นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 26 เม.ย. 2024 12:33 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 14 ม.ค. 2009 8:45 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586
เขมปัตโต 3.jpg


หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
วัดบรรพตคีรี (ภูจ้อก้อ) อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร


คำถาม
ผมเคยอ่านหนังสือพบว่า เวลาขณะที่จิตฟุ้งซ่านมาก ๆ ไม่ควรจะทำสมาธิภาวนา เพราะเหตุใด จริงไหมครับ

คำตอบ
ที่ว่าจิตฟุ้งซ่านนั้น ไม่ควรทำสมาธิ ตอบว่า...จิตฟุ้งซ่านนั่นเองจะได้ถูกข่มเหงเข้าในสมาธิด้วยบริกรรมให้พอจดจ่ออยู่กับกรรมฐานที่ตั้งไว้ ถ้าบริกรรมไม่พอหรือเพ่งให้เป็นอารมณ์เดียวไม่พออยู่ในเป้าอันเดียว มันก็ไม่ยอมลงเหมือนกัน ถ้าจิตฟุ้งซ่านเราไม่ได้เข้าสมาธิแล้ว มันยิ่งไปกันใหญ่ เทียบกันกับเราเลี้ยงโค มีหญ้ากินอยู่ มันไม่สันโดษกินก็ต้องผูกมัด ผูกล่ามไว้ โบราณท่านกล่าวว่าเรือข้ามทะเลเมื่อคลื่นจัดก็ต้องทอดสมอ มิฉะนั้นเรือจะคว่ำและเดินผิดท่า ฉันใดก็ดีเมื่อมันฟุ้งซ่านเราไม่ดัดสันดานมันให้ตั้งอยู่ในกรรมฐานอันใดอันหนึ่งอยู่มันก็เคยตัว เพราะมันไม่ถูกทรมานด้วยพระสติพระปัญญา คำว่าฟุ้งซ่านก็คือรำคาญใจนั่นเอง มันอิงกับโมหะโดยไม่รู้ตัว

คำถาม
อาการที่วาระจิตสงบนั้นเป็นอย่างไร

คำตอบ
การสงบนั้นมีอยู่หลายอย่าง อย่างหนึ่งมันสงบพั๊บเข้าไป ร่างกายและจิตก็เบาหวิว ไม่เห็นนิมิตอะไร คล้ายกับตัวลอยอยู่ในอากาศ แต่ไม่ปรากฏว่าเคลื่อนที่ มีแต่ผู้รู้เฉย ๆ นี่แบบหนึ่ง แต่ถ้าหมดกำลังก็ถอนออกมา เวลาเข้าพั๊บก็ถอนออกพั๊บเหมือนกัน

วิธีรวมอีกแบบหนึ่ง เมื่อจิตเข้าไปก็สว่างโร่เหมือนแสงอาทิตย์ก็มี แสงจันทร์ก็มี แสงดาวก็มี แสงเหมือนตะเกียงเจ้าพายุก็มี เหมือนกลางวันก็มี บางทีก็เห็นดอกบัวหลวงและกงจักรตลอดถึงเทวบุตรเทวดาและบุคคลสารพัดจะนับคณนา สิ่งทั้งหลายเหล่านี้หากเกิดให้เราเห็นอยู่ซึ่งหน้า (คำว่าหน้าคือหน้าสติหน้าปัญญา) แล้วก็ดับอยู่ที่นั้น ถ้าเราเพ่งต่อที่มันดับอยู่ มันก็เกิดอีกตะพึด แต่ไม่เป็นเรื่องเก่า เป็นเรื่องใหม่ แต่จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องเก่า (คำว่าเก่าคือเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป)
ถ้าจิตของเราเพลินไปก็ลืมกัมมัฎฐานเดิมคล้าย ๆ กับโบราณท่านกล่าวว่า "หมาตาเหลืองเมื่อเห็นไฟที่ไหนเรืองก็แล่นเข้าไปหา" และขอให้เข้าใจว่านิมิตที่เราตั้งไว้เดิมก็ดี (และให้เข้าใจคำว่า นิมิตแปลเป็นไทยว่า เครื่องหมาย ที่ผูกใจให้ติดอยู่) นิมิตเดิมก็ดีนิมิตใหม่ก็ดีที่มาเกยพาดก็ดับเป็น จะมีกี่ล้าน ๆ ก็ตามหรือจนนับไม่ไหวก็เกิดขึ้นและดับไปเท่านั้น เราก็ได้ตัวพยานแล้ว เพราะมันเป็นอันเดียวกันกับนิมิตเดิมที่เราจับนิมิตเดิมไว้ก็เพื่อจะเป็นตัวประกันให้เป็นพยาน หรือจะเรียกว่านิมิตเดิมเป็นกระจกเงา นิมิตผ่านเป็นนิมิตแขกแต่ก็เกิดดับเป็นเสมอกันนั่นเอง

ถ้าจะเอาด้านปัญญามาตัดสิน ก็ตอบตนว่านิมิตเดิมก็ดี ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา มีอภินิหารให้เห็นก็เพียงเกิดดับเท่านั้น เราไม่มีหน้าที่จะถือว่าได้ว่าเสีย ต้อง ต้องลงเอยแบบนี้ รู้ตามเป็นจริงแบบนี้จึงเป็นตัวปัญญา มิฉะนั้นแล้วคล้าย ๆ กับหยอกเงาตนเอง เมื่อตนเหนื่อย เงาก็เหนื่อย

คำถาม
ในขณะภาวนาหลังจากจิตลงตั้งมั่นเป็นอารมณ์อันหนึ่งนั้น ได้นำกายขึ้นมาพิจารณาและพยายามตั้งรูปกายในส่วนนั้น ๆ ตัดมันออกเป็นส่วน ๆ ซึ่งจะไม่ปรากฏรูปทุกครั้งไป หากแต่กายส่วนที่ตัดนั้นกลับมาปรากฏในขณะที่เลิกภาวนาแล้ว แต่ปรากฏในขณะจิตเคลิ้มหลับจะเห็นได้ชัดเจน เช่นมือที่ขาดเป็นต้น เหตุไรจึงเป็นเช่นนี้

คำตอบ
เหตุที่เป็นเช่นนี้นั้น ก็เพราะพระธรรมจะแสดงให้เราเห็นว่าเป็นของไม่เที่ยง เป็นของน่าเบื่อหน่าย เป็นของที่ไม่ควรหลงว่าเป็นตัวตน เรา เขา สัตว์ บุคคล ภาวนาตอนนี้ถ้าพิจารณาถูกอย่างที่ว่ามานี้จะทำให้จิตใจและธรรมะมีกำลังมากขึ้น ถ้าทำบ่อย ๆ หรือสำเหนียกที่เคยเจอมานั้นบ่อย ๆ จิตใจก็จะระอาในวัฏฏสงสารและจะไม่เห็นว่าร่างกายเป็นของสวยงามอะไร ๆ เลย และจะเห็นว่าเป็นของปฏิกูลอีกด้วย การเห็นดังกล่าวมาแล้วนี้เรียกว่าเห็นตามเป็นจริง เป็นศีล สมาธิ ปัญญาในชั้นนี้อยู่ในตัวและก็เป็นพุทธ ธรรม สงฆ์ในชั้นนี้อยู่ในตัวอีกด้วย ถ้าทำให้มากติดต่ออยู่เป็นเหตุจะให้พ้นทุกข์ คือข้ามทะเลหลงของเจ้าตัวที่เคยเข้าใจผิดมาเป็นแน่แท้

คำถาม
"จิต" กับ "เหตุปัจจัย" กับ "ที่หมาย" หรือ "ภพภูมิ" เชื่อมโยงถึงกันได้อย่างไร มีอะไรเป็นเครื่องชี้บอกให้ทราบได้

คำตอบ
จิตก็ดี ธาตุก็ดี ปัจจัยก็ดี หรือภพภูมิโยงถึงกันได้ก็ดีก็เพราะมีกิเลสเข้าไปสิงว่าตัวกูของกู ดังกล่าวแล้วนั้น ส่วนที่จะมีเครื่องบอกให้ทราบว่าเราละกิเลสได้นั้นคือ สิ่งที่เคยโลภมันไม่โลภสิ่งที่เคยโกรธมันไม่โกรธ สิ่งที่เคยหลงว่าเป็นตัวตนเราเขาสัตว์บุคคล มันไม่หลงว่าเป็นตัวเราเขา ก็แปลว่ามันบอกให้เราทราบแล้ว แต่หากว่ามันหลงมันก็บอกให้เราทราบได้อีกเหมือนกัน

คำถาม
ลูกกราบองค์หลวงปู่ เมื่อทำสมาธิแล้วจะทำจิตให้นิ่งอันเดียวนี้ให้นิ่งช่างยากเหลือเกิน เป็นเพราะลูกมีบาปมากใช่ไหมค่ะ กราบองค์หลวงปู่กรุณาแนะนำด้วยเจ้าค่ะ

คำตอบ
เรื่องภาวนา เราจะให้มันนิ่งอยู่หน้าเดียวดิ่งในเป้าที่เราเพ่งอยู่มันก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะสมาธิทั้งหลายอยู่ใต้อำนาจอนิจจังอันละเอียด เมื่อหมดกำลังก็ถอนออกมา มันจะถอนออกมาก็ช่างมัน เราต้องสังเกตว่า ออกมาแล้วอย่างนี้มีกามวิตก ความตริในทางกามหรือไม่ มีพยาบาทวิตก ความตริในในทางพยาบาทหรือไม่ มีวิหิงสาวิตก ความตริในทางเบียดเบียนหรือไม่

ถ้าไม่มีธรรม ๓ ประการนี้รบกวนจิตใจเรา ก็ปล่อยให้จิตใจนั้นอยู่ตามสบายนั่นเถิด มีการมีงานก็ทำไป ไม่มีโทษ เพราะเรามีสติอยู่กับตัว ไม่ใช่จะตันขี้ตันเยี่ยวมัน ไม่ให้มันนึกไปทางไหน มันนึกไปทางดีแล้วก็ปล่อยมัน ไม่มีโทษ แม้การงานที่ถูกคือเว้นจากฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม เรียกว่าการงานชอบ เราก็ต้องปล่อยมัน ให้มันทำตามสะดวกของมัน

ส่วนสัมมาวาจาเล่า มันไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบคาย ไม่พูดเพ้อเจ้อ เราก็ต้องปล่อยมันพูดซิ ส่วนด้านจิตใจอีก ไม่โลภอยากได้ของผู้อื่นมาเป็นของตน ไม่พยาบาทปองร้ายผู้อื่น เห็นขอบตามทำนองคลองธรรม คือ เห็นว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นต้น

สิ่งทั้งหลายที่ปรารภมานี้ เราก็ต้องปล่อยมันให้อยู่ตามสบาย ไม่ต้องไปเคี่ยวเข็ญเย็นค่ำมันดอก เท่านี้ก็คงพอจะเข้าใจแล้วนะ

คำถาม
ปัญญาญาณในวิปัสสนาที่จะตัดกิเลส เพื่อเข้าสู่มรรคผล เกิดจากการพิจารณาหรือเกิดจากการรู้เห็นของจิตเองล้วน ๆ

คำตอบ
คำถามว่า ปัญญาในวิปัสสนาที่จะตัดกิเลสเพื่อเข้าสู่มรรคผล เกิดจากการพิจารณาหรือเกิดจากการรู้เห็นของจิตเองล้วน ตอบว่าเกิดจากการรู้เห็นของจิต พร้อมทั้งสติปัญญา เป็นกองทัพธรรมล้วน ๆ ในปัจจุบันนั้น ๆ

คำถาม
หลวงปู่คะ เวลาภาวนาจิตสงบดูแต่ลมหายใจเข้า-ออก ลมหายใจเบามาก แล้วหันมาพิจารณากาย หลวงปู่ชี้แนะต่อด้วย

คำตอบ
เมื่อลมหายใจเข้าออกเบาไปแล้ว จะมาพิจารณากายก็ได้ และอีกประการหนึ่ง ลมหายใจเข้าออกนั้นเป็นกายสังขารอยู่แล้ว เป็นเพียงเราบัญญัติไม่เป็นเท่านั้น ลมหายใจเข้าออกเป็น "กายในกาย" เพราะเป็นเอกเทศของกาย ไม่ใช่อันอื่นเลย

คำถาม
วิธีการฝึกสติ ควรทำอย่างไรจึงจะได้ผลดีเร็ว กระผมขอแนวทาง พระท่านมักจะสอนว่า ควรมีสติก่อนพูด ทำ คิด แต่มักไม่ค่อยบอกวิธี กว่าจะเกิดสติ บางทีกิเลสมันก็ตบหน้าเจ้าของกระเด็นไปแล้ว และทำอย่างไร จิตใจจึงจะเป็นกลาง ๆ หรือเป็นบุญตลอด เพราะกระผมรู้สึกว่าบางวันจิตใจก็เป็นบุญดี บางวันจิตก็เศร้าหมองคอยเพ่งโทษผู้อื่น บางวันจิตใจก็เฉย ๆ มันขึ้น ๆ ลง ๆ ครับ

คำตอบ
วิธีฝึกสติ ก็คือเอาสติไว้ที่เมตตานั่นเอง จิตใจเมื่อหนักเข้าก็เป็นกลางๆ ไม่ลำเอียงไปทางรักและทางชัง เป็นบุญไปตลอดสายในตัวเรียกว่าภาวนามัย การเพ่งโทษผู้อื่น ไม่ได้เรียกร้องเข้ามาหาตนเลย ที่เรียกร้องมาหาตนเพื่อเพ่งโทษผู้อื่นนั้น ก็เพราะจิตไม่มีเมตตานั่นเอง ไม่ใช่อื่นไกลเลย

ขอให้ลูกๆ หลานๆ ปฏิบัติอย่างที่ว่ามานี้ติดต่ออยู่ อย่าทำแบบจับๆ จดๆ แล้วขาดๆ วิ่นๆ ให้เข้าใจว่าแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์มารวมอยู่ที่เมตตาแห่งเดียวนั่นเอง ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วกระแสของจิตใจมันจะส่งส่าย ว่าอันนี้ดีอันนี้ชั่ว จับๆ วางๆ ให้เห็นคุณในตอนนี้เสียก่อน แล้วยังมีต่อไปอีกว่า ผู้เจริญเมตตา หลับคากันไม่ฝันเห็นสิ่งที่ลามกอันร้าย ธรรมอันนี้มันฆ่าความโกรธไปในตัวแล้ว มีพระบาลีอ้างว่า "โกธํ ฆตฺวา สุขํ เสติ" ฆ่าความโกรธได้แล้วย่อมอยู่เป็นสุข

_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 15 ม.ค. 2009 6:37 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 10 ธ.ค. 2008 11:36 pm
โพสต์: 1173
สิ่งที่มนุษย์ไขว่คว้าหากันมาตลอดทั้งชีวิต สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็เป็นแค่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ทำงานบ้าง ฟังธรรมบ้าง ท่องเที่ยวบ้าง สังสรรค์บ้าง ก็ทำกันไป แต่อย่างน้อยก็ควรให้มีธรรมเป็นสรณะยึดเหนี่ยวใจไว้ตลอดไป ได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น ตามกำลังของสติ ปัญญา แต่ก็ควรอ่านให้จบนะครับ.อย่าหลับเสียก่อนล่ะ. :)

_________________
หนอนในอาจมย่อมสกปรก เมื่อกลายเป็นจั๊กจั่นก็ดื่มน้ำค้าง เมื่อกลายเป็นหิ่งห้อยก็เรืองโรจน์ใต้เเสงจันทร์
พึงรู้ว่าสะอาดเกิดจากสกปรก สว่างเกิดจากมืดมน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 17 ม.ค. 2009 3:19 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586
:lol: :lol: :lol:

_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO