นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน จันทร์ 13 พ.ค. 2024 3:04 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: เรื่องราว
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 07 มิ.ย. 2011 5:32 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4556
ท่านสาธุชนทั้งหลาย วันนี้ขอพบกับบรรดาท่านพุทธบริษัทในเรื่องของกรรมเก่า ที่ตามภาษาบาลีท่านเรียกว่าบุพกรรม คือ กรรมของกัณหา – ชาลี



ในเรื่องนี้ปรากฎว่า บรรดาประชาชนในสมัยปัจจุบันพากันโจมตีองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่เนือง ๆ ความจริงการโจมตีพระพุทธเจ้านี้ไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับบรรดาผู้พูด เพราะเรื่องราวต่าง ๆ มันผ่านพ้นไปนานแล้ว แต่เห็นทางมีอยู่ทางเดียว คือจะประณามองค์สมเด็จพระประทีปแก้วบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เสื่อมทราม แต่ทว่า การจะทำอย่างไรก็ตาม พระพุทธเจ้าจะเสื่อมทรามหรือเสียหายไม่ได้



ทั้งนี้เพราะว่า องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเข้าสู่พระปรินิพพานไปแล้ว เราจะนั่งนินทาว่าร้ายพระพุทธเจ้าสักเพียงใดก็ตาม ความชั่วมันก็ตกอยู่กับตัวของบุคคลผู้พูดแต่ฝ่ายเดียว ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า นินฺทา ปสํสา คำว่านินทาและสรรเสริญ เป็นความชั่วของบุคคลที่เกิดมา ผลที่เขาจะพึงได้รับในปัจจุบันนั่นคือความเสียหาย เขาเสียหายกันตรงไหน บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย จะพูดให้ฟัง คือเสียหายเพราะเสียเวลาประกอบกิจการงานของเขา ถ้าเขาจะเอาเวลาที่เขามานั่งนินทาพระพุทธเจ้าไปประกอบการงานให้เป็นประโยชน์ เขาก็จะมีประโยน์ มีทุนทรัพย์ขึ้นมามาก



สมมุติว่า เขานั่งนินทาวันละ 1 นาที ถ้า 10 วัน ก็ 10 นาที 100 วัน 100 นาที ปีหนึ่ง 365 วัน สิ้นเวลาการงานไป 365 นาที ถ้าลองคิดว่า เวลา 365 นาทีนี้ ถ้าเขาจะถอนหญ้าหน้าบ้านเขานาทีละ 1 ต้น หญ้าที่มันรกอยู่มันก็จะเตียนไป 365 ต้น เห็นไหม บรรดาท่านพุทธศาสนิกชน ท่านผู้ถูกนินทาไม่มีความเสียหาย แต่ว่าบุคคลที่นินทาเท่านั้นมีแต่ความเสียหาย เมื่อการนินทาไม่ได้อะไร แล้วก็เสียหายผลประโยชน์ของตน



ต่อแต่นี้ไป เรามาพูดถึงอุปนิสัยคือ จริยาขององค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระองค์ทรงให้ทานกัณหาและชาลี นี่เป็นประเพณีของบุคคลที่จะเป็นพระพุทธเจ้าทุกท่าน เพราะมีกฎเกณฑ์บังคับว่า ท่านที่จะเป็นพระพุทธเจ้าได้ต้องเสียสละใหญ่ คือเสียของที่รักที่สุดของตัว นั่นก็คือ บุตรธิดาและภรรยา เป็นต้น เพราะสิ่งทั้งสองประการนี้ บรรดาประชาชนทั้งหลายมีความรักกันมาก คนที่จะเป็นองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าต้องเป็นนักเสียสละเพราะอะไร เพราะว่าพระพุทธเจ้าไม่มีค่าจ้างรางวัลใด ๆ แม้แต่เทศน์ให้ชาวบ้านฟัง ก็ไม่มีค่าจ้างเหมือนกับพระสมัยปัจจุบัน สิ่งที่จะตอบสนองคุณท่านนั้นก็คือความดีของบรรดาท่านพุทธบริษัท พระองค์มีความพอใจอยู่เพียงนั้น ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัทผู้รับฟังมีผลตามความประสงค์ คือ

1. ไม่ทำความชั่วทั้งหมด

2. ทำแต่ความดี

3. รักษาชำระจิตใจของตนเองให้สะอาดบริสุทธิ์จากกรรมที่เป็นอกุศล



องค์สมเด็จพระทศพลต้องการผลตอบสนองเพียงเท่านี้ นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ที่ทรงบำเพ็ญบารมีมาถึง 4 อสงไขย กำไรแสนกัปป์ ต้องการผลเพียงเท่านี้ ไม่ใช่ค่าจ้างรางวัล ใครเขาจะนินทาว่าร้ายนั้น องค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้คำนึงถึง เพราะพระองค์ทรงทราบอยู่แล้วว่า เขาจะนินทาแบบไหนก็ตาม ถ้าพระองค์ทำดี พระองค์ก็ไม่ทรงเลวไปตามเขาว่า แต่ถ้าพระองค์เลวแล้ว ใครจะชมสักเท่าไรก็ตามที พระองค์ก็ไม่ดีตามคำชม



ทีนี้กฎเกณฑ์แห่งการเป็นพระพุทธเจ้า จะต้องเสียสละลูกและเมียเป็นทาน ถ้ายังไม่สละลูก ไม่สละเมียเป็นทานเพียงใด ท่านผู้นั้นจะถือว่าเป็นพระพุทธเจ้ายังไม่ได้ จะไม่มีโอกาสได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ และโดยปกติ ลูกและเมียทั้งสองฝ่ายนี้ ถ้าหากสร้างกรรมดีเข้าไว้ ก็จะไม่ต้องทุกข์ทรมานอะไร ดูตัวอย่างเช่นพระนางมัทรี



เมื่อองค์สมเด็จพระชินสีห์เสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร หน่อพระบรมพงศ์โพธิสัตว์ เมื่อให้ลูกเป็นทานไปแล้ว ต่อมาองค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ให้นางมัทรีเป็นทาน สละเมียเป็นทานไปอีก ตอนสละเมียเป็นทานนี้ ความจริงพระนางมัทรีไม่มีกรรมใหญ่ที่จะเข้าสนองผล ก็เป็นเหตุให้ทิพยอาสน์ของพระอินทร์บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ที่เคยอ่อนประดุจสำลีแข็งกระด้างขึ้นมา



ท้าวเธอมีความสงสัยว่า เหตุอะไรจะเกิดแก่บุคคลผู้มีบุญ ก็ทรงทราบอุปนิสัยความนึกคิดขององค์สมเด็จพระจอมไตร ในสมัยที่เป็นพระเวสสันดรว่า หน่อพระทินกรจะต้องสละพระนางมัทรีให้เป็นของคนอื่น และพระนางมัทรีนี้ก็เป็นคนคู่บารมีขององค์สมเด็จพระชินสีห์มานาน เป็นกษัตริย์และเป็นคนดี ถ้าให้ไปกับคนอื่นที่มีนิสัยหรือมีสัญชาติเป็นทาส ทาสี ก็ไม่เหมาะ สมควรที่พระองค์เองจะต้องเสด็จไปรับเสียเอง



ฉะนั้น พระอินทร์มีความกรุณาในพระนางมัทรี เพราะอาศัยความดีที่สั่งสมบารมีมามาก เป็นคู่บารมีขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า พระอินทร์จึงได้แปลงเป็นพราหมณ์ลงมาขอพระนางมัทรี องค์สมเด็จพระชินสีห์ก็ทรงประทานให้ ก่อนที่จะประทานให้ก็แจ้งกับพระนางมัทรีว่า อันนี้เป็นจริยาของบุคคลที่จะได้บรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องให้ลูกและภรรยาเป็นทาน ขอนงคราญจงอย่าขัดข้องเลย จงโมทนาด้วย



เมื่อพระนางมัทรีทรงทราบเจตนาองค์สมเด็จพระชินสีห์ก็ไม่ว่าอะไร ตามใจทุกอย่าง ยอมไปตกอยู่ในอำนาจของพราหมณ์ แล้วองค์สมเด็จพระพิชิตมารเวลาที่เป็นพระเวสสันดรก็นำพระนางมัทรีมา แล้วนั่งใกล้ท่านพราหมณ์ เขาเรียกกันว่าอินทพราหมณ์ คือ พระอินทร์แปลงตัวเป็นพราหมณ์ เมื่อเข้ามาใกล้แล้วจึงได้หลั่งทักษิโณทกให้ตกบนฝ่ามือ แสดงถึงการให้



เมื่อพระอินทร์ได้รับพระราชทานพระนางมัทรีแล้ว จึงได้กล่าวถวายองค์สมเด็จพระประทีปแก้วว่า เวลานี้พระนางมัทรีเป็นสิทธิของข้าพระพุทธเจ้า แต่ว่าข้าพระพุทธเจ้าขอถวายคืนเข้าไว้ แต่ขอพรว่า ถ้าจะให้พระนางมัทรีกับใครแล้ว ต้องขออนุญาตข้าพระพุทธเจ้าก่อน เพราะข้าพระพุทธเจ้าเป็นเจ้าของ แต่การมอบไว้นี้ก็ให้เป็นสิทธิ์ในการใช้สอย อยู่ร่วมในฐานะสามีภรรยาก็ได้ หรือจะรับไว้เป็นคนใช้ก็ได้ ห้ามบุคคลอื่นทั้งหลายที่จะมาขอต่อ ถ้าใครจะมาขอต่อก็ต้องขออนุญาตก่อน เมื่อข้าพระพุทธเจ้าไม่อนุญาต องค์สมเด็จพระบรมโลกนาถจะให้ไม่ได้ องค์สมเด็จพระจอมไตรในสมัยนั้นที่เป็นพระเวสสันดรก็ทรงรับ



นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัท มาดูพระนางมัทรีที่ถูกให้ แต่กฎของกรรมเดิมที่นางทำไว้ กรรมชั่วมันไม่มี ก็เป็นเหตุให้ทิพยอาสน์ของท้าวโกสีย์สักกเทวราชแข็งกระด้างเป็นเครื่องเตือนใจ เป็นเหตุให้พระนางมัทรีไม่ต้องไปอยู่กับพราหมณ์ แต่ความจริงไปอยู่ก็ไม่เป็นประโยชน์ เพราะพราหมณ์นั้นเป็นพระอินทร์ เมื่อพระองค์พระราชทานพระนางมัทรีให้เป็นชายาของพราหมณ์ พราหมณ์ถวายแล้ว พราหมณ์จึงได้แสดงความจริงกับองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว แปลงกายจากพราหมณ์กลับมาเป็นพระอินทร์ตามเดิม แล้วก็ประกาศให้ทรงทราบว่า ข้าพเจ้าคือพระอินทร์ พระนางมัทรีเป็นของข้าพเจ้า พระองค์จะให้ใครไม่ได้เด็ดขาด



เมื่อองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถทรงรับรองแล้ว จึงได้ขอพรกับพระอินทร์ 8 ประการ พร 8 ประการนี้คือ

1. ขอให้ได้เข้าครองพระราชฐานตามเดิม

2. ให้ได้รับความกรุณาเมตตาจากพระราชบิดาพระราชมารดา และประชาชนทั้งหลาย เป็นต้น

เป็นอันว่าพร 8 ประการ ไม่ต้องกล่วกัน เราไม่ได้มาเทศน์อัฏฐพรกัน อัฏฐพร คือ พร 8 ประการที่ขอจากพระอินทร์ ไม่ได้เทศน์เรื่องนี้



เรามาคุยกันถึงเรื่องบุพกรรมของกัณหา และชาลี ที่ชาวบ้านชอบโจมตีว่า พระเวสสันดรเห็นแก่ตัวมาก ไม่เห็นแก่ความลำบากของลูกและเมีย แต่ว่าคนที่พูดนั้นไม่ทราบความจริงก็ไม่น่าตำหนิท่าน ถ้าคนเราลองโง่เสียอย่างเดียว ตำหนิกันไม่ได้ แต่คนที่จะตำหนิได้นั้นก็ต้องเป็นคนที่ไม่โง่ แต่ว่าคนโง่แล้วไม่รู้ตัว่าโง่ อวดฉลาด อย่างนี้เขาเรียกกันว่า โง่แกมหยิ่ง ไม่ว่าชายหรือหญิง ใช้อะไรไม่ได้ทั้งหมด แต่องค์สมเด็จพระบรมสุคตท่านได้ตำหนิ อาตมาก็ไม่ได้ตำหนิ แต่พูดให้ฟังว่าโง่จริง ๆ นี่น่าสงสาร ถ้าโง่แกมหยิ่ง ไม่น่าสงสารเลย



เรามาพูดถึงเรื่องกัณหาและชาลี เมื่อพระราชบิดามอบหมายตนเองให้เป็นสิทธิของตาชูชก เมื่อตาชูชกแกได้กัณหาและชาลีเป็นสิทธิแล้ว ตาแก่ผู้ใจแกล้วแทนที่จะปลอบโยนกัณหาและชาลีเป็นการเอาอกเอาใจ กลับมีความคิดเสียใหม่ว่า เด็กทั้งสองคนนี้เป็นลูกของกษัตริย์ ถ้าเราจะเอาใจเธอทั้งสองคน พ่อหน้ามนก็จะทะนงตัว เมื่อไปอยู่กับเราก็จะถือตนว่าเป็นลูกกษัตริย์ จะเป็นนายของเราเข้าไป จึงตั้งอารมณ์เสียใหม่ว่า เราต้องข่มขู่เสียตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ฉะนั้น ตาชูชกจึงได้นำเถาวัลย์มาผูกมือทั้งสองของกุมารากุมารีแล้วก็เฆี่ยนตี ฉุดกระชาก ใช้อำนาจให้เด็กทั้งสองกลัว



นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัท ตอนนี้เองที่บรรดาท่านทั้งหลาย หลายท่านด้วยกันโจมตีองค์สมเด็จพระทรงธรรมบรมศาสดาว่า เป็นคนเห็นแก่ตัว สร้างความชั่วให้แก่บุคคลอื่นเพื่อความดีของตน ความจริงถ้าเขารู้จักองค์สมเด็จพระทศพลเขาก็คงไม่พูดแบบนั้น แต่ว่าเราจะเอาขนมอะไรไปป้อนให้ควายกินเล่า บรรดาท่านพุทธบริษัท ควายที่จะมาชอบทองหยิบฝอยทองนั้นมันไม่มี หรือว่าจะหาขนมเค้กอย่างดี ขนมอะไรก็ตามมาป้อนให้กิน ควายมันก็ไม่ชอบ เพราะควายมันชอบกินหญ้า ข้อนี้มีอุปมาฉันใด คนที่โง่แกมหยิ่งมันก็เหมือนกัน บรรดาท่านพุทธบริษัท ชอบคิดแต่สิ่งที่ชั่วร้าย ส่วนที่เป็นความดีที่เป็นเหตุแห่งความสบายใจเขาไม่ชอบคิดกัน



ทีนี้ก็จะกล่วถึงบุพกรรมของกัณหาและชาลี เรื่องนี้เคยมีพระถามพระพุทธเจ้าในกาลที่เล่าเรื่องเรียบร้อยแล้ว บรรดาพระสงฆ์จึงได้กราบทูลองค์สมเด็จพระประทีปแก้วว่า กัณหาและชาลี ทั้งสองศรีนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นขัตติยราช เป็นบุตรกษัตริย์ เป็นคนมีจริยาดี แสดงความเคารพนบนอบ อ่อนโยนกับตาชูชกด้วยดี แต่ว่าเมื่อองค์สมเด็จพระชินสีห์พระราชทานแล้ว ทำไมตาชูชกจึงได้ทำอย่างนั้น



องค์สมเด็จพระภควันต์จึงได้ทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหตุที่จะเกิดขึ้นเช่นนั้นก็เพราะอาศัยกรรมเก่าของกัณหาและชาลี เดิมทีกัณหาและชาลีเป็นลูกของชาวบ้าน คือชาวนาธรรมดา ตาชูชกตัวแก่เฒ่าชราคนนี้แกเป็นควายแก่ เมื่อต้นข้าวขึ้นมาใหม่ ๆ บิดาและมารดาให้สองศรีนี้ไปเฝ้าต้นข้าว เพื่อกันควายไม่ให้เข้ามากิน พอเด็กสองคนนี้เผลอเมื่อไร เจ้าควายแก่ก็ย่องเข้ามากินเมื่อนั้น บิดาและมารดาก็ดุว่าเด็กทั้งสองนี้บ้าง เฆี่ยนตีบ้าง หาว่าละเลยหน้าที่ เมื่อจะไล่จะปาสักเท่าไรก็ตามที เจ้าควายแก่ตัวนี้มันไปไม่ไกล ทำทีเหมือนว่าหันหน้าหนีไปแล้ว กินหญ้าอยู่ พอโฉมตรูทั้งสองกุมารเผลอเมื่อไร มันก็ย่องเข้ามากินต้นข้าวอ่อนเมื่อนั้น เป็นเหตุให้สองกุมารมีความโกรธ จึงได้พากันจับควายเฒ่าตัวนั้นไปผูกไว้กับต้นไม้ คือเอาเชือกผูกที่ตะพายแล้วก็ผูกติดกับต้นไม้ สองคนพี่น้อยช่วยกันหาไม้เรียวหนามมาตีควายแก่ตัวนี้เสียจนหนำใจ เรียกว่าจนพอใจ แล้วจึงปล่อยควายแก่นี้ไป



องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า เพราะกรรมในอดีตที่กัณหาและชาลีตีควายแก่ กรรมนั้นมันมาสนองเธอทั้งสอง เจ้าควายแก่ตัวนั้นมันมาเกิดเป็นชูชก ทีนี้เมื่อมอบหมายให้ชูชกแล้ว กรรมเก่ามันเข้าสนองใจ ทำให้ชูชกเห็นผิด คิดในใจว่า เราต้องปราบปรามให้เด็กพวกนี้เข็ดเสียก่อน กลัวเรา ไม่เช่นนั้นแล้ว ไปอยู่กับเราก็จะทำตัวเป็นนาย เพราะจะถือตัวว่าเป็นลูกเจ้าใหญ่นายโต



นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัท ความสงสัยของบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายในเรื่องนี้ก็คงจะหมดไป หรือไม่หมดก็ตามใจ เพราะบุคคลที่สอนได้นั้นก็มีอยู่ 3 ขั้นด้วยกันคือ

อุคฆฏิตัญญู มีปัญญาดีมาก แนะนำแต่เพียงหัวข้อก็มีความเข้าใจ

คนระดับที่สองรองลงมานั้นไซร้ ก็คือ วิปจิตัญญู คนประเภทนี้ องค์สมเด็จพระบรมครูบอกว่า แนะนำหัวข้อเขาไม่เข้าใจ จะต้องอธิบายนิดหน่อย จึงจะเข้าใจ

คนประเภทที่สามเรียกว่า เนยยะ คนประเภทนี้จะสั่งสอนเท่าไรก็ไม่สามารถจะเป็นพระอริยเจ้าได้ แต่ก็มีความดี เข้าถึงไตรสรณาคมน์ มีศีล 5 บริสุทธิ์ ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ดี จัดเป็นกัลยาณชน คือคนดี หรือคนงาม

คนประเภทที่สี่ คือ ปทปรมะ ท่านแปลว่า มีบทบาทอย่างยิ่ง บุคคลประเภทนี้จะเป็นชายจะเป็นหญิง จะศึกษาวิชาการสูงขนาดไหนก็ตาม ก็มีความโง่เป็นปกติ เรื่องความดี เรื่องบุญ เรื่องกุศล ทำตอน และบุคคลอื่นให้มีความสุข บุคคลประเภทนี้ไม่เคยคิด และก็เป็นคนไร้เหตุไร้ผล ไม่ยอมรับทราบ ผลของบุคคลผู้ใด เหตุผลจะเป็นประการใดฉันไม่ฟัง ฉันต้องการอย่างเดียว คิอคัดค้านให้มันพินาศไป



แม้แต่ประเทศชาติของตนที่กำลังเป็นไท ไม่ใช่ทาส บุคคลประเภทนี้ก็พยายามทำลายชาติให้พินาศ ด้วยการขายชาติให้แก่ศัตรู ความจริงตัวของเขาเองไม่รู้หรอก บรรดาท่านพุทธบริษัท ว่าการขายชาติของเขามันมีผลร้ายสักเพียงใด ญาติพี่น้องของเขาทั้งหลายที่เกิดอยู่ในประเทศไทยก็จะพากันลำบาก ตัวเขาเองที่ถูกป้อยอว่า ถ้ายึดประเทศไทยได้เมื่อไร เขาจะให้เป็นใหญ่



แล้วใครที่ไหนเล่า บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เขาจะให้คนจัญไรประเภทนี้ปกครองประเทศ แม้แต่บ้านพ่อบ้านแม่ บ้านปู่ย่าตายายของเขา เขายังทรยศได้ แล้วเจ้านายผู้จ้างเขามา เป็นอะไรที่เขาจะไว้วางใจ เรื่องการไว้วางใจย่อมไม่มีในที่สุด คนอัปรีย์พวกนี้ก็จะต้องตายโหงไปตาม ๆ กัน



นี่เราพูดกันเรื่องกรรมนะ กรรมของกัณหาชาลีเป็นเช่นใด คนที่สร้างกรรมชั่วไว้ ผลกรรมก็จะต้องรับเหมือนกัน ที่นำผลของกรรมมากล่าวกับบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน เพื่อให้มีความเข้าใจในกฎของกรรม ที่เป็นความดีหรือความชั่ว ขอท่านทั้งหลายจงระมัดระวังตัว จงอย่าคิดว่ากรรมชั่วนิดหน่อยมันจะไม่ให้ผล



ตามที่องค์สมเด็จพระทศพลกล่าวถึงกฎของกรรม ของกัณหาและชาลี ความจริงถ้าจะคิดกันไปดูอีกที เจ้าควายตัวนี้มันมาลักข้าวเขากิน การลงโทษประเภทนั้นควรจะมีผลเสมอกัน กล่วคือหายกันไป แต่ความจริงมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น มันไม่หายสิ มันติดตามมาเล่นกัณหาและชาลีเข้าในชาติสุดท้าย ตอนที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาเป็นพระเวสสันดรหน่อพระบรมพงศ์โพธิ์สัตว์



ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทจำไว้ให้ดี จงอย่าคิดว่า ยุงตัวเล็ก ๆ มันเป็นเด็ก ฆ่าแล้วไม่บาป หรือที่เขากล่าวกันบอกว่า สัตว์ทั้งหลายเกิดมาเป็นอาหารของมนุษย์ แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาฆ่ากินกัน แล้วกรรมทั้งหลายเหล่านี้นั้นมันก็ไม่ให้อภัยกับบุคคลผู้ฆ่าเหมือนกัน ต่อไปในชาติเบื้องหน้า ถ้าเกิดใหม่ก็ต้องฆ่ากันไปฆ่ากันมา ผลัดกันฆ่าอยู่แบบนั้น เช่นเจ๊กกับหมู เจ๊กกับไก่ เป็นต้น



นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท ก็ดูในกาลต่อไป เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องของเทวดา การที่ชูชกจะรู้ว่ากัณหาและชาลีอยู่ที่ไหน ก็เป็นเรื่องของเทวดาช่วย นางอมิตตดาที่เป็นเมียชูชก อยู่ ๆ เธอก็โกรธชูชกขึ้นมา หาว่าชาวบ้านด่าเธอ เธอปฏิบัติความดีกับชูชกมาก ดีเกินหน้าไป เป็นเหตุให้บรรดาสาวสรรกำนัลใน คือหญิงชาวบ้านแถวนั้นถูกผัวไปต่อว่า ว่านางอมิตตดาเขามีผัวแก่ เขายังมีความดี สร้างความดีให้แก่สามีมีความสุข ส่วนตนเองเป็นสามีภรรยาอายุไล่เรี่ยกัน แต่ไม่ปฏิบัติตามนั้น ทำให้มีความทุกข์



เมื่อบรรดาหญิงทั้งหลายเหล่านั้น ได้รับการกระทบกระเทือนถูกด่าว่าจากสามี จึงได้มาโกรธนางอมิตตดา นี่เป็นนิสัยพาล มาด่ามาว่า มาพูดประชดประชัน อยากจะให้นางอมิตตดาไปเสียจากที่นั้น ตัวจะได้มีความสุข สามีจะได้ไม่ว่าไม่ด่า ไม่ทุบ ไม่ตี



นางอมิตตดาเมื่อถูกหญิงทั้งหลายเหล่านั้นว่าประชดประชัน ใจก็นึกขึ้นมาว่า เวลานี้องค์สมเด็จพระทรงธรรมพระเวสสันดร หน่อพระบรมพงศ์โพธิ์สัตว์ออกสู่ภิเนษกรมณ์ จะต้องให้บุตรและภรรยาเป็นทาน ความจริงนางไม่รู้เรื่องเพราะบ้านเมืองสมัยนั้นไม่มีวิทยุ ไม่มีหนังสือพิมพ์ แต่ที่นางรู้ขึ้นมาได้ก็เพราะเทวดาเขาแนะนำกัน ถ้าหากพระเวสสันดรไม่มีโอกาสให้สองกุมารเป็นทาน พระเวสสันดรก็ไม่มีโอกาสที่จะบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณได้



เมื่อกัณหาชาลีทั้งสองศรีนี้ไซร้ ถูกชูชกทรมานไประหว่างทาง ก็ปรากฎว่าเทวดาก็เข้ามายุ่งอีก คือเมื่อเวลากลางคืน ก็แปลงเป็นพระเวสสันดรองค์หนึ่ง แปลงเป็นพระนางมัทรีองค์หนึ่ง มาให้สองกุมารนอนบนตัก ปฐมพยาบาลจนหลับไป พอตื่นขึ้นเช้า ทั้งสองเทวดาก็หายไป ชูชกลากไป



คราวนี้เทวดาผู้เป็นเจ้ากี้เจ้าการก็เลยพาให้ชูชกหลงทาง พอไปหาพระเจ้าปู่ เมื่อไปหาพระเจ้าปู่ ไปใกล้พระเจ้าปู่เห็นเข้า พระเจ้าปู่จึงได้ให้อำมาตย์ทั้งหลายไปตามเข้ามา เพราะจำได้ว่าเป็นหลาน ว่าใครหนอไปลักหลานของเรามา ไปจับมันเข้ามา เมื่อพระเจ้าปู่พบพระเจ้าหลานแล้ว จึงได้เรียกหลานแก้วทั้งสองให้ขึ้นมานั่งบนตัก



ตอนนี้เทวดาก็มีสร้างความเมตตาขึ้นมาอีก ก่อนที่พระเวสสันดรจะไป เทวดาก็ดลใจให้ถูกไล่ ตอนนี้เทวดาก็ดลใจให้พระเจ้าปู่ พระเจ้าย่า คือพระเจ้ากรุงสญชัยกับพระนางผุสดีคิดถึงพระเวสสันดร บรรดาพสกนิกรทั้งหลายที่เคยโกรธก็ไม่โกรธ ที่ชาวบ้านเขาโกรธเพราะเทวดาแกล้งดลใจให้โกรธ นี่มันเรื่องของเทวดาปรารถนาจะให้พระองค์เป็นพระพุทธเจ้าให้ได้ ให้บำเพ็ญบารมีให้เต็ม



เมื่อเด็กทั้งสองพบพระเจ้าปู่ พระเจ้าย่าแล้ว จึงได้บอกว่า พ่อตีราคามา ถ้ายังไม่ชำระหนี้ก็ยังไม่เป็นไท ยังเป็นทาสของชูชกอยู่ สมเด็จพระเจ้าปู่จึงได้มีพระมหากรุณาธิคุณ อนุญาตให้นำเงินนำทองมาไถ่หลาน แล้วก็เลี้ยงดูชูชกจนอิ่มหนำสำราญ เมื่อแกกินมากเข้าไป ธาตุย่อยไม่ไหว เพราะเป็นขอทานมานาน ไม่เคยกินของดี ๆ ในที่สุด ตา
ชูชกนี้แกก็ตายเพราะธาตุไม่ย่อย



พระเจ้ากรุงสญชัยจึงได้บอกให้คนทั้งหลาย ประกาศหาญาติของตาชูชก ก็หาญาติไม่ได้ เป็นอันว่าทรัพย์สมบัติทั้งหลายที่ยกให้ชูชกก็ตกเป็นของหลวงไป แล้วก็ถามสองกุมารว่า บิดามารดามีความสุขหรือประการใด เด็กทั้งสองก็บอกว่า บิดามารดามีความทุกข์มาก ลำบากด้วยความเป็นอยู่และการบริโภค



ฉะนั้น พระเจ้ากรุงสญชัยบรมกษัตริย์ พระบาทท้าวเธอจึงสั่งจตุรงคเสนา ยกกองทัพไปรับพระเวสสันดรกลับเข้าเมือง เรื่องมันแค่นี้แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัท ที่คนเขาโจมตีพระเวสสันดรอย่าเห็นกับเขาด้วยเลย จงพากันรับทราบกฎของกรรมว่า กรรมเพียงเล็กน้อย มันย่อมให้ผลใหญ่



เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับบุพกรรมของกัณหา ชาลี ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน สวัสดี



(จากหนังสือธรรมสัญจร เล่ม 4)

บุพกรรมขององคุลีมาล



“หลวงพ่อคะ หนูเคยอ่านเรื่องกฎของกรรมเรื่องหนึ่ง คือ นายแดงเป็นคนเนรคุณพ่อแม่และเคยทุบตีพ่อแม่ พอแกมีลูกออกมาลูกก็มีอาการเหมือนกับพ่อค่ะ คงจะเป็นกฎของกรรมของนายแดง แต่หนูคิดว่าลูกของนายแดงจะต้องมีบาปเหมือนกันใช่ไหมคะ....”

ก็ไม่ใช่บาป

“แล้วกฎของกรรมจะบันดาลให้เป็นอย่างไรคะ...”

นายแดงเป็นคนอกตัญญูไม่รู้คุณพ่อแม่ ตีพ่อตีแม่ นายแดงก็เป็นคนมีจิตเลว ฉะนั้นเด็กที่จะต้องมาเกิดด้วยก็ต้องเป็นเด็กเลว ๆ มาเกิด คือว่าเด็กที่จะมาเกิดร่วมกันส่วนใหญ่จะต้องมีศรัทธาเสมอกัน มีจาคะเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน มีศีลเสมอกัน เสมอกับพ่อแม่ จึงจะเข้าสู่ครรภ์ตระกูลนั้นได้

แต่ว่าไอ้กรรมที่เป็นอกุศลย่อมให้ผลต่างวาระ บางทีตอนเป็นเด็ก ๆ แกดี ตอนโตอาจเลวไปชั่วขณะหนึ่งก็ได้

หมายความว่า กรรมที่เป็นอกุศลเดิมเข้ามาสิงจิตในช่วงกลางนะ และในช่วงหนึ่งของชีวิต เขาอาจจะมีดีในตอนปลายมือก็ได้ เพราะว่าตอนต้น ๆ พ่อเลวแม่เลว แต่เขาอาจมีดีอยู่ เป็นเพราะช่วงของกรรมเขาเกิดมาในช่วงนั้น กรรมที่เป็นอกุศลมันให้ผลไปก่อน แต่ว่ากรรมที่เป็นกุศลคือความดีมันอาจจะมาทีหลัง



องคุลีมาล

“อย่างนั้น พระองคุลีมาลที่ต้องเป็นโจรฆ่าคนเอานิ้วมือ ก็คงเป็นกฎของกรรมใช่ไหมคะ......”

อันนี้ก็เป็นกฎของกรรม คือถอยหลังจากชาตินี้ไปหนึ่งชาติ ก่อนที่จะเกิดมาเป็นคน ท่านเกิดเป็นควายป่า เป็นควายแต่ว่ามีความสามารถมาก มีความเก่งกล้ามาก สัตว์ในป่าทุกประเภทไม่มีใครสู้ได้เลย มีความว่องไว เขาก็แหลมคม มีกำลังดีมาก ปะทะกันก็แพ้หมดทุกประเภท สัตว์ในป่าทุกประเภทเห็นท่านเดินไปก็ยอมซูฮก

ทีนี้แกก็นึกในใจว่า อ้ายสัตว์ที่อยู่ในป่าทั้งหมดเป็นลูกน้องของเราทั้งหมด แต่อ้ายสัตว์ชาวบ้านเขาเลี้ยงมันจะเก่งแค่ไหน เลยออกมาก็ไล่ขวิดวัวควายช้างม้าเตลิดเปิดเปิงหมด ออกมาทีไรก็ทำแบบนั้นทุกคราว ชาวบ้านเขาก็รำคาญ เขาก็โกรธอ้ายควายป่าตัวนี้ ออกมาทีไรทำควายเราตายเสียบ้าง ทำให้ทุพพลภาพไปบ้าง บางทีก็เพลียไปบ้าง ใช้งานไม่ได้ตั้งหลายวัน เพราะวิ่งหนี

วันหนึ่งคนหมู่บ้านแถวนั้นก็มาคิดกันว่า อ้ายควายตัวนี้ในไม่ช้ามันก็มาอีก ถ้ามาทีนี้จะต้องฆ่าให้ตาย คนทั้งหมดมันมีพันคนเศษ ก็ทำคอกให้แน่นหนาไว้ แล้วก็ทำเป็นซองคล้าย ๆ โป๊ะ รู้จักโป๊ะไหม

“ไม่รู้จักค่ะ”

เหมือนอย่งกับโป๊ะปลาทำปากกว้าง ๆ ซองแคบ ข้างในเขาทำแน่นหนา ถ้าวิ่งเข้ามา พอถึงซองแคบตัวก็จะติด เข้าถึงคอกไม่ได้ เขาก็เอาควายไปไว้ในนั้น

ทีนี้ควายป่าตัวนั้นก็ออกเบิ่งหน้าเบิ่งหลังซิ ควายอื่นเห็นก็วิ่งหนีหมด อ้ายควายคอกไม่หนี หนีไปไหนล่ะ ใช่ไหม แกก็โมโห อ้ายนี่มันหยิ่งนี่ ไม่กลัว กูต้องจัดการ วิ่งไปวิ่งมา มองหาทางเข้า อ้อ..ไอ้ทางปากช่องเข้าได้ พอถึงที่แคบ ตัววิ่งมาแรง กระแทกเข้าไปก็ติด ขยับตัวไม่ได้ เขาก็เสียบไม้ กันออก

ทีนี้ก็เอาซิ เข่าเข้าไป ศอกเข้าไป แต่วาคนพันคน ไม่ได้ทุบทั้งพันคนนะ พวกผู้หญิงพวกผู้ชายไม่ได้ลงมือตีทั้งหมด แต่ว่าพร้อมใจตีให้ตาย พอตีลงไปแล้ว ก่อนจะสิ้นใจตายแกก็ลืมตาดู ไอ้พวกนี้มันมาก กูคนเดียว มึงรุมฆ่ากู ถ้าชาติหน้ามีจริงก็ขอฆ่ามึงบ้าง นี่เป็นเวรที่จองกันไว้

พอเกิดมาอีกชาติหนึ่ง พ่อตั้งชื่อให้ว่า อหิงสกกุมาร แปลว่ากุมารผู้ไม่เบียดเบียน พอเกิดมาแล้ว สติปัญญาดี จริยามรรยาทก็ดี ความจริงท่านเป็นคนดีมาก พอโตขึ้นมาหน่อย พ่อก็พามาเฝ้าประเจ้าปเสนทิโกศล



กรรมเก่าเข้ามาสนอง

ทีนี้เวลาไปเรียนศิลปวิทยา เพราะความดีของท่าน เขาเรียนกัน 4 ปี ท่านเรียน 2 ปี จบหลักสูตรทั้งหมด ทั้งฝ่ายบู๊ ฝ่ายบุ๋น ทั้งเพลงอาวุธด้วย เมื่อลูกศิษย์คนอื่น ๆ สู้ไม่ได้ อาจารย์ก็ให้เป็นครูสอนแทน ทีนี้ไอ้เพื่อนที่ไปด้วยกันมันอิจฉา มาด้วยกันเสือกมาเป็นครู ตอนนี้กรรมเก่าเข้ามาสนอง ก็หาทางจะฆ่า เลยไปยุอาจารย์ บอกว่าอหิงสกกุมารมันคิดจะตั้งตัวเป็นอาจารย์เสียเอง มันจะฆ่าท่านอาจารย์

ไอ้ลมพายุมันพัดแล้วก็ไป แต่ไอ้ลมปากคนมันพัดบ่อย ๆ ก็ชักไหวเหมือนกัน ตอนหลังท่านอาจารย์ก็เชื่อ ก็คิดในใจว่า ถ้าเราจะฆ่าเสียเองมันจะเสียชื่อ ทางที่ดีให้คนอื่นเขาฆ่าดีกว่า

วันหนึ่งจึงเรียกอหิงสกกุมารเข้าไปถามว่า เวลานี้เจ้าเก่งมากทั้งวิชาฝ่ายบู๊ และฝ่ายบุ๋นทั้งหมด แม้ในการรบก็เก่ง แต่ทว่าวิชาของอาจารย์ยังมีอีกหน่อย เขาเรียกว่า วิษณุมนต์ ถ้าหากใครเรียนได้จะปราบได้ทั่วไตรภพ มนุษย์ก็ปราบได้ เทวดาก็ปราบได้ พรหมก็ปราบได้ ทีนี้คนเป็นวัยรุ่นและก็เก่งอยู่แล้วก็อยากเก่งต่อไป ก็อยากเรียน อาจารย์ก็เลยบอกว่า

คนอื่นเรียนไม่ได้แต่อย่างเธอนี่เรียนได้แน่ จะให้ได้คนเดียว แต่ก่อนที่จะเรียนต้องยกครูเสียก่อน แต่ว่าการยกครูนี่ไม่ใช้ของ แต่ต้องฆ่าคนให้ได้หนึ่งพันคน ถ้าฆ่าคนได้หนี่งพันคนละก็ เธอจึงจะเรียนได้ ท่านก็เลยตกลงยกครูโดยการไล่ฆ่าคน ทีนี้คนที่แกจะฆ่าได้ง่าย ๆ ก็แค่ 2-3 คนแรกเท่านั้นแหละ ตอนหลังเขารู้ข่าวว่าอีตาคนนี้ไล่ฆ่าคน ใครเขาฟังข่าวก็ไม่อยากจะเห็นแก เห็นเข้าเขาจำรูปร่างได้เขาก็หนี กว่าจะไล่ฆ่าได้ก็แย่

ทีนี้ฆ่าไปฆ่าไป ลืมนับจำนวน หนัก ๆ เข้าก็ลืม ไม่รู้เท่าไร ทีหลังก็เริ่มต้นใหม่ ฆ่าได้หนึ่งคนตัดเอานิ้วไว้หนึ่งนิ้ว ตอนนี้จึงมีนามว่า องคุลีมาลโจร แปลว่า โจรผู้ฆ่าคนเอานิ้วมือ ฆ่าไปจนได้ 999 นิ้ว นี่ถ้านับจริง ๆ มันเกิน 1,000 แล้วนะ ใช่ไหม อีตอนที่ไม่ได้เอานิ้วไว้ไม่รู้เท่าไร แต่ว่าคู่ปรับยังมีอีกคนเดียว ถ้าได้อีกนิ้วเดียวก็ครบคู่ปรับพอดี และคู่ปรับที่จะต้องฆ่าก็คือแม่ แต่ความจริงท่านไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าแม่ แต่ว่ามันเหลืออีกนิ้วเดียว แต่ละนิ้วก็หาได้ยาก วันพรุ่งนี้จะเข้าไปกรุงพาราณสี จะเป็นใครก็ตามที ถ้าเห็นต้องฆ่า

ทีนี้คืนนั้น แม่ได้ยินข่าวว่าลูกชายจะมาอยู่ใกล้ ก็ตั้งใจว่าพรุ่งนี้เช้าจะไปเยี่ยมลูก จะไปห้าม ถ้าแม่ไปก็ถูกฆ่า เพราะว่าเป็นคู่ปรับเดิม สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรวจอุปนิสัยของสัตว์ตอนเช้ามืด ทรงทราบว่า ถ้าอหิงสกกุมารฆ่าแม่ จัดเป็นอนันตริยกรรม มรรคผลจะไม่ได้เลย ท่านทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ ต้องการให้คนที่จะดีก็ขอให้ดีต่อไป ไม่ให้ความชั่วเข้ามาทับถม ท่านจึงเสด็จไปก่อน ไปก่อนแม่

อหิงสกกุมารเห็นพระพุทธเจ้านึกว่าหวานแล้ว อีตานี่เดินนวยนาด สวย หล่อ ลีลาดีหม่ำสบายละ แกก็วิ่งกวดเลย พระพุทธเจ้าทรงเดินเฉย ๆ ท่านทำให้แผ่นดินสูง ๆ ต่ำ ๆ สูง ๆ แกก็วิ่งไม่ถนัด แกเห็นแกก็กวดไม่ทัน แกก็ร้องบอก เอ้า...สมณะหยุดก่อน พระพุทธเจ้าบอกตถาคตหยุดแล้ว แล้วท่านก็เดินต่อไป แกก็วิ่งไม่ทัน พอเหนื่อยเข้าก็ร้องบอก ไง...สมณะทำไมพูดมุสาวาท ท่านบอกว่าท่านหยุดแต่ท่านยังเดินอยู่

พระพุทธเจ้าก็ทรงหยุดหันมาบอกอหิงสกกุมาร ตถาคตหยุดจากบาปกรรมธรรมอันลามกมานานแล้วนะ เธอน่ะยังไม่หยุดอีกรึ เพราะกรรมที่เป็นกุศลเดิมให้ผลก็รู้สึกตัวทันที วางดาบ วางพวงนิ้วมือแล้วก็นุ่งผ้าให้เรียบร้อย ทำผมให้เรียบ วิ่งเข้าไปกราบพระพุทธเจ้า ท่านก็ทรงให้โอวาทนิดหนึ่ง ท่านก็ขอบวช ท่านก็ให้บวช บวชแล้วก็ได้เป็นอรหันต์

นี่เรื่องนี้บางคนสงสัยว่า ทำไมองคุลีมาลฆ่าคนเหยง ๆ แต่ไปเป็นพระอรหันต์ ก็ท่านทำบุญไว้ดีน่ะซิ แต่ไอ้บุญประเภทนี้เราก็ไม่อยากทำนะ



คำสอนสมเด็จองค์ปฐม





“ดูก่อนท่านทั้งหลาย ท่านที่มาประชุมทั้งหมด จะเป็นเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี ขอทุกท่านจงอย่าลืมความตาย นั่นหมายถึงว่า การจุติ ลืมความเป็นทิพย์เสีย อย่าเพลิดเพลินเกินไป อย่ามีความสุขเกินไป และมันจะทุกข์ทีหลัง จงดูภาพมนุษย์ว่า มนุษย์เมืองไหนบ้างที่น่าเกิด ดินแดนไหนที่มีความสุขไม่มีการงาน เราจะมองไม่เห็นความสุขของมนุษย์ เมืองมนุษย์มีแต่ความทุกข์ ต้องประกอบกิจการงานทุกอย่าง ต้องกระทบกระทั่งกับอารมณ์ มีความปรารถนาไม่ค่อยจะสมหวังทุกอย่างต้องใช้แรงงาน



แต่ว่ามาเป็นเทวดา มาเป็นนางฟ้า ทุกอย่างหมดสิ้น นั่นหมายความว่าไม่ต้องทำอะไรทั้งหมด ร่างกายอิ่มเป็นปกติ ร่างกายเยือกเย็นอบอุ่น ไม่ต้องห่มผ้า และมีความปรารถนาสมหวัง ก็หมายความถ้าจะไปทางไหน ก็สามารถลอยไปถึงที่นั่นได้ทันทีทันใด ความป่วยไม่มี ความแก่ไม่มี ร่างกายไม่มีการเปลี่ยนแปลง ความเป็นทิพย์อย่างนี้ ท่านทั้งหลายจงอย่ามัวเมา จงอย่ามีความเข้าใจผิดว่า เราจะอยู่ที่นี่ตลอดกาล ตลอดสมัย



ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะอายุเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี อายุจำกัดตามบุญวาสนาบารมี ถ้าหมดบุญวาสนาบารมีก็ต้องจุติคือตาย แต่ว่าท่านทั้งหลายจงอย่าลืมว่า เทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมทั้งหมด ที่นั่งอยู่ที่นี่ทั้งหมด แม้แต่จะเป็นพระอริยะเจ้า ที่ท่านเป็นพระอริยเจ้าก็มาก อย่าลืมว่าทุกท่านยังมีบาปติดตัวอยู่ และการสะสมบาปมาเป็นชาติ ๆ ยังมีมากมาย” (พอพระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ บรรดาท่านทั้งหลาย อาตมาก็ใช้กำลังใจดูร่างกายเทวดา นางฟ้ากับพรหม เห็นเงาบาปอยู่ในหน้ามาก เป็นอันว่าทุกองค์ ต่างองค์ต่างมีบาป แต่ก็มาเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหมได้ แล้วก็ดูตัวเองเวลานั้น ร่างกายของตัวเองก็เป็นทิพย์ บาปมันก็ท่วมท้นเหมือนกัน) ต่อไปองค์สมเด็จพระภควันต์ทรงตรัสว่า



“ภิกขเว......ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย (เวลานั้นมีพระมาด้วยหลายองค์) และท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ทั้งหมด จงอย่าลืมว่าทุกท่านมีบาปติดตัวมามากมาย อาศัยบุญเล็กน้อยก่อนจะตาย จิตใจนึกถึงบุญก่อน จึงได้มาเกิดบนสวรรค์บ้าง มาเกิดบนพรหมบ้าง ถ้าหากว่าท่านจุติเมื่อไร โน่น..... นรก (ท่านชี้มือลง เห็นนรกไฟสว่างจ้า แดงฉานไปหมด) ท่านทั้งหลายจะต้องพุ่งหลาวลงนรก เพราะใช้กฎของกรรม คือบาป ชำระหนี้บาป กว่าจะมาเกิดเป็นคนก็นานหนักหนา และมาเป็นคนแล้ว ก็ไม่แน่ว่าจะได้กลับมาเป็นเทวดา นางฟ้า หรือพรหมใหม่



ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่าเป็นคนอาจจะทำบาปใหม่ อาจลงนรกไปใหม่ก็ได้ ฉะนั้น เมื่อท่านทั้งหลายมาถึงที่นี่ มาอยู่สวรรค์ก็ดี พรหมก็ดี เป็นทางครึ่งหนึ่งของนิพพาน ระหว่างมนุษย์กับนิพพาน เป็นอันว่าท่านทั้งหลายได้ครึ่งทาง การมาได้ครึ่งทางของท่าน ท่านทั้งหลายจงดูนั่น....นิพพาน” (ท่านยกมือชี้ขึ้นให้ดูพระนิพพาน เวลานั้นเทวดานางฟ้ากับพรหมทั้งหมด อาตมาก็เหมือนกัน เห็นพระนิพพานไสวสว่างจ้า มีวิมานสีเดียวกันคือ สีแก้ว แพรวพราวเป็นระยับ เป็นแก้วสีขาว พระอรหันต์ทั้งหลายที่อยู่ที่นั่น มีความสุขขนาดไหน มีความเข้าใจหมด รู้หมด เห็นหมด แล้วองค์สมเด็จพระบรมสุคตก็ทรงกลับมาพูดกับเทวดากับนางฟ้าใหม่ว่า)



“ท่านทั้งหลายจงหวังตั้งใจคิดว่า ถ้าการจุติมีคราวนี้ ถ้าบุญวาสนาบารมีของเรานี้สิ้นสุดลง เราจะไม่ไปเกิดเป็นมนุษย์ เราจะไม่เกิดเป็นเทวดา เราจะไม่เกิดเป็นนางฟ้า เราจะไม่ไปเกิดเป็นพรหม เราต้องการไปพระนิพพานจุดเดียว และการไปนิพพานนี่ ท่านทั้งหลายต้องยึด อารมณ์พระนิพพาน เป็นสำคัญ สำหรับพรหมก็ดี เทวดานางฟ้าเก่า ๆ ก็ดี อาตมาไม่หนักใจ ทั้งนี้เพราะมีความเข้าใจแล้ว (ก็แสดงว่าพรหม เทวดา นางฟ้าเก่า ๆ เป็นพระอริยเจ้ามาก)



ที่มีความเป็นห่วงก็เป็นห่วงเทวดานางฟ้าใหม่ ๆ ที่มาเกิดใหม่ ๆ จะหลงความเป็นทิพย์ นั่นหมายความจะมีความเพลิดเพลินในความเป็นทิพย์ ยังมีความรู้สึกว่าเราจะเกิดอยู่ที่นี่ตลอดไป จะไม่มีการจุติ จะไม่มีการเคลื่อน อันนี้เป็นความเห็นที่ผิด จงคิดตามนี้เพื่อพระนิพพาน นั่นคือ จงมีความรู้สึกว่าเราจะต้องจุติวันนี้ไว้เสมอ และอาการของชีวิตนี่เป็นของที่ไม่แน่นอน เราจะตายเมื่อไหร่ก็ได้ ความตายเป็นของเที่ยง ความเป็นอยู่เป็นของไม่เที่ยง



เมื่อคิดอย่างนี้แล้ว ทุกท่านจงอย่าประมาท จงใช้ปัญญาพิจารณาความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ว่าท่านทั้งหลายควรจะเคารพไหม ถ้าจิตใจของท่านมีความศรัทธา มีความเคารพในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระอริยสงฆ์ ก็เป็นอาการขั้นที่สองที่ท่านจะไปนิพพานได้ หลังจากนั้นขอท่านทั้งหลายจงทรงศีลให้บริสุทธิ์ จะเป็นศีล 5 ก็ตาม ศีล 8 ก็ตาม กรรมบถ 10 ก็ตาม ศีล 10 ก็ตาม ศีล 227 ก็ตาม (พอท่านพูดถึงศีล 227 ก็คิดในใจว่า เทวดาจะไปบวชที่ไหน องค์สมเด็จพระจอมไตรก็หันหน้ามาตรัสว่า)



“ฤาษี.....เทวดาเขาไม่ต้องบวช อย่างเทวดาชั้นยามาก็ดี ชั้นดุสิตก็ดี อย่างนี้เขามีศีลครบถ้วนบริบูรณ์ ทั้ง 227 เหมือนกับความเป็นพระ พรหมก็ตาม ก็เช่นเดียวกัน ทุกท่านอยู่ด้วยธรรมปีติ ทุกท่านอยู่ด้วยความสุข เขาไม่อาบัติ สิ่งที่จะเป็นอาบัติไม่มี สิ่งที่จะเป็นบาปไม่มี” (แล้วท่านก็กลับหันหน้าไปหาเทวดานางฟ้า กับพรหมว่า)



“ขอทุกท่านจงอย่าลืมคิดว่า เราจะเป็นผู้มีศีล ให้ตั้งเฉพาะศีล 5 ก็ดี ศีล 8 ก็ได้ ศีล 10 ก็ได้ กรรมบถ 10 ก็ได้ ศีล 227 ก็ได้ ตั้งใจว่า เราจะไม่ละเมิดศีล หลังจากนั้นจึงมีจิตใช้ปัญญาคิดว่า การเกิดเป็นเทวดาก็ดี เป็นนางฟ้าก็ดี เป็นพรหมก็ดี มีสภาพไม่เที่ยง จะต้องมีการจุติเป็นเวาระสุดท้าย ในเมื่อการจุติจะเกิดขึ้น อารมณ์จะทุกข์ จงคิดไว้เสมอว่าเราจะต้องจุติ ในเมื่อเราจะต้องจุติ เราจะไม่ยอมลงอบายภูมิ เราจะไม่เกิดเป็นมนุษย์



ท่านทั้งหลาย จงดูภาพของมนุษย์ (แล้วพระองค์ก็ชี้มาที่เมืองมนุษย์) มนุษย์เต็มไปด้วยความวุ่นวาย มนุษย์เต็มไปด้วยความโสโครก มนุษย์เต็มไปด้วยความทุกข์ มนุษย์เต็มไปด้วยการงานต่าง ๆ มนุษย์มีความหิว มีความกระหาย มีความอยาก มีความต้องการไม่สิ้นสุด สิ่งทั้งหลายที่ก่อสร้างขึ้นมาแล้ว จะเป็นทรัพย์สินยังไงก็ตาม ในเมื่อเราตายจากความเป็นมนุษย์เราก็หมดสิทธิ์ อย่างบางท่านเป็นพระมหากษัตริย์ อยู่ในพระราชฐานดี ๆ สร้างไว้เป็นที่หวงแหน คนภายนอกเข้าไม่ได้ เข้าได้แต่คนภายใน



แต่ว่าท่านทั้งหลาย เมื่อตายมาแล้วกลับไปเกิดเป็นคน หากว่าท่านไม่ได้เกิดในตระกูลกษัตริย์ตามเดิม ท่านเป็นประชาชนคนภายนอก ท่านจะไม่มีสิทธิ์เข้าเขตนั้นเลย ทั้ง ๆ ที่เป็นของที่ท่านสร้างเอาไว้ ท่านทำเอาไว้ทุกอย่าง แล้วท่านจะไม่มีสิทธิ์ นี่ความไม่แน่นอนของความเป็นมนุษย์มันเป็นทุกข์อย่างนี้ ถ้าเกิดเป็นคนก็ต้องหยุด ต้องเดินไปเดินมา ทำกิจการงานทั้งวัน เพื่อผลประโยชน์หน่อยเดียว คือเงิน ถ้าไม่มีเงินก็ไม่สามารถจะมีชีวิตทรงตัวอยู่ได้ เพราะมีความจำเป็นต้องหาเงิน (ในเมื่อท่านตรัสอย่างนี้แล้วก็บอกว่า)



จงอย่าคิดเป็นมนุษย์ต่อไป ตัดความเป็นมนุษย์เสีย เลิกความหมายความเป็นมนุษย์ เห็นว่าโลกมนุษย์เป็นทุกข์ มนุษย์มีสภาพไม่เที่ยง ไม่มีการทรงตัว มีความเกิดขึ้นและมีความเปลี่ยนแปลง มีความแก่ มีความป่วย มีการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ มีความตายในที่สุด และจงอย่าอยากเป็นเทวดา อยากเป็นนางฟ้า เป็นพรหมต่อไป เพราะเทวดา นางฟ้ากับพรหม ก็มีสภาพไม่เที่ยงเหมือนกัน



เมื่อมีความเกิดในเบื้องต้น ก็มีความเปลี่ยนแปลงไปธรรมดา ก็มีความจุติไปในที่สุด ทุกคนหวังนิพพานเป็นที่ไป ตั้งใจไว้เสมอว่า เราจะเป็นผู้มีศีล เราจะนับถือพระไตรสรณคมน์คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ แล้วก็เราจะต้องจุติในวันข้างหน้า ตถาคตมีความรู้สึกว่าท่านทั้งหลายที่เป็นเทวดา นางฟ้า พรหมก่า ๆ มีความเข้าใจดีแล้ว (คำว่า “เข้าใจ” บรรดาท่านพุทธบริษัท หมายถึงว่าเขาปฏิบัติได้ นี่คืออารมณ์พระโสดาบัน กับอารมณ์พระอรหันต์)



สำหรับเทวดา นางฟ้า และพรหมใหม่ ๆ จงตั้งใจไว้เสมอว่า จงลืมความเป็นทิพย์เสีย อย่าเพลิดเพลินเกินไป อย่ามีความสุขเกินไป และมันจะทุกข์ทีหลัง ตั้งใจคิดว่าความสุขที่ได้มานี่ เราได้มาจากบุญเล็กน้อยเท่านั้น และบาปใหญ่ที่ขังอยู่ที่ตัวเรายังมีอยู่ ถ้าเราเผลไม่สร้างความดี ในเมื่อจุติความเป็นเทวดาหรือพรหมในภพนี้แล้ว ทุกคนจะต้องลงอบายภูมิ



จงดูภาพนรกว่าขุมไหนบ้างที่น่าอยู่น่ารัก มันไม่น่าอยู่ ไม่น่าเกิด ดินแดนไหนที่มีความสุขไม่มีการงาน เราจะมองไม่เห็นความสุขของมนุษย์ และก็ดูเทวดา นางฟ้า กับพรหม มนุษย์ที่เดินเกลื่อนกล่นทุกคน อยู่ในเมืองมนุษย์ เคยเป็นเทวดาเคยเป็นนางฟ้า เคยเป็นพรหมมาแล้ว แต่ว่าท่านทั้งหลายจงตั้งใจไว้เฉพาะนิพพาน จงดูภาพพระนิพพานให้ชัดเจนแจ่มใสว่า ดินแดนพระนิพพานไม่มีที่สิ้นสุด.....” (เมื่อพระองค์ตรัสเพียงเท่านี้ พระองค์ก็จบ)



(คัดย่อมาจากหนังสือธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 139 เดือนกันยายน 2535 เรื่อง ชวนเทวดา นางฟ้า พรหม ไปนิพพาน)



(หลวงพ่อได้สรุปใจความสั้น ๆ ตามที่ท่านเทศน์ไว้ดังนี้)



“ท่านทั้งหลาย การหลบหลีกไม่ต้องตกอบายภูมิ มีนรกเป็นต้น เป็นของไม่ยาก



1. ขอทุกท่านลงอย่าลืมความตาย จงคิดว่าความตายอาจจะมีกับเราเดี๋ยวนี้ไว้เสมอ ๆ

2. เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยศรัพธาแท้ (ด้วยความจริงใจ)

3. มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ และ

4. เป็นกรณีพิเศษ ปฏิเสธการเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา นางฟ้า และพรหม ในชาติต่อไป ทุกท่านเห็นนิพพานแล้วตั้งใจไปพระนิพพานโดยเฉพาะ เท่านี้ ทุกท่านจะหนีอบายภูมิพ้น และไปพระนิพพานได้ในที่สุด”



หมายเหตุ เทศน์ที่ “เทวสภา” วันที่ 8 สิงหาคม 2535 เวลา 8.00 น. พระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระราชมรหมยาน เมตตาเล่าให้ลูกหลานฟัง เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2535 เวลา 21.00 น



เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย ฟังธรรม
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับน้องคนหนึ่งและเพื่อนๆของน้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ศึกษาการรักษาโรค ให้ยานพาหนะเป็นทาน ให้ที่อยู่อาศัยเป็นทาน
และตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะครับ


ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพสร้างสมเด็จองค์ปฐมเดือนละ ๑ องค์ ณ.ที่พักสงฆ์ทับทิมสยาม07
ทุกท่านสามารถร่วมได้ตามกำลังทรัพย์กำลังศรัทธา หรือ จะรับเป็นทั้งองค์ก็ได้องค์ละ ๑๕,๔๖๐ ( หนึ่งหมืนห้าพันสี่ร้อยหกสิบบาท )
ได้ที่ธนาคารกรุงไทย สาขาขุนหาญ
ชื่อบัญชีพระสุพิน อัตตสันโต
หมายเลขบัญชี ๓๒๖-๐-๑๖๐๗๗-๙
หรือจะโทรสอบถามที่ ๐๘๕.๖๕๗.๘๖๗๖


เชิญร่วมเป็นเจ้าภาพมหากฐินสร้างซุ้มประตูบรมศาสดาบูรพาจารย์
ทางเข้าพุทธอุทยานปฏิบัติธรรมองค์ปฐมบรมศาสดา

เพื่อประดิษฐาน
มหาเจดีย์ยอดซุ้มประตูโขงบรรจุ พระบรมสารีริกธาตุองค์ปฐม พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ธาตุ
+
พระประธานองค์ปฐมปางเปิดโลก&ปางจักรพรรดิ

พระพุทธรูปหล่อเหมือนบรูพาจารย์ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงปู่ชา



พระบรมฉายาลักษณ์พระเจ้าอยู่หัว

เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ในหลวง บูรพกษัตริย์ไทยและพระสยามเทวธิราช

ในวันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 เวลา 8.00 น
ณ วัดป่าโนนจ่าหอม 13 หมู่ 13 หมู่บ้านโพนเมือง ต.โพนเมือง อ.เหล่าเสือโก้ก จ. อุบลราชธานี34000


วัด (พระผู้ช่วยเจ้าอาวาสครูบาจ่อย) : 080-167-5445/ ประธานฝ่ายฆารวาส (คุณเก๋ณัฐา) ตั้งแต่หกโมงเย็น-สี่ทุ่ม : 080-772-1000



เชิญร่วมเป็นเจ้าภาพผ้าป่าสามัคคีถวายใบระกา จำนวน 16ใบ (เจ้าภาพใบละ 20000 บาท)
รอบหลังคาชั้นที่ 2 และ 3 พระวิหารพระบรมศรีศากยมุณีสมเด็จองค์ปฐมบรมศาสดา
ในวันอาสาฬหบูชา (ศุกร์) ที่ 15 กรกฏาคม พ.ศ. 2554เวลา 8.00 น.


ณ วัดป่าโนนจ่าหอม 13 หมู่ 13 หมู่บ้านโพนเมือง ต.โพนเมือง อ.เหล่าเสือโก้ก จ. อุบลราชธานี 34000
วัด (พระผู้ช่วยเจ้าอาวาสครูบาจ่อย): 080-167-5445/ ประธานฝ่ายฆารวาส (คุณเก๋ณัฐา) ตั้งแต่หกโมงเย็น-สี่ทุ่ม : 080-772-1000






ขอรับศรัทธาเจ้าภาพเพื่อจัดสร้างพระแก้วมรกต (จำลอง) หน้าตัก 30 นิ้ว
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร [วัดใหญ่]
๙๒/๓ ถนนพุทธบูชา ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก 65000





ร่วมสร้างศาลาคลุมสมเด็จองค์ปฐมปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง ๔ เมตร สูง ๕ เมตร

ร่วมบุญได้ที่
ชื่อบัญชี พระมณี ช้างคล้าย
บัญชีออมทรัพย์ ธนาคารไทยพาณิชย์
สาขาถนนพระราม 2 ก.ม.13
เลขที่บัญชี 401779907-6

โอนแล้วกรุณาโทรแจ้งท่านพระมณี มานิโต
084-019-4956






ขอเชิญท่านสาธุชนร่วมสร้างกุศลบุญบารมี


เป็นเจ้าภาพทอดผ้าป่าสามัคคี จำนวน ๘๔,๐๐๐ กอง ๆ ละ ๑๐๙ บาท


ในงาน ผูกพัทธสีมา ปิดทอง ฝังลูกนิมิต


ณ วัดบ้านนา ตำบลกำปัง อำเภอโนนไทย จังหวัดนครราชสีมา


ในวันที่ ๒๙ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๒ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๕




ท่านที่จะร่วมทำบุญ สามารถโอนเงินเข้าบัญชี




ธนาคารกรุงเทพ สาขา โนนไทย


บัญชีเลขที่ ๔๘๓-๐-๕๔๒๓๑-๔


ชื่อบัญชี วัดบ้านนา


โทร. ๐๘๑ ๙๖๗ ๕๐๓๘






พายุฝนตกหนักธรณีสงฆ์ยุบทรุดโปรดช่วยบูรณะซ่อมแซมวัดกันดินถล่มรอบ2
วัดป่าโนนจ่าหอม 13 หมู่ 13 หมู่บ้านโพนเมือง ต.โพนเมือง อ.เหล่าเสือโก้ก จ. อุบลราชธานี 34000
วัด (พระผู้ช่วยเจ้าอาวาสครูบาจ่อย) : 080-167-5445/ ประธานฝ่ายฆารวาส (คุณเก๋ณัฐา) ตั้งแต่หกโมงเย็น-สี่ทุ่ม : 080-772-1000








เนื่องจากข้าพเจ้าได้ไปร่วมทำบุญหล่อพระ
และสร้างพระเจดีย์อยู่เป็นประจำ
ขออาสาเป็นสะพานบุญให้ท่านและกัลยาณมิตรทั้งหลาย
ที่ต้องการส่งแผ่นทองเหลืองไปร่วมหล่อพระพุทธรูปไว้ตามสถานที่ต่างๆ
เป็นพุทธานุสติ
โดยท่านสามารถส่งแผ่นทองเหลืองมาก่อนงานวันหล่อได้ที่

สุทธิมา อภิสิงห์
5 ชอยแยกศิริพจน์ 81
ถ.สุขุมวิท แขวง สวนหลวง
เขต สวนหลวง
กรุงเทพ 10250

หากจดหมายของท่านส่งมาช้ากว่าวันหล่อพระ
ขออนุญาตินำไปใช้หล่อพระวัดอื่นตามที่เห็นสมควร
โดยคำนึงถึงอานิสงส์ที่ท่านจะได้รับเป็นหลัก






ขอเชิญร่วมงานเททองหล่อ
"สมเด็จองค์ปฐมปางมหาจักรพรรดิ์"
หล่อด้วย ทองคำบริสุทธิ์ หน้าตัก 9.9 นิ้ว
เพื่อประดิษฐาน ณ วิหารหลวงพ่อมงคลนิมิตร
วัดเจริญราษฎรบำรุง(หนองพงนก) อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม
กำหนดงาน
วันเสาร์ ที่ 9 กรกฏาคม 2554
เวลา 10.00 น. ภวายภัตตาหารเพลพระสงฆ์ 150 วัด 1500 รูป
เวลา 12.45 น. เททองหล่อพระทองคำ

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 081-9869534 - จ๋า
หรือ 080-0225577-ตุ้ม






บุญด่วนครับขอเชิญญาติธรรมร่วมสร้างแท่นพระศพจำลองหลวงพ่อพระราชพรหมยานวัดวีระโชติ

เว็บไซด์วัดวีระโชติธรรมารามครับ
www.watvirachotedhammaram.com









ขอเชิญร่วมสร้างสมเด็จองค์ปฐมปางพระนอนวัดหลุบเลา







บุญด่วนครับขอเชิญญาติธรรมทุกๆท่านร่วมสร้างกุฏิพระที่สำนักสงฆ์ศรีษะนาลัย(วัดเขาอีกวน) ต.เขาหินซ้อน
อ .พนมสารคาม จ ฉะเชิงเทรา ๒๔๑๖๐ เนื่องด้วยกุฏิพระไม่เพียงพอสำหรับพระสงฆ์และสามเณรที่จะจำวัด ในช่วง
เข้าพรรษานี้ครับ มีพระจำวัดรวมเณรมีท้งหมด ๖-๗รูปครับ
แต่มีกุฏิแค่ ๔ หลังเท่านั้น ญาติธรรมท่านใดสนใจเป็นเจ้าภาพ หรือร่วมบุญ ติดต่อได้ที่
วัดศรีษะนาลัย บัญชีชื่อ พระประดิษฐ์ เตชะวีโร(เจ้าสำนัก) เบอร์ติดต่อ ๐๘๖-๐๒๙๐๖๓๗
ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขา พนมสารคาม หมายเลขบัญชี ๖๙๖-๒๓๔-๘๕๕-๘
พระมหาจอหน์ ติสโร เบอร์ติดต่อ ๐๘๖-๑๒๒๐๐๗๗ ราคากุฏิหลังละ ๓๐๐๐๐ บาท ครับ
หลังจากโอนแล้วกรุณาแจ้งด้วยครับผม




ขอเชิญเป็นเจ้าภาพโรงทานและร่วมหล่อพระประธานในอุโบสถวัดธรรมยาน




กุศลอันยิ่งใหญ่หนึ่งปีมีครั้งกฐินสามัคคีสมทบทุนการสร้างอุโบสถวัดสว่างคำน้อย
ขอเจริญพร
พระครูใบฎีกาดนัย กนฺตสีโล
รก.เจ้าอาวาสวัดสว่างคำน้อย

โทรศัพท์ ๐๘๗-๒๒๙๙๒๙๖ - ๐๘๖-๙๓๔๙๙๘๖





บัญชีทองคำ ร่วมบุญหล่อพระประธานพระสมเด็จองค์ปฐม ณ วัดธรรมยาน
คุณโยมที่มีจิตศรัทธา จะร่วมบุญกับอาตมา สามารถโอนเงินเข้าบัญชีเพื่อร่วมบุญนี้ได้...



ชื่อบัญชี พระมหาวิชัย แสนภูมิ
ธนาคารกสิกรไทย สาขาห้วยขวาง
บัญชีออมทรัพย์
เลขที่บัญชี 084-2-98572-2




ต้องการเจ้าภาพสร้างกุฏิถวายสงฆ์ที่พักสงฆ์ห้วยตาจู จำนวน 7 หลังด่วนฝนตกหนัก
สามารถสอบถามเพิ่มเติ่มได้ที่พระสุพิน อัตตสันโต โทร 085.657.8676
หรือบริจาคได้ที่ธนาคารกรุงไทย สาขา ขุนหาญ
หมายเลข 326-0-00987-6




ร่วมบุญหล่อสมเด็จองค์ปฐมปางจักรพรรดิ ๔ ศอก ณ. วัดพระบรมธาตุแก่งสร้อย

สามารถร่วมบริจาคสมทบทุนได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาบางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา

ชื่อบัญชี น.ส. วิภาภรณ์ อำภา
บัญชีเลขที่ 343 – 1 – 40279 – 5
ประเภทบัญชี ออมทรัพย์


สอบถามหรือแจ้งความจำนงค์
เบอร์โทร. 089-5387317




ขอเชิญร่วมทำบุญสร้างผอบแก้วเจดีย์เงินบริสุทธิ์และสร้างบุษบกตู้สรงน้ำพระธาตุ๓หลัง

โทร. 053023260- 089-9555-870 และร่วมทำบุญได้ที่ ธาคารนครหลวงไทย สาขาหางดง เลขที่บัญชี 577-2-11771-4 ชื่อบัญชี วัดทุ่งอ้อหลวง สร้างผอบเงินบรรจุพระธาตุ





ขอเชิญร่วมบุญสร้างสมเด็จองค์พระปฐมฯ ณ วัดถ้ำมงคลนิมิตร จ.ลพบุรี
คุณกชพร อนุฤทธิ์ โทร. 085-906-6290



ขอเชิญร่วมทำบุญถวายพระอัครสาวก “พระโมคคัลลานะ และ พระสารีบุตร
ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม
คุณวุฒิชัย ศรีสุข(คุณเบิร์ด) เบอร์โทร.085-361-4989





สร้างซุ้มประตู 84 พรรษามหาบารมีถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
084-1759890




ขอเชิญร่วมทำบุญในพิธีเททองหล่อพระอัครสาวกซ้าย-ขวา
เบอร์ 085-6189289



บุญด่วนที่สุดขอช่วยสร้างที่เผาศพด้วยครับ
ติดต่อสอบถามร่วมบริจาคที่โทร089-2378988




ขอเชิญร่วมเททองหล่อพระอุปคุต และพระประจำวันเกิด ๑๐ องค์
ณ วัดมาบตอง อ.วังจันทร์ จ.ระยอง

วันที่ ๑ ก.ค. ๕๔ เวลา ๒๑.๓๙ น.
เริ่มพิธีเททอง หล่อพระ






หาเจ้าภาพถวายพระพุทธโสธร หน้าตัก ๓๐ นิ้ว ประดิษฐานไว้ในศาลาปฏิบัติธรรม
โทร.๐๘๙-๘๕๒๓๔๙๘



วัดชัยชนะ อ.เมืองลำพูน ต้องการเจ้าภาพสร้างสมเด็จองค์ปฐมทันใจ
ติดต่อสอบถาม สาเหตุการสร้างได้ที่
เบอร์ พระปฏิภาณ ภูริปณฺโญ วัดประตูป่า ๐๘๗ ๑๗๗๘๙๓๑
หรือเบอร์เจ้าอาวาส วัดชัยชนะ เบอร์ ๐๘๙ ๙๕๐๕๙๕๗




งานบุญด่วนๆ ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพเทพื้นปรับภูมิทัศน์รอบอุโบสถ์วัดประทุมวัน
086-2602702




ขอเชิญร่วมทำบุญหล่อพระประธาน วัดทรัพย์จันทร์ จันทบุรี 19 มิถุนายน 2554 นี้
โทร 0892173133



ขอเชิญทำบุญสร้างพระประธาน หน้าตัก 99 นิ้ว วัดมงคลเทพ ฉะเชิงเทรา บุญใหญ่ครับ
086 - 9024888 , 083-5986877 , 086-3782093 , 081 - 4528289



ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพบริจาค ทำบุญสร้างกำแพงโรงเรียนบ้านถ้ำ จ.เชียงใหม่
โทร..๐๘๐-๑๓๐๓๖๘๓




บุญหนักศักดิ์ใหญ่บารมีสูงส่งหาเจ้าภาพสร้างฉัตรแก้วมณีนพรัตน์ ๓ ชั้น ๓ ยอดฉัตร
พระอธิการธรณ์ กนฺตวีโร
เจ้าอาวาสวัดทุ่งอ้อหลวง
ต.หารแก้ว อ.หางดง จ.เชียงใหม่
โทร. 053-023260 , 089-9555-870





ขอเชิญร่วมทอดผ้าป่าสามัคคี สร้างพระมหาธาตุเจดีย์คูณคำ วัดหลวงปู่ขาว พุทธรักขิโต
โทรศัพท์มือถือ 085-4519060




ขอเชิญร่วมทำบุญซื้อโลงศพ(โลงเย็น)ถวายวัดผาประทุม จังหวัดอุดรธานี
โทร 081-258-0021




เชิญเข้าปฏิบัติธรรม วันที่ 25-26 มิ.ย. 54 วัดราชสิทธาราม(วัดพลับ) (ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ)
โทร. 084-651-7023,02-465-2552


ขอเชิญร่วมทำบุญ ทอดผ้าป่าสามัคคีสร้างกำแพง และถวายสลากพัตร์
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ที่

พระมหาจรุญ(ชาลี) 089-2303340

อบต.ชาตรี(ออด) 089-5173820






กฐินสร้างพระพุทธโพธิ์ศรีมหาเจดีย์ วัดป่าโพธิ์ศรีธาตุ ต.เกาะแก้ว จ.สุรินทร์




ขอเชิญร่วมบุญทอดผ้าป่าสร้างอ่างเก็บน้ำ สำนักสงฆ์สิริธโรภาวนา จ.สระบุรี 25 มิ.ย. 54
ผู้มีจิตศรัทธาสามารถโอนเงินทำบุญเข้าบัญชีออมทรัพย์
ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาย่อย การไฟฟ้าฝ่ายผลิตบางกรวย
ชื่อบัญชี : สร้างอ่างเก็บน้ำ ณ สำนักสงฆ์สิริธโร
เลขบัญชี : 143-0-10482-1




ขอเชิญร่วมฟังธรรม



ณ หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร กรุงเทพฯ



วันพุธที่ 29 มิถุนายน 2554 เวลา 08.00 – 16.30 น.

ติดต่อสำรองที่นั่งได้ที่ คุณธนิตา, คุณพะเยาว์ 02-6495478 ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ หรือคุณอู๊ด 080-2627588




ขอเชิญฟังธรรมหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก วันอาทิตย์ที่ 12มิ.ย.นี้
ณ ห้องประชุมสโมสร รพ.ทหารเรือ
โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า ( โรงพยาบาลทหารเรือ ) ฝั่งธนบุรี กรุงเทพ ฯ


ในวันอาทิตย์ ที่ 12 มิถุนายน 2554
เวลา 12.00 - 16.00 น.
เริ่มลงทะเบียน เวลา 11.00 น


ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพถวายปัจจัยค่าพาหนะรับส่งสามเณรสามเณรไปโรงเรียน
โทร 054-755546



โครงการ “ธรรมะ 2 in 1 เปิดบ้านรับธรรม นำสุข”
สอบถามรายละเอียด
โกตวง 0819055775 นิมิตร 0818536754 เปี๊ยก 0851878715
จุลี 0897439297 โหน่ง 0845682946



ร่วมเป็นเจ้าภาพอุปสมบทนาคหมู่ ประจำปี 2554 ณ วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร
สำนักงานพุทธสมาคมจังหวัดนครปฐม

โทร.0-3425-3793, 08-5406-8996, 08-1294-8998




เชิญร่วมบวงสรวงพิทักษ์พระพุทธศาสนาโบราณสถานและทรัยากรธรรมชาติวัดเขาวง(ถ้ำนารายณ์)
ขอเชิญร่วมกันจัดทำบายศรีเพื่อบรวงสรวงได้ที่

นางสาวฉัตติพา กาญจนโสภา
เลขที่บัญชี 021-2-622-400
ธนาคารกสิกรไทย
สาขา สะพานกรุงธน

ท่านที่มาร่วมอธิษฐานจิต ขอให้มาพร้อมกันก่อน ๗.๔๕ น. ของวัดเสาร์ที่ ๑๒ มิถุนายน (อาทิตย์หน้าที่จะถึงนี้) นะครับ กำหนดการบวงสรวจหลวงตา



กองบุญบริจาคโลงศพเพื่อผู้อนาถาและไม่มีญาติ
โทร.089-8523498



“โครงการผ่าตัดเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”

ผู้ที่มีจิตศรัทธาสามารถร่วมสร้างโอกาสและให้ชีวิตใหม่แก่ผู้ป่วยเหล่านี้ ด้วยการบริจาคเงิน ได้ที่ ......
ชื่อบัญชี "ผู้ป่วยพิการบนใบหน้าและกะโหลกศีรษะ จุฬาลงกรณ์" ได้แก่

ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาสภากาชาดไทย ประเภทออมทรัพย์ เลขที่ 045-503329-2
Siam Commercial Bank - Account no. 045-503329-2, Swift code = SICOTHBK

ธนาคารกรุงไทย สาขาปทุมวัน ประเภทออมทรัพย์ เลขที่ 008-0-07821-4
Krung Thai Bank - Account no. 008-0-07821-4, Swift code = KRTHTHBK

ธนาคารกสิกรไทย สาขาพัฒน์พงศ์ ประเภทออมทรัพย์ เลขที่ 018-2-94741-5
Kasikorn Bank - Account no. 018-2-94741-5, Swift code = KASITHBK

ธนาคารกรุงเทพ สาขาสุรวงศ์ ประเภทออมทรัพย์ เลขที่ 147-4-71940-6
Bangkok Bank - Account no. 147-4-71940-6, Swift code = BKKBTHBK

และ ธนาคารยูโอบี สาขาสำนักงานใหญ่ ประเภทออมทรัพย์ เลขที่ 299-2-90085-8 ชื่อบัญชี “รพ.จุฬาลงกรณ์ในพระบรมราชูปถัมภ์มูลนิธิ
สำหรับท่านผู้มีจิตศรัทธาต้องการบริจาคสิ่งของ เช่น นม ผ้าอ้อม ของเล่นสำหรับผู้ป่วยสามารถติดต่อบริจาคสิ่งของได้ที่ ศูนย์สมเด็จพระเทพรัตนฯ [1]แก้ไขความพิการบนใบหน้าและกะโหลกศีรษะ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย โทร. 02 256 4330 และ 1664 หรือ อีเมล์ info [at] craniofacial.or.th


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO