นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 10 พ.ค. 2024 7:57 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: เรื่องราว
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 30 ส.ค. 2011 7:25 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4553
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภนายพรานชื่อ

กุกกุฏมิตร ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " ปาณิมหิ เจ วโณ นาสฺส "

เป็นต้น.
ธิดาเศรษฐีรักพรานกุกกุฏมิตร

ได้ยินว่า ธิดาเศรษฐีคนหนึ่งในกรุงราชคฤห์ เจริญวัยแล้ว เพื่อ

ประโยชน์แก่การรักษา มารดาบิดาจึงมอบหญิงคนใช้ให้คนหนึ่ง ให้อยู่ใน

ห้องบนปราสาท ๗ ชั้น ในเวลาเย็นวันหนึ่ง แลไปในระหว่างถนน

ทางหน้าต่าง เห็นนายพรานคนหนึ่งชื่อกุกกุฏมิตร ผู้ถือบ่วง ๕๐๐ และ

หลาว ๕๐๐ ฆ่าเนื้อทั้งหลายเลี้ยงชีพ ฆ่าเนื้อ ๕๐๐ ตัวแล้วบรรทุกเกวียน

ใหญ่ให้เต็มไปด้วยเนื้อสัตว์เหล่านั้น นั่งบนแอกเกวียนเข้าไปสู่พระนคร

เพื่อต้องการขายเนื้อ เป็นผู้มีจิตปฏิพัทธ์ในนายพรานนั้น ให้บรรณาการ

ในมือหญิงคนใช้ ส่งไปว่า " เจ้าจงไป จงให้บรรณาการแก่บุรุษนั้น

รู้เวลาไป (ของเขา) แล้วจงมา. "

หญิงคนใช้ไปแล้ว ให้บรรณาการแก่นายพรานนั้นแล้ว ถามว่า

" ท่านจักไปเมื่อไร ?" นายพรานตอบว่า " วันนี้เราขายเนื้อแล้ว จัก

ออกไปโดยประตูชื่อโน้นแต่เช้าเทียว." หญิงคนใช้ฟังคำที่นายพรานนั้น

บอกแล้ว กลับมาบอกแก่นาง.

ธิดาเศรษฐีลอบหนีไปกับนายพราน

ธิดาเศรษฐี รวบรวมผ้าและอาภรณ์อันควรแก่ความเป็นของที่ตน

ควรถือเอา นุ่งผ้าเก่า ถือหม้อออกไปแต่เช้าตรู่เหมือนไปสู่ท่าน้ำกับพวก

นางทาสี ถึงที่นั้นแล้วได้ยืนคอยการมาของนายพรานอยู่. แม้นายพรานก็

ขับเกวียนออกไปแต่เช้าตรู่. ฝ่ายนางก็เดินตามหลังนายพรานนั้นไป. เขา

เห็นนางจึงพูดว่า " ข้าพเจ้าไม่รู้จักเจ้าว่า ' เป็นธิดาของผู้ชื่อโน้น .' แน่ะ

แม่ เจ้าอย่าตามฉันไปเลย. " นางตอบว่า "ท่านไม่ได้เรียกฉันมา ฉัน

มาตามธรรมดาของตน. ท่านจงนิ่ง ขับเกวียนของตนไปเถิด." เขาห้าม

นางแล้ว ๆ เล่า ๆ ทีเดียว. ครั้นนางพูดกับเขาว่า " อันการห้ามสิริอันมา

สู่สำนักของตนย่อมไม่ควร " นายพรานทราบการมาของนางเพื่อตนโดย

ไม่สงสัยแล้ว ได้อุ้มนางขึ้นเกวียนไป.

มารดาบิดาของนางให้คนหาข้างโน้นข้างนี้ก็ไม่พบ สำคัญว่า " นาง

จักตายเสียแล้ว " จึงทำภัตเพื่อผู้ตาย. แม้นางอาศัยการอยู่ร่วมกับนาย-

พรานนั้น คลอดบุตร ๗ คนโดยลำดับ ผูกบุตรเหล่านั้นผู้เจริญวัยเติบโต

แล้ว ด้วยเครื่องผูกคือเรือน.

กุกกุฏมิตรอาฆาตในพระพุทธเจ้า

ภายหลังวันหนึ่ง พระศาสดาทรงตรวจดูสัตว์โลกในเวลาใกล้รุ่ง

ทรงเห็นนายพรานกุกกุฏมิตรกับบุตรและสะใภ้ เข้าไปภายในข่ายคือพระ-

ญาณของพระองค์ ทรงใคร่ครวญว่า " นั่นเหตุอะไรหนอแล ? " ทรง

เห็นอุปนิสัยแห่งโสดาปัตติมรรคของชนเหล่านั้นแล้ว ทรงถือบาตรและ

จีวร ได้เสด็จไปที่ดักบ่วงของนายพรานนั้นแต่เช้าตรู่. วันนั้นแม้เนื้อ

สักตัวหนึ่งก็มิได้ติดบ่วง.

พระศาสดาทรงแสดงรอยพระบาท ที่ใกล้บ่วงของเขาแล้วประทับ

นั่งที่ใต้ร่มพุ่มไม้พุ่มหนึ่งข้างหน้า. นายพรานกุกกุฏมิตรถือธนูไปสู่บ่วง

แต่เช้าตรู่ ตรวจดูบ่วงจำเดิมแต่ต้น ไม่พบแม้ตัวเดียวซึ่งติดบ่วง ได้

เห็นรอยพระบาทของพระศาสดาแล้ว. ทีนั้นเขาได้ดำริฉะนี้ว่า " ใครเที่ยว

ปล่อยเนื้อตัวติด (บ่วง) ของเรา." เขาผูกอาฆาตในพระศาสดา เมื่อเดิน

ไปก็พบพระศาสดาประทับนั่งที่โคนพุ่มไม้คิดว่า " สมณะองค์นี้ปล่อยเนื้อ

ของเรา เราจักฆ่าสมณะนั้นเสีย" ดังนี้แล้ว ได้โก่งธนู.

พระศาสดาให้โก่งธนูได้ (แต่) ไม่ให้ยิง (ธนู) ไปได้. เขาไม่อาจ

ทั้งเพื่อปล่อยลูกศรไป ทั้งไม่อาจที่ลดลง มีสีข้างทั้ง ๒ ปานดังจะแตกมีน้ำ

ลายไหลออกจากปาก เป็นผู้อ่อนเพลีย ได้ยืนอยู่แล้ว.

ครั้งนั้น พวกบุตรของเขาไปเรือนพูดกันว่า " บิดาของเราล่าช้า

อยู่ จักมีเหตุอะไรหนอ ?" อันมารดาส่งไปว่า " พ่อทั้งหลาย พวกเจ้า

จงไปสู่สำนักของบิดา." ต่างก็ถือธนูไปเห็นบิดายืนอยู่เช่นนั้น คิดว่า " ผู้

นี้ จักเป็นศัตรูของบิดาพวกเรา" ทั้ง ๗ คนโก่งธนูแล้ว ได้ยืนอยู่

เหมือนกับบิดาของพวกเขายืนแล้ว เพราะอานุภาพแห่งพระพุทธเจ้า.

กุกกุฏมิตรเลิกอาฆาตในพระพุทธเจ้า

ลำดับนั้น มารดาของพวกเขาคิดว่า " ทำไมหนอแล ? บิดา (และ)

บุตรจึงล่าช้าอยู่ " ไปกับลูกสะใภ้๗ คน เห็นชนเหล่านั้นยืนอยู่อย่างนั้น

คิดว่า " ชนเหล่านั้นยืนโก่งธนูต่อใครหนอแล ?" แลไปก็เห็นพระศาสดา

จึงประคองแขนทั้ง ๒ ร้องลั่นขึ้นว่า " พวกท่านอย่ายังบิดาของเราให้

พินาศ พวกท่านอย่ายังบิดาของเราให้พินาศ."

นายพรานกุกกุฏมิตรได้ยินเสียงนั้นแล้ว คิดว่า " เราฉิบหายแล้ว

หนอ, นัยว่า ผู้นั้นเป็นพ่อตาของเรา ตายจริง เราทำกรรมหนัก." แม้

พวกบุตรของเขาก็คิดว่า " นัยว่า ผู้นั้นเป็นตาของเรา, ตายจริง เราทำ

กรรมหนัก. " นายพรานกุกกุฏมิตร เข้าไปตั้งเมตตาจิตไว้ว่า " คนนี้เป็น

พ่อตาของเรา. " แม้พวกบุตรของเขาก็เข้าไปตั้งเมตตาจิตว่า " คนนี้เป็น

ตาของพวกเรา." ขณะนั้น ธิดาเศรษฐีผู้มารดาของพวกเขา พูดว่า " พวก

เจ้าจงทิ้งธนูเสียโดยเร็วแล้วให้บิดาของฉันอดโทษ."

เขาทั้งหมดสำเร็จโสดาปัตติผล

พระศาสดา ทรงทราบจิตของเขาเหล่านั้นอ่อนแล้ว จึงให้ลดธนูลง

ได้. ชนเหล่านั้นทั้งหมด ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว ให้พระองค์อดโทษ

ว่า " ข้าแต่พระองค์เจริญ ขอพระองค์ทรงอดโทษแก่ข้าพระองค์ ดัง

นี้แล้ว นั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง. ลำดับนั้นพระศาสดา ตรัสอนุปุพพีกถาแก่

พวกเขา ในเวลาจบเทศนา นายพรานกุกกุฎมิตรพร้อมทั้งบุตรและสะใภ้

มีตนเป็นที่ ๑๕ ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว. พระศาสดาเสด็จเที่ยวไป

บิณฑบาต ได้เสด็จไปสู่วิหารภายหลังภัต. ลำดับนั้น พระอานนท์เถระ

ทูลถามพระองค์ว่า " วันนี้พระองค์เสด็จไปไหน ? พระเจ้าข้า. "

พระศาสดา. ไปสำนักของกุกกุฏมิตร อานนท์.

พระอานนท์. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นายพรานกุกกุฏมิตรพระองค์

ทำให้เป็นผู้ไม่ทำกรรมคือปาณาติบาตแล้วหรือ ? พระเจ้าข้า.

พระศาสดา. เออ อานนท์ นายพรานกุกกุฏมิตรนั้นมีตนเป็นที่ ๑๕

ตั้งอยู่ในศรัทธาอันไม่คลอนแคลน เป็นผู้หมดสงสัยในรัตนะ ๓ เป็นผู้ไม่

ทำกรรมคือปาณาติบาตแล้ว .

พวกภิกษุกราบทูลว่า " แม้ภริยาของเขามีมิใช่หรือ ? พระเจ้าข้า "

พระศาสดา ตรัสว่า " อย่างนั้น ภิกษุทั้งหลาย, นางเป็นกุมาริกาในเรือน

ของผู้มีตระกูลเทียว บรรลุโสดาปัตติผลแล้ว. "

พระโสดาบันไม่ทำบาป

พวกภิกษุสนทนากันว่า " ได้ยินว่า ภริยาของนายพรานกุกกุฏมิตร

บรรลุโสดาปัตติผลในกาลที่ยังเป็นเด็กหญิงนั่นแล แล้วไปสู่เรือนของนาย-

พรานนั้น ได้บุตร ๗ คน. นางอันสามีสั่งตลอดกาลเท่านี้ว่า ' หล่อนจง

นำธนูมา นำลูกศรมา นำหอกมา นำหลาวมา นำข่ายมา.' ได้ให้สิ่ง

เหล่านั้นแล้ว, นายพรานนั้นถือเครื่องประหารที่นางให้ไปทำปาณาติบาต;

แม้พระโสดาบันทั้งหลายยังทำปาณาติบาตอยู่หรือหนอ ? "

พระศาสดาเสด็จมาแล้ว ตรัสถามว่า " ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอ

นั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร ? " เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า

" ด้วยเรื่องชื่อนี้." ตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย พระโสดาบันย่อมไม่ทำ

ปาณาติบาต. แต่นางได้ทำอย่างนั้น ด้วยคิดว่า 'เราจักทำตามคำสามี.'

จิตของนางไม่มีเลยว่า สามีนั้นจงถือเอาเครื่องประหารนี้ไปทำปาณาติบาต;

จริงอยู่ เมื่อแผลในฝ่ามือไม่มี ยาพิษนั้นก็ไม่อาจจะให้โทษแก่ผู้ถือยาพิษได้

ฉันใด ชื่อว่าบาปย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่ทำบาป แม้นำเครื่องประหารทั้งหลาย

มีธนูเป็นต้นออกให้ เพราะไม่มีอกุศลเจตนา ฉันนั้นเหมือนกัน, ดังนี้แล้ว

เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า

๘. ปาณิมฺหิ เจ วโณ นาสฺส หเรยฺย ปาณินา วิส

นาพฺพณ วิสมเนฺวติ นตฺถิ ปาป อกุพฺพโต.

" ถ้าแผลไม่พึงมีในฝ่ามือไซร้, บุคคลพึงนำยา

พิษไปด้วยฝ่ามือได้, เพราะยาพิษย่อมไม่ซึมเข้าสู่ฝ่า

มือที่ไม่มีแผล ฉันใด, บาปย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่ทำอยู่

ฉันนั้น."

แก้อรรถ

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นาสฺส แปลว่า ไม่พึงมี.

บทว่า หเรยฺย แปลว่า พึงอาจนำไปได้.

ถามว่า " เพราะเหตุไร ? "

แก้ว่า " เพราะยาพิษไม่ซึมไปสู่ฝ่ามือที่ไม่มีแผล " จริงอยู่ ยาพิษ

ย่อมไม่อาจซึมซาบเข้าสู่ฝ่ามือที่ไม่มีแผล ฉันใด; ชื่อว่าบาปย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่

ทำบาป แม้นำเครื่องประหารทั้งหลายมีธนูเป็นต้นออกให้ เพราะไม่มี

อกุศลเจตนา ฉันนั้นเหมือนกัน, แท้จริง บาปย่อมไม่ติดตามจิตของบุคคล

นั้น เหมือนยาพิษไม่ซึมเข้าไปสู่ฝ่ามือที่ไม่มีแผลฉะนั้น ดังนี้แล.

ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผลทั้งหลายมีโสดา-

ปัตติผลเป็นต้นแล้ว.
บุรพกรรมของกุกกุฏมิตรพร้อมด้วยบุตรและสะใภ้

โดยสมัยอื่น พวกภิกษุสนทนากันว่า " อะไรหนอเเล เป็นอุปนิสัย

แห่งโสดาปัตติมรรค ของนายพรานกุกกุฏมิตร ทั้งบุตร และสะใภ้ ?

นายพรานกุกกุฏมิตรนี้ เกิดในตระกูลของพรานเนื้อเพราะเหตุอะไร ? "

พระศาสดาเสด็จมาแล้ว ตรัสถามว่า " ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวก

เธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ ? " เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า

" ด้วยเรื่องชื่อนี้. " ตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย ในอดีตกาล หมู่ชนจัดสร้าง

เจดีย์บรรจุพระธาตุของพระกัสสปทสพล กล่าวกันอย่างนี้ว่า " อะไรหนอ

จักเป็นดินเหนียว ? อะไรหนอ จักเป็นน้ำเชื้อ แห่งเจดีย์นี้ ? ่ ่

การสร้างเจดีย์ในสมัยก่อน

ทีนั้น พวกเขาได้มีปริวิตกนี้ว่า " หรดาลและมโนสิลาจักเป็นดิน-

เหนียว น้ำมันงาจักเป็นน้ำเชื้อ. " พวกเขาตำหรดาลและมโนสิลาแล้ว

ผสมกับน้ำมันงา ก่อด้วยอิฐ ปิดด้วยทองคำ แล้วเขียนลวดลายข้างใน.

แต่ที่มุขภายนอกมีอิฐเป็นทองทั้งแท่งเทียว อิฐแผ่นหนึ่ง ๆ ได้มีค่าแสน

หนึ่ง. พวกเขาเมื่อเจดีย์สำเร็จแล้ว จนถึงกาลจะบรรจุพระธาตุ คิดกัน

ว่า " ในกาลบรรจุพระธาตุ ต้องการทรัพย์มาก พวกเราจักทำใครหนอ

แล ให้เป็นหัวหน้า ? "

แย่งกันเป็นหัวหน้าในการบรรจุพระธาตุ

ขณะนั้น เศรษฐีบ้านนอกคนหนึ่ง กล่าวว่า " ข้าพเจ้า จักเป็น

หัวหน้า " ได้ใส่เงิน ๑ โกฏิ ในที่บรรจุพระธาตุ. ชาวแว่นแคว้นเห็นกิริยา

นั้น ติเตียนว่า " เศรษฐีในกรุงนี้ ย่อมรวบรวมทรัพย์ไว้ถ่ายเดียว, ไม่

อาจเป็นหัวหน้าในเจดีย์เห็นปานนี้ได้. ส่วนเศรษฐีบ้านนอก ใส่ทรัพย์

๑ โกฏิ เป็นหัวหน้าทีเดียว."

เศรษฐีในกรุงนั้น ได้ยินถ้อยคำของชนเหล่านั้นแล้ว กล่าวว่า

" เราจักให้ทรัพย์ ๒ โกฏิแล้วเป็นหัวหน้า " ได้ให้ทรัพย์ ๒ โกฏิแล้ว.

เศรษฐีบ้านนอกคิดว่า " เราเองจักเป็นหัวหน้า " ได้ให้ทรัพย์ ๓

โกฎิ. ครั้นเศรษฐีทั้ง ๒ เพิ่มทรัพย์กันด้วยอาการอย่างนั้น. เศรษฐีในกรุง

ได้ให้ทรัพย์ ๘ โกฏิแล้ว.

ส่วนเศรษฐีบ้านนอก มีทรัพย์ ๙ โกฏิเท่านั้นในเรือน. เศรษฐีใน

กรุงมีทรัพย์ ๔๐ โกฏิ. เพราะฉะนั้น เศรษฐีบ้านนอก จึงคิดว่า " ถ้า

เราให้ทรัพย์ ๙ โกฏิไซร้. เศรษฐีนี้จักกล่าวว่า " เราจักให้๑๐ โกฏิ."

เมื่อเป็นเช่นนั้น ความหมดทรัพย์ของเราจักปรากฏ " เธอจึงกล่าวอย่างนั้น

ว่า " เราจักให้ทรัพย์ประมาณเท่านี้, และเราทั้งลูกและเมียจักเป็นทาสของ

เจดีย์ ดังนี้แล้ว พาบุตรทั้ง ๗ คน สะใภ้ทั้ง ๗ คนและภริยา มอบ

แก่เจดีย์พร้อมกับตน.

เศรษฐีบ้านนอกได้เป็นหัวหน้า

ชาวแว่นแคว้นทำเศรษฐีบ้านนอกนั้นให้เป็นหัวหน้า ด้วยอ้างว่า

"ชื่อว่าทรัพย์ใคร ๆ ก็อาจให้เกิดขึ้นได้, แต่เศรษฐีบ้านนอกนี้พร้อมทั้ง

บุตรและภริยา มอบตัว (เฉพาะเจดีย์). เศรษฐีนี้แหละจงเป็นหัวหน้า."

ชนทั้ง ๑๖ คนนั้น ได้เป็นทาสของเจดีย์ด้วยประการฉะนี้. แต่ชาวแว่น-

แคว้นได้ทำพวกเขาให้เป็นไท. แต่เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาก็ปฏิบัติเจดีย์

นั้นแล ดำรงอยู่ตลอดอายุ จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว บังเกิดในเทวโลก.

เมื่อชนเหล่านั้น อยู่ในเทวโลกตลอด ๑ พุทธันดร ในพุทธุปบาทนี้ ภริยา

จุติจากเทวโลกนั้น บังเกิดเป็นธิดาเศรษฐีในกรุงราชคฤห์.

คติของผู้ไม่เห็นสัจจะไม่แน่นอน

นางยังเป็นเด็กหญิงเทียว บรรลุโสดาปัตติผลแล้ว. ก็ชื่อว่าปฏิสนธิ

ของสัตว์ผู้ยังไม่เห็นสัจจะ เป็นภาระหนัก เพราะฉะนั้น สามีของนาง

จึงเวียนกลับไปเกิดในสกุลพรานเนื้อ. ความสิเนหาในก่อนได้ครอบงำ

ธิดาของเศรษฐี พร้อมกับการเห็นนายพรานกุกกุฏมิตรนั้นแล. จริงอยู่

แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ตรัสคำนี้ไว้ว่า

" ความรักนั้น ย่อมเกิด เพราะอาศัยเหตุ ๒

ประการ อย่างนี้ คือ เพราะการอยู่ร่วมกันในกาล

ก่อน ๑ เพราะการเกื้อกูลกันในปัจจุบัน ๑ ดุจดอกบัว

เกิดในน้ำ (เพราะอาศัยเปือกตมและน้ำ) ฉะนั้น."

ธิดาของเศรษฐีนั้น ได้ไปสู่ตระกูลของพรานเนื้อเพราะความสิเนหา

ในปางก่อน, แม้พวกบุตรของนางก็จุติจากเทวโลก ถือปฏิสนธิในท้อง

ของนางนั้นแล.

แม้เหล่าสะใภ้ของนาง บังเกิดในที่นั้น ๆ เจริญวัยแล้ว ได้ไป

สู่เรือนของชนเหล่านั้นนั่นแหละ. ชนเหล่านั้นทั้งหมด ปฏิบัติเจดีย์ในกาล

นั้น ด้วยประการฉะนี้แล้ว จึงได้บรรลุโสดาปัตติผล ด้วยอานุภาพแห่ง

กรรมนั้น ดังนี้แล.

เรื่องนายพรานกุกกุฏมิตร จบ.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ หน้า ๑๘ - ๒๒

เทวทหสูตร

(ว่าด้วยการกำจัดฉันทราคะในขันธ์ ๕)

[๖] ข้าพเจ้า ได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ ณ นิคมเทวทหะ ของศากยะทั้งหลาย

ในสักกชนบท. ครั้งนั้นแล ภิกษุมากรูปด้วยกัน ปรารถนาจะไปสู่ปัจฉาภูมชนบท

เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว นั่งอยู่ ณ ที่

ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระพุทธเจ้าข้า พวกข้า

พระองค์ ปรารถนาจะไปสู่ปัจฉาภูมชนบท เพื่ออยู่อาศัยในปัจฉาภูมชนบท.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เธอทั้งหลาย ลาสารีบุตร

แล้วหรือ? ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า พระเจ้าข้า พวกข้าพระองค์ ยังมิได้ลาท่านพระ

สารีบุตร. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงไปลา

สารีบุตรเถิด สารีบุตรเป็นบัณฑิตอนุเคราะห์เพื่อนสพรหมจารี. ภิกษุเหล่านั้น

ทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้า ว่า อย่างนั้น พระเจ้าข้า.

[๗] ก็สมัยนั้นแล ท่านพระสารีบุตรนั่งอยู่ในมณฑปเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่มุง

ด้วยพุ่มตะไคร้น้ำ ไม่ไกลพระผู้มีพระภาคเจ้า, ครั้งนั้นแล ภิกษุเหล่านั้นชื่นชมยินดี

พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า ลุกจากอาสนะ ถวายอภิวาท ทำประทักษิณ

พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว พากันเข้าไปหาท่านพระสารีบุตร กล่าวคำปราศรัยกับ

ท่านพระสารีบุตร ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่งอยู่ ณ

ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้กล่าวกะท่านพระสารีบุตรว่า ข้าแต่ท่านพระสารีบุตร

ข้าพเจ้าทั้งหลายปรารถนาจะไปปัจฉาภูมชนบท เพื่ออยู่อาศัยในปัจฉาภูมชนบท

ท่านพระสารีบุตรกล่าวว่า ท่านทั้งหลายกราบทูลลาพระศาสดาแล้วหรือ ดูก่อน

ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็กษัตริย์ผู้เป็นบัณฑิตบ้าง พราหมณ์ผู้เป็นบัณฑิตบ้าง

คฤหบดีผู้เป็นบัณฑิตบ้าง สมณะผู้เป็นบัณฑิตบ้าง เป็นผู้ถามปัญหากะภิกษุผู้ไป

ไพรัชประเทศ(ต่างถิ่น) ต่าง ๆ มีอยู่ ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็พวกมนุษย์ที่เป็น

บัณฑิต ทดลองถามว่า พระศาสดาของพวกท่านมีวาทะอย่างไร ตรัสสอนอย่างไร

ธรรมทั้งหลาย พวกท่านฟังดีแล้ว เรียนดีแล้ว ใส่ใจดีแล้ว ทรงจำดีแล้วแทงตลอด

ดีแล้ว ด้วยปัญญาบ้างหรือ ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พยากรณ์อย่างไร จึงจะชื่อว่า

เป็นผู้กล่าวตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว จะไม่กล่าวตู่พระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคำ

ไม่จริง และพยากรณ์ธรรมสมควรแก่ธรรม ทั้งการคล้อยตามวาทะที่ถูกไร ๆ จะไม่พึง

ถูกวิญญูชนติเตียนได้.

ภิกษุทั้งหลาย กล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้มีอายุ ข้าพเจ้าทั้งหลาย มาแม้แต่ที่ไกล

เพื่อจะรู้เนื้อความแห่งภาษิตนั้นในสำนักท่านพระสารีบุตร ดีละหนอ ขอเนื้อความแห่ง

ภาษิตนั้นจงแจ่มแจ้งกะท่านพระสารีบุตรเถิด.

[๘] ท่านพระสารีบุตร กล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น ท่านทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี

เราจักกล่าว, ภิกษุเหล่านั้นรับคำท่านพระสารีบุตรแล้ว ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวว่า

ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็กษัตริย์เป็นบัณฑิตบ้าง พราหมณ์เป็นบัณฑิตบ้าง คฤหบดีเป็น

บัณฑิตบ้าง สมณะเป็นบัณฑิตบ้าง เป็นผู้ถามปัญหากะภิกษุผู้ไปไพรัชประเทศต่าง ๆ

มีอยู่ ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็มนุษย์ทั้งหลายที่เป็นบัณฑิต จะทดลองถาม

ว่า พระศาสดาของท่านผู้มีอายุทั้งหลาย มีวาทะว่าอย่างไร ตรัสสอนอย่างไร ดูก่อน

ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายถูกถามอย่างนี้แล้ว พึงพยากรณ์อย่างนี้ ว่า ดูก่อน

ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พระศาสดาของเราทั้งหลาย ตรัสสอนให้กำจัดฉันทราคะ

เมื่อท่านทั้งหลายพยากรณ์อย่างนี้แล้ว กษัตริย์ผู้เป็นบัณฑิตบ้าง พราหมณ์ผู้เป็น

บัณฑิตบ้าง คฤหบดีผู้เป็นบัณฑิตบ้าง สมณะผู้เป็นบัณฑิตบ้าง พึงถามปัญหายิ่งขึ้น

ไป ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็มนุษย์ทั้งหลาย ที่เป็นบัณฑิตจะทดลองถามว่า

ก็พระศาสดาของท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ตรัสสอนให้กำจัดฉันทราคะในสิ่งอะไร ท่าน

ทั้งหลายถูกถามอย่างนี้แล้ว พึงพยากรณ์อย่างนี้ ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พระ

ศาสดาตรัสสอนให้กำจัดฉันทราคะในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ดูก่อน

ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย เมื่อท่านทั้งหลายพยากรณ์อย่างนี้แล้ว กษัตริย์ผู้เป็นบัณฑิต

บ้าง พราหมณ์ผู้เป็นบัณฑิตบ้าง คฤหบดีผู้เป็นบัณฑิตบ้าง สมณะผู้เป็นบัณฑิต

บ้าง พึงถามปัญหายิ่งขึ้นไป ก็มนุษย์ทั้งหลายที่เป็นบัณฑิต จะทดลองถามว่า ก็

พระศาสดาของท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ทรงเห็นโทษอะไร จึงตรัสสอนให้กำจัดฉันท-

ราคะในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ท่าน

ทั้งหลายถูกถามอย่างนี้แล้ว พึงพยากรณ์อย่างนี้ ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย

เมื่อบุคคลมีความกำหนัด ความพอใจ ความรัก ความกระหาย ความกระวน

กระวาย ความทะยานอยากในรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ยังไม่

ปราศจากไปแล้ว โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและ อุปายาส ย่อมเกิดขึ้น เพราะรูป

เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ แปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป ดูก่อนท่าน

ผู้มีอายุทั้งหลาย พระศาสดาของเราทั้งหลายทรงเห็นโทษนี้แล จึงตรัสสอนให้

กำจัดฉันทราคะในรูปเวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ดูก่อนท่านผู้มีอายุ

ทั้งหลาย แม้เมื่อท่านทั้งหลายพยากรณ์อย่างนี้แล กษัตริย์ผู้เป็นบัณฑิตบ้าง

พราหมณ์ผู้เป็นบัณฑิตบ้าง คฤหบดีผู้เป็นบัณฑิตบ้าง สมณะผู้เป็นบัณฑิตบ้าง

พึงถามปัญหายิ่งขึ้นไป ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็มนุษย์ทั้งหลายที่เป็นบัณฑิต

จะทดลองถามว่า ก็พระคาสดา ของท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ทรงเห็นอานิสงส์อะไร

จึงตรัสสอนให้กำจัดฉันทราคะในรูปเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ท่านทั้งหลาย

ถูกถามอย่างนี้แล้ว พึงพยากรณ์อย่างนี้ ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย เมื่อบุคคล

มีความกำหนัด ความพอใจ ความรัก ความกระหาย ความกระวนกระวาย ความ

ทะยานอยากในรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ปราศจากไปแล้ว

โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาสย่อม ไม่เกิดขึ้นเพราะรูป เวทนา

สัญญา สังขาร และวิญญาณ แปรปรวน เป็นอย่างอื่นไป ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้ง

หลาย พระศาสดาของเราทั้งหลายทรงเห็นอานิสงส์นี้แล จึงตรัสสอนให้กำจัดฉันท-

ราคะในรูป เวทนาสัญญา สังขาร และวิญญาณ.

[๙] ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็ถ้าบุคคลเข้าถึงอกุศลธรรมทั้งหลายอยู่

จักได้มีการอยู่สบาย ไม่มีความลำบาก ไม่มีความคับแค้น ไม่มีความเดือดร้อน ใน

ปัจจุบันนี้ และเมื่อตายไปแล้ว ก็พึงหวังสุคติไซร้ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็จะไม่พึง

ทรงสรรเสริญการละอกุศลธรรมทั้งหลาย แต่เพราะเมื่อบุคคลเข้าถึงอกุศลธรรม

ทั้งหลาย ย่อมมีการอยู่เป็นทุกข์มีความลำบาก มีความคับแค้น มีความเดือดร้อน

ในปัจจุบัน และเมื่อตายไปแล้ว ก็พึงหวังได้ทุคติ ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรง

สรรเสริญการละอกุศลธรรมทั้งหลาย.

[๑๐] ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็ ถ้าบุคคลเข้าถึงกุศลธรรมทั้งหลายอยู่

จักได้มีการอยู่เป็นทุกข์ มีความลำบาก ความคับแค้นมีความเดือดร้อน ในปัจจุบันนี้

และเมื่อตายไปแล้ว ก็พึงหวังได้ทุคติไซร้ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็จะไม่พึงทรง

สรรเสริญการเข้าถึงกุศลธรรมทั้งหลาย แต่เพราะเมื่อบุคคลเข้าถึงกุศลธรรม

ทั้งหลายอยู่ มีการอยู่สบายไม่มีความลำบาก ไม่มีความคับแค้น ไม่มีความเดือดร้อน

ในปัจจุบันนี้และเมื่อตายไปแล้ว ก็พึงหวังได้สุคติ ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรง

สรรเสริญการเข้าถึงกุศลธรรมทั้งหลาย

ท่านพระสารีบุตร ได้กล่าวคำนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นชื่นชมยินดีภาษิตของท่าน

พระสารีบุตร ฉะนี้แล.

จบ เทวทหสูตรที่ ๒.



เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับน้องคนหนึ่งและเพื่อนๆของน้องที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ให้ยานพาหนะเป็นทาน ให้ที่อยู่อาศัยเป็นทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของมารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะครับ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO