี่ยนเรื่องด้วยไม่ต้องการให้ฝ่ายนั้นรับรู้ความพ่ายแพ้ที่ท่านได้รับมาหยก ๆ
"ท่านสั่งถึงผมว่ายังไงครับ"
"ท่านว่า พรุ่งนี้เช้าให้คุณไปหาต้นใต้ใบกับต้นไมยราบมาสักหอบย่อม ๆ ท่านจะเอาไปปรุงยาให้โยมเขา" คนรับฝากคำสั่งถ่ายทอดความได้ทุกถ้อยคำ
"โยมไหนครับ" เขาคิดว่าคงจะเป็นบุรุษคอเน่าคนนั้น
"เอ อันนี้อาตมาก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะหลวงพ่อท่านไม่ได้บอก" คนฉลาดแต่ไม่เฉลียว ตอบไม่เต็มเสียง
"งั้นพรุ่งนี้ หลวงพี่ช่วยเตือนผมอีกทีแล้วกัน เอาละทีนี้กรุณาเล่าให้ผมฟังหน่อยว่า หลวงพี่ไปสอบอะไรมา ที่พูดค้างไว้เมื่อกี้น่ะ" คนเป็นฆราวาสวกกลับมาเรื่องเดิม
"แหม อาตมานึกว่าคุณลืมไปแล้ว หลงดีใจว่าจะได้ไม่ต้องเล่า" ภิกษุหนุ่มรู้สึกผิดหวัง
"ผมไม่ลืมหรอกครับหลวงพี่ แล้วผมก็รู้ด้วยว่า หลวงพี่อยากให้ผมลืม ไอ้ผมมันก็คนหัวรั้นเสียด้วย คือถ้าใครอยากให้ผมลืม ผมมักจะจำ"
"ระวังเถอะ คนที่หัวรั้นน่ะต่อไปจะหัวล้าน" นายสมชายสะดุ้ง เพราะครั้งหนึ่งท่านพระครูก็เคยพูดเรื่องผมบนศีรษะของเขาว่า ในอนาคตมันจะลดปริมาณลง เมื่อมาถูกพระบัวเฮียวสะกิดอีก จึงถึงกับใจฝ่อ ก็ผู้ชายคนไหนบ้างอยากจะหัวล้าน ถึงผู้หญิงก็เถอะ
"แหม หลวงพี่พูดอะไรยังงั้น เล่นเอาผมใจคอไม่ดี" เขาต่อว่าภิกษุหนุ่ม
"ทำไม่ กลัวหรือ"
"ก็กลัวซีครับ เกิดเป็นตามปากหลวงพี่ ผมกลุ้มตายแน่ ๆ"
"อย่ากลัวเลยคุณ ถ้าคุณมีกรรมจะต้องเป็นอย่างนั้น ก็ขอภาวนาให้เป็นหลังแต่งงานเถอะ ขืนเป็นก่อนแต่งงานผู้หญิงเขาคงไม่ยอมแต่งกับผมแน่"
หากเป็นเมื่อก่อน ใจของพระบัวเฮียวจะต้องซัดส่ายทุกครั้ง เมื่อได้ยินคนพูดเรื่องแต่งงาน แล้วก็คิดอยากจะสึกออกไปมีคู่ครองเฉกเช่นคนอื่น ๆ บ้าง แต่หลังจากที่ท่านได้ปฏิบัติกรรมฐานอย่างเคร่งครัด จนสามารถแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลไปยังโยมมารดา ถึงกับทำให้ท่านได้รับรางวัลเป็นอาหารทิพย์จากเทวดา ปรากฏการณ์สองอย่างนี้ ทำให้ท่านตั้งปณิธานว่าจะไม่สึกออกไปเป็นผู้ครองเรือนอย่างเด็ดขาด
นับแต่บัดนั้น ท่านก็มิได้หวั่นไหว ยามได้ยินได้ฟังเรื่องเช่นว่านี้ ทั้งความคิดที่จะสึกก็ไม่เคยเกิดขึ้นอีก
"ถ้าเขาไม่ยอมแต่งก็ดีน่ะสิ จะได้รู้ว่า เขารักเราที่รูปร่างหน้าตา อาตมาเคยได้ยินหลวงพ่อท่านสอนญาติโยมว่า คนที่รักกันด้วยรูปโฉมโนมพรรณ หรือทรัพย์สมบัตินั้น ไม่ใช่รักแท้"
"ต้องรักด้วยอะไรล่ะครับ จึงจะเรียกว่ารักแท้" ศิษย์วัดแกล้งถามเพื่อลองภูมิ หลวงพี่"
"หลวงพ่อท่านว่า ต้องรักด้วยใจ ด้วยคุณความดี รักอย่างนี้ถึงจะยั่งยืน อย่างแรกไม่ยั่งยืนเพราะพอหมดเงิน หมดสวย รักก็จืดจางร้างรา" ผู้บวชใหม่ พูดตามที่ได้ยินได้ฟังมาจากพระอุปัชฌาย์
"ทำไมต้องเป็นหลวงพ่อท่านว่าด้วยล่ะครับ เป็นหลวงพี่ว่าไม่ได้รึไง" นายสมชายทักท้วง
"อาตมายังไม่เคยมีประสบการณ์" ภิกษุหนุ่มให้เหตุผล
"ก็เมื่อไหร่จะมีล่ะครับ เมื่อไหร่"
"อาตมาไม่พึงปรารถนา จริงอยู่เมื่อก่อนอาตมาเคยคิด แต่เดี๋ยวนี้ไม่คิดแล้ว พอปฏิบัติกรรมฐานมาก ๆ จิตมันก็ไม่ยอมรับสิ่งนี้ไปโดยปริยาย ไม่ต้องมีการฝืนด้วย มันก็แปลกดีนะ คุณน่าจะลองบ้าง"
"อย่าให้ผมลองเลยครับหลวงพี่ ผมยังไม่อยากจะเป็นพระอรหันต์ ยังรักที่จะเป็นปุถุชนคนเดินดินอย่างนี้แหละ" นายสมชายรีบปฏิเสธ
"คุณคิดว่าการเป็นพระอรหันต์นั้น เป็นกันได้ง่าย ๆ งั้นหรือ" พระบัวเฮียวย้อน
"ง่ายหรือยาก ผมก็ไม่อยากเป็นหรอกครับ"
"แต่ถึงอยาก ก็ใช่ว่าจะได้เป็นดังที่อยาก หลวงพ่อท่านบอกว่า การเป็นพระอรหันต์ต้องปฏิบัติข้ามภพข้ามชาติ แล้วก็ต้องทำด้วยตัวเอง ทำแทนกันไม่ได้ ซื้อเอาก็ไม่ได้ เพราะไม่ใช่บัตรผู้แทน"
"แหม หลวงพี่อ้างหลวงพ่ออีกแล้ว เมื่อไหร่จะเลิกอ้างแบบนี้เสียที คนเราควรจะมีความคิดเป็นของตัวเองมั่ง" นายสมชายว่า
"มันก็มีบ้างเหมือนกันแหละ ความคิดที่เป็นของตัวเองน่ะ แต่มันออกจะเปิ่น ๆ ไม่ฉลาดเฉลียวนัก พูดออกมาทีไร เป็นถูกคนเขาหัวเราะเยาะทุกที เลยต้องอ้างหลวงพ่อ จะผิดจะถูกยังไงก็ให้ไปถามหลวงพ่อเอาเอง แต่ก็แปลกนะคุณ พออาตมาอ้างหลวงพ่อ ก็ไม่เห็นใครหัวเราะเยาะ เลยต้องอ้างบ่อย ๆ จนชิน" พระบัวเฮียวอธิบายถึงสาเหตุที่ต้องอ้างคำพูดของอาจารย์
"เอาเถอะครับ เรายุติเรื่องนี้กันดีกว่า หลวงพี่ตอบผมได้แล้วว่า ไปสอบอะไรมา" นายสมชายทวงคำตอบ
พระบัวเฮียวเห็นว่าไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้ จึงจำใจเล่าให้ชายหนุ่มฟัง พร้อมทั้งลงความเห็นว่า
"ไม่น่าเป็นไปได้ ที่คนเป็น ๆ จะเหม็นราวกับซากศพ นี่ถ้าอาตมาไม่ได้เห็นมาด้วยตาตัวเอง เป็นไม่เชื่อเด็ดขาด"
"ไม่รู้ว่าหลวงพ่อท่านทนได้ยังไงนะ ผมละสงสารท่านจังเลย ที่ต้องสงเคราะห์คนทุกประเภทโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ ตั้งแต่เกิดมาก็ยังไม่เคยเห็นใครมีชีวิตลำบากลำบนเหมือนท่าน ในโลกนี้จะมีอีกสักกี่คนที่เป็นอย่างท่าน หรือหลวงพี่ว่ายังไง"
"อาตมาว่า ไม่มีอีกแล้ว คนที่ประเสริฐอย่างหลวงพ่อ หาไม่ได้อีกแล้ว ไม่ว่าในโลกนี้หรือโลกไหน ๆ" พระบัวเฮียวพูดจากใจจริง
"นั่นสิครับ แล้วผมก็เสียดายแทบขาด ที่ท่านจะต้องจากพวกเราไปในอีกสี่ปีข้างหน้า หลวงพี่ทราบเรื่องที่ท่านจะต้องได้รับอุบัติเหตุรถคว่ำแล้วใช่ไหมครับ"
"รู้แล้ว แต่มันยังไง ๆ อยู่นะ อาตมาค่อนข้างมั่นใจว่า ท่านจะไม่มรณภาพในลักษณะเช่นนั้น บุญบารมีที่ท่านสะสมไว้ จะช่วยท่านได้ อาตมาแน่ใจเช่นนั้น"
"หมายความว่า หลวงพี่ไม่เชื่อที่หลวงพ่อบอกหรือครับ แสดงว่าหลวงพี่ไม่เชื่อว่าท่านได้อภิญญาจริงอย่างนั้นหรือครับ"
"เชื่อสิ อาตมาเชื่อว่า ท่านได้อภิญญา ๖ ด้วยนะ ท่านเป็นพระอรหันต์ประเภท "ฉฬอภิญญา" อาตมาเชื่ออย่างนี้
"หลวงพี่อย่าไปพูดอย่างนี้ต่อหน้าท่านนะครับ เดี๋ยวจะหาว่าผมไม่เตือน เคยมีคนคิดว่าท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านบอกอย่าคิดอย่างนั้น ท่านเป็นพระอรเหต่างหาก เพราะใครมีทุกข์ ก็จะเหเข้ามาหาเพื่อให้ท่านช่วย"
"คนอื่นจะคิดอย่างไรก็แล้วแต่ สำหรับอาตมา ท่านเป็นพระอรหันต์ที่ได้อภิญญาครบทั้ง ๖ ท่านเป็น "พระฉฬภิญญา" ภิกษุหนุ่มย้ำ
"เอาเถอะครับ หลวงพี่อยากจะคิดอย่างนั้นก็ตามใจ แต่อย่าได้ไปพูดอย่างนี้ให้ท่านฟังเชียว ถูกดุแน่ ๆ นี่กี่ทุ่มกี่ยามแล้วล่ะ ผมชักง่วงแล้ว นอนกันเถอะครับ"
"เชิญคุณนอนก่อนเถอะ อาตมาจะปฏิบัติกรรมฐานเพื่อแผ่เมตตาไปให้หลวงพ่อท่าน บางทีอาจช่วยท่านได้นะหรือคุณว่ายังไง"
"ครับ อาจเป็นได้ ก็หนูยังช่วยราชสีห์ได้นี่ครับ หลวงพี่ตัวใหญ่กว่าหนูตั้งแยะ" นายสมชายว่า จากนั้นก็ล้มตัวลงนอน ไม่ช้าก็ส่งเสียงกรนเบา ๆ แสดงว่าหลับสนิท พระบัวเฮียวนั่งสมาธิกำหนด "พอง-หนอ" และ "ยุบ-หนอ" เป็นเวลาสองชั่วโมง ถอนจิตออกจากสมาธิแล้วแผ่เมตตา และอุทิศส่วนกุศลไปให้ท่านพระครู จากนั้นจึงจำวัด
พระบัวเฮียวกลับออกไปแล้ว ท่านพระครูจึงพูดกับอาจารย์ชิตว่า
"ยังไม่ทันไร สอบตกเสียแล้ว โยมอย่าไปถือสาท่านเลยนะ ท่านเพิ่งบวชไม่ทันครบพรรษาเลย" อาจารย์ชิตพอจะเข้าใจความหมายที่ท่านพูดจึงตอบว่า "ผมไม่คิดอย่างนั้นหรอกครับ เพราะถ้าเป็นผม ก็ทนไม่ได้เช่นกัน แล้วผมก็เกรงใจหลวงพ่อมากที่ต้องมาทนกับกลิ่นเหม็นเน่าราวกับซากศพอย่างนี้ ผมคงบาปมากใช่ไหมครับ ถึงได้เน่าทั้งที่ยังไม่ตาย"
"อย่าเพิ่งไปคิดอะไร แล้วก็ไม่ต้องเกรงใจอาตมาแต่ประการใด ไหนลองตอบอาตมามาซิว่า โยมอยากหายหรือเปล่า"
"ผมยังมีโอกาสที่จะหายได้หรือครับ คงเป็นไปไม่ได้ หลวงพ่ออย่าปลอบใจผมเลยครับ ที่ผมดั้นด้นมาก้ไม่ได้หวังว่าจะหาย เพียงแต่จะขอมาตายใกล้ ๆ หลวงพ่อเท่านั้น" อาจารย์วัยหกสิบ พูดอย่างปลงตก
"แต่อาตมาดูแล้ว่า มีทางเป็นไปได้ถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์ ขอให้เชื่ออาตมา แล้วทำตามที่บอกก็แล้วกัน"
ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ผมจะขอบวชตลอดชีวิตเลยครับ ขออุทิศชีวิตเพื่อพระศาสนา ชีวิตฆราวาสของผมสิ้นสุดลงเพราะโรคร้าย การได้ชีวิตใหม่ ผมถือว่าเป็นเพราะอำนาจบุญกุศล ผมจึงขอต่อบุญด้วยการบวชตลอดชีวิต"
"อย่าคิดไกลถึงขนาดนั้นเลยโยม อนาคตเป็นของไม่แน่ ถ้าโยมคิดว่าจะบวช ก็ขออธิษฐานไว้แค่พรรษาเดียวก็พอ ถ้าไปบอกว่าจะบวชตลอดชีวิต แล้วเกิดทำตามที่พูดไม่ได้ ก็จะเสียสัจจะ เรื่องสัจจะนี่สำคัญมากนะโยม ลูกศิษย์อาตมาคนหนึ่งชื่อนายอู่ กำลังจะจมน้ำตายเพราะอุบัติเหตุเรือพลิกคว่ำ ก็อธิษฐานว่า หากรอดชีวิตจะบวชหนึ่งพรรษา เสร็จแล้วก็ไม่ทำตามที่พูด แกบนไว้ตั้งแต่ลูกสาวยังอยู่ในท้อง จนลูกสาวแต่งงานก็ยังไม่ยอมบวช อาตมาเตือน ก็ผัดเมื่อนั้นเมื่อนี่อยู่เรื่อย ในที่สุดก็เลยรถคว่ำคอหักตาย นี่แหละผลของการเสียสัจจะ ในกรณีของโยมก็เหมือนกัน ขอให้ตั้งใจไว้ว่าจะบวชอย่างน้อยหนึ่งพรรษา หลังจากนั้น จะสึกหรือไม่สึก ก็ไม่ถือว่าเสียสัจจะ เข้าใจหรือยัง"
"ครับ ผมจะอธิษฐานไว้หนึ่งพรรษาก่อน หลังจากนั้นก็จะอยู่ต่อไปเรื่อย ๆ โดยไมสึก"
"ตามใจโยมก็แล้วกัน แต่อาตมาดูแล้ว โยมจะต้องสึกออกไปดูแลกิจการร้านค้า บวชตลอดชีวิตไม่ได้แน่" ท่านพระครูพูด "กฎแห่งกรรม" ของอาจารย์ชิต บอกท่านว่า ภรรยาเขาจะตายด้วยโรคมะเร็ง ในอีกสามปีข้างหน้า ท่านไม่บอกเขาในตอนนี้ แต่จะบอกต่อเมื่อเขาหายป่วยแล้ว
"ภรรยาผมเขาดูแลได้ครับหลวงพ่อ เขาเก่งเรื่องค้าขาย แล้วก็แข็งแรงไม่เคยเจ็บป่วย เขาคงทำบุญมาดี อย่างน้อยก็ดีกว่าผมแหละครับ"
"แต่คนที่ทำบุญมาดี พอมาชาตินี้ไม่ต่อบุญ น้ำมันก็หมดได้เหมือนกันนะโยม" ท่านพระครูแย้งเสียงเรียบ เพราะรู้ว่าอีกสามปี ภรรยาอาจารย์ชิตนะ "น้ำมันหมด" ชนิดที่ไม่มีผู้ใดจะช่วยได้
"บุญกุศลก็มีวันหมดได้หรือครับหลวงพ่อ" คนเป็นโรงมะเร็งถาม
"ได้สิโยม ก็เหมือนกับน้ำมันรถแหละ หมดเมื่อไหร่รถก็วิ่งต่อไปไม่ได้ ถึงต้องเติมน้ำมันไงล่ะ" ท่านเจ้าของกุฏิ อธิบายเชิงเปรียบเทียบให้คนเป็นอาจารย์ฟัง
"ถ้าอย่างนั้น บาปก็หมดได้ใช่ไหมครับ" อาจารย์ชิตถาม การได้สนทนากับพระครู ทำให้เขารู้สึกเพลิดเพลิน จนลืมความเจ็บปวดได้ชั่วครั้งคราว แท้ที่จริง "พลังเมตตา" ที่ท่านแผ่มาให้นั่นดอก ที่ช่วยบรรเทาเบาคลายความทุกข์ให้เขา
"ได้ ถ้าหากมีการชดใช้ สมมุติว่าโยมไปขอยืมเงินเขามา แล้วก็ไม่ใช้คืนเขา โยมก็ได้ชื่อว่าเป็นหนี้เขาอยู่ต่อเมื่อใช้คืนเขาเมื่อใด ก็เป็นอันว่าหมดหนี้ พูดถึงเรื่องหนี้ อาตมานึกถึงเรื่องของตัวเองได้ โดยมอยากฟังหรือเปล่า ถ้าไม่อยาก อาตมาจะได้ไม่เล่า"
"อยากครับ หลวงพ่อกรุณาเล่าเถิดครับ ผมรู้สึกสบายขึ้น เมื่อได้คุยกับหลวงพ่อ อาการเจ็บปวดดูเหมือนลดน้อยลงไปจนเกือบจะเหมือนคนปกติ หลวงพ่อกรุณาเล่าเถิดครับ
"แล้วห้ามเอาไปเล่าต่อนะ เพราะเรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว และก็จบลงเป็นอดีตไปแล้ว"
"ครับ ผมจะไม่เล่าให้ใครฟังหากไม่เผลอ"
"ตกลง ถ้าเล่าตอนเผลอ อาตมาไม่ว่า แต่ถ้าไม่เผลอ ห้ามเล่านะ"
"ครับ" บุรุษวัยหกสิบรับคำ
ท่านพระครูจึงเล่าว่า "สมัยที่อาตมาบวชใหม่ ๆ อาตมาคุ้นเคยกับเจ๊คนนึง แกชื่อเจ๊ลั้ง วันหนึ่งแกก็มาหาอาตมา บอก "หลวงพ่อ ขอยืมเงินฉันสักห้าพันได้ไหม ฉันจะเอาไปให้เฮียเขาลงทุนค้าขาย" เจ๊ลั้งแกมากับสามี จะชื่ออะไรอาตมาก็จำไม่ได้เสียแล้ว ตอนนั้นอาตมาเงินเยอะ เพราะยายทิ้งสมบัติไว้ให้ ทั้งเงินทั้งทอง ทองนั่นก็ดูเหมือนจะสักสี่สิบบาทเห็นจะได้ เป็นทองรูปพรรณ มีทั้งเข็มขัด สร้อยข้อมือแล้วก็สร้อยสังวาล ที่คนสมัยก่อนเขาใส่กัน อ้อ! แล้วก็มีร่างแหทองคำอันใหญ่อีกสองอัน"
"อะไรครับ หลวงพ่อ ร่างแหทองคำ" อาจารย์ชิตถาม
"ก็ลักษณะเหมือนกับแห ที่เขาเด็กผู้หญิงใส่น่ะ สมัยนี้ไม่ค่อยเห็นแล้ว เพราะเขาใส่กางเกงแทน"
"อ๋อ ตะปิ้งใช่ไหมครับ"
"คงงั้นมั้ง อาตมาเองก็ไม่เคยใส่กับเขา เพราะเป็นเด็กผู้ชาย" ท่านพระครูพูดติดตลก
"ผมก็เคยซื้อให้ลูกสาวใส่ครับ สมัยที่แกเด็ก ๆ เดี๋ยวนี้แม่เขายังเก็บไว้ บอกเอาไว้ให้รุ่นหลานดู"
"นั่นแหละ ทีนี้เจ๊ลั้งแกมาขอยืมเงินห้าพัน แกกำลังท้องแก่ด้วย ตอนที่มาน่ะ ท้องลูกคนแรก"
"แล้วหลวงพ่อให้หรือเปล่าครับ"
"ให้สิ อาตมาไม่หวงหรอก ถ้ามีไม่เคยหวง อาตมาก็ให้แกยืมไป แต่ก็นึกสังหรณ์ใจว่า คงจะไม่ได้คืน แล้วก็ไม่ได้คืนจริง ๆ อาตมาจนบันทึกไว้นะ พอแกกับสามีกลับ อาตมาก็ขึ้นไปจดบันทึกว่า "วันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๔๙๒ เวลา ๑๔.๐๐ น. เจ๊ลั้งที่อยู่นครนายกมายืมเงินไปห้าหันบาท รู้สึกสังหรณ์ใจว่าจะไม่ได้คืน"
"แล้วหลวงพ่อได้คืนหรือเปล่าครับ"
"ไม่ได้จนบัดนี้ อาตมาก็ไม่กล้าทวงแก เพราะทวงหนี้ใครไม่เป็น ก็ไม่รู้ว่าทำไมแกถึงลืมได้ แกมาที่นี่หลายครั้ง แต่ไม่เคยพูดเรื่องเงินเลย ฉะนั้นจะว่าแกตั้งใจโกงก็ไม่ได้ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นจริง แกก็ต้องหลบหน้าหลบตา ไม่มาให้เห็นหน้า จริงไหม"
"จริงครับ เอาอย่างนี้ไหมครับหลวงพ่อ ถ้าวันหลังแกมาที่นี่อีกหลวงพ่อกรุณาบอกผม ผมจะพูดให้เองดีไหมครับ" อาจารย์ชิตขันอาสา
"ไม่ต้องหรอกโยม มันจบสิ้นกันไปแล้ว ฟังก่อน อาตมายังเล่าไม่จบ คือเมื่อปีที่แล้วนี่เอง แกก็มานิมนต์ไปงานแต่งงานลูกสาว ก็คนที่อยู่ในท้องตอนที่แกมาขอยืมเงินอาตมานั่นแหละ ก่อนไปอาตมาก็อธิษฐาน "เจ้าประคู้นขอให้ข้าพเจ้าได้เงินห้าพันคืนเถอะ ขอให้เจ๊ลั้งแกนึกได้เถอะ" แล้วก็ไปนครนายก แกส่งรถมารับเพราะตอนนั้นอาตมายังไม่มีรถใช้ ลูกสาวแกแต่งงานวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๑๖ เป็นเวลา ๒๔ ปีเต็ม ที่แกยืมเงินอาตมาไป พอไปถึงก็ทำพิธี จากนั้นก็ฉันเช้า
ฉันเช้าเสร็จ อาตมาก็ลากลับ แกก็ไม่พูดเรื่องเงินอีก อาตมารู้สึกผิดหวัง ก็เลยมานั่งกรรมฐานตรวจสอบดูถึงได้รู้ว่า ที่เขาลืมเพราะเราเคยเป็นหนี้เขาไว้ตั้งแต่ชาติก่อนโน่น"
"ชาติที่แล้วนี่หรือครับ"
"ไม่ใช่ ก่อนชาติที่แล้ว เมื่อชาติที่แล้ว อาตมายังไม่ทันขอยืมเงินใคร เพราะตายเสียก่อน ดูเหมือนจะตายตอนอายุสักสามสี่ขวบนี่แหละ"
"เป็นอะไรตายครับ"
"ตกน้ำตาย คือบ้านอาตมาอยู่ริมน้ำเจ้าพระยา แล้วพี่เลี้ยงเขาเผลอ อาตมาลงไปเล่นที่ท่าน้ำ ก็เลยตกน้ำตาย นี่โยมห้ามเอาไปเล่าให้ใครฟังนะ เรื่องตกน้ำตายน่ะ การปฏิบัติกรรมฐานมีประโยชน์ตรงนี้แหละ คือทำให้ระลึกถึงกรรมเก่าได้ จะได้ใช้ ๆ ให้หมดไปเสีย ทุกคนก็มีกรรมด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าโยมหรืออาตมาหรือใคร ๆ"
"แล้วหลวงพ่อบอกเจ๊คนนั้นหรือเปล่าครับ"
"ไม่ได้บอกอย่างที่เล่าให้โยมฟังหรอก หลังจากนั้นอีกหนึ่งเดือน แกก็มาที่วัดอีก อาตมาก็แกล้งถามก่า "เจ๊ อาตมาเคยเป็นหนี้เป็นสินเจ๊ แล้วลืมใช้บ้างหรือเปล่า ลองนึกดูซิ"
แกนึกอยู่นาน แล้วก็บอกว่าไม่ได้เป็น อาตมาก็ถามว่า ถ้าเกิดเป็นตั้งแต่ชาติก่อน ๆ ล่ะ อาตมาจะใช้ให้ชาตินี้ เอาไหม จะได้หมดหนี้กัน แกก็ว่า "เอาเถอะ ฉันยกให้ ถ้าเป็นหนี้ตั้งแต่ชาติก่อน ๆ ฉันยกให้หลวงพ่อ" อาตมาก็ย้ำว่า "จริง ๆ นะ อย่าพูดเล่นนะ" แกก็รับปากรับคำ ซึ่งก็แปลว่า แกอโหสิให้ อาตมาก็เลยบอกว่า ที่แกยืมอาตมาเมื่อยี่สิบปีก่อน อาตมาก็ยกให้เหมือนกัน แกก็นึกขึ้นได้ แล้วบอกจะใช้คืน อาตมาไม่ยอมรับคือ เพราะที่ยืมแกมา ถ้าคิดเป็นเงินในชาตินี้ ก็คงตกสองแสนบาททั้งต้นทั้งดอก ซึ่งถ้าแกเกิดจะเอาคืน ก็ไม่รู้จะไปเอาที่ไหนมาให้"
"หลวงพ่อก็ได้กำไรซีครับ"
"ยังงั้นน่ะซิ อาตมาถึงเตือนโยมว่า อย่าเที่ยวพูดเรื่องนี้ให้ใครฟัง เดี๋ยวเขาจะตำหนิว่าหลวงพ่อเจริญค้ากำไรเกินควร" แล้วท่านก็หัวเราะ อาจารย์ชิตพลอยหัวเราะไปด้วย นานนักหนาแล้ว ที่เขาไม่ได้หัวเราะอย่างมีความสุขเช่นค่ำคืนนี้




เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ถวายเทียน ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 5 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO