นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อังคาร 14 พ.ค. 2024 2:43 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: เรื่องราว
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 09 ก.ค. 2011 4:56 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4557
ก่อนอื่นก็ต้องเข้าใจลัทธิ 3 ประการให้ถูกต้องก่อนครับว่าท่านกล่าวถึงอะไรและมุ่ง

หมายถึงอะไร เมื่อเข้าใจถูกแล้ว ก็จะสามารถมาอธิบายกับคำกล่าวอื่นได้ครับ

ลัทธิ 3 ประการ เป็นความเห็นผิดทั้ง 3 ประการ ซึ่งความเห็นผิดทั้ง 3 ประการก็มี

1.ปุพเพกตวาท

2.อิสสรนิมมานเหตุวาท

3.อเหตุกวาท

ปุพเพกตวาท คือ ความเห็นผิดที่ว่า บุคคลได้รับความรู้สึกสุข ทุกข์และเฉยๆ

เพราะกรรมเก่าทำมาเท่านั้น สังเกตนะครับว่า ท่านมุ่งหมายถึง การได้รับความรู้สึก

สุข ทุกข์ เฉยๆ นั่นคือเวทนานั่นเอง อันเป็นความเห็นที่ว่า เวทนาทีเกิดขึ้นที่บุคคล

กำลังมีความรู้สึก สุข ทุกข์อยู่ในขณะนี้เพราะกรรมเก่าเท่านั้น

ทำไมถึงเป็นความเห็นผิด ที่เห็นผิดเพราะว่า ในความเป็นจริง การได้รับเวทนาที

เป็นสุขและทุกข์ ไม่ใช่เพียงเพราะวิบาก ที่เป็นผลของกรรมเท่านั้นครับ ขณะที่เจ็บ

เป็นทุกขเวทนา เป็นผลของกรรมเก่าแน่นอน อันเป็นเวทนาที่เกิดเพราะกรรมเก่า

แต่เวทนาไม่ใช่เกิดเพราะกรรมเก่าที่ทำไว้เท่านั้นครับ เมื่อศึกษาพระอภิธรรมแล้ว

เวทนาเจตสิกเกิดกับจิตทุกประเภท เวทนาจึงเกิดกับจิตชาติ กุศลก็ได้ อกุศลก็ได้

กิริยาก็ได้และวิบากที่เป็นผลของกรรมก็ได้ เพราะฉะนั้น เวทนา ความรู้สึกเกิดกับจิต

ชาติวิบาก เป็นเวทนาทีเกิดเพราะกรรมเก่า และเวทนาก็เกิดกับจิตที่เป็นกุศลกรรม

และอกุศลกรรม นั่นคือ เวทนาเกิดไม่ใช่เฉพาะกรรมเก่า แต่เมื่อทำกรรมในปัจจุบัน ก็มี

เวทนาเกิดร่วมด้วย เช่น ขณะที่ฆ่าสัตว์ ขณะนั้นมีจิตเกิดขึ้น มีเวทนาเกิดขึ้นร่วมด้วย

เป็นโทมนัสเวทนา แต่เวทนาที่เป็นโทมนัสเวทนาทีเกิดขึ้นพร้อมกับการฆ่าสัตว์

เวทนานั้นไม่ได้เกิดเพราะกรรมเก่าเท่านั้น แต่เกิดกับกรรมใหม่ที่ทำในขณะนั้น นี่ก็

แสดงให้เห็นว่า ความรู้สึก สุขและทุกข์ เฉยๆ ไม่ได้เกิดเฉพาะกรรมเก่าเท่านั้น เกิดกับ

กรรมใหม่ที่เป็นกุศลกรรม อกุศลกรรมก็ได้ คือ เวทนาเกิดพร้อมกัน ร่วมกับจิตที่ทำกรรม

ในขณะนั้นครับ
โดยนัยของกุศลกรรมก็เช่นกัน บางคนทำบุญ เกิดปิติโสมนัสขณะที่ทำ เวทนาเกิด

แล้ว คือ ความรู้สึกโสมนัสเกิดเพราะอาศัยกรรมใหม่ที่ทำที่เป็นกุศลกรรมนั่นเอง จึง

ไม่ใช่ความเห็นผิดที่ว่า เวทนา ความรู้สึก สุขและทุกข์ เฉยๆเกิดเพราะกรรมที่ทำไว้แต่

ปางก่อนเท่านั้นครับ อย่างเช่น ในเรื่องของการป่วย เป็นโรค ผู้ที่ความเห็นผิดก็เข้าใจ

ผิดว่า การป่วย เป็นโรคเกิดเพราะผลของกรรมเก่าเท่านั้น ตามความเห็นผิด ในปุพเพ

กตวาท แต่ในความเป็นจริง ความป่วย โรคนั้นเกิดได้จากเหตุ 8 ประการ ไม่ใช่แค่กรรม

เก่าที่ทำไว้เท่านั้นครับ เช่น เกิดจากการเปลี่ยนฤดู เกิดจากการบริหารร่างกายไม่ดี

เกิดจากลม เกิดจากน้ำดีกำเริบ เกิดจากกรรมเก่า เป็นต้น ซึ่ง ความเห็นผิดที่เป็น

ปุพเพกตวาท ที่เห็นว่า เกิดจากกรรมเก่าเท่านั้น ก็ปฏิเสธ เหตุของการป่วย 7 ประการ

เชื่อเพียงอย่างเดียวว่าเกิดเพราะผลของกรรมเก่าเท่านั้นครับ

อีกนัยหนึ่ง ความเห็นผิดที่เชือ่ว่าเป็นผลของกรรมเก่าเท่านั้นที่ได้รับ สุข ทุกข์ ก็เป็น

การปฏิเสธในเรื่องของกรรมที่พระองค์ทรงแสดงว่า กรรมและการให้ผลของกรรม มี 3

อย่างคือ ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม(กรรมให้ผลในปัจจุบัน) อุปปัชชเวทนียกรรม (กรรม

ให้ผลในภพหน้า) อปรปริยายเวทนียกรม(กรรมให้ผลในชาติถัดๆไป) ลัทธิ ทีเห็นผิด

ว่า การได้รับ สุขและทุกข์(เวทนา)เพราะกรรมเก่าเท่านั้นก็เท่ากับปฏิเสธ กรรมที่ให้

ผลในปัจจุบัน ทีเป็นทิฏฐธรรมเวทนียกรรม นั่นเองครับ นั่นก็เท่ากับว่าไม่ตรงตามสัจจะ

จึงเป็นความเห็นผิดครับ
อิสสรนิมมานเหตุวาท คือ ความเห็นผิดที่ว่า บุคคลได้รับความรู้สึกสุข ทุกข์ เฉยๆ

เพราะพระเจ้าบันดาล มีพระอิศวร เป็นต้น ความเห็นผิดนี้ ก็เท่ากับปฏิเสธเรื่องของกรรม

ว่าไม่ใช่กรรมที่ทำให้ได้รับความรู้สึก สุข ทุกข์แต่เพราะมีบางสิ่งบันดาลให้มีความรู้สึก

สุข ทุกข์ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ก็ไม่ต้องทำอะไร เป็นไปตามพระเจ้าบันดาล และการที่คน

เราทำชั่ว ทำดี ก็พระเจ้าบันดาลอีกนั่นเองครับ

อเหตุกวาท คือ ความเห็นผิดที่เข้าใจว่า ความรู้สึก สุขและทุกข์ เฉยๆเกิดขึ้นโดย

ไม่มีใครทำอะไรทั้งสิ้น ไม่มีเหตุและปัจจัยเลย เกิดขึ้นมาลอยๆเอง อันปฏิเสธว่ามีผู้อื่น

ทำให้เกิดขึ้น ปฏิเสธเรื่องของกรรม การกระทำว่าไม่มีผลอะไรทั้งสิ้นครับ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 278

อธิบายปุพเพกตเหตุวาทะ

บทว่า ปุพฺเพกตเหตุ แปลว่า เพราะกรรมที่คนทำไว้ในชาติก่อน

เป็นเหตุ อธิบายว่า บุรุษบุคคลเสวย (สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรือทุกขม-

สุขเวทนา) เพราะกรรมที่คนทำไว้ในชาติก่อนเป็นปัจจัยเท่านั้น. ด้วยบทว่า

ปุพฺเพกตเหตุ นี้ มิจฉาทิฏฐิกบุคคลทั้งหลายปฏิเสธ กรรมเวทนา (เวทนา

เกิดแต่กรรม) และกิริยเวทนา (เวทนาเกิดแต่กิริยา) ยอมรับแต่เฉพาะวิปาก

เวทนา (เวทนาที่เกิดจากวิบาก) อย่างเดียวเท่านั้น.

ว่าด้วยโรค ๘ อย่างเป็นต้น

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสโรคไว้๘อย่างเหล่านี้ คืออาพาธมีน้ำดี(กำเริบ)

เป็นสมุฏฐาน ๑ อาพาธมีเสมหะเป็นสมุฏฐาน ๑ อาพาธมีลมเป็นสมุฏฐาน ๑

อาพาธที่เกิดจากโรคดี โรคเสมหะ โรคลม มาประชุมกัน ๑ อาพาธที่เกิดจาก

เปลี่ยนฤดู ๑ อาพาธที่เกิดจากการบริหาร (ร่างกาย) ไม่ถูกต้อง ๑ อาพาธ

ที่เกิดจากการพยายาม (ทำให้เกิดขึ้น) ๑ อาพาธที่เกิดจากวิบากกรรม ๑. ใน

โรคทั้ง ๘ อย่างนั้น. มิจฉาทิฏฐิกบุคคลปฏิเสธโรค ๗ อย่างข้างต้นแล้วยอมรับ

แต่เฉพาะโรคชนิดที่ ๘ เท่านั้น.

ในบรรดากองแห่งกรรม ๓ ชนิด ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ คือ

ทิฏฐธรรมเวรทนียกรรม (กรรมให้ผลในภพปัจจุบัน) ๑ อุปปัชชเวทนีย-

กรรม (กรรมให้ผลในภพถัดไป) ๑ อปรปริยายเวทนียกรรม (กรรมให้

ผลในภพต่อ ๆ ไป) ๑ มิจฉาทิฏฐิกบุคคลปฏิเสธกรรม ๒ ชนิด (ข้างต้น )

ยอมรับแต่เฉพาะอปรปริยายกรรม อย่างเดียวเท่านั้น. แม้ในกองวิบาก ๓ ชนิด

ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ คือ ทิฏฐธรรม เวทนียวิบาก (วิบากของกรรม

ที่ให้ผลในปัจจุบัน) ๑ อุปปัชชเวทนียวิบาก (วิบากของกรรมที่ให้ผลในภพ

ถัดไป) ๑ อปรปริยายเวทนียวิบาก (วิบากของกรรมที่ให้ผลในภพต่อๆไป)๑.

มิจฉาทิฏฐิกบุคคลปฏิเสธวิบาก ๒ อย่าง (ข้างต้น) ยอมรับแต่เฉพาะอปร-

ปริยายวิบากอย่างเดียวเท่านั้น.

แม้ในกองเจตนา ๔ ชนิด ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ คือ กุศล

เจตนา ๑ อกุศลเจตนา ๑ วิปากเจตนา ๑ กิริยเจตนา ๑ มิจฉาทิฏฐิก

บุคคลปฏิเสธเจตนา ๓ ชนิด ยอมรับแต่เฉพาะวิปากเจตนาอย่างเดียวเท่านั้น.
อธิบายอิสสรนิมมานเหตุ

บทว่า อิสฺสรนิมฺมานเหตุ แปลว่า เพราะการนิรมิตของพระอิศวร

เป็นเหตุ. อธิบายว่า บุรุษบุคคลเสวยสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรือทุกขม-

สุขเวทนา ก็เพราะถูกพระอิศวรนิรมิต (บันดาล). ด้วยว่า มิจฉาทิฏฐิกบุคคล

เหล่านั้นมีความเข้าใจดังนี้ว่า เวทนาทั้ง ๓ นี้ บุรุษบุคคลไม่สามารถเสวยได้

เพราะมีกรรมที่ตนทำไว้ในปัจจุบัน เป็นมูลบ้าง เพราะสั่งบังคับ (ของคนอื่น)

เป็นมูลบ้าง เพราะกรรมที่ตนทำไว้ในชาติก่อนบ้าง เพราะไม่มีเหตุไม่มีปัจจัย

(คือ โดยบังเอิญ) บ้าง แต่บุรุษบุคคลเสวยเวทนาเหล่านี้ได้ เพราะการนิรมิต

ของพระอิศวรเป็นเหตุอย่างเดียว.

ก็มิจฉาทิฏฐิกบุคคลเหล่านี้มีวาทะอย่างนี้ จึงไม่ยอมรับโรคแม้ชนิด

หนึ่งในบรรดาโรค อย่างที่กล่าวไว้แล้วในตอนต้น ปฏิเสธทั้งหมด และไม่

ยอมรับกรรมชนิดหนึ่งในบรรดากองกรรม ๓ ชนิด วิบากชนิดหนึ่งในบรรดา

กองวิบาก ๓ ชนิด และเจตนาชนิดหนึ่งในบรรดากองเจตนา ๔ ชนิด ที่กล่าว

ไว้แล้วในตอนต้น ปฏิเสธทั้งหมด.
อธิบายอเหตุปัจจยา

บทว่า อเหตุอปจฺจยา ได้แก่ เว้นจากเหตุและปัจจัย. อธิบายว่า

บุรุษบุคคลเสวยสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา โดย

ไม่มีเหตุเลย. ด้วยว่า มิจฉาทิฏฐิกบุคคลเหล่านั้นมีความเข้าใจดังนี้ว่า เวทนา

ทั้ง ๓ นี้ ใครๆ ไม่สามารถจะเสวยได้ เพราะกรรมที่ตนทำไว้ในปัจจุบันเป็น

มูลบ้าง เพราะการสั่งบังคับ (ของคนอื่น) เป็นมูลบ้าง เพราะกรรมที่ทำไว้

ในชาติก่อนบ้าง เพราะการนิรมิตของพระอิศวรเป็นเหตุบ้าง บุรุษบุคคลเสวย

เวทนาเหล่านี้ โดยไม่มีเหตุไม่มีปัจจัยเลย. ก็มิจฉาทิฏฐิกบุคคลเหล่านั้นมีวาทะ

อย่างนี้ จึงไม่ยอมรับเหตุทั้งหลายที่กล่าวไว้แล้วในตอนต้น มีโรคเป็นต้น

แม้สักอย่างหนึ่ง ปฏิเสธทั้งหมด.




เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับน้องคนหนึ่งและเพื่อนๆของน้องที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ให้ยานพาหนะเป็นทาน ให้ที่อยู่อาศัยเป็นทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปือย รักษาอาการป่วยของผู้อื่น เมื่อวานนี้ได้รักษาอาการป่วยของแม่ ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด
และตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะครับ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 2 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO