นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 10 พ.ค. 2024 3:56 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: เรื่องราว
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 09 ส.ค. 2011 4:58 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4553
สำหรับประเด็นนี้ในอรรถกถาได้อธิบายไว้ในเรื่องถ้าพระมหาเถระนั่งบนอาสนะ ถาม

ปัญหากับพระภิกษุหนุ่มที่ยืนอยู่ อิริยาบถนั่ง สบายกว่า อิริยาบถยืน ผู้ที่แสดงธรรมคือ

พระภิกษุหนุ่ม ยืนอยู่จะแสดงธรรมกับผู้นั่งฟัง ไม่ควร ดังนั้น อรรถกถาอธิบาย ไม่ควร

กล่าว แต่เพราะอาศัยความเคารพกับพระมหาเถระที่ถามจึงไม่สามารถกล่าวบอกว่าให้

ท่านลุกขึ้นยืนฟัง หากตั้งใจจะกล่าวกับภิกษุรูปอื่น คนอื่นที่ยืนข้างๆ ไมได้ตั้งใจแสดง

กับผู้ถามก็ได้ครับ

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒- หน้าที่ 967

สองบทว่า น ิเตน นิสินฺนสฺส มีความว่า ถ้าแม้นว่า พระมหาเถระนั่งบน

อาสนะ ถามปัญหากะภิกษุหนุ่มผู้มายังที่บำรุงของพระเถระแล้วยืนอยู่, เธอไม่ควร

กล่าว. แต่ด้วยความเคารพ เธอก็ไม่อาจกล่าวกะพระเถระว่า นิมนต์ท่านลุกขึ้นถาม

เถิด. จะกล่าวด้วยตั้งใจว่า เราจักกล่าวแก่ภิกษุผู้ยืนอยู่ข้าง ๆ ควรอยู่.

-------------------------------------------------------------------------------

สำหรับกรณีใส่บาตรและพระให้พรกับโยมที่นั่งอยู่หลายคน โดยมากก็นั่งกันทั้งนั้น

ดังนั้นถ้านั่งกันหมด ไม่ควรแสดง ไม่ควรให้พร แต่สามารถกล่าวได้ว่าขอให้ท่านทั้ง

หลายยืนฟัง ภิกษุผู้รับบิณฑบาตสามารถบอกกับโยมได้ครับที่กำลังจะนั่งรับพร และ

แม้ว่าโยมทั้งหลายนั่งอยู่ มีบางคนยืน หากตั้งใจจะแสดงกับคนที่ยืนก็พออนุโลมได้ แต่

ที่ถูกแล้ว ในอรรถกถากล่าวถึงตัวอย่างเพราะภิกษุหนุ่มเคารพในพระมหาเถระ ภิกษุหนุ่ม

จึงไม่อาจกล่าวว่านิมนต์ท่านลุกยืนฟังธรรม แต่เมื่อเป็เพศฆราวาสแล้วเป็นเพศที่ต่ำกว่า

พระภิกษุ ทางที่ถูก ควรจะบอกโยมทั้งหลายที่แม้มีบางคนยืนอยู่ และก็มีคนที่นั่งด้วย

บอกกับโยมทั้งหลายกล่าวว่า พวกท่านจงยืนรับพร ซึ่งพระภิกษุก็สามารถอธิบายเหตุผล

ในเรื่องนี้กับโยมได้ ก็เป็นการรักษาตัวท่านและให้ความเข้าใจถูกกับอุบาสก อุบาสิกาได้

ด้วยครับ การบอกให้ยืนไม่ใช่เรื่องลำบากอะไรครับ โดยไม่ต้องลำบาก ไม่ต้องเลี่ยง

อะไรทั้งสิ้น
ดูก่อนสุเมธบัณฑิต จำเดิมแต่นี้ไปท่านจงบำเพ็ญแม้อุเบกขาบารมีให้บริบูรณ์ พึง

วางใจเป็นกลาง ทั้งในสุขและทั้งในทุกข์. เหมือนอย่างว่า ธรรมดาแผ่นดินเมื่อคน

ทิ้งของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง ย่อมทำใจเป็นกลางอยู่ ฉันใด แม้ท่าน ก็ฉันนั้น

เหมือนกัน วางใจเป็นกลางอยู่ในสุขและทุกข์ ก็จักได้เป็นพระพุทธเจ้า ครั้นคิดแล้ว

จึงอธิษฐานอุเบกขาบารมีข้อที่ ๑๐ กระทำให้มั่นแล้ว. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า

ก็พุทธธรรมเหล่านี้ จักไม่มีเพียงนี้เท่านั้น เราจักเลือก

เฟ้นธรรมแม้ข้ออื่น ๆ อันเป็นเครื่องบ่มพระโพธิญาณ.

คราวนั้นเรา เลือกเฟ้นอยู่ ก็ได้เห็นอุเบกขาบารมีข้อที่ ๑๐

ที่ท่านผู้แสวงหาคุณใหญ่ในก่อน ถือปฏิบัติเป็นประจำ.

ท่านจงสมาทานอุเบกขาบารมีข้อที่ ๑๐ นี้ กระทำให้มั่น

ก่อน ท่านเป็นผู้มั่นคงประดุจตราชู จักบรรลุพระสัมโพธิญาณ.

ธรรมดาแผ่นดินย่อมวางเฉย ในของไม่สะอาดและของ

สะอาดที่คนทิ้งลง เว้นจากความโกรธและความยินดีทั้งสอง

นั้น ฉันใด

แม้ท่าน ก็ฉันนั้นเหมือนกัน จงเป็นประดุจตราชั่งในสุข

และทุกข์ในกาลทุกเมื่อ ถึงความเป็นอุเบกขาบารมีแล้ว จัก

บรรลุพระสัมโพธิญาณได้.

คำว่าอคติ หมายถึง ฐานะอันไม่พึงถึง,ทางความประพฤติที่ผิด, ความลำเอียง มี ๔ คือ

๑. ฉันทาคติ ลำเอียงเพราะรัก

๒. โทสาคติ ลำเอียงเพราะชัง

๓. โมหาคติ ลำเอียงเพราะเขลา

๔. ภยาคติ ลำเอียงเพราะกลัว
ส่วนบุตรคนใดยังมารดาบิดาผู้ไม่มีศรัทธา

ให้สมาทานตั้งมั่นในศรัทธาสัมปทา

ยังมารดาบิดาผู้มีความตระหนี่

ให้สมาทานตั้งมั่นในจาคสัมปทา

ยังมารดาบิดาผู้ทรามปัญญา

ให้สมาทานตั้งมั่นในปัญญาสัมปทา

ดูก่อนภิกษุทั้งหลายด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้แล

การกระทำอย่างนั้นย่อมชื่อว่าอันบุตรนั้นทำแล้ว

และทำตอบแทนแล้วแก่มารดาบิดา.

ดูก่อนคฤหบดีบุตร

มารดาบิดาเป็นทิศเบื้องหน้า

อันบุตรธิดาพึงบำรุงด้วยสถาน ๕ คือ

ด้วยตั้งใจว่า ท่านเลี้ยงเรามา เราจักเลี้ยงท่านตอบ ๑

จักรับทำกิจของท่าน ๑

จักดำรงวงศ์ตระกูล ๑

จักปฏิบัติตนให้เป็นผู้สมควรรับทรัพย์มรดก ๑

เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ทำบุญอุทิศให้ท่าน ๑
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้าที่ 208

๓. สพรหมสูตร

ว่าด้วยมารดาบิดาเป็นพรหมของบุตร

[๖๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มารดาบิดา อันบุตรแห่งตระกูลทั้งหลาย

ใดบูชาอยู่ในเรือนของตน ตระกูลทั้งหลายนั้นชื่อว่ามีพรหม...มีบุรพาจารย์

... มีบุรพเทวดา...มีอาหุไนย ภิกษุทั้งหลาย คำว่า พรหม นี้เป็นคำเรียก

มารดาบิดาทั้งหลาย คำว่า บุรพาจารย์ ...บุรพเทวดา ...อาหุไนย นี้ก็เป็น

คำเรียกมารดาบิดาทั้งหลาย ที่เรียกเช่นนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่ามารดาบิดา

ทั้งหลายเป็นผู้มีอุปการะมาก เป็นผู้ฟูมฟักเลี้ยงดู เป็นผู้แสดงโลกนี้แก่บุตร

ทั้งหลาย

มารดาบิดาทั้งหลาย ผู้เอ็นดูประชา

ชื่อว่าเป็นพรหม เป็นบุรพาจารย์ และเป็น

อาหุไนยของบุตรทั้งหลาย เพราะเหตุ

นั่นแหละ บุตรผู้มีปัญญาพึงนอบน้อม

สักการะท่าน ด้วยข้าว ด้วยน้ำ ด้วยผ้า

ด้วยเครื่องที่นอน ด้วยเครื่องอบ ด้วย

การสนานกาย และด้วยการล้างเท้า เพราะ

การบำรุงมารดาบิดานั้น ในโลกนี้บัณฑิต

ทั้งหลายก็สรรเสริญบุตรนั้น บุตรนั้นละ

โลกนี้ไปแล้ว ยังบันเทิงใจในสวรรค์.

จบสพรหมสูตรที่ ๓

ว่าด้วยผู้มีอุปการะมาก ๓ จำพวก

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคล (อาจารย์) ๓ นี้ เป็นผู้มีอุปการะ

มากแก่บุคคล (ศิษย์) บุคคล (อาจารย์) ๓ นี้คือใคร คือ บุคคล (ศิษย์) อาศัย

บุคคล (อาจารย์) ใด จึงได้ถึงพระพุทธเจ้า ... พระธรรม ...พระสงฆ์เป็นสรณะ

บุคคล (อาจารย์) นี้ เป็นผู้มีอุปการะมากแก่บุคคล (ศิษย์) นี้

อนึ่งอีก ภิกษุทั้งหลาย บุคคล (ศิษย์) อาศัยบุคคล (อาจารย์) ใด จึงรู้

ตามจริงว่า นี่ทุกข์ ... นี่เหตุเกิดทุกข์ ... นี่ความดับทุกข์ ... นี่ข้อปฏิบัติให้ถึง

ความดับทุกข์ บุคคล (อาจารย์) นี่ เป็นผู้มีอุปการะมากแก่บุคคล(ศิษย์) นี้

อนึ่งอีก ภิกษุทั้งหลาย บุคคล (ศิษย์) อาศัยบุคคล (อาจารย์) ใด จึง

กระทำให้แจ้งเข้าถึงพร้อมซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติอันหาอาสวะมิได้ เพราะ

สิ้นอาสวะทั้งหลาย ด้วยความรู้ยิ่งด้วยตนเองอยู่ในปัจจุบันนี่ บุคคล (อาจารย์)

นี่เป็นผู้มีอุปการะมากแก่บุคคล (ศิษย์) นี้

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าบุคคลอื่นจะมีอุปการะมากแก่บุคคล(ศิษย์)

นี้ ยิ่งกว่าบุคคล ๓ นี่ไม่มี อนึ่ง เรากล่าวว่า บุคคล (ศิษย์) นี้ จะทำการสนอง

คุณแก่บุคคล (อาจารย์) ๓ นี้ไม่ได้ง่ายเลย แต่เพียงด้วยการกราบ ลุกรับ ทำ

อัญชลี สามีจิกรรม และคอยให้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และยาแก้ไข้.






เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับน้องคนหนึ่งและเพื่อนๆของน้องที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ให้ยานพาหนะเป็นทาน ให้ที่อยู่อาศัยเป็นทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของมารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด และตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะครับ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO