นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อาทิตย์ 12 พ.ค. 2024 12:33 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: เรื่องราว
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 14 มิ.ย. 2012 7:35 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4555
นายสมชายยกสำรับลงมาข้างล่าง นายขุนทองกำลังจะตามลงมาก็พอดีกับท่านพระครูถามขึ้นว่า
"งานสวดศพเจ๊นวลศรีเรียบร้อยดีใช่ไหม เขาเคลื่อนศพมาถึงวัดตอนกี่โมง"
"ไม่มีศพใครมาเลยนี่ฮะหลวงลุง พระมหาบุญท่านก็ยังสงสัยว่าทำไมถึงไม่เป็นไปตามที่หลวงลุงสั่งเอาไว" หลานชายรายงาน
"ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าลูกหลานเขาคงจะเปลี่ยนใจไม่เอามาไว้วัดนี้กระมัง ที่จริงรับปากคนตายไว้แล้ว ไม่น่าจะเสียคำพูด" ท่านตำหนิกราย ๆ ตำหนิคนเป็นลูกหลานของเจ๊นวลศรี
"เขาคงคิดว่าตายไปแล้วคงไม่รู้มังฮะ นี่ถ้าเป็นหนูจะกลับมาหักคอให้ตายทั้งโขยงเลย โทษฐานที่ขัดคำสั่ง" หนุ่มวัยยี่สิบเอ็ดขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูด
"เอาเถอะ ๆ ลงไปกินข้าวได้แล้ว กินเสร็จช่วยไปตามแม่หนูคนนั้นมาพบข้าหน่อย คนที่เอ็งพาไปฝากไว้ที่โรงครัวน่ะ" ท่านออกคำสั่ง
"นังเตยน่ะหรือฮะหลวงลุง เห็นพวกแม่ครัวเขาพูดกันว่าสงสัยมันจะท้อง เพราะอาเจียนโอ้ก ๆ ทุกเช้า
"เอ็งเพิ่งรู้หรือ ข้ารู้มาตั้งนานแล้ว" ท่านพระครูว่า
"แต่หนูว่าหนูรู้ก่อนหลวงลุงอีกนะ" หลานชายไม่ยอมแพ้
"ถ้าเอ็งรู้จริงก็บอกข้ามาซิว่าเขาท้องได้กี่เดือนแล้ว"
"สามเดือนฮะ" ชายหนุ่มตอบค่อนข้างมั่นใจ
"นั่นแสดงว่าเอ็งรู้ไม่จริง ถ้ารู้จริงต้องตอบว่าสี่เดือน ข้ารู้ตั้งแต่วันแรกที่เห็นหน้าเขา เอ็งอย่ามาทำเก่งกว่าข้าหน่อยเลยเจ้าขุนทอง เพราะคนที่เก่งกว่าข้าน่ะพากันตายไปหมดแล้ว" ท่านตั้งใจยั่วหลานชาย หากคราวนี้นายขุนทองไม่โต้ตอบเพราะรู้สึกหิว จึงยกถ้วยชามเดินลงมาข้างล่างซึ่งนายสมชายรออยู่
"ทำไมเอ็งช้านักวะ ก็ไหนว่าหิวไง" ลูกศิษย์วัดต่อว่าเพราะลงมารอค่อนข้างนาน
"ก็หลวงลุงน่ะซี ถามโน่นถามนี่อยู่ได้" เขาโยนความผิดไปให้ท่านเจ้าของกุฏิ
"ท่านถามอะไรเอ็งก็ตอบ ๆ ไปเสียก็หมดเรื่อง ข้าว่ามัวแต่ต่อล้อต่อเถียงท่านอยู่น่ะซี รู้นิสัยเอ็งหรอกน่า" คนมาวัยกว่าพูดดักคอ
"เอาเหอะ ๆ หนูหิวแล้ว กินข้าวกันดีกว่า อิ่มแล้วค่อยเถียงกันใหม่" นายขุนทองพูดตัดบท แล้วคนทั้งสองก็ก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารโดยไม่พูดไม่จา นายสมชายคิดว่าอิ่มแล้วจะของีบสักพักใหญ่ ๆ แล้วก็จะตื่นขึ้นมาล้างรถ แดดร่มลมตกจึงจะขี่จักรยานคู่ชีพไปบ้านเหนือ ขืนไปแต่วันก็อายชาวบ้านร้านถิ่นเขา จะต้องถูกครหาว่ามานั่งเฝ้าสาวจนไม่เป็นอันทำมาหากิน พวกชาวบ้านเขาจ้องจะนินทาอยู่แล้ว ถึงไม่เคยไปทำอะไรให้เขาต้องเดือดร้อนรำคาญใจก็มีสิทธิ์ถูกนินทาได้
อิ่มหมีพีมันกันแล้วนายขุนทองก็ออกคำสั่ง
"พี่ช่วยเก็บสำรับล้างด้วย หนูจะไปตามนังเตยมาพบหลวงลุง"
"เอ็งก็ล้างก่อนซิแล้วค่อยไป ข้าง่วง เมื่อคืนกลับดึก แล้วยังต้องมาปิดประตูแทนเอ็งอีก" เขาถือโอกาสทวงบุญคุณ
งั้นพี่ไปตามนังเตยมันแทนหนูได้ไหมล่ะ" คนอ่อนวัยกว่าต่อรอง
"ข้าจะไปก็ได้ แต่มันน่าเกลียดเพราะข้ามันเป็นผู้ชาย เอ็งไปน่ะดีแล้ว ผู้หญิงเหมือนกันค่อยพูดกันรู้เรื่อง" ประโยคหลังถูกใจนายขุนทองนัก เขาจึงเก็บสำรับไปกองรวมไว้หลังกุฏิแล้วเดินไปตามนางสาวเตย กลับมาค่อยมาล้าง
นายสมชายจึงถือโอกาสเข้าไปแอบนอนในห้องนายขุนทอง ขืนขึ้นไปห้องตัวเองคงต้องถูกท่านพระครูซักไซ้ไล่เลียง แล้วก็คงไม่มีโอกาสได้นอน เพราะท่านไม่ชอบให้ใครนอนกลางวัน ท่านว่าจะทำให้เป็นโรคเกียจคร้าน ตั้งแต่เข้ามาปรนนิบัติรับใช้ท่านก็ยังไม่เคยเห็นท่านนอนกลางวันเลยสักครั้ง
แม้ในยามอาพาธเจ็บป่วย หมอสั่งให้พักผ่อนมาก ๆ ท่านก็ไม่ค่อยจะปฏิบัติตามคำสั่งของหมอ ครั้นถูกหมอต่อว่า ท่านก็ออกตัวว่า "อาตมากลัวจะมีโรคแทรก" พอหมอถามว่าท่านกลัวโรคอะไรแทรก ท่านก็ตอบว่า "โรคเกียจคร้าน ถ้าอาตมาขืนนอนกลางวัน รับรองว่าต้องถูกโรคเกียจคร้านแทรก" หมอก็เลยต้องยอมจำนนต่อเหตุผลของท่าน แล้วท่านก็คงจะเกรงใจหมอ เพราะนาน ๆ จึงจะอาพาธสักที และหากอาการไม่หนักหนาสาหัสจริง ๆ แล้วก็จะไม่ให้หมอได้รู้เป็นเด็ดขาด
นายขุนทองเดินไปตามนางสาวเตย ที่โรงครัว ถ้าหากไม่พบก็ว่าจะลองถามพวกแม่ครัวเขาดู บังเอิญได้ยินเสียงโอ้กอ้ากอยู่ทางด้านหลังจึงเดินไปยังที่มาของเสียง
"เตย หลวงลุงให้มาตามเอ็งไปพบ" เขาบอก ขณะที่ฝ่ายนั้นโก่งคออาเจียนเอา ๆ
"ตกลงท่านจะให้หนูบวชหรือเปล่า พี่ขุนทองรู้ไหม" นางสาวเตยถามเมื่อหยุดอาเจียนแล้ว
"ก็เอ็งท้องไม่ใช่เหรอ คนท้องเขาบวชกันซะที่ไหนล่ะ
"ใครว่าหนูท้อง หนูเป็นโรคกระเพาะตังหาก" คนท้องสี่เดือนยังไม่ยอมรับความจริง
"เอ็งจะปิดไปทำไมวะ อีกหน่อยท้องมันก็ป่องออกมาฟ้องเอง ว่าแต่ว่าเอ็งท้องได้กี่เดือนแล้ว" คนถามมองดูท้องของอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งนูนขึ้นมานิดเดียวเท่านั้น
"สามเดือนจ้ะ" นางสาวเตยตอบ
"ว่าแต่ว่าพี่อย่าบอกหลวงพ่อนะ ไง ๆ หนูขอบวชสักเดือนสองเดือน พอท้องมันโตค่อยสึก" หล่อนพูดเอาแต่ได้
"ข้าไม่ออกความเห็นดีกว่า เอ็งไปคุยกับหลวงลุงเอาเองก็แล้วกัน แต่ท่านรู้ว่าเอ็งท้องนะ ท่านว่าเอ็งท้องได้สี่เดือน แต่ข้าว่าเอ็งท้องสามเดือน ข้าชนะท่านแล้ว" นายขุนทองคิดว่าจะต้องไปชี้แจงข้อเท็จจริงกับท่าน ในที่สุดเขาก็ชนะท่านจนได้ ก็นังเตยมันว่ามันท้องสามเดือนนี่นา"
"ท่านรู้ได้ยังไงล่ะพี่ หรือพวกแม่ครัวแอบไปบอก ถ้าเป็นยังงั้นหนูจะด่าให้เปิงเชียวละ" คนจะบวชชีแสดงอาการเกรี้ยวโกรธ
"ไม่มีใครบอกท่านหรอก ท่านรู้เอง เอ็งไม่รู้อะไร หลวงลุงท่านตาทิพย์นะ สามารถเห็นอะไร ๆ ที่คนธรรมดา ๆ ไม่เห็น เอาเหอะ อย่ามัวชัดช้าร่ำไรเดี๋ยวท่านจะรอ ไปกันเดี๋ยวนี้แหละ" พูดจบก็เดินนำนางสาวเตยมาที่กุฏิ ท่านพระครูลงมานั่งรอที่อาสนะแล้วเมื่อไปถึง หล่อนกราบสามครั้ง แล้วตั้งคำถาม
"ตกลงหลวงพ่อจะให้หนูบวชเมื่อไหร่คะ"
"หนูอย่าพูดเอาแต่ได้ยังงั้นซี คิดให้ยาว ๆ หน่อย หนูไม่กลัวว่าจะทำให้เสียชื่อเสียงวัดหรือไง ถ้าหนูมาคนเดียว หลวงพ่อก็จะให้บวช แต่มาสองคนบวชไม่ได้"
"หนูก็มาคนเดียวนี่คะ" หล่อนเถียง
"สองสิหนู ในท้องอีกคนไง หนูท้องไม่ใช่หรือ แล้วก็ไม่ต้องไปด่าแม่ครัวเขาหรอกนะ เขาไม่ได้มาบอกหลวงพ่อ หลวงพ่อรู้เอง ที่หนูคุยกับเจ้าขุนทองเมื่อกี้ หลวงพ่อก็ได้ยินหมดแล้ว จะให้บอกไหมล่ะว่าพูดอะไรกันบ้าง" นายขุนทองยังไม่ได้ลุกออกไปล้างชามจึงถือโอกาสอวดสรรพคุณของตนว่า
"หลวงลุงแพ้หนูแล้ว เขาท้องได้สามเดือนจริง ๆ นั่นแหละ หลวงลุงหาว่าสี่เดือน"
ท่านพระครูจึงพูดกับนางสาวเตยผู้ซึ่งเริ่มร้องไห้กระซิก ๆ อยู่ต่อหน้าท่านว่า
"ไงจ๊ะแม่หนู ท้องสี่เดือนทำไมถึงว่าสามเดือน นี่ขนาดหลวงพ่อไม่ได้ท้องเองยังรู้เลย แล้วทำไมตัวหนูไม่รู้ล่ะจ๊ะ" นางสาวเตยจึงต้องคิดทบทวนเหตุการณ์ตั้งแต่ได้เสียกับไอ้หนุ่มเพื่อนบ้าน กระทั่งรอบเดือนขาดไป แล้วก็ต้องยอมรับว่าหลวงพ่อท่านพูดถูก รอบเดือนของหล่อนหายไปสี่ครั้ง ก็แปลว่าหล่อนต้องท้องสี่เดือน ทำไมหลวงพ่อท่านถึงได้รู้อะไร ๆ ได้มากมายนัก "สงสัยคงเป็นผู้วิเศษแน่ ๆ" หล่อนคิด
"หลวงพ่อไม่ใช่ผู้วิเศษหรอกหนู อย่าคิดไปไกลขนาดนั้น" นางสาวเตยยิ่งประหลาดใจมากขึ้น เมื่อท่านรู้แม้กระทั่งว่าหล่อนคิดอะไรเช่นนี้ ก็ป่วยการที่จะโกหกท่าน จึงพูดทั้งน้ำตาว่า
"หลวงพ่อคะ หนูกลุ้มใจ ไอ้คนที่มันทำหนูท้อง มันไม่ยอมรับเป็นพ่อของลูกในท้องค่ะ" หล่อนเล่าความจริง
"หนูอยากให้เขารับใช่ไหม"
"ค่ะ ไม่งั้นหนูจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ใครรู้เข้าหนูคงอกแตกตายแน่โดยเฉพาะพ่อกับแม่หนู" แล้วหล่อนก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น คิดเคียดแค้นชิงชังเจ้าหนุ่มเพื่อนบ้านที่เป็นพ่อเด็กในท้อง
"เอาเถอะ หยุดร้องไห้ได้แล้ว หลวงพ่อมีวิธีที่จะทำให้คนรักของหนูเขามาแต่งงานกับหนู แต่หนูจะต้องไม่บวชชี ตกลงไหม"
"จริงหรือคะหลวงพ่อ" ถามอย่างยินดี หล่อนเชื่อว่าท่านต้องทำได้ เพราะท่านเป็นผู้วิเศษ
"จริงหรือไม่จริงก็ต้องคอยดูกัน แต่หลวงพ่อก็ขอบอกไว้ก่อนว่ายังไง ๆ ก็อนุญาตให้หนูบวชชีไม่ได้"
"หนูไม่บวชแล้วค่ะ ถ้าหลวงพ่อทำให้หนูได้แต่งงานกับเขา หนูไม่บวชค่ะ นึกว่าช่วยหนูเอาบุญเถิดนะคะ หนูหมดที่พึ่งแล้ว ครั้งแรกคิดจะฆ่าตัวตายแต่ใจไม่ถึง" คนท้องสารภาพ
"อย่าเชียวนะหนู อย่าได้ฆ่าตัวตายเป็นอันขาด คนที่ฆ่าตัวตายต้องตกนรกถึงห้าร้อยชาติ แล้วถ้ามาเกิดเป็นมนุษย์อีกก็จะต้องฆ่าตัวตายถึงเจ็ดชาติ จึงจะหมดเวร มีตัวอย่างแล้ว ลูกศิษย์หลวงพ่อคนหนึ่ง เป็นอาจารย์สอนอยู่โรงเรียนประจำจังหวัด เคยมาเข้ากรรมฐานกับหลวงพ่อแล้วก็เกิดระลึกชาติได้ว่าเคยฆ่าตัวตายมาหกชาติแล้ว ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย"
"แล้วหลวงพ่อไม่ช่วยเขาหรือคะ ช่วยไม่ให้เขาฆ่าตัวตายน่ะค่ะ"
"ช่วยสิหนู หลวงพ่อก็พยายามจนสุดความสามารถ แต่พ่อกับแม่เขาไม่ร่วมมือด้วย ในที่สุดเขาก็เลยผูกคอตาย แต่ก็ตายอย่างมีสตินะ เพราะเขารู้ว่าจะต้องชดใช้กรรม"
"ทำไมพ่อแม่เขาไม่ให้ความร่วมมือกับหลวงพ่อล่ะคะ หรือว่าเป็นตาสีตาสาไม่รู้เรื่องรู้ราว"
"ไม่ใช่ตาสีตาสาหรอก พ่อเขาเป็นนายตำรวจ ส่วนแม่เขาเป็นครูประชาบาล แต่เขาไม่เชื่อที่หลวงพ่อบอก พอลูกสาวตาย พากันมาร้องห่มร้องไห้ที่กุฏินี่ทั้งผัวและเมียเลย บอกรู้ยังงี้เชื่อหลวงพ่อก็ดีหรอก หลวงพ่อก็เลยตอบไปว่ามาเชื่อเอาตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์แล้ว เพราะถึงยังไงลูกสาวก็ไม่ฟื้นคืนชีพมาอีกแล้ว แม่หนูคนนี้ก่อนตายเขาก็สร้างบ้านให้พ่อแม่หลังใหญ่เชียว สร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง ตอนสร้างใช้เงินไม่กี่หมื่น แต่ตอนนี้ราคาหลายแสน"
"แล้วเขาต้องไปตกนรกอีกไหมคะ"
"ไม่ตกแล้วหนู ก่อนตายเขาก็ไหว้พระสวดมนต์แล้วนั่งกรรมฐาน พ่อกับแม่ก็ไปทำงานแต่เช้า ก่อนไปเห็นลูกสาวนั่งสวดมนต์อยู่ในห้องพระก็ไม่ได้สังหรณ์ใจ ตกเย็นเลิกงานมาก็ยังเห็นลูกสาวนั่งอยู่ในห้องพระ จึงเข้าไปเรียก คิดว่า "เอ วันนี้อีหนูนั่งกรรมฐานนานจัง" ปรากฏว่าเรียกเท่าไหร่ ลูกสาวก็ไม่ยอมลืมตา เลยเข้าไปจับตัวดูจึงรู้ว่าตายเพราะตัวเย็นซีดเลย"
"ก็ไหนหลวงพ่อว่าเขาผูกคอตายไงคะ"
"ก็ผูกคอตายน่ะสิ คือเขานั่งอยู่ในห้องพระ แต่ก็ใช้ผ้าสไบเฉียงพันรอบคอเอาไว้" ก็พันหลวม ๆ นี่แหละ คือผูกคอตายพอเป็นพิธีว่างั้นเถอะ พวกชาวบ้านใกล้เคียงเขาเล่าให้พ่อแม่ของแม่หนูคนนี้ฟังว่าเขาเห็นคนแต่งชุดขาวเดินกันให้ขวักไขว่ไปหมด ยังคิดว่าที่บ้านมีงาน หนูรู้ไหมที่ชาวบ้านเขาเห็นนั้นก็คือพวกเทวดา แสดงว่าเทวดามารับเอาไป"
"แบบนี้ก็ไปสวรรค์ซีคะ"
"ถูกแล้ว ถ้าไปนรก ยมบาลจะมารับ คนอื่นจะไม่เห็น แต่คนที่กำลังจะตายเขาจะเห็น คือเห็นยมบาลน่ะ"
"แหม งั้นหนูก็โชคดีนะคะที่ไม่ได้ฆ่าตัวตาย ยิ่งกว่านั้นยังมาพบหลวงพ่อผู้เปี่ยมด้วยเมตตาอีก"
"ไม่ต้องยอหลวงพ่อหรอกหนู ไง ๆ หลวงพ่อก็ต้องช่วยหนูอยู่แล้ว แต่ที่สำคัญที่สุด หนูจะต้องช่วยตัวหนูเองด้วย ต้องเพียรพยายามให้มากที่สุด แล้วหนูจะประสบความสำเร็จ อย่าลืมนะหนู พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ว่า "บุคคลล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร" หญิงสาวคิดว่าท่านพระครูคงจะช่วยหล่อนด้วยการทำเสน่ห์ให้คนรักกลับมาหา จึงถามวิธีการที่ตนจะต้องปฏิบัติ
"แล้วหนูจะต้องทำอะไรบ้างคะหลวงพ่อ แล้วจะต้องเสียค่าใช้จ่ายสักเท่าไหร่"
"หนูก็ต้องทำตามที่หลวงพ่อแนะนำอย่างเคร่งครัด ส่วนค่าใช้จ่ายไม่ต้องเสียอะไรเลย แถมที่อยู่ที่กินก็ฟรีอีกด้วย อย่าคิดว่าหลวงพ่อจะทำเสน่ห์ให้นะหนู เรื่องเสน่ห์เล่ห์กลหลวงพ่อไม่ถนัด แล้วก็รู้ว่ามันไม่ใช่ทางที่จะแก้ปัญหา พวกที่ไปพึ่งหมอเสน่ห์มักจะถูกหลอกกันเสียมาก บางคนถึงกับเสียเนื้อเสียตัวให้"
"แล้วพวกหมอเสน่ห์บาปไหมคะ"
"บาปสิหนู ก็เขาทุกข์มาขอพึ่งแล้วยังจะไปทำให้เขาทุกข์หนักขึ้นไปอีก พวกนี้ตายไปต้องตกนรก"
"แล้ววิธีการของหลวงพ่อทำอย่างไรคะ"
"วิธีของหลวงพ่อนั้นต้องใช้ปัญญาแก้ปัญหา คนที่มีปัญญาจะต้องมาเข้ากรรมฐาน ฝึกจิตสงบปัญญาก็เกิด ก็ใช้ปัญญานั้นแก้ปัญหาได้ วิธีนี้ดีที่สุด ไม่เป็นพิษเป็นภัยและไม่ต้องเสียเงินเสียทอง แต่การปฏิบัติก็ไม่ง่ายนัก ผู้ปฏิบัติต้องอดทน ต้องใช้ความเพียรพยายามอย่างยิ่งยวด ต้องตั้งจิตให้แน่วแน่ว่าเราจะทำให้ได้ จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จขึ้นอยู่กับความเพียรพยายามของตัวเรา หลวงพ่อช่วยได้เพียงให้คำแนะนำเท่านั้น ส่วนเรื่องปฏิบัติหนูต้องทำเอง หลวงพ่อจะเปรียบเทียบให้หนูเห็นง่าย ๆ คือ เวลานี้หนูเปรียบเสมือนคนไข้ที่มาให้หลวงพ่อรักษา หลวงพ่อเป็นหมอตรวจดูอาการแล้ว ก็รู้ว่าหนูเป็นโรคอะไร จะต้องให้ยาอะไรไปรับประทานจึงจะหาย เมื่อหมอเขาให้ยาแล้ว หน้าที่ของหนูก็คือต้องกินยาตามที่หมอแนะนำ ถ้าหนูไม่กินยาโรคก็ไม่หาย หมอเขาจะกินยาแทนหนูก็ไม่ได้จริงไหม"
"จริงค่ะ ถ้าอย่างนั้นหนูขอเข้ากรรมฐานวันนี้เลยนะคะ" หญิงสาวพูดอย่างปีติ รู้สึกว่า ความทุกข์ที่สุมแน่นอยู่ในอกนั้นถูกขจัดออกไปตั้งครึ่งตั้งค่อน ไม่นึกไม่ฝันว่าจะมาพบพระใจดีมีเมตตาเช่นหลวงพ่อองค์นี้ คงเป็นบุญของหล่อนและลูกในท้องนั่นเอง
"ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวหลวงพ่อจะให้เจ้าขุนทองพาไปอยู่สำนักชี ตอนเย็นให้หัวหน้าแม่ชีเขาพามาขึ้นกรรมฐาน ปกติคนมาเข้ากรรมฐาน หลวงพ่อจะให้รับศีลแปด แต่สำหรับหนูหลวงพ่ออนุญาตให้เป็นกรณีพิเศษ คือให้รับแค่ศีลห้า จะได้ไม่กระทบกระเทือนลูกในท้อง ตอนเย็นหนูก็ไปทานอาหารที่โรงครัวได้"
"แล้วกี่วันถึงจะได้ผลคะหลวงพ่อ" หล่อนถาม ท่านพระครูอยากให้หล่อนสบายใจ จึงตอบไปตามที่ "เห็นหนอ" รายงาน
"อีกสิบห้าวัน หนูจำไว้เลยนะ กลับไปจดไว้ก็ได้ วันนี้วันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ใช่ไหม นับต่อไปอีกสิบห้าวันซิถึงวันที่เท่าไหร่" หญิงสาวนับนิ้วมือขยุกขยิกอยู่นาน หากก็ไม่สามารถตอบท่านได้ เพราะไม่รู้ว่าปีนี้เดือนกุมภาพันธ์มีกี่วัน นายขุนทองซึ่งยอมรับว่าเป็นผู้แพ้และนั่งฟังอยู่อย่างสงบเสงี่ยม จึงลุกขึ้นไปเปิดดูปฏิทินที่แขวนอยู่ข้างฝา
"วันที่ ๔ มีนาคม ฮะหลวงลุง" เขาบอก
"วันที่ ๕ ต่างหาก ข้าบอกให้นับต่อไปอีกสิบห้าวัน ก็แปลว่าวันนี้ไม่ต้องนับ" ท่านพระครูพูดเรียบ ๆ หากนายขุนทองก็รู้สึกว่าวันนี้เขาพ่ายแพ้ท่านเป็นคำรบสองแล้ว ครั้นจะลุกออกไปล้างชามก็เกรงจะถูกดุให้ต้องขายหน้าอีก เพราะท่านเคยกำชับไว้ว่าหากมีสตรีเพศมานั่งคุยกับท่าน เขาจะต้องนั่งเป็นสักขีพยานจนกว่าผู้นั้นจะลากลับไป
"เอาละแม่หนู จำไว้นะว่า วันที่ ๕ มีนาคม คนรักของหนูเขาจะมารับหนูที่นี่ มารับไปแต่งงาน เอาละไปได้ ขุนทองพาแม่หนูไปฝากที่สำนักชี แล้วตอนเย็นให้แม่ชีพามาขึ้นกรรมฐานด้วย" ท่านสั่งนายขุนทอง หญิงสาวกราบท่านสามครั้งแล้ว จึงลุกตามนายขุนทองออกไป
"พี่ขุนทอง ประเดี๋ยวหนูต้องไปเอาเสื้อผ้าที่โรงครัวก่อน" หล่อนบอกเมื่อเห็นนายขุนทองมุ่งหน้าไปทางสำนักชี
"เออ แล้วเอ็งจะไปด่าเขาไหม"
"ด่าใคร" คนพูดลืมไปแล้ว
"ก็ด่าพวกแม่ครัวไง เมื่อกี้เอ็งบอกจะด่าให้เปิงน่ะ ตอนนี้เปลี่ยนใจหรือยัง" นางสาวเตยยังนึกไม่ออกจึงย้อนถามว่า
"ทำไมหนูต้องไปด่าเขาด้วยล่ะ ทำไม" หล่อนจำไม่ได้จริง ๆ
"โธ่เว้ย" นายขุนทองชักมีโมโห
"ก็ที่เอ็งหาว่าเขาไปบอกหลวงลุงเรื่องเอ็งท้องน่ะ เมื่อกี้เอ็งบอกจะด่าให้เปิงไง ข้าถามว่ายังคิดจะด่าเขาอีกหรือเปล่า เอ็งนี่คงเอาสมองหมาปัญญาควายมาแน่ ๆ เลย" เขาว่า
"อ้าว ไหงมาด่ากันง่าย ๆ ล่ะพี่" ถึงจะปัญญาน้อยด้วยความรู้ขนาดไหนก็รู้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งด่า ด่าซึ่ง ๆ หน้าเสียด้วย
"ก็จริงไหมล่ะ" คนด่ายังคงเถียง
"ฉันจะโง่หรือฉลาดมันก็ไม่เกี่ยวกับใคร เรื่องอะไรมาด่าฉัน ถือดียังไงฮึ" นางสาวเตยชักโกรธจึงเปลี่ยนสรรพนามจาก "หนู" มาเป็น "ฉัน"
"เปล่าหรอกน่า เอ็งอย่าทำโกรธไปเลย ก็ข้าถามเอ็งดี ๆ อยากทำไม่รู้เรื่องนี่นา" เห็นหญิงสาวโกรธ นายขุนทองจึงพูดกลบเกลื่อน
"อ๋อ หนูเพิ่งนึกได้ แหมหนูมันโง่จริง ๆ นั่นแหละ แล้วยังจะมาโกรธพี่อีก ขอโทษด้วยนะพี่นะ" นางสาวเตยขอลุแก่โทษเมื่อนึกขึ้นได้ว่าพูดอะไรเอาไว้
"เออ พูดยังงี้ค่อยรู้เรื่องกันหน่อย ตกลงเอ็งหาคำตอบให้ข้าได้หรือยังล่ะ"
"ได้แล้วจ้ะ หนูกำลังจะบอกพี่เดี๋ยวนี้ไงว่าหนูไม่ด่าพวกเขาแล้ว เพราะพวกเขาไม่ได้เอาเรื่องของหนูไปเล่าให้หลวงพ่อฟัง หลวงพ่อท่านรู้เองเพาะท่านเป็นผู้วิเศษ แต่ถึงพวกเขาจะเอาไปบอกท่าน หนูก็จะไม่ด่า เพราะยังต้องฝากปากท้องไว้กับเขาอีกตั้งสิบห้าวัน ไปทำตัวเป็นศัตรูกับเขา มันก็ไม่สมควร จริงไหมล่ะพี่"
"จริง จริงที่สุดในโลก แหมเอ็งนี่ฉลาดรอบคอบดีจริง ๆ พับผ่าซี" คนที่ด่าอยู่หยก ๆ เปลี่ยนมาเป็นชม..
วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๗ รัฐมนตรีและคุณหญิง พร้อมด้วยญาติมิตรและผู้ติดตาม ได้เดินทางจากกรุงเทพฯ มาทำบุญถวายภัตตาหารเพลแด่พระสงฆ์ที่วัดป่ามะม่วง
เมื่อพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์จบลง มัคทายกก็นำกล่าวถวายข้าวพระพุทธและถวายสังฆทานตามลำดับ พระสงฆ์ฉันภัตตาหาร ที่เจ้าภาพช่วยกันประเคน
ท่านพระครูเพียงแต่นั่งพิจารณาอาหารเหมือนเช่นเคย เพราะท่านชินเสียแล้วกับการฉันเช้าเพียงมื้อเดียว บังเอิญเจ้าภาพลุกออกไปเดินชมวัด หลังจากประเคนภัตตาหารแล้ว จึงไม่มีผู้ใดมานั่งคะยั้นคะยอให้ท่านฉันเช่นทุกครั้งที่มีผู้มาถวายเพล
กระทั่งพระฉันเสร็จ รัฐมนตรีและคุณหญิงก็ยังไม่กลับเข้ามา ญาติมิตรและผู้ติดตามจึงต้องช่วยกันประเคนจตุปัจจัยไทยธรรม หลังจากนั้น พระสงฆ์ "ยถา สัพพี" โดยที่เจ้าภาพไม่ได้กรวดน้ำและรับพร เพราะมัวไปเดินชมวัดกันเพลิน ส่วนพวกที่ยังอยู่บนศาลา ก็พากันนั่งประนมมือคุยกันประจ๋อประแจ๋ อย่างคนที่ไม่รู้จักกาลเทศะ
เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงนึกตำหนิในใจว่าไม่ได้เรื่องพอ ๆ กัน ทั้งผู้นำและผู้ตาม แล้วก็เลยคิดไปถึงคนส่วนใหญ่ในสังคมยุคนี้ ว่าต่างพากันห่างเหินศาสนาออกไปทุกที แต่จะว่าคฤหัสถ์ข้างเดียวก็ไม่ถูกนัก เพราะพระสงฆ์องค์เจ้าเองก็มีส่วนทำให้คนไม่เลื่อมใสศรัทธาเท่าที่ควร ส่วนคนที่มีศรัทธาปสาทะ ซึ่งพอจะมีหลงเหลืออยู่บ้างก็กลับขาดความรู้ความเข้าใจที่แท้จริง เช่นรัฐมนตรีและคุณหญิงคู่นี้ ที่อุตส่าห์ดั้นด้นมาทำบุญ แต่กลับไม่ได้บุญเพราะมัวไปเดินชมนกชมไม้กันเสีย
ท่านพระครูตัดสินใจแล้วว่า ท่านจะต้อง "ผ่าตัด" คนเป็นรัฐมนตรี ด้วยการฝึกให้เขาได้รู้จักกับสิ่งที่ "ถูกต้อง" เสียบ้าง มิใช่จะรู้แต่สิ่งที่ "ถูกใจ" เท่านั้น บุคคลทั้งสองกลับเข้ามานั่งในศาลาอีกครั้งเมื่อพระให้พรจบพอดี สงฆ์รูปอื่น ๆ กราบพระพุทธรูปแล้วลุกออกไป คงเหลือแต่ท่านพระครูรูปเดียว
"ขอเชิญรับประทานอาหารกันก่อน ประเดี๋ยวอาตมาจะเทศน์นอกธรรมาสน์ให้ฟัง" ท่านเชื้อเชิญพวกเขา เพราะคนที่จะฟังเทศน์รู้เรื่องดีนั้นต้องให้ท้องอิ่มเสียก่อน
"วันนี้หลวงพ่อไม่มีธุระไปไหนหรือครับ" รัฐมนตรีถาม
"บ่ายสองอาตมาต้องไปงานเผาศพคนรู้จัก" ท่านตอบ
"ที่ไหนครับหลวงพ่อ"
"ที่จังหวัด แต่ยังไม่รู้เลยว่าวัดไหน คงต้องไปที่บ้านเขาก่อน ตอนแรกเห็นว่าจะเอาศพมาไว้ที่วัดนี้ แล้วยังไงจึงเปลี่ยนใจเสียก็ไม่ทราบ" ท่านหมายถึงศพของเจ๊นวลศรี
"หลวงพ่อทราบหรือครับ" รัฐมนตรีนึกตำหนิเจ้าภาพ
"เขาคงยุ่งกระมัง พอดีอาตมาไม่สนิทสนมกับเจ้าภาพเท่าไหร่ แต่กับคนตาย คุ้นเคยกัน ก็เลยต้องไปเผาเขาหน่อย" ท่านตอบเป็นกลาง ๆ
เมื่อคณะของรัฐมนตรีรับประทานอาหารกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท่านพระครูจึงเริ่มต้น "เทศน์"
"กับข้าววัดป่ามะม่วงรสชาติเป็นอย่างไรบ้าง พอจะทานกันได้หรือเปล่า" ท่านอารัมภบท อาหารคาวหวานมื้อนี้เป็นฝีมือของแม่ครัววัดป่ามะม่วง เจ้าภาพเพียงแต่นำเงินมาจ่ายตามราคาที่ซื้อของมา ซึ่งคนจ่ายกับข้าวก็จะจดรายการมาให้อย่างละเอียดว่าได้จ่ายอะไรไปบ้าง ส่วนปัจจัยไทยธรรม เจ้าภาพเตรียมมาเอง
"อร่อยมากค่ะหลวงพ่อ" คุณหญิงตอบ เธอเองก็นึกไม่ถึงว่าอาหาร "วัดบ้านนอก" จะเอร็ดอร่อยถึงปานนี้ จะว่าเป็นเพราะกำลังหิวก็คงไม่ใช่เพราะอาหารบางอย่าง ต่อให้หิวยังไงก็ยังรู้สึกว่ามันไม่อร่อยอยู่นั่นเอง
"ถ้าอย่างนั้นก็มาทานบ่อย ๆ นะ ใครทานข้าววัดนี้แล้วรวยทุกคน" บรรดาคณะผู้ติดตามต่างพากันหัวเราะคิกคักด้วยรู้สึกขำ
"อ้าว อย่าหัวเราะนา นี่อาตมาพูดจริง ๆ ไม่ได้พูดเล่น ใครมาทานข้าววัดนี้ กลับไปรวยทุกคน" คุณหญิงซึ่งรวยอยู่แล้ว แต่อยากรวยให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้จึงว่า
"ถ้าอย่างนั้นดิฉันเห็นจะต้องมาถวายเพลอีกแล้วละค่ะ" ภรรยาหมายเลขหนึ่งของรัฐมนตรีคิด "ลงทุน" เพื่อหวังกำไร
"ไม่ต้องมาถวายเพลก็ได้ ถ้าอยากจะทานอาหารวัดป่ามะม่วงก็เชิญได้ทุกเวลา อาตมาสั่งพวกแม่ครัวเขาไว้แล้วว่าให้ทำสุดฝีมือทุกวัน กับข้าววัดนี้ก็เลยอร่อยทุกวัน คุณหญิงอยากรู้เคล็ดลับในการทำอาหารให้อร่อยไหมล่ะ อาตมาจะบอกให้"
"อยากค่ะ" คุณหญิงตอบ บรรดาผู้ติดตามที่เป็นสตรีก็พากันอยากรู้ ท่านพระครูจึงบอกเคล็ดลับว่า
"การจะทำอาหารให้อร่อย ก็ต้องตั้งสติให้ดี ทำใจให้ปลอดโปร่ง ถ้าใจดีอย่างเดียว อะไร ๆ มันก็ดีหมด ทำกับข้าวก็อร่อยโดยไม่ต้องใช้ผงชูรส ชื่ออะไรนะที่เขาเรียก โนะ ๆ โต๊ะ ๆ น่ะ"
"อายิโนะโมะโต๊ะค่ะ" คุณหญิงบอกชื่อผงชูรสยี่ห้อหนึ่งที่ผลิตโดยคนญี่ปุ่น แต่ชาวญี่ปุ่นเขาไม่นิยมใช้กัน
"นั่นแหละ ๆ วัดนี้ไม่ต้องใช้โต๊ะที่ว่านั่น ใช้แต่โต๊ะสำหรับนั่งกินข้าว" คนฟังพากันหัวเราะชอบใจที่ท่านช่างมีอารมณ์ขัน
"ท่านรัฐมนตรีเคยผ่าตัดบ้างหรือเปล่า" เห็นทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใสกันถ้วนหน้าแล้ว ท่านจึงเริ่มเรื่อง
"ไม่เคยครับหลวงพ่อ" รัฐมนตรีรู้สึกแปลกใจว่าเหตุใดท่านจึงถามอย่างนี้ หรือว่าเขามีเคราะห์
"แล้วอยากไหม อยากให้หมอผ่าตัดไหม"
"ไม่อยากครับ ผมตังความปรารถนาไว้เลยว่าอย่าให้เจอะให้เจอเป็นอันขาด ผมกลัวครับ"
"งั้นหรือ แต่ถ้าสมมุตินะ สมมุติว่าท่านจะต้องถูกผ่าตัด ถ้าไม่ผ่าตัดก็ต้องเสียชีวิต ท่านจะเลือกเอาอย่างไหน"
"ก็คงต้องเลือกผ่าตัดแหละครับ ถ้ามันไม่มีทางอื่นที่ดีกว่าให้เลือก"
"เอาละ ถ้าอย่างนั้นอาตมาก็จะสมมุติต่อนะ สมมุติว่าอาตมาเป็นหมอ ท่านเป็นคนไข้อาการหนักจะต้องผ่าตัดจึงจะหาย มิฉะนั้นก็ต้องเสียชีวิต ท่านจะยอมให้อาตมาผ่าตัดหรือเปล่า"
"ยอมครับ" รัฐมนตรีตอบ หากใจแอบคิดว่า "หลวงพ่อจะมาไม่ไหนกันหนอนี่ ยังไง ๆ ก็คงไม่บอกคุณหญิงต่อหน้าเราเรื่องที่เรามีอีหนูหรอกนะ เพราะมันไม่ใช่เรื่องของพระของเจ้า"
"ไม่ต้องกลัว อาตมาจะไม่พูดเรื่องที่ท่านกำลังคิดอยู่นั่นหรอก เพราะมันเป็นเรื่องของท่านคนเดียว แต่เรื่องที่อาตมาจะพูดนี่มันเกี่ยวกับคนอื่น ๆ ด้วย ท่านสบายใจได้" เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วง พูดอย่างหยั่งรู้ความคิดของอีกฝ่าย
"ถ้าอย่างนั้นกระผมนิมนต์ท่านลงมือได้เลยครับ" รัฐมนตรีพูดอย่างโล่งใจ ท่านพระครูจึงพูดเป็นงานเป็นการว่า
"เจริญพาท่านรัฐมนตรี คุณหญิงและญาติโยมทุกท่านที่นั่งอยู่ในศาลาแห่งนี้ อาตมาซาบซึ้งใจยิ่งนักที่ท่านรัฐมนตรีและคณะได้มีจิตศรัทธาพากันมาถวายภัตตาหารเพลแด่พระภิกษุสามเณรแห่งวัดป่ามะม่วงในวันนี้ นับว่าทุกท่านมีจิตใจที่เป็นบุญเป็นกุศลน่าสรรเสริญ แต่ก็น่าเสียดายที่พวกท่านอุตส่าห์มาทำบุญแต่กลับไม่ได้บุญ"
"ทำไมถึงเป็นเช่นนี้เล่าครับ" รัฐมนตรีถาม
"อาตมาก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ท่านทั้งหลายต้องถามตัวเอง ไม่ใช่ถามอาตมา" ผู้ติดตามคนหนึ่งอยากทราบเหตุผล จึงพูดขึ้นว่า
"พระเดชพระคุณหลวงพ่อขอรับ กระผมเป็นข้าราชการจึงรู้แต่เรื่องราชการงานเมือง ส่วนเรื่องบุญกุศลไม่ค่อยจะรู้สักเท่าไหร่ จึงขออาราธนาพระเดชพระคุณหลวงพ่อช่วยเมตตาแนะนำสั่งสอนกระผมและพวกพ้องด้วยเถิดครับ" ท่านพระครูนึกในใจว่า "เอ คนนี้พูดเข้าที ท่าทางคงจะไปได้ไกล" แล้วจึงอธิบายให้พวกเขาฟังว่า
"การทำบุญที่ไม่ได้บุญ คือ การทำบุญที่ไม่รู้ตัวเจตนา หรือ ที่เรียกว่า ทำบุญเอาหน้าสักแต่ว่ามีศรัทธา แต่ไม่มีความรู้ความเข้าใจที่แท้จริง เจตนาก็คือ ความตั้งใจบำเพ็ญบุญ ซึ่งต้องกระทำให้ครบถ้วนกระบวนการ ยกตัวอย่างการทำบุญที่ผ่านไปเมื่อครู่นี้ อาตมามองเห็นแล้วว่า ท่านทั้งหลายมีแต่ศรัทธาเท่านั้น ทว่าไม่มีความตั้งใจบำเพ็ญบุญ ต้องขอตำหนิกันตรง ๆ อย่างนี้แหละ ท่านรัฐมนตรีจะโกรธก็ตามใจ อาตมาพูดด้วยความหวังดี"
"ผมไม่โกรธหลวงพ่อหรอกครับ" รัฐมนตรีพูดออกตัว ไม่โกรธหากก็ไม่พอใจ เพราะตั้งแต่เป็นรัฐมนตรียังไม่เคยมีผู้ใดกล้ามาตำหนิเช่นนี้ มีแต่เขายกย่องสรรเสริญ
"แต่ถึงจะโกรธ อาตมาก็ไม่ว่าหรอกนะ ยอมให้โกรธ เพราะสิ่งที่อาตมาพูดนี้จะไปเป็นประโยชน์ต่อท่านนายภาคหน้า" ท่านหยุดเว้นระยะนิดหนึ่งแล้วจึงพูดต่อ
"การที่ท่านกับคุณหญิงลุกออกไปเดินเล่นทั้งที่พิธีกรรมยังไม่เสร็จสิ้นนั้น นับว่าท่านเสียประโยชน์อย่างมหาศาล ท่านทิ้งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาช่วยกันถวายปัจจัยไทยธรรม แทนที่จะประเคนเองในฐานะที่ท่านเป็นเจ้าภาพ และเมื่อพระสงฆ์ "ยถา สัพพี" ท่านจึงไม่ได้กรวดน้ำและรับพร ที่ท่านจะต้องอยู่ เมื่อพระว่า "ยถา" ท่านต้องอุทิศส่วนกุศลไปให้เปตชนหรือพวกเปรตที่เขาพากันมาคอยรับส่วนบุญ"
"เปรตมีจริงหรือครับ" ผู้ติดตามคนหนึ่งถาม
"มีสิโยม คนที่ตายขณะที่จิตมีโลภะ จะไปเกิดเป็นเปรต แล้วคนสมัยนี้ก็ไปเกิดเป็นเปรตกันมาก อย่าว่าแต่คนเลย พระเองก็เถอะ อาตมาเห็นไปเกิดเป็นเปรตหลายรูปแล้ว" ในสมัยพุทธกาล เมื่อพระเจ้าพิมพิสารถวายวัดเวฬุวันให้เป็นวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา พวกญาติ ๆ ของพระองค์ที่ไปเกิดเป็นเปรตก็พากันมาขอส่วนบุญ"
"หรือคะ แหมดิฉันคิดว่า ตัวพระเจ้าพิมพิสารไปเกิดเป็นเปรตเสียอีก" คุณหญิงพูดขึ้น จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่า พระรูปหนึ่งเล่าให้ฟังอย่างนี้
"พระองค์ไม่ได้เกิดเป็นเปรตหรอกคุณหญิง ตอนที่พระองค์สวรรคต ทรงได้โสดาปัตติผลแล้ว คนเป็นพระโสดาบัน จะตัดอบายภูมิได้ ไม่ไปเกิดในนรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน อย่างแน่นอน และเพราะเปรตมีจริง เวลาทำบุญเราจึงต้องอุทิศส่วนกุศลไปให้พวกเขา อาตมามักสอนญาติโยมไว้เสมอ ๆ ว่า "ยถาให้ผี สัพพีให้คน" เพราะเมื่ออุทิศให้พวกเปตชนเสร็จ พระท่านก็จะให้พรคนด้วยการขึ้นว่า "สัพพีติโย วิวัชชันตุ" เมื่อพระว่าดังนี้ เราจะต้องประนมมือขึ้นรับพรจากพระ บางคนพระขึ้นสัพพีแล้วยังกรดน้ำอยู่เลย ทำอย่างนี้ถือว่าไม่ถูกต้อง คนที่รู้เขาจะตำหนิติเตียนเอาได้ อาตมาเคยเห็นบ่อย โดยเฉพาะพวกคนใหญ่คนโตทั้งหลาย"
"รวมทั้งผมด้วยครับ" รัฐมนตรียอมรับอย่างหน้าชื่นตาบาน เพิ่งรู้ในสิ่งที่ไม่รู้มาก่อน
"ก็นี่แหละ อาตมาก็ตั้งใจจะบอกท่านอยู่นี่ คราวหน้าคราวหลังจะได้ทำให้ถูกต้อง พวกญาติโยมก็เหมือนกัน" ท่านว่าบรรดาญาติมิตรและคณะผู้ติดตาม
"เวลาที่พระให้พร แทนที่จะตั้งใจรับพร กลับนั่งคุยกันเสียงอึงคะนึงแข่งกับเสียงพระสวด แล้วอย่างนี้จะไปได้บุญอะไร จริงไหม" ท่านถามสตรีผู้หนึ่ง
"จริงค่ะ" สตรีผู้นั้นตอบอย่างสำนึกผิด หล่อนคิดว่าต่อแต่นี้ไปจะไม่ทำเช่นนี้อีก นี่หากท่านไม่บอกหล่อนก็คงไม่รู้ จึงนึกขอบคุณท่านอยู่ในใจ คิดว่าจะต้องนำสิ่งดี ๆ เหล่านี้ไปสอนลูก สอนหลานให้รู้บ้าง
"โยมเชื่อไหมว่า คนที่ทำบุญเป็นล้าน ๆ แต่พอตายไปกลับไปตกนรก"
"แบบนี้ก็ทำดีได้ชั่วซีคะหลวงพ่อ" คุณหญิงขัดขึ้น
"ไม่ใช่หรอกคุณหญิง ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว อันนี้เป็นสัจธรรม"
"คนที่ทำบุญเป็นล้าน ๆ ไม่เรียกว่าทำดีหรือคะหลวงพ่อ แหมดิฉันชักงงแล้วนะคะ หลวงพ่อกรุณาอธิบายด้วยเถิดค่ะ"
"อาตมาก็กำลังจะอธิบายอยู่พอดีญาติโยมทั้งหลาย การที่เราทำบุญไม่ได้บุญนั้นเป็นเพราะเราขาดเจตนา คือ ไม่ได้ตั้งใจอย่างแท้จริง สักแต่ว่าทำตาม ๆ คนอื่นเขาที่เรียกว่าทำบุญเอาหน้า บางคนบริจาคเป็นล้านแต่ได้บุญน้อยกว่าคนที่บริจาคสิบบาท เพราะคนหลังเขาเจตนาแรงกว่า ตัวเจตนานี่สำคัญที่สุดนะโยม เจตนาก็คือใจ
พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้ว่า เจตนาหรือใจนั้นเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการกระทำกรรม ดังมีพุทธพจน์รับรองว่า
"ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐที่สุด สำเร็จแล้วด้วยใจ ถ้าบุคคลใดมีใจอันโทสะประทุษร้ายแล้วกล่าวอยู่ก็ตาม ทำอยู่ก็ตาม ทุกข์ย่อมไปตามบุคคลนั้น เพราะทุจริต ๓ อย่างนั้น เหมือนล้อหมุนไปตามรอยเท่าโคผู้ลากเกวียนไปอยู่ฉะนั้น.... ถ้าบุคคลใดมีใจผ่องใส กล่าวอยู่ก็ตาม ทำอยู่ก็ตาม สุขย่อมไปตามบุคคลนั้น เพราะสุจริต ๓ อย่าง เหมือนเงามีปกติไปตามฉะนั้น..." ญาติโยมเห็นแล้วใช่ไหมว่า เจตนาหรือใจนั้นสำคัญมาก คนทำบุญเป็นล้าน ๆ แล้วตายไปตกนรกก็เพราะขาดเจตนาในการบำเพ็ญบุญ และตัวเขาก็ยังประกอบด้วยทุจริต ๓ อย่าง ไหนโยมผู้ชายลองบอกอาตมามาสักคนหนึ่งซิว่า ทุจริต ๓ อย่าง มีอะไรบ้าง" ท่านไม่ถามรัฐมนตรีตรง ๆ เพราะรู้ว่าฝ่ายนั้นต้อบไม่ได้ บรรดา "โยมผู้ชาย" ที่นั่งอยู่ ณ ที่นั้นพากันปิดปากเงียบ ท่านจึงถามโยมผู้หญิง หากก็ไม่มีผู้ใดตอบอีกเช่นกัน ท่านจึงตอบเสียเองว่า
"ทุจริต ๓ อย่างคือ กายทุจริต วจีทุจริต และมโนทุจริต ถ้าใครมีทุจริต ๓ อย่างนี้ ต่อให้ทำบุญอีกร้อยล้านก็ไปตกนรกได้"
"หมายความว่าการทำทานที่ปราศจากศีล ไม่ได้บุญใช่ไหมครับ" รัฐมนตรีเริ่มจะเข้าใจขึ้นมาบ้าง
"ถูกแล้ว ถ้าเรามีเงินมาก ทำทานเป็นล้าน ๆ แต่ไม่มีศีลสักข้อเดียว ท่านที่ทำนั้นก็เป็นหมัน ไม่ได้บุญแล้วก็ยังต้องไปตกนรกอีก สมมุติว่ามีเศรษฐีคนหนึ่ง บริจาคทานทุกวัน วันละหลายหมื่น แต่เขาก็ยังฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดปด และดื่มสุราเมรัย แบบนี้เขาตายไปต้องไปตกนรก"
บรรดาผู้ที่นั่งอยู่ในศาลาพากันสะดุ้งสะเทือนเมื่อท่านพูดถึง "ศีล" ต่างสำรวจตรวจสอบตัวเองว่าขาดไปกี่ข้อ คนที่มีจิตใจยุติธรรม สำรวจตัวเองอย่างตรงไปตรงมาก็ต้องยอมรับว่าตัวเขานั้นไม่มีศีลเลยสักข้อเดียว คนเป็นรัฐมนตรีสะดุ้งกับข้อ "ประพฤติผิดในกาม" มากที่สุด ท่านพระครูเทศน์ต่อไปอีกว่า
"ศีลเป็นเจตนาเหมือนกัน คือ เราต้องมีเจตนาว่าเราจะต้องไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ อย่างนี้เป็นต้น ถ้าเรามีศีลครบทั้งห้าข้อ เราก็ได้บุญแล้ว ได้มากว่าการบริจาคทานเสียอีก"
"หลวงพ่อครับ ถ้าอย่างนี้คนที่ถือศีลอย่างเคร่งครัด แต่เขาไม่เคยบริจาคทานก็ได้บุญมากกว่าคนที่บริจาคทานแต่ไม่มีศีลใช่ไหมครับ" ผู้ติดตามที่ท่านพระครูคิดว่า "ท่าทางจะไปได้ไกล" ถามขึ้น
"ถูกแล้ว แต่ถ้าจะให้ได้บุญมากที่สุดต้องให้ได้ครบทั้ง ทาน ศีล ภาวนา ที่เรียกว่าบุญกิริยาวัตถุ ๓ ถ้าใครทำได้อย่างนี้ถือว่าได้บุญมากที่สุด"
"ภาวนาคืออะไรครับ หลวงพ่อพูดถึงทานและศีล ผมพอจะเข้าใจ แต่ภาวนาผมไม่เข้าใจครับว่าคืออะไร" รัฐมนตรีถาม
"ภาวนาคือการฝึกอบรมจิต เช่น การเจริญสมถกรรมฐาน และ วิปัสสนากรรมฐาน เป็นต้น อาตมาเรียกสั้น ๆ ว่า กรรมฐาน" คำอธิบายของท่านพระครูทำให้คนเป็นรัฐมนตรีงุนงงหนักขึ้น เพราะจิตไม่เคยได้ "สัมผัส" สิ่งที่เป็นนามธรรม รู้จัก แต่รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัสที่น่าใคร่น่าพอใจเท่านั้น
"กรรมฐานคืออะไรครับหลวงพ่อ" เขาถามอีก
"ถ้าท่านรัฐมนตรีอยากรู้จักกรรมฐาน ก็ต้องมาอยู่กับอาตมาสักเจ็ดวัน มาเข้ากรรมฐานแล้วท่านจะรู้เองว่า กรรมฐานคืออะไร ถ้าให้อาตมาอธิบายด้วยคำพูด ท่านก็จะยิ่งสงสัยใหญ่ ของอย่างนี้ต้องลงมือปฏิบัติถึงจะซาบซึ้ง มาได้ไหมเล่า เจ็ดวันเท่านั้นเอง"
"คงไม่ได้หรอกครับหลวงพ่อ งานยุ่งมากคงปลีกเวลามาไม่ได้" เขาเอางานบังหน้า หากแท้จริงแล้วห่วงใยสาวน้อยหน้าอ่อนคนนั้นมากกว่า กำลังคลั่งไคล้ใหลหลง ไม่อยากจะพรากหล่อนไปแม้ราตรีเดียว
"แต่ถ้าท่านตั้งใจที่จะมาจริง ๆ อาตมาก็ว่าท่านมาได้ แต่เอาเถอะ ไม่เป็นไรหรอก "ลางเนื้อชอบลางยา" เรื่องอย่างนี้บังคับเคี่ยวเข็ญกันไม่ได้ บางคนนะอาตมาเห็นว่าเขาต้องเสียชีวิต แต่ถ้ามาเข้ากรรมฐานเขามีทางรอดถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์ ก็ชวนเขามาเข้าแต่เขาก็ไม่ยอมมา ก็เลยต้องกลับบ้านเก่า"
"แล้วผมมีเคราะห์หรือเปล่าครับหลวงพ่อ หากผมต้องเป็นอย่างนั้นบ้าง ผมก็จะปลีกเวลามาเข้ากรรมฐาน" รัฐมนตรีพูดอย่างกลัว ๆ หากเขาตายลงในตอนนี้ แม่หนูหน้าหวานเนื้อนุ่มคนนั้นจะอยู่กับใคร
"ไม่มีหรอก ท่านอย่าตกใจ เอาไว้มีอาตมาค่อยบอกให้รู้ นะคุณหญิงนะ" ท่านหันไปพยักพเยิดกับคุณหญิง
"ค่ะหลวงพ่อ" ภรรยารัฐมนตรีเอออวย
"หลวงพ่อคะ เทวดามีจริงไหมคะ" ภรรยาของผู้ติดตามคนหนึ่งถามขึ้น
"ถ้าอยากรู้ว่ามีจริงหรือไม่ วันหน้าต้องมาคุยกันใหม่ ขืนคุยวันนี้อาตมาคงไม่ได้ไปเผาศพเพราะเรื่องมันยาว วันหน้ามาใหม่นะโยมนะ"
"ค่ะ หนูจะมาขอเข้ากรรมฐานด้วยค่ะ" หล่อนพูดด้วยศรัทธาที่เปี่ยมล้น ไปวัดไหน ๆ ก็ไม่เคยศรัทธามากหมายเหมือนมาวัดนี้ "รู้อย่างนี้น่าจะมาเสียตั้งนานแล้ว" หล่อนนึกเสียดายอยู่ในใจ...



เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ถวายเทียน ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ



ขอเชิญร่วมบุญทาสีองพระพุทธรูป
0856391915



ขอเชิญผู้มีจิตศรัทธาร่วมบุญสร้างพระมหาเจดีย์กับหลวงปู่คำบ่อ ฐิตปัญโญ
087-8599129


ร่วมทำบุญสร้างรูปหล่อหลวงปู่ทิม สูง29เมตร-ใหญ่สุดในไทย
http://77.nationchannel.com/video/204635/



ขอเชิญร่วมทำบุญผ้าป่าสามัคคี สมทบทุนซ่อมหลังคาพระอุโบสถ
089-839-3273


ขอเชิญร่วมทอดผ้าป่าสามัคคีสมทบทุนบูรณะหลังคาพระอุโบสถวัดพงเสลียง จ.สุโขทัย
089-839-3273


ร่วมสร้างโบสถ์กับหลวงปู่ลี วัดป่าหัวตลุกวนาราม
ธนาคารกรุงไทย สาขาลาดยาว

หลวงปู่ลี ตาณังกโร

606-0-27704-7




งานบุญต่างๆคับเชิญสร้างบุญคับ
________________________________________
http://www.saccadham.com/webboard2/view.php?No=61




ขอเชิญร่วมพิธีบวชชีพราหมณ์ อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ และเททองหล่อระฆัง

ณ วัดประโชติการาม ต.บางกระบือ อ.เมือง จ.สิงห์บุรีวันที่ 22-24 มิถุนายน 2555


เวียนเทียนวิสาขบูชาพร้อมร่วมมหากุศลยกพระเกตุพระปางประทานพรที่ใหญ่ที่สุดในไทย
08-3986-2555



เชิญร่วมเป็นเจ้าภาพสร้างศาลาหอโภชนา จังหวัดอุตรดิตถ์
ชื่อบัญชี พระอาจารย์ศักดิ์ดา ปัญญาวัฒฑโก

ธนาคารกรุงเทพฯ (บัญชีออมทรัพย์)

เลขที่บัญชี 2934437944


หล่อรูปเหมือนพระอริยะสงฆ์ 999 องค์
โทร.090-6128077


ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพสร้างกุฏิสงฆ์ถวายวัดที่สร้างใหม่
080-1220801


ขอเชิญร่วมสร้างอุโบสถหลังใหม่ ณ วัดบ้านขาม อ.คง จ.นครราชสีมา

ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพสร้างพระเจดีย์สะหลีรัตนโพธิญาณวัดนาบุญต.หัวทุ่งอ.ลองจ.แพร่
๐๕๔๕๔๕๓๑๙



ขอเชิญประสงค์เป็นเจ้าภาพลงรักปิดทองพระประธานอุโบสถ วัดบ้านน้อยท่าทอง จ.พิษณุโลก
โทร. 086-2012390



ร่วมบุญกับหลวงปู่บุญศรี สร้างพระมหาเจดีย์ศรีโชโต
วัดป่าหินฮาวสังฆมณีีศรีธันดร
ต.โคกก่อ อ.เมือง จ.มหาสารคราม
(ต้องบอกว่าวัดนี้กันดารค่อนข้างมาก ไฟฟ้าไม่มี น้ำประปาไม่มี )


บุญใหญ่สร้างพระอุโบสถสมเด็จองค์ปฐมวัดพระพุทธบาทถ้ำป่าไผ่
บัญชี ธนาคารกสิกรไทย สาขาลี้

ชื่อบัญชี พระมหาสิงห์ วิสุทฺโธ

เลขที่บัญชี 347-2-34049-1



"มหาพุทธชยันตี" สร้างตู้พระพุทธรัตนกุฎี ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ๒ ประเทศ
โทร. ๐๘ ๔๘๑๓ ๑๓๑๕



มูลนิธิพระธาตุดอยสุเทพ ร่วมกับ ม.ราชภัฏเชียงใหม่ เชิญร่วมสร้าง "องค์พระมหาเจดีย์"053885351

ร่วมบุญสร้างพระนิรันตราย วัดนพวงศาราม ปัตตานี
เททองหล่อพระนิรันตราย วันที่ 7 กรกฎาคม 2555


เชิญร่วมบุญอัญเชิญ พระบรมสารีริกธาตุ และวัตถุมงคล บรรจุในพระเจดีย์ กระบี่
โทร 080-5359572




ขอเชิญร่วมฟังเทศน์มหาชาติ ณ วัดนาคกลางวรวิหาร
โทร.๐๒-๔๖-๕๐๙๕๐


ขอเชิญร่วมบูรณะฐานพระประธานอายุร่วม100ปี
ได้ที่ 083-7999078



สร้างพระประธานหยกขาว ปางสมาธิ สำนักแม่ชีไทยสันติมาคม ปราจีนบุรี
081-863-7427


"โครงการชื้อที่ดินถวายวัด" ตารางวาละ 1000.- บาท
โทร. 081-8943869


30 กันยายน 55 พิธีบวงสรวงเทพเทวาวางศิลากฤษ์ สร้างเจดีย์บรรจุพระธาตุอริยสงฆ์
โทร.090-6128077


เชิญร่วมบุญมหากุศลก่อสร้าง "เจดีย์พุทธเจ้า 108" จ.สุรินทร์
081-7525783

ขอเชิญท่านผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคทรัพย์ ตามกำลังศรัทธาเพื่อสมทบทุนก่อสร้างศาลาธรรมสังเวชพร้อมเมรุ

สำนักสงฆ์บ้านวังรี ตำบลหนองตะเคียนบอน อำเภอวัฒนานคร จังหวัดสระแก้ว
บัญชี หลวงพ่อบุญแถม ปภสสโร ธนาคารกรุงเทพ
สาขา เทสโก้ โลตัส วัฒนานคร
บัญชีเงินฝากสะสมทรัพย์ เลขที่ 956-7-00425-5




เททองหล่อพระพุทธรูปปางเปิดโลก
22 มิถุนายน 2555
ขอเชิญร่วมงานเททองหล่อพระพุทธรูปปางเปิดโลก
ณ.ที่พักสงฆ์พรหมรังศรี
หมู่ 2 ต.น้ำพุ อ.เมือง จ.ราชบุรี
สอบถามเส้นทาง 089-1724662 ศิษย์พ่อปู่ฤาษีอัคคีเนตร



เชิญร่วมบริจาค เพื่อส้รางศาลาการเปรียญ วัดอ่างแก้วเขาชายธง อ อู่ทอง จ สุพรรณบุรี




ร่วมสร้างอาคารปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน 5 ชั้น วัดดอน ยานนาวา
081-555-4009


เรียนเชิญผู้มีจิตศรัทธาร่วมสร้างพระอุโบสถ(โบสถ์) วัดดอนเจริญ จังหวัดร้อยเอ็ด
085-6469881


เชิญชวนสมทบทุน สร้างโรงเรียนปริยัตธรรมสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ) ณ.วัดชีแวะ จ.ลพบุรี
โทร. 089-806-9211


ขอเชิญร่วมบุญสร้างคันดินป้องกันอุทกภัย วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม จ.ปทุมธานี
ธนาคารกรุงไทย สาขาสามโคก
ชื่อบัญชี : วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม (เพื่อสร้างคันดิน)
เลขที่บัญชี : 134-021892-5


บอกบุญ.. พระใหญ่ (มากกก!!)
________________________________________
1. พระพุทธศรีสัพพัญญู (ได้รับพระราชทานนามจากสมเด็จพระเทพฯ)
ความตั้งใจสร้างขึ้นเป็นพระประธานประจำพุทธอุทยาน จังหวัดนครสวรรค์
ปางมารวิชัย (เหมือนหลวงพ่อศรีสวรรค์ วัดนครสวรรค์) หล่อด้วยโลหะใหญ่ที่สุด
หน้าตักกว้าง 9 วา (18 เมตร)

ช่องทางการร่วมกุศล :
(มีวัตถุมงคลหลวงพ่อเดิม รุ่นชนะความจน ด้วยนะครับ)
-วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กรุงเทพฯ 02-467-0811
-พุทธอุทยานนครสวรรค์ 056-256-255
-วัดนครสวรรค์ 056-227-688 หรือ 085-728-7714
-โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทย ชื่อบัญชีวัดนครสวรรค์(สร้างพระองค์ใหญ่)
เลขที่บัญชี 633-0-24383-2
-เคาน์เตอร์ 7-11 ทุกสาขา
-ดูข้อมูลเพิ่มเติม(/ที่มา) เว็บไซต์ http://www.bunsawan.com ครับ


2. สมเด็จพระปุษยคีรีศรีสุวรรณภูมิ (หลวงพ่ออู่ทอง)
(ลักษณะเหมือนหลวงพ่อโต วัดป่าเลไลยก์)
โครงการพระพุทธรูปแกะสลักภูผา(หิน)ลอยนูน หน้าตัก 65 เมตร สูง 84 เมตร
จัดสร้างพุทธมณฑลประจำจังหวัดสุพรรณบุรี และอุทยานทางพระพุทธศาสนา
คำขวัญ "หนึ่งเดียวในไทย ใหญ่ที่สุดในโลก มรดกคู่ฟ้าดิน"

ช่องทางการร่วมกุศล :
(มีวัตถุมงคลองค์หลวงพ่ออู่ทองย่อขนาดด้วยนะครับ)
-ศูนย์ประสานงานโครงการแกะสลักภูผาใหญ่ที่สุดในโลก 081-513-7121, 081-880-0136
-บริจาคผ่านบัญชี "ทุนนิธิพระเจ้าอู่ทอง"
ธนาคารออมสิน สาขา สุพรรณบุรี เลขที่บัญชี 020-029-789-862
ธนาคารกรุงไทย สาขา ปตท. วัดป่าเลไลยก์ เลขที่บัญชี 980-3-53649-4
-(หากสนใจวัตถุมงคล) สั่งจองผ่านบัญชี
"กองทุนหลวงพ่ออู่ทอง กระทำการแทนโดยนายวิญญู บุญยงค์"
ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขา ก.สาธารณสุข เลขที่บัญชี 340-2-18281-2
-ดูข้อมูลเพิ่มเติม (/ที่มา) เว็บไซต์ http://www.siamculture.in.th/worldbiggest.php



ขอเชิญพุทธศาสนิกชนผู้มีจิตศรัทธาร่วมทำบุญจองเป็นเจ้าภาพสร้างกุฏิกรรมฐาน
โทร.08-3353-7455


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO