นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน จันทร์ 13 พ.ค. 2024 4:25 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: เรื่องราว
โพสต์โพสต์แล้ว: จันทร์ 06 มิ.ย. 2011 5:14 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4557
คนที่เกิดมาในโลกนี้ จะมีบุญวาสนาบารมีแบบไหนก็ตาม ต้องถูกกฎของกรรมเดิมลงโทษ ท่านจงอย่าคิดว่าเราเจริญกรรมฐานแล้ว เราให้ทานแล้ว จะเกิดมาใหม่ มีแต่ความสุข อันนี้ขอยืนยันว่า คนที่ถวายสังฆทานแล้วมาเกิดใหม่เป็นมหาเศรษฐีทุกคน ถ้าไม่เชื่อให้มาต่อว่าฉัน จะเอาสัญญา จะปรับไหม ยังไงก็ยอม แต่แกต้องตายไปก่อนเถอะ ตายไปแล้วไปเป็นเทวดาเป็นนางฟ้าที่ไหนก็ไปเถอะ แล้วกลับมาเป็นคนใหม่ ถ้าไม่เป็นมหาเศรษฐีแล้ว จะชำระหนี้ให้

จะยกตัวอย่างให้ฟัง ถึงแม้จะเป็นพระอริยเจ้าก็ไม่พ้นกฎของกรรม เอาเรื่องย่อ ๆ เวลามีนิดเดียว เรื่องของพระนางสามาวดี มีหญิงคนใช้คนหนึ่งเป็นหญิงหลังค่อม รูปร่างหน้าตาดี ๆ ใช้ออกจากวังไม่ได้ ก็ได้แต่หญิงค่อมคนเดียวใช้ไปซื้อดอกไม้ หญิงหลังค่อมคนนี้ชือว่า ขุตฉุตตรา แกก็เป็นคนฉลาด วันหนึ่งพระเจ้าอุเทนให้ค่าดอกไม้พระนางสามาวดีวันละ 8 ตำลึง แต่ว่าแม่ค่อมนี่ก็บอกแล้วว่าฉลาด ไม่ใช่คนโง่ แกก็เก็บไว้ 4 ตำลึง ซื้อ 4 ตำลึง ต่อมาวันสุดท้ายพระพุทธเจ้าเสด็จเมืองนั้น ก็พอดีนายมาลาการคนประจำสวนดอกไม้ของมหาเศรษฐี ได้นิมนต์พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยสาวก ว่าพรุ่งนี้ขอเลี้ยงพระ ขอถวายทานกับพระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน พระพุทธเจ้าก็ทรงรับ นางขุตฉุตตราก็เอาเงิน 8 ตำลึงไป อีก 4 ตำลึงยังไม่ได้เก็บ ไว้เก็บทีหลัง ไปถึงนายมาลาการก็บอกว่า เรื่องดอกไม้ไม่ใช่ของแปลก เตรียมไว้แล้ว แต่ว่าการถวายทานมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน มีพระอรหันต์สาวกหาไม่ได้ หายาก ช่วยกันถวายทานก่อน เสร็จแล้วจะจัดดอกไม้ให้ เธอก็ช่วย เมื่อพระพุทธเจ้าฉันเสร็จท่านก็เทศน์ คำว่าโมทนาก็คือเทศน์ โมทนาบอกถึงอานิสงส์ความดีที่ทำ ขุตฉุตตราฟังจบเดียวเป็นพระโสดาบัน ทำยังไง พระโสดาบันศีล 5 ต้องครบ วันนั้นเลยซื้อดอกไม้ 8 ตำลึง

พอมาถึงพระนางสามาวดีก็แปลกใจ ถามว่า ทำไมพระราชาให้ค่าดอกไม้มากกว่าวันก่อนรึ เธอก็บอกว่าให้เท่ากัน แต่ทว่าวันก่อนฉันแบ่งให้ 4 ตำลึง บอกตรงไปตรงมา พระโสดาบันนี่ไม่คดแล้ว คนที่พอจะเชื่อได้ทางคณะสงฆ์เขาถือว่าต้องเป็นพระโสดาบันที่จะเป็นพยานนะ พระนางสามาวดีก็เลยบอกว่าอีก 4 ตำลึงที่เธอเก็บแล้ว ให้เก็บไว้ได้ อนุญาต แค่ 4 ตำลึงก็พอ บอกไม่ได้ พระพุทธเจ้าเทศน์แล้ว บอกบาป ที่เอาไว้ก่อนคืนหรือเปล่าไม่ทราบ บาลีไม่ได้บอกนะ ก็เป็นอันว่าถามว่าทำไมจึงไม่เอา ก็บอกว่าวันนี้ไปซื้อของ ไปพบพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระอรหันต์ เลี้ยงพระ พอเลี้ยงเสร็จเทศน์จบ ฉันเป็นพระโสดาบัน

หญิงทั้ง 500 มีพระนางสามาวดีเป็นประธาน ก็ขออยากจะฟังเทศน์บ้าง เธอก็บอกว่าฟังเทศน์น่ะฟังได้ แต่ต้องมีอาสนะสูงกว่า เวลาพระพุทธเจ้าเทศน์ต้องมีอาสนะสูงกว่าคนธรรมดา ประการที่ 2 ต้องแต่งตัวสวย ประการที่ 3 ต้องอาบน้ำก่อน เธอก็เอาน้ำหอมอาบ 16 หม้อ แต่งตัวสวย จัดธรรมาสน์ให้ เธอก็เทศน์ ความจริงเทศน์ดีมาก พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญภายหลัง ทรงยกย่องว่า เป็นผู้เลิศในการแสดงธรรมฝ่ายสตรี เธอก็เทศน์ในลีลาเช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า ไม่ใช่เล่า ในใจความพระพุทธเจ้าพูดแบบไหนจำหมดทุกคำ ว่าเรื่อย ลีลาเหมือนกัน ผู้หญิงทุกคนฟังก็จับใจ พอเทศน์จบ อีก 500 คน เป็นพระโสดาบัน

เมื่อฟังเทศน์จบ ต่างคนต่างเป็นพระโสดาบัน ต่างคนต่างตั้งใจเคารพพระพุทธเจ้า เป็นอันว่าการเคารพของหญิง 500 กับ 1 คน คือหญิงเป็นบริวาร 500 คน แล้วพระนางสามาวดี 1 เป็น 500 กับ 1 คน เคารพในพระพุทธเจ้ามาก ทีนี้มีเมียมากอีกคนหนึ่ง ไม่ใช่เมียน้อย พระเจ้าอุเทน มีเมีย 3 คน มีพระนางวาสุนทัตรา เป็นคนแรก 2 ก็พระนางสามาวดี 3 พระนางมาคันธินยา เมียคนแรกไม่มีเรื่องยุ่ง

ขอเล่าเรื่องลัด ๆ พระนางสามาวดีกับหญิง 500 ถูกพระนางมาคันธิยาให้น้าชายไปเผาปราสาท เอาน้ำมันไปบอกว่า เอาน้ำมันไปทาเสาทำให้มั่นคง เกรงปลวกจะกิน ปราสาทเป็นไม้ ขอบรรดาพระแม่เจ้าทั้งหลายจงอยู่ข้างใน เขาอยู่ข้างหน้าก็เอาตะปูตีหน้าต่างก็ไม่มี ประตูก็ออกไม่ได้ เขาก็เอาไฟจุด พอจุดไฟเสร็จ พระนางสามาวดีพอเห็นแสงไฟก็ประกาศว่า

“พวกเราจงอย่าโกรธในพระนางมาคันธิยา อย่าโกรธในน้าชายของพระนางมาคันธิยา พวกเราที่ถูกไฟไหม้ครั้งนี้ เพราะอาศัยมีกรรมเป็นเหตุ”

แต่ความจริงท่านเป็นพระอริยเจ้าหมดแล้ว คือ เป็นพระโสดาบัน อาศัยที่ไฟที่จะไหม้เข้ามา จิตก็นึกถึงความตายเป็นอารมณ์ นึกถึงพระพุทธเจ้า นึกว่าความตายจะเข้ามาถึง เราจะไม่มีชีวิตต่อไป จิตใจก็ละเอียด บางท่านก็เป็นสกิทาคามี บางท่านก็เป็นอนาคามี รวมความว่าเขาเผาพระอริยเจ้า 500 กับ 1 คน

ต่อมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ บรรดาพระสงฆ์ก็เข้าไปถามองค์สมเด็จพระบรมครู ถามว่า

“ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้า เพราะเหตุใด หญิง 500 มีพระนางสามาวดีเป็นประธาน เป็นพระอริยเจ้าด้วย เป็นคนดีมาก และมีความเลื่อมใสในองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ามาก ทำไมถูกไฟเผา”

พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า “ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หญิง 500 นี้ สมัยชาติก่อน เป็นบริวารของพระราชาองค์หนึ่ง” ฟังแล้วก็นึกไปด้วยเป็นวิปัสสนาญาณ วิปัสสนาญาณ คือตัวปัญญา ให้รู้ว่าถ้ากลับมาเกิดอีกมันมีความทุกข์อย่างนี้ กฎของกรรมมันมีความทุกข์อย่างนี้ กฎของกรรมมันตามทัน ถ้าเราไม่มาเกิดมันตามไม่ทันหรอก เป็นเทวดาอยู่ก็ดี เป็นพรหมอยู่ก็ดี มันตามไม่ทัน ถ้าไปนิพพานเสียเลยยิ่งไม่ทันใหญ่

ท่านบอกว่า “ในสมัยนั้นพระราชมีความเคารพในพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง แต่บังเอิญพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์นั้นหลังค่อม วันหนึ่งพระราชาจะไปสรงน้ำที่ชายทะเล ชายทะเลมันก็เป็นป่า เผอิญพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์นั้นท่านเข้านิโรธสมาบัติ อยู่ที่ชายทะเลในพุ่มไม้มองไม่เห็นตัว เมื่ออาบน้ำเสร็จบรรดาชาววังทั้งหลายก็สุมไฟ เอาฟืนมากอง ๆ แล้วก็สุมไฟ เอาไปกองทับพระปัจเจกพุทธเจ้าเข้า มองไม่เห็นหรอก พอไฟไหม้มอดลงไปแล้ว ก็เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้านั่งดำอยู่ นึกในใจว่านี่เป็นพระผู้เป็นเจ้าที่พระราชาเรามีความเคารพ ถ้าพระราชาทรงทราบว่าเราเผาพระปัจเจกพุทธเจ้า เราต้องถูกประหารชีวิตแน่ อีตอนก่อนไม่ได้ตั้งใจ ท่านบอกว่าไม่บาป ไหน ๆ ท่านก็ตายแล้ว เผาให้หมดซากไปเลย เอาฟืนมาทับให้มาก เผาอีก คราวนี้บาปแน่ พอหลังจากนั้น 7 วัน พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านก็ลุกเดินไปตามสบาย นิโรธสมาบัตินี่ทำอะไรไม่ได้นะ ขนก็ไม่ไหม้นะ ผมก็ไม่ไหม้ อาศัยที่หญิงทั้ง 500 ในตอนหลังมีเจตนาเผาพระปัจเจกพุทธเจ้า จึงถูกเผาในชาตินี้” นี่ถ้าเรากลับมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นอย่างนี้นะ

พระก็ถามต่อไปว่า ยังมีสาวใช้อยู่คนหนึ่งชื่อ ขุตฉุตตรา ทำไมจึงเป็นคนมีปัญญามาก

พระพุทธเจ้าก็บอกว่า “ในฐานะที่พระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้น พระราชามีความเคารพ วันหนึ่งเมื่อเข้าไปในเมืองใหม่ ๆ มีคนเขาใส่ข้าวต้มร้อน ๆ ท่านก็เอามือซ้ายถือบ้าง มือขวาถือบ้าง ผลัดกันไปผลัดกันมา ขุตฉุตตราออกไปจากวังเห็นเข้า ก็ถอดกำไลมือถวายท่านเพื่อรองไม่ให้มือร้อน เมื่อถอดกำไลมือถวายท่าน ท่านก็มองหน้าเธอ ก็บอกว่าถวายเลยเจ้าค่ะ แล้วก็ขอพรว่า “ธรรมใดที่พระผู้เป็นเจ้าบรรลุแล้ว...อย่าลืมนะ คำนี้สำคัญมากนะ ธรรมใดที่พระผู้เป็นเจ้าบรรลุแล้ว ขอฉันบรรลุธรรมนั้นด้วยเถิดเจ้าค่ะ” พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ให้พรว่า เอวัง โหตุ ซึ่งแปลว่า เจ้าปรารถนาสิ่งใดขอให้ได้สิ่งนั้นสมความปรารถนา อันนี้เป็นปัจจัยให้นางขุตฉุตตราเกิดในชาติหลังเป็นหญิงที่มีปัญญามาก หญิงทั้ง 500 คน มีพระนางสามาวดีเป็นประธานต้องอาศัยคนนี้

พระก็ถามว่า “ในเมื่อขุตฉุตตราเป็นอย่างนั้นแล้ว ทำไมขุตฉุตตราจึงได้เป็นคนหลังค่อม”

เอาอีกแล้วพระก็แน่เหมือนกัน ไม่แน่เราก็ไม่รู้ ท่านสงสัย มีบุญมากนี่นะ พระพุทธเจ้าก็บอกว่า วันหนึ่งบรรดาสาวใช้ทั้งหลาย เวลาที่พระปัจเจกพุทธเจ้ามา ขุตฉุตตรานี่เป็นคนคล่องตัวมาก แต่หญิงสาวใช้คนอื่น ๆ ไม่เคยเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ก็อยากจะทราบว่า พระปัจเจกพุทธเจ้ารูปร่างเป็นยังไง เธอก็ไม่พูดเฉย ๆ ไปหยิบผ้ามาสไบเฉียงเข้า เอาขันมาอุ้มเข้า ทำเดินหลังค่อม ๆ นี่พระผู้เป็นเจ้าที่พระราชาเคารพมีลักษณะเป็นอย่างนี้ เลยเกิดเป็นหญิงค่อม 500 ชาติ

ท่านก็ถามต่อไปอีกว่า ทำไมเป็นคนรับใช้ของพระราชา พระพุทธเจ้าก็บอกว่า ในสมัยหนึ่ง ขุตฉุตตราเป็นลูกสาวของมหาเศรษฐี จำให้ดีนะ กรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ นี่ เวลานั้น มีพระพุทเจ้าเกิดขึ้นมาในโลก ก็มีนางภิกษุณีองค์หนึ่ง เพื่อนของนางขุตฉุตตราเป็นสาวรุ่นเดียวกัน เป็นพระอรหันต์ ตอนเย็นก็มาเยี่ยมที่บ้าน พอดีกระเช้าเครื่องแต่งตัวมันวางอยู่ นางภิกษุณีก็มานั่งคั่นกลางพอดี เธอก็ยกมือไหว้บอกว่า ขอประทานอภัยพระแม่เจ้า ช่วยหยิบกระเช้าเครื่องแต่งตัวทีเถอะ แค่นี้เองนะ ขออภัยแล้วนะ พระอริยเจ้านี่อย่าลืมนะ ทำบุญนิดหนึ่งก็บุญมหาศาล มันมีค่าเท่ากัน ในเมื่อเธอพูดแบบนั้น นางภิกษุณีก็คิดว่าเราจะหยิบให้เธอดีหรือไม่หยิบดี ถ้าเราหยิบให้เธอ เธอตายจากความเป็นคนแล้วต้องเป็นทาสเขา 500 ชาติ ขนาดขออภัยแล้วนะ ถ้าเราไม่หยิบให้เธอ เธอโกรธในเรา เธอต้องลงนรก ฉะนั้น การเกิดเป็นคน เป็นทาสเขา ดีกว่าลงนรก จึงหยิบให้ เรียกว่าด้วยความเมตตา

ก็สรุปว่า ถ้าเรายังกลับมาเกิดเป็นบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ท่านทุกคนที่นั่งที่นี่ คิดว่าถวายสังฆทานกันแล้วทุกคน หรือว่าสตางค์ทุกบาทที่ญาติโยมเอามาถวาย ไม่ได้ถวายสังฆทานก็เป็นสังฆทาน อาตมาถือว่าเป็นสังฆทานหมด เป็นสังฆทานด้วย เป็นวิหารทานด้วย ก็ถือว่าทุกคนมีสังฆทานแล้ว มีวิหารทานแล้ว มีบุญมหาศาลแล้ว ถ้าเกิดมาใหม่ ยังไงก็ตามต้องเป็นมหาเศรษฐี ถ้ามาเกิดใหม่ก็ต้องถูกกฎของกรรม เพราะอะไรรู้ไหม เพราะทุกคนมีบาป ฉะนั้น เมื่อเราทำบุญ บุญพาไปสวรรค์ บุญพาไปพรหมโลก บุญพาไปนิพพาน ถ้าพาไปนิพพานไม่เป็นไร ถ้าไปอยู่แค่สวรรค์ก็ดี พรหมโลกก็ดี ถ้าหมดบุญวาสนาบารมี ก็ต้องมาโดนกรรมประเภทนั้นอีก

อย่างปาณาติบาต เป็นเหตุให้คนมีอายุสั้น ตายบ้าง มีโรคภัยไข้เจ็บบ้าง อทินนาทาน ไฟไหม้บ้านบ้าง ขโมยลักของหายบ้าง ลมพัดให้บ้านพัง น้ำท่วมบ้านบ้าง กาเมสุมิจฉาจาร คนในปกครองดื้อด้านว่ายากสอนยาก มุสาวาท จะพูดดีแสนจะดีเขาก็ไม่ยอมจะเชื่อ สุราเมรัย อย่างเบาเป็นคนปวดหัว ปวดหัวมาก ปวดหัวบ่อย ๆ อย่างกลางเป็นโรคเส้นประสาท อย่างด็อกเตอร์เป็นบ้า

รวมความว่า กรรมทุกอย่างมันติดตาม เมื่อเรามาเกิดเป็นมนุษย์ ฉะนั้น ขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกคน ตัดสินใจเสียเวลานี้ จนกว่าจะถึงวันตาย เวลาทำความดีทุกอย่าง ไอ้มือ 10 นิ้วนี่มันไม่สึกเวลาไหว้พระ เวลาตื่นขึ้นมาตอนเช้ายังไม่มีเรื่องอะไร กราบพระที่หมอนก็ได้ ไม่ต้องลุกไปที่ห้องพระก็ได้ ใจนึกถึงพระที่ไหน พระถึงเราที่นั่น เคารพพระพุทธเจ้าด้วยความเคารพ ด้วยความจริงใจ แล้วตั้งใจอธิษฐานว่า “เวลานี้ พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน ข้าพระพุทธเจ้าขอไปที่นั่น เวลาตายแล้ว” เอากันแค่นี้ เวลาใส่บาตร เวลาทำบุญ ทำทุกอย่าง ทำหวังนิพพานทั้งหมด ไม่ต้องการหวังผลตอบแทน ให้ข้าวกับคน จะทำงานตอบแทนหรือไม่ก็ช่างหัวมัน เราต้องการนิพพาน อะไรก็ตาม เราต้องการนิพพาน เมื่อเป็นอย่างนี้ทุกคนตายแล้ว อย่างต่ำต้องเป็นเทวดาเป็นนางฟ้า ต้องเป็น เว้นไว้แต่คนดื้อ คนฉลาด เป็นคนฉลาดก็อย่างคนที่เอาพระห้อยคอแล้วอย่าโง่ อย่าห้อยแบบโง่ ห้อยแบบฉลาด ๆ พระห้อยคอตอนเช้าก่อนออกจากบ้านก็ยกมือ สาธุ ตั้งนโม 3 จบ แล้วก็นึกด้วยความเคารพว่าต้องการผลอะไรวันนี้ ตั้งใจยังไงก็ตามใจ ค้าขายหรือมีเมตตามหานิยมอะไรก็ว่ากันไปเถอะ ทุกอย่างบารมีพระพุทธเจ้าย่อมช่วยได้ถ้าไม่เกินวิสัย ถ้าทำอย่างนี้ทุกวันทุกคนมีพุทธานุสสติประจำใจเสมอ ถ้าเวลาจะตายลงไปปั๊บ ภาพพระจะปรากฎเบื้องหน้า อันดับแรก แหงนหน้าอยู่ไม่มองเห็น จะเห็นพระที่คอ ต่อไปพระก็จะกลายเป็นพระสงฆ์ หรือเป็นพระพุทธรูปก่อนก็ได้ แล้วกลายเป็นพระสงฆ์ ไม่ช้าถ้าเราตายในขณะนั้น อารมณ์เราอย่างต่ำเราก็ไปสวรรค์ เอากันแค่อย่างต่ำก่อน

ณ โอกาสบัดนี้ อาตมภาพจะแสดงพระสัทธรรมเทศนาในกฎของกรรมคาถา เพื่อเป็นเครื่องโสรจสรงองคศรัทธาบารมี ที่บรรดาท่านนริศราทานบดีทั้งหลายได้พร้อมใจกันมาบำเพ็ญกุศลประจำปักษ์ในวันนี้ การที่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายตั้งใจมาบำเพ็ญกุศลบุญราศี เพราะว่ามีความดีที่จะพึงปฏิบัติ เพราะทุกคนได้มีความเคารพในองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์เป็นเหตุ จึงได้พากันปฏิบัติตนตามคำแนะนำขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ ก็คือ

1. ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการบริจาคทาน เพราะการให้ทานเป็นปัจจัยการตัดโลภะ ความโลภ เป็นบันไดขั้นหนึ่งที่จะไปนิพพาน

ประการที่ 2 สีลมัย ทุกคนตั้งใจสดับรับรสพุทธพจน์เทศนาในคำแนะนำ คำว่าศีลเสียก่อน คือรับศีลก่อน เพราะว่าศีลองค์สมเด็จพระชินวรทรงกล่าวว่า เป็นปัจจัยทำลายโทสะ ความโกรธ เป็นบันไดขั้นที่สองเข้าถึงนิพพาน

ประการที่ 3 บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ตั้งใจสดับรับรสพุทธพจน์เทศนาเป็นคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันเป็นเหตุการสดับรับรสพุทธพจน์เทศนานี้ องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์กล่าวว่า เป็นปัจจัยให้เกิดปัญญา เป็นการตัดโมหะ ความหลงโดยที่สุด ความตรงที่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายตั้งใจปฏิบัติวันนี้ ก็คือหวังนิพพานเป็นเหตุ ว่าหนึ่ง ทานเป็นการตัดโลภะ ความโลภ สอง ศีลตัดโทสะ ความโกรธ สามฟังเทศน์ ตัดโมหะ ความหลง เป็นการปฏิบัติตรงต่อพระนิพพาน ตามที่สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องการ



อุปตตกเศรษฐี



สำหรับการเทศน์วันนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัทอากาศมันก็หนาวมากไปหน่อย คนเทศน์ก็หนาว พระเทศน์ก็หนาว คนฟังเทศน์ก็หนาว เป็นอันว่าถ้าเทศน์เวลาหนาว ๆ และถ้าเทศน์ธรรมะมากไปคนฟังก็หลับ รวมความว่าวันนี้ขอเทศน์พระสูตรเป็นเรื่องใหญ่ ขอนำพระสูตรเรื่องนี้ที่องค์สมเด็จพระจอมไตรตรัสไว้ คือเรื่อง อปุตตกเศรษฐี อปุตตกเศรษฐีแปลว่า เศรษฐีไม่มีบุตร เนื้อความก็มีอยู่ว่า

เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ เวลานั้นองค์สมเด็จพระบรมครูปรารถเศรษฐีคนหนึ่ง ที่มีนามว่าอปุตตกเศรษฐี ในการนั้น องค์สมเด็จพระมหามุนีประทับอยู่ในพระมหาวิหาร ปรากฎว่าตอนกลางวันเวลายังไม่เย็นยังไม่ค่ำ เป็นเวลาแปลกกว่าวันอื่นตามธรรมดา พระเจ้าปเสนทิโกศลบรมกษัตริย์ พระบาทท้าวเธอจะทรงเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเฉพาะเวลาใกล้ค่ำหรือเวลาค่ำ บรรดาพระสงฆ์เสร็จภารกิจแล้ว แต่ทว่าวันนั้นพระเจ้าปเสนทิโกศลได้เข้าเฝ้าองค์สมเด็จพระประทีปแก้วเป็นเวลากลางวัน คือบ่ายเพียงเล็กน้อยเมื่อตะวันคล้อยไปไม่มาก เสร็จภารกิจก็เข้าไปแวะหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธเจ้าเห็นพระเจ้าปเสนทิโกศลมาเวลาแปลก คือมาผิดเวลากว่าวันอื่น จึงมีพระพุทธฎีกาว่า มหาราชะ ขอถวายพระพรพระมหาบพิตรพระราชสมภาร วันนี้มีเวลาว่างจากกิจการงานหรือไรจึงมาแต่วัน



สมบัติเป็นของหลวงผ่านมา 6 ชาติแล้ว



พระเจ้าปเสนทิโกศลก็กราบทูลองค์สมเด็จพระภควันต์ว่า ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้า วันนี้ข้าพระพุทธเจ้าไปจัดการให้เจ้าหน้าที่ขนทรัพย์สมบัติของอปุตตกเศรษฐี คือว่าเศรษฐี มหาเศรษฐีที่ไม่มีบุตร ที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรู้จักดี เวลานี้เธอตายจากความเป็นคนไปแล้ว ครั้นเมื่อเธอตายจากความเป็นคนแล้ว ก็ประกาศหาญาติเป็นผู้รับมรดก แต่ปรากฎว่าไม่มีใครเป็นญาติของเธอ เธอไม่มีลูก เธอไม่มีหลาน เธอไม่มีใครทั้งหมด ฉะนั้น เมื่อทรัพย์ทั้งหลายของบุคคลใดก็ตาม ไม่ปรากฎทายาทเป็นผู้รับมรดก จึงจะให้บรรดาข้าทาสชายหญิงทั้งหลายเป็นอัสระ แล้วก็ขนทรัพย์ของมหาเศรษฐีนั้น ต้องขนทั้งสิ้นเวลา 7 วันจึงจะหมด เมื่อทรัพย์หมดวันนี้ ข้าพระพุทธเจ้าจึงได้แวะมาหาองค์สมเด็จพระชินสีห์

แล้วพระพุทธเจ้าก็กล่าวว่า มหาราชะ ขอถวายพระพรพระมหาบพิตรพระราชสมภาร แต่ความจริงเศรษฐีคนนี้เมื่อเป็นมหาเศรษฐีแล้ว ตายแล้วก็ต้องนำทรัพย์เข้าเป็นของหลวงนั้นถึง 7 ชาติด้วยกัน คือชาติก่อน ๆ ผ่านมาแล้ว 6 ชาติ ก็มีสภาพแบบนี้ เมื่อเธอเป็นมหาเศรษฐีแล้วตายก็ไม่มีใครรับมรดก คือไม่มีลูกรับมรดก ถ้าไม่มีลูกเขาก็ถือว่า หลานที่ใกล้ชิดมีไหม หลานที่ใกล้ชิดก็มี แต่ว่าหลานนี้ต้องเป็นลูกของลูก ในเมื่อไม่มีลูกก็ต้องไม่มีหลาน เมื่อลูกไม่มีจะรับมรดก หลานไม่มีรับมรดก ก็ต้องตกเป็นของหลวง พระพุทธเจ้าบอกว่า อาการอย่างนี้เป็นมาแล้ว เป็นชาติที่ 7 แล้ว สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า มหาราชะ ขอถวายพระพรพระมหาบพิตรพระราชสมภาร เหตุความเป็นมาของมหาเศรษฐีมีดังนี้



กรรมที่ทำให้ไม่มีลูก



คือว่าในกาลนานมาแล้ว ในสมัยองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว คือพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ เศรษฐีคนนี้เกิดขึ้นมาเป็นคนแบบนี้ เป็นคนร่ำรวยแบบนี้ แต่ทว่าเขามีพี่ชายอยู่คนหนึ่ง ต่อมาพี่ชายก็มีลูกเล็ก ๆ คนหนึ่ง ในเมื่อพี่ชายมีลูกเล็ก ๆ พี่ชายก็ตายหมดอายุขัย หลังจากนั้นเขาจะไปทางไหนเขาก็นำลูกชายของพี่ชายไปด้วย สำหรับลูกชายของพี่ชายนั้นก็เป็นเด็กพูดเก่ง เป็นเด็กที่มีความฉลาด เมื่อไปถึงทิศไหนพบใครก็บอกว่า

“นี่คุณอาของผมครับ รถที่ขี่มานี่เป็นรถของพ่อของผม บ้านที่ผมอยู่ก็เป็นบ้านของพ่อผม ทรัพยฺ์สินต่าง ๆ ก็เป็นทรัพย์สินของพ่อผม”

เธอก็พูดอย่างนี้ตลอดเวลา ปรากฎว่าต่อมามหาเศรษฐีคนนี้ซึ่งเป็นอาต้องเลี้ยงเด็กคนนั้น ก็มาคิดในใจว่า เจ้าหลานชายคนนี้ ในเมื่ออายุมันแค่เล็ก ๆ แค่ 3-4 ปี ขณะนี้ มันยังพูดอย่างนี้ว่า โน่นก็ทรัพย์ของพ่อผม นี่ก็ของพ่อของผม ทุกสิ่งทุกอย่างของพ่อมันทั้งหมด ขนาดที่เป็นเด็กมันพูดอย่างนี้ แล้วถ้าโตขึ้นไปเป็นผู้ใหญ่เป็นหนุ่มเป็นสาว ทรัพย์สมบัติทั้งหลายเหล่านี้ทั้งหมดเราก็ไม่มีสิทธิ์จะครอง เพราะเจ้าเด็กคนนี้มันก็ต้องครองทรัพย์สินแทนพ่อของมัน แต่ความจริงเราเป็นน้องเราก็มีสิทธิ์รับมรดก แต่ว่าอาการอย่างนี้ที่จะปรากฎถึงความเดือดร้อนจะมีกับเรา จึงหาทางตัดไฟแต่ต้นลม วันหนึ่งก็นำเด็กคนนี้ นำหลานชายเข้าไปเที่ยวในป่าหลังบ้าน พอไปที่ลับหูลับตาของคนแล้ว ก็จัดการบีบคอเด็ก บีบคอเสียจนตายก็ซุกไว้ เอาใบไม้ทับแล้วกลับบ้าน

องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า กฎของกรรมอย่างนี้ติดตามเขามานาน แต่องค์สมเด็จพระพิชิตมารยังไม่กล่าวถึงกฎของกรรมชั่วหรือบาปในตอนนี้ องค์สมเด็จพระมหามุนีก็กล่าวว่า การที่เขาจะเป็นมหาเศรษฐีได้เพราะมีบุญเก่าอย่างนี้



บุญที่ทำให้เป็นมหาเศรษฐี



ท่านกล่าวว่า ในสมัยครั้งหนึ่ง มีพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ท่านมาบิณฑบาตรใกล้บ้านของเขา เข้ามาในเขตของบ้าน เจ้าของบ้านคนนี้ปรากฎว่าไม่เคยให้ทานมาในกาลก่อน ขึ้นชื่อว่าต้องควรจะให้อย่างนั้นกับคนนั้น ควรจะให้อย่างนี้กับคนนี้ก็ดี ควรจะนำของถวายพระก็ดี ไม่เคยออกปากมาก่อน คือไม่เคยให้ทาน แต่ทว่าวันนั้น พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านเสด็จมา เขาก็เกิดความรำคาญว่า สมณะโล้นคนนี้พยายามรบกวนเราอยู่เสมอ แต่ความจริงท่านไม่เคยมา เขาจึงกล่าววาจาด้วยความไม่ตั้งใจว่า เอ้า..ใครอยากจะให้อะไรก็ให้ไปก็แล้วกันนะ แล้วเขาก็ลุกหนีไปด้วยความรำคาญ

เป็นอันว่าแม่บ้านคือภรรยาของเขา ได้ฟังคำว่าใครจะให้อะไรกับพระก็ให้เถิดอย่างนี้ เธอคิดว่าถ้อยคำนี้ไม่เคยมีแก่บุคคลคนนี้ แต่ทว่าวันนี้คนนี้ใจดี แนะบอกให้เราให้อะไรก็ให้ได้ จึงนิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าเข้ามาในบ้าน นิมนต์ท่านนั่งแล้วก็รับบาตร เมื่อรับบาตรแล้วก็จัดอาหารอย่างดีที่สุดที่ตนเองก็ไม่ค่อยจะได้กินนัก เป็นธรรมดาของชาวบ้านที่เวลาที่จะทำบุญ บางทีตนเองก็ไม่มีอะไรจะกิน มีเล็ก ๆ น้อย ๆ มีผักบ้าง มีพริกบ้าง มีปลาทูบ้าง บางทีปลาทูก็ไม่มีบ้าง กินกันไปแค่อิ่ม ๆ แต่ทว่าเวลาจะทำบุญนี้จริง ๆ จัดอาหารที่มีรสเลิศที่ดีที่สุดที่คิดว่าจะพึงมีได้ บางทีตนเองก็ไม่ได้กินอย่างนั้น นี่เป็นเวลาของคนที่ทำบุญด้วยศรัทธาแท้ เมื่อแม่บ้านจัดอาหารอย่างดีเสร็จ ก็บรรจุลงในบาตรของพระปัจเจกพุทธเจ้า เมื่อใส่ของเต็มเป็นที่พอใจแล้ว ก็ประเคนพระปัจเจกพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าก็รับบาตรไป ก็เดินออกไปจากบ้าน ก็พอดีนายบ้านคือพ่อบ้านเดินสวนทางมาพอดี



ทานที่ให้ขาดเจตนาแต่ก็มีอานิสงส์



เขาก็คิดในใจว่า สมณะโล้นคนนี้ได้อะไรบ้างนี่ เขาไม่เต็มใจ จึงถามท่านว่า ท่านได้อะไรมาบ้าง พระปัจเจกพุทธเจ้าก็บอกว่า ได้ตามที่เขาให้มา เขาจึงขอดูบาตร พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ให้ดูบาตร เขามีความรู้สึกว่าอาหารที่มีรสเลิศ อาหารชั้นเลิศดี ๆ ทั้งหมดที่คนในบ้านให้พระปัจเจกพุทธเจ้าไป รู้สึกเสียดายในอาหาร ขาดเจตนาหลัง แล้วก็มีความรู้สึกในใจว่า อาหารอย่างดีอย่างนี้ไม่ควรจะมีแก่สมณะโล้น เพราะว่าสมณะโล้นนี่กินแล้วก็นอน ไม่มีการมีงาน ไม่เป็นประโยชน์กับเรา ถ้าหากอาหารทั้งหลายเหล่านี้ทำให้แก่ทาสกรรมกรของเราจึงจะมีประโยชน์กว่า เพราะว่าเธอกินแล้วเธอก็ทำงานให้กับเรา เขาคิดอย่างนี้นะ แค่คิดแต่ว่าเขาไม่ได้ทำ คือไม่ได้แย่งข้าวมา หลังจากนั้นแล้วก็ส่งบาตรให้พระปัจเจกพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าก็หลีกไป เขาก็กลับเข้ามาบ้าน

องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า มหาราชะ ขอถวายพระพรพระมหาบพิตรพระราชสมภาร เพราะอาศัยบุญที่เขาบำเพ็ญกับพระปัจเจกพุทธเจ้าโดยไม่มีการเต็มใจ นั่นคือเขาไม่ได้ให้กับมือของเขา ที่เขาพูดไปก็กล่าววาจาลอย ๆ ว่า ใครจะให้อะไรก็จงให้ แต่เขาพูดด้วยความไม่เต็มใจ ด้วยความไม่อยากจะให้ หลังจากที่พระปัจเจกพุทธเจ้ารับทานแล้ว เขาก็ยังมีความเสียดายว่า ให้กับสมณะโล้นไม่มีประโยชน์ ไม่ทำงานให้กับเรา ถ้าให้กับทาสกรรมกรของเราจะมีประโยชน์กว่า เธอกินอิ่มแล้วก็ทำงานให้กับเรา นี่ความจริงอาการอย่างนี้บรรดาท่านพุทธบริษัททุกคนอาจจะคิดว่า บุญนี้ไม่มีอานิสงส์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า บุญนี้ก็มีอานิสงส์

1. เขาไม่ตั้งใจ (จำให้ดีนะ)

2. พูดสั่งลอย ๆ ว่า ใครจะให้อะไรก็ให้ โดยไม่มีความเต็มใจ

3. มีความรู้สึกเสียดาย เวลาที่พระปัจเจกพุทธเจ้ารับไปเห็นว่าเป็นของดี

อันนี้ ถ้าเราจะถามกันระหว่างนักเทศน์ ก็ตอบว่าไม่มีอานิสงส์ แต่ความจริงตอบอย่างนี้ผิด

พระพุทธเจ้ากล่าวว่า พระมหาบพิตรพระราชสมภาร บุญอย่างนี้ก็มีอานิสงส์ เป็นเหตุให้บุคคลคนนี้พร้อมด้วยครอบครัวที่บำเพ็ญกุศลแล้ว ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลกถึง 7 ครั้ง เห็นไหม แต่ว่าการเป็นเทวดาของบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย การบำเพ็ญกุศลโดยไม่เต็มใจ สภาพความเป็นทิพย์ก็เศร้าหมองเล็กน้อย แต่ว่าถึงอย่างไรเขาก็เป็นเทวดา ผัวก็เป็นเทวดา เมียก็เป็นนางฟ้า ลูกเต้าก็เป็นเทวดาบ้าง นางฟ้าบ้างร่วมกัน ตลอดจนกระทั่งคนรับใช้ที่เขาช่วยจัดการงาน จัดอาหารให้พระปัจเจกพุทธเจ้า ช่วยกันบรรจุในบาตร ทุกคนก็เป็นนางฟ้าเป็นเทวดาร่วมกัน พระพุทธเจ้ากล่าวว่า บุญประเภทแค่เล็กน้อยเท่านี้ ถึงเขาไม่เต็มใจ ก็บันดาลให้เขาเกิดเป็นเทวดาเป็นถึงนางฟ้า
7 ครั้ง แล้วก็ลงมาเป็นมหาเศรษฐีในเมืองมนุษย์ ในกรุงสาวัตถีนี้จริง ๆ โดยเฉพาะเมืองนี้ 7 ครั้งเหมือนกัน



ผลของทาน



แต่ละคราวที่เขาเป็นมหาเศรษฐี องค์สมเด็จพระมหามุนีตรัสอย่างนี้ บุคคลคนนี้ใช้ของดีไม่ได้ กินของดีที่มีรสเลิศไม่ได้ กินข้าวปกติไม่ได้ กินข้าวมีเม็ด ๆ เต็มเม็ดไม่ได้ กินข้าวหักก็ไม่ได้ ต้องกินปลายข้าวละเอียด อาหารที่เขากินประจำนั้นก็คือ ปลายข้างต้มกับน้ำผักดองเป็นกับ เขากินได้เท่านี้ เอร็ดอร่อยมากเป็นที่พอใจ ครั้นเวลาคนทั้งหลายนำถาดทองคำใส่อาหารมาให้ เขาก็หาว่าประชดประชันเขา เขาก็ไล่ขว้าง ไล่ตีบ้าง ถ้านำผ้าใหม่ ๆ มาให้ เขาก็หาว่าประชดประชันเขา เขาไล่ขว้าง ไล่ตีบ้าง ก็โยนทิ้งไป ต้องนุ่งผ้าเก่า ๆ ที่ชาวบ้านใช้ซ้ำแล้วซ้ำอีกนั่นแหละ เขานุ่งได้ ร่มธรรมดาที่คนใช้จะกางร่มให้เวลาร้อน เขาก็ไม่ต้องการ ไล่ทุบไล่ตี หาว่าประชดประชัน แต่ว่าเขานั้นจะใช้แค่กิ่งไม้ที่มีใบไม้บ้างบังแดดเท่านั้น เป็นที่พอใจ

องค์สมเด็จพระจอมไตรกล่าวว่า ความเป็นมหาเศรษฐีที่มีขึ้นมาได้ เพราะอานิสงส์ที่มีคำสั่งให้ทุกคนใครก็ได้ ใส่บาตรแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า แต่ว่าเขาสั่งด้วยความไม่เต็มใจ แต่ว่านั่นเป็นคำสั่ง ผลทานเกิดแก่เขา อันนี้ บันดาลให้เขาเป็นมหาเศรษฐี แต่ว่าการเกิดเป็นมหาเศรษฐีแต่ละครั้งก็ใช้ของดีไม่ได้ เพราะการไม่เต็มใจถวายพระ ความไม่เต็มใจนี่ แทนที่จะกินอาหาร มีมธุปายาส เป็นต้น นี่กินไม่ได้ อาหารที่ข้าวที่เป็นเม็ดเต็มก็กินไม่ได้ เม็ดหักก็กินไม่ได้ ต้องกินปลายข้าวกับน้ำผักดอง นี่การถวายภัตตาหารแก่บรรดาพระสงฆ์ พระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นประธาน อันนี้เพราะความไม่เต็มใจ

ต่อมา พระพุทธเจ้าก็ทรงบอกว่า เขาไม่มีบุตร เกิดทุกชาติ 7 ชาติ นี่เขาไม่มีบุตร เพราะโทษฆ่าลูกของพี่ชาย การฆ่าลูกชายของพี่ชายนี่เป็นปัจจัยให้เขาเองไม่มีบุตร ไม่มีใครรับมรดก ฉะนั้น การเป็นมหาเศรษฐีในเมืองสาวัตถีของเขา 7 ครั้ง ลงจากความเป็นเทวดามาบุญหย่อนหน่อยหนึ่งก็มาเกิดเป็นมหาเศรษฐี ตายจากความเป็นคนก็ไปเกิดเป็นเทวดา ลงจากเทวดาก็เป็นมหาเศรษฐี สลับกันไปสลับกันมาอย่างนี้เป็นครั้งที่ 7 เพราะกำลังบุญที่ถวายกับพระปัจเจกพุทธเจ้าครั้งเดียว โดยความไม่เต็มใจ



กรรมเก่าส่งผล



แต่องค์สมเด็จพระจอมไตรก็บอกว่า เขาเป็นมหาเศรษฐีอย่างนี้เพราะอาศัยการไม่มีบุตร เมื่อเขาตายแล้วต้องขนทรัพย์เป็นของหลวง 7 ชาติ ที่ผ่านมาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวว่า การที่เขาเป็นเทวดาเกิดบนสวรรค์ได้ถึง 7 ครั้ง แล้วเกิดเป็นมนุษย์ 7 ครั้ง สลับกันไปสลับกันมาอย่างนี้ กฎของกรรมที่เป็นอกุศลยังไม่ให้ผล นั่นคือเป็นผลของความดีที่ถวายทานกับพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้ง ๆ ที่ไม่เต็มใจ ต่อมาชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย นั่นคือ เขาลงมาจากความเป็นเทวดาแล้วก็เกิดเป็นคน เป็นมหาเศรษฐี ต้องใช้ของเลว ๆ กินของเลว ๆ แบบนี้ เพราะไม่เต็มใจถวายทาน

เมื่อเขาตายชาตินี้แล้ว องค์สมเด็จพระพิชิตมารก็กล่าวกับพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า มหาราชะ ขอถวายพระพรพระมหาบพิตรพระราชสมภาร ต่อแต่นี้ไปที่เขาตายแล้วนั้น เขาไม่กลับไปเป็นเทวดาอีก เพราะบุญบารมีที่ถวายแก่พระปัจเจกพุทธเจ้านั้นหมดแล้ว ครั้งที่ 7 หมดกัน เกิดเป็นเทวดา 7 ครั้ง เกิดเป็นคน 7 ครั้ง ถวายทานครั้งเดียวหมดกัน บุญหมดไป ต่อนี้เขารับผลกฎของกรรมใหญ่ คือฆ่าลูกของพี่ชาย เวลานี้มหาเศรษฐีคนนี้คืออปุตตกเศรษฐี ไปเกิดในนรกชื่อว่า มหาโรรุวนรก เป็นนรกขุมที่ 7 มีอายุเสวยกฎของกรรมอยู่ที่นรกขุมนั้นสิ้นเวลาครึ่งกัป เมื่อพ้นจากกฎของกรรมในนรกขุมที่ 7 แล้ว ก็ต้องผ่านนรกบริวาร 4 ขุม เวลานับไม่ได้ ก็เรียงลำดับมากว่าจะเกิดเป็นคนก็นาน

นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน วันนี้นำพระสูตรเรื่องสั้น ๆ มาคุยสู่กันฟัง เพราะว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย จะได้พึงทราบกฎของกรรมว่า กรรมที่เราทำความดีคือ ทำบุญ บุญ ก็แปลว่า ดี หรือกรรมที่กระทำความชั่ว คือ บาป มันไม่ทิ้งจากเราไป ขณะใดที่กรรมที่เป็นกุศลให้ผลอยู่ เวลานั้นเราก็มีความสุข ถ้าตายจากความเป็นคนก็ไปเสวยความสุขในสุคติ มีสวรรค์บ้าง พรหมบ้าง เป็นต้น ทั้งนี้ ถ้ากำลังใจยังไม่ถึงที่สุด แต่ถ้าหากว่าบุญนั้นยังไม่ส่งผลที่สุดเพียงใด ถ้าบุญคลายตัวลงมาเป็นเทวดาหรือเป็นนางฟ้าไม่ได้ อ่อนไป บุญอ่อนไปก็มาเกิดเป็นคน หลังจากเกิดเป็นคน ประกอบความดีบ้างเล็กน้อยพอสมควร อาศัยบุญเก่ายังไม่สิ้นไป ตายจากความเป็นคนก็ไปเกิดเป็นเทวดาเกิดเป็นนางฟ้า อย่างนี้ย่อมมีอยู่ อาการอย่างนี้เป็นปัจจัยให้บุคคลตกอยู่ในความประมาท คิดว่าการเป็นเทวดา การเป็นนางฟ้าของเราจะยืนนาน จะทรงตัวนานตลอดกาลตลอดสมัย แต่ก็ลืมไปว่ากฎของกรรมเก่าของเรามีที่เป็นอกุศล คือ

1. การฆ่าสัตว์ เรามี

2. การลักทรัพย์ ขโมยทรัพย์ ยักยอกทรัพย์ อาจจะมีก็ได้

3. กาเมสุมิจฉาจาร เราอาจจะมีอยู่บ้าง

4. การพูดมุสาวาท เราอาจจะมีอยู่บ้าง

5. การดื่มสุราเมรัย เรายังมีอยู่

ว่าเฉพาะ ปัญจเวร 5 ประการนี้ยังหยาบเกินไป กฎของกรรมที่ทำให้เราตกนรกยิ่งกว่านี้มีอยู่อีกฝ่ายธรรมะ แต่ก็จะยังไม่พูดในวันนี้ เพราะเวลามันเหลือนิดหน่อย ฉะนั้น ในเมื่อความดีที่เราทำอยู่ แต่กฎของกรรมความชั่วยังไม่ให้ผล เราก็หลงระเริงคิดว่าเรามีความสุข ต่อไป ถ้าเราเผลอเมื่อไร หรือว่ามีความประมาท คิดว่าความดีมีมากพอแล้ว ไม่ส่งเสริมต่อ ถ้ากฎของความดีนั้นหมดไปเมื่อไหร่ ก็เหมือนกับอปุตตกเศรษฐีต้องลงนรก ใกล้อเวจี เหลืออีกขุมเดียวก็ถึงอเวจี การทำบาปที่เป็นอาจิณกรรม ที่เป็นปาณาติบาต เป็นต้น สามารถดลบันดาลให้คนลงอเวจีได้



คุณพระรัตนตรัย



โดยเฉพาะอย่างยิ่งของสงฆ์หรือของวัด ไม่ว่าวัตถุใด ๆ แม้จะเป็นกระเบื้องแตก ๆ เล็ก ๆ ชิ้นเล็ก ๆ ก็ถือว่าเป็นของสงฆ์ ถ้าบุคคลนำไปโดยไม่ได้รับอนุญาตจากสงฆ์ คำว่าสงฆ์นี่ ต้องสงฆ์หรือว่าพระเห็นชอบพร้อมกัน ไม่ใช่พระองค์ใดองค์หนึ่ง หรือไม่ใช่เจ้าอาวาสนำของสงฆ์ไปโดยที่สงฆ์ไม่เห็นชอบด้วย ท่านทั้งหลายลงอเวจีมหานรกเลย กฎของกรรมอย่างนี้อาจจะมีอยู่กับบรรดาท่านพุทธบริษัท ฉะนั้น ขอให้ทุกคนจงอย่างประมาท หาทางหนีกฎของกรรมของอกุศลกรรม คือความชั่ว ว่าคนทุกคนย่อมมีความชั่ว ตั้งใจคิดว่า ถ้าตายคราวนี้ ผลของความชั่วต้องไม่มีกับเรา คือความชั่วน่ะมีอยู่ แต่ผลไม่ได้เกิดกับเรา เราทำอย่างไร อันดับแรกก็ตั้งใจนึกถึงคุณพระรัตนตรัย คือคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ เป็นที่พึ่ง

ฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงทรงแนะนำว่า ทุกคนพยายามทำบุญบ่อย ๆ คำว่าทำบุญนี้ ท่านพุทธบริษัทก็ไม่จำเป็นต้องสิ้นเงินสิ้นทองเสมอไป เรามีอาหารเราก็ถวายอาหาร เรามีข้าวเราก็ถวายข้าว มีผักเราก็ถวายผัก มีพริกถวายพริก ถ้าเผอิญมันไม่มีจริง ๆ ข้าวทัพพีเดียวก็ไม่ยอมจะมี มีบ้างพอกินบ้างเล็กน้อยก็ไม่สมบูรณ์บริบูรณ์ ทำยังไงจะเป็นบุญ ก็ใจกำลังใจของเรา บรรดาท่านพุทธบริษัท น้อมใจเคารพในองค์สมเด็จพระจอมไตร คือพระพุทธเจ้า พอตื่นขึ้นเช้าปั๊บ กว่าจะผ่านจากที่นอนไป ก็เข้าห้องพระหรือว่าพระมีอยู่ที่หัวนอน ตั้งใจกราบพระพุทธเจ้าด้วยความเคารพ จะว่า นะโม ตัสสะ หรือไม่ว่าก็ตามใจ ให้ใจเคารพก็แล้วกัน ทุก ๆ ครั้ง ที่เราจะจากที่นอนไป ตั้งใจไหว้พระด้วยความเคารพ ด้วยความจริงใจ เพียงเท่านี้ทุกวัน ต่อไปจิตของท่านจะชิน พอจิตนึกถึงพระพุทธรูปเป็นการชินแล้ว คำว่าชิน นั้นหมายถึงฌาน

ฌาน คืออารมณ์ชิน มันนึกจนชิน ถึงเวลาคิดว่าเวลานี้เป็นเวลากราบพระของเรา เราก็กราบ ต่อไปถ้าไปอยู่ในสถานที่ใดที่อื่นจากบ้านของเรา ถึงเวลานั้นเราก็คิดว่า เวลานี้เป็นเวลาจะกราบพระ ถึงแม้ไม่มีพระพุทธรูปอยู่ เราก็ตั้งใจกราบด้วยความเต็มใจ ถ้าเป็นอย่างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ถือว่าทุกท่านมีฌานในพุทธานุสสติกรรมฐาน


วันนี้ก็จะเล่าเรื่องกฎของกรรม กรรมที่น่าคิดก็คือเรื่องโกตุหลิกะ โกตุหลิกะนี่เป็นตอนหนึ่งของเรื่อง “สามาวดี” กรรมติดตามกันทั้งบุญและบาป อันนี้น่าฟังนะ เรื่องมีอยู่ว่า ท่านโกตุหลิกะนี้ท่านเป็นคนจน ทั้งสองตายายก็จนกันทั้งคู่ เขายังหนุ่มอยู่ มีลูกอยู่คนหนึ่งยังคลานไม่ได้ เวลานั้นเขาอยู่เมืองอารัพภกะ เขาอยู่แคว้นอารัพภกะ เป็นอันว่า เวลานั้นปรากฎว่าข้าวยากหมากแพง ฝนแล้งไม่ตกต้องตามฤดูกาล ความจนเกิดขึ้น และก็ประกอบกับโรคอหิวาต์เกิดขึ้น ทั้งสองคนตายายและลูกน้อยคนหนึ่ง ก็ต่างคนต่างหนีจากเมืองนั้นมา เมืองโกสัมพี ก็เป็นอันว่าคนจนนี่ก็มีอะไรไม่มาก ก็มีข้าวสุกติดมาเล็กน้อย กินน้อย ๆ อยู่ได้แค่สามวันแล้วก็ผ่านป่ามา ยังไม่ทันจะพ้นป่า ข้าวหมด ต้องเดินอดมาอีกสามวัน อดอาหารสามวันนี่ต้องคิด



ทิ้งลูก



ต่อมาท่านสามีคือ โกตุหลิกะ แกคิดว่าลูกเล็ก ๆ อุ้มไม่ไหว ทิ้งไว้นอนตายกลางป่าดีกว่า ต่อมา เมื่อท่านพ่อคิดว่าลูกนี้อุ้มไม่ไหว เพราะอดข้าวมาสามวัน ก็ต้องคิด ปรึกษาภรรยาบอกว่าทิ้งซะดีไหม เราก็ยังหนุ่มยังสาว อยู่ไม่ช้าก็มีลูกใหม่ได้ สำหรับภรรยามีความรักลูก บอกว่าไม่ได้ ทิ้งไม่ได้ ต่อมาวันที่สี่เธอไม่ไหวจริง ๆ ก็ปล่อยภรรยาเดินออกหน้า ไปไกลหน่อยในป่า เธออยู่ข้างหลังเห็นภรรยาไปไกล ก็เข้าไปโคนต้นไม้ เอาใบไม้มารอง เอาลูกวางไว้ ทำเดินช้า ๆ กว่าจะทันภรรยาก็ไกล ภรรยาไม่เห็นลูก ก็ถามว่า ลูกไปไหน เธอก็บอกว่า เอาไปวางไว้ที่โคนต้นไม้โน้น ภรรยาบอกว่า ถ้าไม่มีลูกฉันไปไม่ไหว ก็กลับมาดูลูก พอดีลูกตายไปเสียแล้ว ไอ้นั่นเจตนาจริง ๆ เพราะฆ่าลูก แต่ความโกรธของเขาไม่มี มันไม่ไหวจริง ๆ ดูกฎของกรรมต่อไปนะ เรื่องนี้มีกฎของกรรมตลอด จะได้ทราบเรื่องกฎของกรรม



บ้านนายโคบาล



หลังจากนั้นเดินออกจากป่าก็เข้าถึงเขตเมืองโกสัมพี เมื่อเข้าเขตโกสัมพี เขาก็เข้าไปถึงบ้านนายโคบาล คำว่าโคบาลนี่คนเลี้ยงวัวขาย เลี้ยงโคนม เขามีวัวมาก วันนั้นบังเอิญบ้านนายโคบาลเขามีงานประจำปี เป็นการฉลองทำบุญประจำปี แต่การทำบุญประจำปีคราวนั้น ก็มีพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งที่เขานิมนต์ไว้ สองคนตายายออกจากเขตป่าแล้วหิวโซเซ ก็เดินเข้าไปในบ้านเขา เขาก็ถามว่าคุณสองคนมาจากไหน สองคนตอบว่า มาจากแคว้นอารัพภกะ เขาถามว่า จะมาทำไม บอกว่า อยากจะมาทำงาน รับจ้างทำงาน นายโคบาลเห็นคนท่าทางทรุดโทรมมาก จึงคิดว่าเรื่องทำงานเป็นของไม่ยาก ทีนี้บ้านนี้มีงานให้ทำ แต่ขอให้สองคนรับประทานอาหารเสียก่อน คงจะหิวมาก

เขาก็จัดข้าวมธุปายาส เขามีงานประจำปีของเขา ทำบุญประจำปี มีข้าวมธุปายาสมาก เลี้ยงคนจำนวนมาก เขานำข้าวมธุปายาสสองชามใหญ่ ๆ มาให้สองสามีภรรยา นี่ความจริงข้าวมธุปายาสนี่คนจนกินไม่ได้ เห็นข้าวมธุปายาสก็หม่ำไม่ยั้งตัว กินนะ ไม่เรียกว่ากินนะคุณนะ ต้องหม่ำนะ ว่าไม่ยั้งตัว สำหรับท่านภรรยา กินน้อย ๆ ค่อย ๆ กิน ประเดี๋ยวเดียว โกตุหลิกะกินหมดชาม ภรรยาก็ห่วงสามี ถามว่า พอไหม แกบอกว่ายังไม่พอ ภรรยาก็ส่งส่วนของเธอให้ เธอก็กิตต่ออีก ไม่ยั้งเหมือนกัน



สามีตายแล้วเกิดเป็นสุนัข



แต่ขณะที่กินข้าวมธุปายาส เวลานั้นนายโคบาลก็กินข้าวเหมือนกัน เขามีสุนัขตัวหนึ่ง เป็นพันธุ์พื้นเมือง เป็นตัวเมีย เป็นหมาที่เขาเลี้ยง ในเวลาที่เขากินข้าวเขาก็แบ่งอาหารที่เขากิน เป็นกับข้าวดี ๆ ให้สุนัขกิน เอาจานมาวางเข้าแบ่งอาหารให้กิน เป็นอาหารที่เขากินนะ โกตุหลิกะก็มีความรู้สึกว่า เราเป็นคนยังไม่มีอาหารดี ๆ อย่างนี้กิน สุนัขตัวนี้มันดีกว่าเรา กำลังชมเชยสุนัขอยู่แบบนั้น ไอ้โรคลมก็ดันขึ้นมาอืดตาย ตายปัจจุบัน อาศัยที่ใจเกาะสุนัขอยู่ก่อน จิตออกจากร่างก็เข้าท้องสุนัขทันที อาศัยที่เขาตายจากคน เป็นคนแล้วก็เป็นสุนัข จึงรู้ภาษามนุษย์มาก เกิดมาก็เป็นสุนัขแสนรู้

ในระหว่างนั้น ตามปกตินายโคบาลก็มีพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ที่เขามีความเคารพ เวลาพ้นจากฤดูฝนคือเดือนสิบสองมาแล้ว เขานิมนต์ท่านจากภูเขาคันธมาศน์ มาอยู่ประจำที่ภูเขาข้างบ้าน เช้าท่านก็ไปนิมนต์ท่านมาฉันภัตตาหาร พอเจ้าสุนัขตัวนี้โต เวลาเขาไปนิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าเขาก็พาไปด้วย ไปถึงที่ตรงเป็นสุมทุมพุ่มไม้รกมาก นายโคบาลก็เกรงว่าสัตว์ร้ายจะอาศัยอยู่ เวลาที่พระปัจเจกพุทธเจ้าเดินมา อาจจะทำร้ายพระปัจเจกพุทธเจ้าได้ แกจึงเอาไม้ตีพุ่มไม้และก็ส่งเสียงดังเพื่อไล่สัตว์ ไอ้เจ้าสุนัขตัวนั้นก็จำ พอไปถึงปากถ้ำพระปัจเจกพุทธเจ้า นายโคบาลก็หมอบคลานเข้าไปหาพระปัจเจกพุทธเจ้า แสดงความรักแสดงความเคารพ

ต่อมาบางวันที่นายโคบาลไปนิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าไม่ได้ ก็สั่งเจ้าสุนัขตัวนี้บอกเจ้าจงไปนิมนต์พระมาฉันเช้า เจ้าสุนัขตัวนั้นมันก็ไป ถึงที่พุ่มไม้ที่นายโคบาลเคยตี มันก็เห่าบ้างกระโชกบ้างเพื่อไล่สัตว์ พอไปถึงหน้าถ้ำพระปัจเจกพุทธเจ้าก็เห่าบ้าง หอนบ้าง เป็นการแสดงว่า เขามานิมนต์ พระปัจเจกพุทธเจ้าห่มจีวร แล้วก็ตามเจ้าสุนัขมาเข้าบ้าน บางวันพระปัจเจกพุทธเจ้าท่านก็ลอง คิดว่าเจ้าสุนัขนี้จะรู้แน่หรือไม่รู้แน่ พอถึงทางเลี้ยวท่านทดลอง พอเจ้าสุนัขเลี้ยวท่านไม่เลี้ยวตาม เลี้ยวจะเข้าบ้าน ท่านเดินเลยไป เจ้าสุนัขก็วิ่งไปกั้นหน้า ในเมื่อท่านไม่หยุดมันก็เลยคาบสบงดึงมา ถ้าคาบจีวรดึงไม่มาได้นะคุณนะ ถ้าสบงไม่มาสบงหลุดนะ ต้องมา มันฉลาด ฉลาดพอ



ตายจากสุนัขเกิดเป็นเทวดา



ต่อมาเมื่อถึงฤดูฝน พระปัจเจกพุทธเจ้าต้องไปจำพรรษาที่ภูเขาคันธมาศน์ อาศัยเจ้าสุนัขรักพระปัจเจกพุทธเจ้ามาก ท่านก็ลานายโคบาลไป เมื่อลาเสร็จ ท่านก็ลาสุนัข แล้วท่านก็เหาะไป เหาะไปช้า ๆ สุนัขตัวนี้ก็มองตามพระปัจเจกพุทธเจ้า เห่าบ้าง หอนบ้าง แสดงถึงความอาลัย พอพระปัจเจกพุทธเจ้าสุดสายตา สุนัขก็ขาดใจตาย ทีนี้การนึกถึงพระปัจเจกพุทธเจ้า ถ้าเป็นอย่างที่เราทำกันเขาเรียกว่า พุทธานุสสติกรรมฐาน เป็นการนึกถึงพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านก็เป็นพระพุทธเจ้าประเภทหนึ่งเหมือนกัน บรรลุเองเหมือนกัน มีบุญมาก อาศัยที่มีความเคารพรักในพระปัจเจกพุทธเจ้า บุญอันนี้เป็นปัจจัยให้สุนัขตัวนั้นตายจากความเป็นสุนัขไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีวิมานทองคำเป็นที่อยู่ มีนางฟ้า 1,000 เป็นบริวาร อันนี้จากกฎของกรรมที่เก็นกุศล จำไว้นะว่าสุนัขก็ทำบุญ เป็นสัตว์เดรัจฉานก็ทำบุญได้

ต่อมาตามบาลีท่านบอกว่า อาศัยที่เห่าที่หอน แสดงความเคารพ และป้องกันพระปัจเจกพุทธเจ้า เทวดาองค์นี้จึงมีนามว่า โฆษกเทพบุตร โฆษก เขาแปลว่า กึกก้อง เสียงดังมาก แค่กระซิบ ๆ เสียงดังไป 16 โยชน์ กระซิบนะ แย่มั้ง นี่ไม่ต้องใช้สถานีวิทยุ ถ้าหากหัวเราะเต็มที่ดังก้องทั่วดาวดึงส์ แต่ว่าอาศัยที่สัตว์นี้บำเพ็ญกุศลในกำลังสูง คือมีพุทธา
นุสสติกรรมฐาน นึกถึงพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ กำลังบุญใหญ่ แต่ว่าปริมาณบุญน้อย มีเวลาทำน้อย กำลังใจน้อย ไปเป็นเทวดาไม่ช้าไม่นานนัก ก็จุติจากความเป็นเทวดา ญาติโยมฟังตรงนี้จงคิดว่า เวลาที่เขาเป็นเทวดาอาศัยบุญที่เป็นกุศลนะ กรรมที่เป็นกุศลที่เรียกว่ากุศลกรรม คือเคารพในพระปัจเจกพุทธเจ้า บันดาลให้เขาเป็นเทวดา แล้วไอ้กรรมที่ทิ้งลูกให้ตายยังมาไม่ถึง ตอนนี้ถึงละ



กลับมาเกิดใหม่เป็นลูกโสเภณี



ต่อมาเขาจุติมาแล้ว มาเกิดในท้องหญิงโสเภณี สมัยนั้นเขาเป็นตระกูล ๆ หนึ่งที่มีความสำคัญเหมือนกัน ไม่เหมือนสมัยนี้ สมัยนี้เราเหยียดหยามว่าโสเภณีเป็นคนชั้นต่ำ แต่เวลานั้นเขาไม่เหยียดหยาม เขาถือว่าตระกูลนี้มีความสำคัญตระกูลหนึ่ง คราวนี้ตระกูลโสเภณีเขาไม่ต้องการลูกผู้ชาย เขาสืบตระกูลไม่ได้ เขาต้องการแต่ลูกผู้หญิง เธอมาเกิดแล้วก็มาเกิดเป็นลูกผู้ชาย พอคลอดจากครรภ์มารดา คุณแม่ก็ถามคนรับใช้ว่า ลูกฉันน่ะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย คนรับใช้ก็บอกว่าเป็นผู้ชาย ตอนนี้กรรมทิ้งลูกเข้ามาสนองเป็นครั้งที่หนึ่ง เธอก็บอกว่า คำว่าลูกผู้ชายฉันไม่ต้องการ เอามันใส่กระด้งเอาไปทิ้งที่กองหยากเยื่อ นี่ครั้งหนึ่งละนะ กรรมที่ทิ้งลูกมา

ขณะที่เขาใส่กระด้งไปทิ้งที่กองหยากเยื่อ มีสุนัขกับกาล้อมรอบ แต่ว่ากรรมที่มีความเคารพในพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นกุศลกรรมช่วย อันนี้บาปกับบุญเข้าสนองพร้อมกัน คำว่าช่วย หมายความว่า สุนัขก็ดี กาก็ดี จะเข้าใกล้เด็กคนนี้ไม่ได้เลย ทุกตัวเข้าใกล้ไม่ได้ ตอนสายวันนั้น ก็มีชายคนหนึ่งออกมาจากบ้านจะไปธุระ เห็นเด็กเข้า เห็นกากับสุนัขล้อมอยู่ก็มีความสงสัย จึงเข้าไปดู ไปเห็นเด็กเข้าจึงเกิดความรัก มีความรู้สึกว่าต่อนี้ไปเราได้ลูกชายแล้ว ก็นำเด็กไปบ้าน ท่านก็บอกว่าเป็นกฎของกรรมที่เป็นกุศล ที่มีความเคารพมีความรักเห่าหอนป้องกันพระปัจเจกพุทธเจ้า ตอนนี้กรรมของการทิ้งเด็กยังตามมาอีก คนนี้ยังถูกเขาทอดทิ้งจริง ๆ เพื่อฆ่านี่ 7 ครั้ง แต่ว่ากรรมที่มีความเคารพในพระปัจเจกพุทธเจ้าก็ช่วย 7 ครั้งเหมือนกัน ช่วยครั้งหลังเป็นมหาเศรษฐี



ปุโรหิตทำนาย



ต่อมาวันนั้นปรากฎว่า ท่านมหาเศรษฐีในเมืองนั้น ตอนเช้าธรรมดามหาเศรษฐีต้องไปเฝ้าพระมหากษัตริย์เหมือนกับขุนนางต่าง ๆ ตอนเช้า ก่อนที่จะถึงวังพระมหากษัตริย์ก็พบปุโรหิตของพระมหากษัตริย์ก่อน มหาเศรษฐีถามว่า ท่านอาจารย์ เมื่อคืนนี้ดูดวงดาวหรือเปล่าว่าวันนี้จะมีอะไรบ้าง มีอะไรพิเศษบ้าง ท่านปุโรหิตก็บอกว่า ดูแล้ว วันนี้ไม่มีอะไรเป็นกรณีพิเศษ เว้นไว้แต่ว่าเด็กเกิดวันนี้ ต่อไปจะเป็นมหาเศรษฐีที่มีชื่อเสียงมากในวันหน้า พอดีก็เป็นการบังเอิญภรรยามหาเศรษฐีกำลังตั้งครรภ์แก่ ท่านมหาเศรษฐีก็บอกคนรับใช้ว่า กลับไปบ้านซิ ดูว่าเมียฉันออกลูกหรือยัง คนรับใช้ก็กลับมาบอกว่า ยังไม่ออกขอรับ

ท่านมหาเศรษฐีกลับจากเฝ้าพระราชาแล้วก็มานั่งคอยวันเวลา วันนั้นทั้งวันปรากฎว่าตั้งแต่เช้ายันเย็นภรรยายังไม่คลอดบุตร จึงเรียกสาวใช้มีนามว่ากาฬี เอ้า กาฬีเอาตังค์ไปพันกหาปนะ เท่ากับพันตำลึง ดูว่าเด็กคนไหนที่ปรากฎว่าเกิดวันนี้ที่มีอยู่ จงซื้อเขามาหนึ่งพันกหาปณะ พอดีกาฬีสาวใช้ไปที่บ้านนั้นก็ทราบ ไปสืบแล้ว เห็นว่ามีเด็กอยู่บ้านเดียว ก็ไปถามว่าเด็กคนนี้เกิดเมื่อไร แม่บ้านก็บอกเกิดวันนั้น เธอก็ต่อรองซื้อตั้งแต่ 1 ตำลึงไปถึง 1,000 ตำลึง เขาก็ให้ ให้แล้วมหาเศรษฐีก็นำมา มาทิ้งไว้อยู่หลายวัน มหาเศรษฐีก็เลี้ยงไว้ ประมาณเวลาล่วงเลยมาประมาณ 3-4 วันข้างหน้า ก็ปรากฎว่าลูกของแกออกมาเป็นผู้ชาย ทีแรกตอนที่นำมาเลี้ยงก็มีความรู้สึกว่า ลูกของเราเป็นผู้หญิง จะให้แต่งงานกัน ถ้าลูกเราเป็นผู้ชาย ไอ้เด็กคนนี้ต้องฆ่า เพราะมันจะแย่งตำแหน่งมหาเศรษฐีของลูกเรา ในเมื่อลูกของแกเกิดมาเป็นผู้ชาย อารมณ์คิดฆ่าก็เกิดขึ้น นี่กรรมที่ทิ้งเด็ก



มหาเศรษฐีให้นำทารกไปให้โคเหยียบ



ต่อมาวันหนึ่ง คืนวันหนึ่งเธอก็เรียกนางกาฬีเข้ามาบอกว่า ตอนเช้าตรู่ก่อนที่เขาจะปล่อยวัว วัวของแกมีหลายร้อยตัว มหาเศรษฐีนะ เอ็งจงเอาไอ้เด็กคนนี้ไปวางที่ปากคอกวัว แล้วเอาอะไรหมกไว้ เอาอะไรบังไว้ อย่าให้นายโคบาลเห็น อย่าให้คนเลี้ยงวัวเห็น เวลาเช้ามืด เขาปล่อยวัว วัวจะเหยียบเด็กคนนี้ตาย บอกว่า เจ้าจงดูด้วยว่าเด็กมันจะตายหรือยังไม่ตาย แล้วแจ้งให้ฉันทราบ นางกาฬีก็ไปทำแบบนั้น ไอ้นี่ถือว่าเป็นกรรมทิ้งลูก เมื่อเขาไปวางแล้ว ทีนี้กรรมที่มีความเคารพในพระปัจเจกพุทธเจ้าก็ช่วย ฟังให้ดีนะ จำด้วยนะ เอาสองกรรมมาประสานกันเข้าเลยนะคุณนะ คือว่ากรรมที่ช่วยสงเคราะห์พระปัจเจกพุทธเจ้าก็มา เกิดเป็นว่าวัวนายฝูงตามปกติมันออกทีหลังเพื่อน แต่วันนั้นพอเขาเอาเด็กไปวางไว้ มันออกก่อนตัวอื่น ออกมาแล้วก็ยืนคร่อมเด็ก ไม่ยอมให้วัวต่าง ๆ เหยียบ วัวอื่นก็ต้องหลีกไป เมื่อวัวตัวอื่นไปแล้วมันก็ยังไม่ไป ยังคร่อมอยู่ พอดีนายโคบาลนายเลี้ยงวัวทราบเข้า เห็นแปลกใจจึงเข้าไปดู ไปเห็นเด็กเกิดความรักจึงคิดว่า เด็กคนนี้น่ารัก เราได้ลูกผู้ชายแล้ว นี่กรรมที่เคารพพระปัจเจกพุทธเจ้า



ให้เกวียนทับ



ต่อมา มหาเศรษฐีก็มีความรู้สึกว่า เด็กคนนี้ปล่อยไม่ได้ต้องฆ่า มันเป็นหนามยอกอก จะแย่งตำแหน่งมหาเศรษฐีของลูกเรา วันหนึ่งก็คิดว่า วันนี้เกวียนห้าร้อยเล่มจะออกจากเมืองโกสัมพี และทางออกก็มีอยู่ทางเดียว จะไว้ใต้ท้องเกวียนหรือไม่ก็ให้วัวที่มันลากเกวียนมาเหยียบตาย จึงเรียกนางกาฬี เธอจงนำเด็กคนนี้แต่เช้าตรู่ เช้ามืดยังมืด ๆ อยู่ เกวียนเขาออกเช้าตรู่ เอาไปวางไว้ที่รอยเกวียน วัวอาจจะเหยียบตายก็ได้ ล้ออาจจะทับตายก็๋ได้ แล้วเจ้าจงสังเกตุดูด้วย ก็เป็นอันว่าเช้าตรู่ก่อนหน้าเกวียนจะออกมา นางกาฬีไปวางไว้ตามนั้น ทีนี้เวลาเช้าตรู่เกวียนออก ไอ้เกวียนขบวนหน้าพอไปถึงเด็ก วัวไม่ยอมเดิน เจ้าของจะตีอย่างไรก็ตาม บังคับอย่างไรก็ตาม ก็ไม่ยอมเดิน เจ้าของเกวียนก็แปลกใจ ลงไปข้างล่างเห็นเด็กเข้า เกิดความรักในเด็ก เอาไปเป็นลูกอีก กรรมสองอย่างเข้ามาประสาน ที่เขาทิ้ง เป็นกรรมที่ทิ้งลูก ที่เจ้าของเกวียนเกิดความรัก เป็นกรรมที่เคารัพในพระปัจเจก
พุทธเจ้า



ทิ้งที่ป่าช้า



ต่อมามหาเศรษฐีก็คิดว่า เด็กคนนี้จะทำอย่างไรดี คิดว่าป่าช้าผีดิบมีอยู่ เราควรจะเอาเด็กไปทิ้งที่ป่าช้าผีดิบ ตามธรรมดาป่าช้าผีดิบไม่มีคนเข้าไป จึงบอกนางกาฬีที่เป็นหญิงรับใช้บอก วันพรุ่งนี้แต่เช้าตรู่ เธอจงเอาเด็กไปทิ้งที่ป่าช้าผีดิบ เอาไปทิ้งเข้าไป
ลึก ๆ หน่อย คนจะได้มองไม่เห็น ปกติคนไม่เข้าไปอยู่แล้ว นางกาฬีก็นำไปวางไว้ตามนั้น แต่ว่าเป็นการบังเอิญ ตอนเช้าวันนั้นคนเลี้ยงแพะนำฝูงแพะมาเลี้ยงใกล้ ๆ ป่าช้า เมื่อฝูงแพะเข้ามาใกล้ป่าช้าผีดิบ แพะตัวอื่นไม่ได้สนใจ แต่บังเอิญมีแพะลูกอ่อนตัวหนึ่งเข้าไปในป่าช้าผีดิบ ตรงเข้าไปย่อตัวเองเอานมให้เด็กกิน เห็นไหม ขนาดพุทธานุสสตินะ อย่าลืมนะทุกคนนะ ว่าบุญกับบาปมันเคียงกันเลย เรื่องนี้ดีมาก ๆ

คราวนี้เวลาตอนเย็น คนเลี้ยงแพะเห็นแพะหายไปตัวหนึ่งก็สงสัย เข้าไปดูในป่า เห็นแม่แพะตัวนั้นยืนย่อลง ก็เห็นเด็กอยู่ข้างล่าง กำลังกินนม เมื่อไปเห็นเด็กก็เกิดความรักว่า เวลานี้คิดว่าเราได้ลูกผู้ชายแล้ว อานิสงส์นะ เป็นเป็นอันว่า เอาเด็กคนนั้นไปเลี้ยง นางกาฬีสังเกตแล้วก็บอกท่านมหาเศรษฐีทราบว่าเด็กคนนี้ไม่ตาย คนเลี้ยงแพะเอาไปเลี้ยงอีกแล้ว ท่านมหาเศรษฐีก็มีหน้าที่จ่ายสตางค์ จ่ายอีกพันกหาปณะ ีกหนึ่งพันตำลึง เอ็งไปซื้อกลับมาหนึ่งพันตำลึง กาฬีก็ไปซื้อมา



ทิ้งเหว



ต่อมาก็ต้องใช้เวลา ไม่ใช่วันต่อวันนะ ใช้เวลานาน ท่านมหาเศรษฐีก็คิดไว้ว่าเหวลึกประมาณสองร้อยเมตรมีอยู่ ถ้าเอาเด็กคนนี้ไปทิ้งที่เหว ข้างล่างมีหินมันต้องตายกันแน่ ถ้าไม่กระทบหินตายก็ต้องอดตาย เพราะไม่มีใครเข้าไป ก็สั่งนางกาฬี บอกว่า วันพรุ่งนี้ก็เอาเด็กไปทิ้งที่เหวมันต้องตายแน่ นางกาฬีก็ไปทำแบบนั้น เป็นอันว่าบุญที่ป้องกันพระปัจเจกพุทธเจ้า และเคารพพระปัจเจกพุทธเจ้าก็บังเกิดขึ้นอีก คือว่าในเหวนั้นมีกอไผ่แต่ในหลังกอไผ่มีเถาวัลย์หนามากทับอยู่ พอเขาโยนเด็กลงไป เด็กตกลงในเถาวัลย์ เด็กไม่ตายอีก วันนั้นก็ปรากฎว่า มีคนสองคนพ่อลูกเป็นช่างจักสาน เผอิญตอกขาดมือจะต้องตัดไผ่เอาตอก จะเข้าไปในเหวนั้น ปรากฎว่าได้ยินเสียงเด็กก็สงสัย เอาไม้พาดขึ้นไปพบเด็ก ก็เกิดความรักคิดว่าเราได้ลูกผู้ชายอีกแล้ว นี่บุญช่วยนะ นางกาฬีเรียนให้เจ้านายทราบว่า ช่างจักสานไปนำมา ก็เป็นอันว่าท่านเศรษฐีต้องจ่ายอีกพันกหาปณะ



ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว



ไปซื้อมาแล้ว ทีนี้ปล่อยไว้นาน คิดไม่ออกว่าจะฆ่าแบบไหนดี เด็กคนนี้ชื่อโฆษก ชื่อตามเดิมเหมือนกับชื่อที่เป็นเทวดา เขาให้นามว่าโฆษก ต่อมาก็มีความรู้สึกว่า เรามีเพื่อนเป็นช่างหม้ออยู่คนหนึ่ง ก็จึงได้เข้าไปติดต่อนายช่างหม้อ ในเมื่อไปหาช่างหม้อแล้วเอาเงินไปพันกหาปณะ คุยไปคุยมาก็ให้สตางค์หนึ่งพันกหาปณะ นายช่างหม้อถามว่าให้เงินเพื่ออะไร เธอก็บอกว่าไม่ใช่เพื่อเรา คิดถึงกันเป็นเพื่อนกัน ฉันมีสตางค์มากฉันก็แบ่งให้ใช้ ก็เกิดความรักความชอบใจเกิดขึ้น

ต่อมาท่านมหาเศรษฐีก็บอกความต้องการว่า ฉันมีลูกชั่วอยู่คนหนึ่งมันเลวแสนเลว ดื้อด้านพาลเกเรทุกอย่าง ว่านอนสอนยาก หมายความว่ามันไม่เชื่อฟัง ต้องการจะฆ่าให้มันตาย แต่ว่าฉันจะฆ่าเองในฐานะที่เป็นพ่อก็เสียศักดิ์ศรีเสียชื่อ ใครเขารู้ก็แย่ ต้องวานมือนายช่างหม้อฆ่า นายช่างหม้อถามว่าจะให้ทำอย่างไร เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน วันพรุ่งนี้ฉันจะให้เด็กคนนั้นมา พอเด็กมาถึงเธอก็นำเข้าไปในห้องปิดให้มิดชิด ลับมีดให้คม ตัดเป็นท่อน ๆ เป็นท่อนเล็กท่อนใหญ่ใส่ตุ่มแล้วก็เผาไปกับหม้อเลย นายช่างหม้อก็รับคำ บอกว่าผมพร้อมรับปฏิบัติตามครับ เพราะได้สตางค์ไปพันกหาปณะ ท่านมหาเศรษฐีบอกว่าถ้าเธอทำได้ฉันจะให้รางวัลมากไปกว่านี้ ช่างหม้อตกลงตามนั้น

วันรุ่งขึ้นมหาเศรษฐีก็เรียกโฆษกลูกเลี้ยงมา แต่ความจริงโฆษกไม่ทราบว่าเป็นลูกเลี้ยงเขาคิดว่าเป็นลูกตัว เพราะไม่รู้ไม่มีใครบอกเขา บอกว่าวันนี้พ่อมีธุระกับนายช่างหม้อ สั่งงานเขาไว้ แต่สงสัยว่านายช่างหม้อจะทำหรือไม่ทำก็ไม่ทราบ แต่งานนั้นเป็นงานมีธุระด่วน เธอจงไปบ้านนายช่างหม้อว่างานที่พ่อสั่งไว้ทำแล้วหรือยัง ถ้ายังไม่ทำพ่อสั่งให้รีบทำด่วนทำไว ๆ เธอก็ไม่เข้าใจว่าเรื่องอะไรกัน ก็ไปตามคำสั่งพ่อ แต่อาศัยที่บุญบารมีมีอยู่ คือบุญเคารพพระปัจเจกพุทธเจ้ามีอยู่ ลงไปจากบ้านก็เจอะลูกชายจริง ๆ ของมหาเศรษฐี ลูกชายแท้ ๆ กำลังเล่นตีคลีกับเพื่อน แพ้เพื่อน แต่ตามปกติเขาบอกว่าโฆษกเก่งในการตีคลี แต่น้องชายก็บอกว่าพี่โฆษกมาช่วยฉันตี ฉันแพ้เขา โฆษกก็บอกว่าไม่ได้หรอก พ่อสั่งให้พี่ไปบ้านนายช่างหม้อ ลูกชายจริง ๆ ของมหาเศรษฐีก็บอกว่าไม่เป็นไร งานอะไรที่พ่อสั่งบอกฉัน ฉันจะไปแทน ฉันจะทำแทน พี่ตีคลีแก้ตัวฉันทีเถอะ ก็เป็นอันว่าลูกชายมหาเศรษฐีก็ไปแทนโฆษก โฆษกก็เล่นตีคลีแทนน้องชาย ถึงเวลาเย็นขึ้นมาเห็นว่าน้องชายยังไม่กลับก็ขึ้นบ้านก่อน

ท่านมหาเศรษฐีเห็นเข้าถามว่า เธอไม่ได้ไปบ้านนายช่างหม้อหรือ โฆษกก็บอกว่าไม่ได้ไป น้องชายไปแทนครับ เท่านั้นแหละท่านมหาเศรษฐีจะตายให้ได้ วิ่งแจ้นไปเลย ออกวิ่งแจ้นไปร้องตะโกนไป บอกว่าช้าก่อน ๆ ช่างหม้อ อย่าเพิ่งทำ อย่าเพิ่งทำ แกร้องจากบ้านแก พอถึงบ้านนายช่างหม้อ ช่างหม้อก็ดีจริง ๆ พอถึงแล้วปั๊บ ท่านมหาเศรษฐีร้องไปนั้น นายช่างก็บอกว่าเรื่องอื่นทิ้งไว้ก่อนครับท่านมหาเศรษฐี งานที่ท่านสั่งทำเรียบร้อยแล้วครับ เรียบร้อยไปนานแล้ว เผาไปเรียบร้อยไปนานแล้ว อีตานั่นจะบ้าตาย แกก็กลับบ้าน



ถือจดหมายมรณะ



ต่อมาไอ้การคิดฆ่ายังไม่หมด เห็นไหม บาปทิ้งเด็กน่ะ แต่ว่าที่พ้นไปเพราะพุทธานุสสติกรรมฐาน ใช่ไหม เคารพพระปัจเจกพุทธเจ้า ต่อมาก็เป็นครั้งสุดท้าย ครั้งสุดท้ายนี่คิดรวมตั้งแต่แม่ทิ้ง เป็นครั้งที่ 7 นะ ครั้งสุดท้ายนี่ด้วยนะ ครั้งสุดท้ายท่านมหาเศรษฐีก็คิดว่า เรามีบ้านส่วยอยู่สิบหลัง ต้องการให้คนเก็บส่วยฆ่านายโฆษกคนนี้ ก็เขียนจดหมาย โฆษกนั้นไม่รู้หนังสือ ก็คิดฆ่าอย่างเดียว ไม่ได้เรียนหนังสือ เขียนจดหมายบอกว่า บอกคนเก็บส่วยบอกว่า ลูกชายคนนี้ของเรามันเกเรมาก มีความประพฤติเลวมาก เมื่อมาถึงที่นี้แล้วให้ฆ่าทันที ฆ่าแล้วเอาศพทิ้งในส้วม ในหลุมส้วม

เขียนแล้วก็ห่อผ้าให้โฆษกถือไป เอาผ้าขาวม้าคาดพุงไป บอกว่านำจดหมายนี้ไปให้นายเสมียนเก็บส่วย โฆษกก็บอกว่าอาหารระหว่างเดินทางผมไม่มีครับ บ้านมันไกล ท่านมหาเศรษฐีก็บอกว่า ในเมืองชนบทจากนี้ไปพอดีวัน มีอนุเศรษฐีเพื่อนของฉันอยู่ที่นั่น ให้ไปแวะที่นั่น แล้วบอกว่าเป็นลูกชายฉัน เขาจะให้อาหารเอง โฆษกก็ไปด้วยความเชื่อในบาปที่ทิ้งเด็ก



บุพเพสันนิวาส



พอไปถึงบ้านนั้น บังเอิญอยู่แต่ภรรยามหาเศรษฐี ภรรยามหาเศรษฐีเห็นเข้าก็เกิดความรักคิดว่าเหมือนกับเป็นลูก นี่บุญช่วยนะ จำให้ดีนะ ฟังไปคิดตามไปด้วยนะ และบังเอิญท่นมหาเศรษฐีมีลูกสาวอยู่คน อายุตามบาลีบอกว่าสิบห้าหรือสิบหก ในเมื่อเป็นสาว พ่อและแม่ให้อยู่บนปราสาทเจ็ดชั้น บ้านชั้นที่เจ็ด และมีสาวใช้ประจำอยู่คนหนึ่ง ขณะที่โฆษกเข้าไปที่นั่น เมียท่านอนุเศรษฐีก็ตั้งใจจะเลี้ยงอาหาร ก็พอดีสาวใช้ของลูกสาว ลูกสาวกำลังใช้ให้ไปตลาดลงมาพอดี เธอก็เรียกให้ช่วยจัดอาหารเลี้ยงโฆษกด้วย จัดที่พักให้ด้วย เธอทำเสร็จก็ไปตลาด เมื่อไปตลาดกลับมาแล้วนายอยู่ชั้นบน เห็นว่าสาวใช้ไปช้าเกินไปก็เริ่มโกรธ พอเริ่มจะด่าสาวใช้ก็บอกว่าอย่าเพิ่งด่า ที่ช้าเกินไปไม่ใช่ไปเที่ยว ไม่ใช่แวะเที่ยว เห็นว่ามีแขกเข้ามาที่บ้าน แม่ใหญ่ใช้รับแขกก่อน

ลูกสาวเศรษฐีก็ถามว่าคนที่มาน่ะชื่ออะไร เธอก็ตอบว่า ชื่อโฆษก พอได้ยินว่าโฆษก ความรักก็เกิดทันที ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าลูกสาวอนุเศรษฐีคนนี้ คือภรรยาเดิมของเขาสมัยที่เป็นโกตุหลิกะ เมื่อโกตุหลิกะตายแล้ว ตามบาลีท่านบอกว่าเธอไม่ได้ไปจากบ้านนั้น เธอคิดว่าถ้าเราอยู่บ้านนี้ที่มีพระปัจเจกพุทธเจ้าเพื่อถวายทาน เธอก็ถวายทานด้วยข้าวหนึ่งทะนาน ต่อมาก็แสดงความเคารพ วันหลังเธอคิดว่าเราไม่มีของถวาย เราไหว้ท่านก็ดีแล้ว อาศัยที่ถวายทานกับพระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยข้าวหนึ่งทะนาน มาเกิดเป็นลูกสาวท่านอนุเศรษฐี เป็นอันว่าเป็นคู่ครองเก่าที่เรียกว่าบุพเพสันนิวาส เพียงว่าได้ยินชื่อก็เกิดความรัก



ลูกสาวเศรษฐีแปลงสาส์น



เมื่อคนเผลอก็ย่องมาดูห้องของโฆษก เห็นโฆษกหลับ เห็นห่อผ้าก็มาแก้ดู อ่านจดหมายก็ตกใจคิดว่าคนเขลาอะไรแบบนั้น จดหมายคิดฆ่าตัวเองก็หอบมาด้วย จึงแปลงสาส์นเสียใหม่ เขียนถึงนายเสมียนบอกว่า ผู้ชายคนนี้เป็นที่รักสุดยอดของเรา เราต้องการให้แต่งงานกับลูกสาวอนุเศรษฐี คือว่า พอมาถึงให้จัดการปลูกบ้านให้อยู่อย่างมิดชิด ให้ปลอดภัย ตั้งแต่งรั้วรอบขอบชิดให้ดี ตั้งคนรักษาความปลอดภัยไม่น้อยกว่าเวรละสิบคน หลังจากนั้น ให้เอาเครื่องบรรณาการจากบ้านส่วยร้อยหลังมาเป็นทุนสำรองขอลูกสาวอนุเศรษฐีแต่งงาน แล้วพยายามรักษาให้ดี อย่าให้มีอันตราย เขียนเรียบร้อย สาวแปลงสาส์นนะ ไม่ใช่ฤาษีแปลงสาส์นนะ พอตื่นขึ้นเช้า โฆษกไม่ได้แก้หนังสือดูเพราะอ่านไม่ออก ไม่ได้สงสัย ก็เดินทางต่อไป

พอไปถึงปลายทาง นายเสมียนแก้จดหมายอ่าน ตกใจคิดว่า เจ้านายไว้วางใจเราขนาดนี้เชียวหรือ ขนาดให้จัดที่ให้ลูกชายอยู่ เป็นเถ้าแก่ขอลูกสาวอนุเศรษฐีให้ ใช่ไหม ก็ประกาศให้บรรดาเจ้าส่วยต่าง ๆ มาพร้อมกัน ต่างคนต่างก็ช่วยปลูกบ้านให้สองชั้น ทำรั้วรอบขอบชิดเป็นอย่างดี ตั้งเวรยามรักษาเวรละสิบกว่าคน ต่อมาก็นำเครื่องบรรณาการนายบ้านส่วยร้อยหลังไปขอลูกสาวอนุเศรษฐีแต่งงานเรียบร้อย นี่ลูกสาวอนุเศรษฐีท่านทราบความเป็นมาของโฆษกเป็นอย่างไร เมื่อแต่งงานอยู่บ้านใหม่ก็สั่งคนใช้ทั้งหมด คนรักษาทั้งหมดว่า คนที่มาหาท่านเศรษฐีคือสามีน่ะ จงอย่าให้พบสามีก่อน ให้พบฉันก่อน เพราะเขารู้เรื่องดี



มหาเศรษฐีส่งคนมาฟังข่าว



ต่อมาไม่ช้าท่านมหาเศรษฐีก็ให้คนมาถามข่าวว่า โฆษกเวลานี้ตายแล้วหรือยัง ให้ถามว่าโฆษกมีความเป็นอยู่อย่างไร ถามนายเสมียน อีตาคนเก็บส่วยก็บอกตามความเป็นจริงว่า เรียบร้อยดีครับ ปลูกบ้านสองชั้นให้อยู่ ตั้งเวรยามรักษาเป็นอย่างดี อีตาเศรษฐีฟังแล้วป่วยเลย ขนาดป่วยนี่ แต่ว่าต่อมาก็ส่งคนที่สองมาอีก คนที่สองมาก็สังเกตการณ์ เพราะว่าคนที่สองมา ภรรยาโฆษกก็ถามว่า ท่านมหาเศรษฐีสบายดีอยู่หรือ คนที่มาบอกว่า ท่านเริ่มป่วยหลายวันมาแล้ว เขาถามว่าป่วยมากไหม ก็บอกว่าป่วยน้อย ก็เลยบอกว่าเธอยังกลับไม่ได้นะ จะกลับได้ต่อเมื่อฉันสั่งให้กลับ

คนที่หนึ่งไม่กลับ ก็สั่งคนที่สองมาอีก ก็คนที่สองมาเธอก็ถามว่าป่วยมกาหรือยัง เขาก็บอกว่าป่วยมากกว่าเก่า แต่พอพูดรู้เรื่อง เขาก็สั่งเก็บไว้อีก สั่งให้พักยังไปไม่ได้ ต่อมาเมื่อมหาเศรษฐีป่วยหนักจริง ๆ พูดไม่รู้เรื่อง ส่งคนที่สามมา เมียโฆษกก็ถามว่าป่วยมากไหม ก็บอกว่าไม่ได้เรื่องแล้วครับ เธอก็บอกว่าถ้าอย่างนั้นพักอยู่ก่อน ฉันจะเตรียมตัวไปเยี่ยม ตอนนี้ก็บอกกับโฆษกว่า บิดาของคุณกำลังป่วยหนัก ตอนที่จะไปเยี่ยมบิดาทั้งทีต้องมีเครื่องบรรณาการไปด้วย มีของไปฝาก นำของมีอะไรบ้างทุกอย่างกว่าจะเต็มเกวียนก็ใช้เวลาหลายวัน คนไข้ก็ป่วยหนักขึ้น

ขณะที่เดินทางไปครึ่งทางเธอก็บอกว่า มีของมาหนักอย่างนี้เกวียนเดินช้า พ่อก็ป่วยหนักเอาของไปเก็บก่อนเถอะ เกวียนจะได้เบา กลับไปซะอีก ใช่ไหม แล้วก็เดินทางกลับมา ก่อนจะถึงให้สัญญาณกับท่านโฆษกบอกว่า ถ้าไปถึงพ่อของคุณ คุณยืนที่ปลายเท้านะ ฉันจะนั่งข้าง ๆ กลางตัว ทำตามนั้นก็แล้วกัน พอเข้าไปถึงก็ทำตามนั้น ท่านมหาเศรษฐีเมื่อโฆษกเข้าไปถึง ก็ถามท่านทนายประจำบ้านว่า เจ้าโฆษกมันมาแล้วหรือยัง เขาก็ตอบว่ามาแล้ว ท่านถามว่าเวลานี้อยู่ที่ไหน เขาก็บอกว่ายืนอยู่ด้านปลายเท้า ท่านมหาเศรษฐีก็อยากจะพูดว่า ทรัพย์สมบัติทั้งหมดกูไม่ให้มึง ใช่ไหม แต่กลับพูดว่า ทรัพย์สมบัติกูให้ คราวนี้เจ๊งเลย ยายนั่นแกแสดงความเสียใจ เอาหัวกระแทกอกตายไปเลย แกแกล้งร้องไห้ใช่ไหม ร้องไห้หัวกระแทกอกมหาเศรษฐีตายเลย ก็เป็นอันว่าได้ทรัพย์สมบัติเป็นมหาเศรษฐี

เห็นไหม นี่กรรมที่เคารพพระปัจเจกพุทธเจ้า ก็สรุปแล้วเป็นอันว่า โฆษกเทพบุตรลงมาเป็นลูกนางหญิงแพศยา แต่ในที่สุดก็เป็นมหาเศรษฐีตามนี้นะ ที่เอาเรื่องนี้มาคุยให้ฟังให้ทราบว่าเป็นกฎของกรรม กรรมดีจะมาช่วย กรรมชั่วจะทำลาย ให้ดูตัวอย่างโฆษกเทพบุตร สวัสดี.



ท่านกล่าวว่า สมัยหนึ่งบรรดาภิกษุทั้งหลาย คำว่าสมัยหนึ่งก็คือเวลาต่อมานั่นเอง คือไม่ใช่เวลาเดี๋ยวนั้น หลังจากฉันข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว บรรดาภิกษุทั้งหลายนั่งสนทนากันว่า ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย เพราะเหตุอะไรหนอแล พระสีวลีเถระจึงเป็นผู้อยู่ในท้องมารดาถึง 7 ปี 7 เดือน 7 วัน แล้วก็เป็นเพราะกรรมอะไร พระสีวลีจึงได้ไหม้ในนรก เพราะกรรมอะไร จึงได้ถึงความเป็นผู้เลิศในลาภ และมียศเลิศอย่างนั้น

หมายความว่าพระสีวลีนี้ เวลาแม่ตั้งท้อง อยู่ในท้อง 7 ปี 7 เดือน 7 วัน และก่อนที่พระสีวลีจะมาเกิด ท่านก็นอนในนรกสิ้นกาลนาน เมื่อเกิดแล้วมาเป็นพระ คราวไปป่า คราวนี้มีลาภมาก เทวดาปรารภพระสีวลีแต่ผู้เดียวว่า การทำบุญคราวนี้เราต้องการถวายหลวงปู่สีวลี หลวงพ่อสีวลีของเราเท่านั้น แม้แต่องค์สมเด็จพระทรงธรรม์ คือพระพุทธเจ้าไปด้วย เทวดาก็ไม่ได้ปรารภ พระพุทธเจ้านี้ถ้าเป็นคนที่มีกิเลส เห็นใครเขามาบูชาลูกน้องมากกว่า น่ากลัวว่าลูกน้องจะลำบาก ทั้งนี้ เพราะอะไร เพราะว่าลูกพี่แกจะอิจฉาเอา แต่ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่อย่างนั้น พระองค์ทรงยกย่อง ถ้าลูกศิษย์องค์ไหนดี ก็ยกย่องว่าเป็นพระดี เป็นพระควรแก่การบูชา

ในลำดับนั้น เวลาที่บรรดาภิกษุทั้งหลายโดยทั่วหน้ากำลังปรารภกันว่า พระสีวลีนี้เป็นเพราะกรรมอะไร จึงได้อยู่ในท้องแม่ 7 ปี 7 เดือน 7 วัน เป็นเพราะกรรมอะไรจึงได้ลงไปในนรกสิ้นกาลนาน เป็นเพราะกรรมอะไร เวลาที่เกิดมานี้จึงมีลาภมาก จึงมียศใหญ่ เป็นที่เคารพของเทวดาทั้งหลาย

ในขณะที่บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายคุยกันอยู่นั้น องค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จพระทับอยู่ในพระคันธกุฎี สมเด็จพระพิชิตมารฟังเสียงของบรรดาพระสงฆ์ด้วยทิพโสตญาณ คือหูทิพย์ คุยอยู่ที่ไหนพระพุทธเจ้าก็ได้ยิน องค์สมเด็จพระมหามุนีใคร่จะเปลื้องความสงสัยของบรรดาภิกษุทั้งหลาย สมเด็จพระจอมไตรจึงได้เสด็จมา

เมื่อเสด็จมาถึงแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็เสด็จประทับอยู่ในที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว จึงถามบรรดาภิกษุทั้งหลายว่า ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอกล่าวอะไรกัน พวกเธอพูดอะไรกัน

บรรดาภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นจึงกราบทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้ากำลังปรารภเรื่องบุพกรรมของพระสีวลีพระพุทธเจ้าข้า พวกข้าพระพุทธเจ้ามีความสงสัยว่า ในสมัยที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาเสด็จไปเยี่ยมพระเรวัตตะคราวนี้ ปรากฎว่าพระสีวลีแสดงบุญญาธิการเป็นที่เลื่อมใสของบรรดาเทวดาทั้งหลาย ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายเกิดสงสัยว่า ทำไมพระสีวลีมีบุญญาธิการขนาดนี้ จึงได้ต้องอยู่ในท้องมารดาถึง 7 ปี 7 เดือน 7 วัน และก่อนจะมาเกิดก็ได้ตกนรกเสียก่อน เมื่อมาเป็นคนแล้ว ก็มีบุญใหญ่ มีลาภมาก มียศศักดิ์มาก ข้าพระพุทธเจ้าสงสัยอย่างนี้พระพุทธเจ้าข้า

เป็นอันว่า เมื่อบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายกราบทูลดังนี้แล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ทรงพยากรณ์บุพกรรมของพระสีวลีว่า เหตุที่พระสีวลีต้องไปอยู่ในท้องแม่ถึง 7 ปี 7 เดือน 7 วัน เป็นต้น มาจากกรรมที่เป็นอกุศลอะไร

บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับเรื่องราวบุพกรรมของพระสีวลีก็ของดไว้ก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนพงคลสมบูรณ์พูนผล และจงเจริญไปด้วยจตุรพิธพรชัยทั้ง 4 ประการ จงมีแก่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทุกท่าน สวัสดี.

*****************




เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย ฟังธรรม
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับน้องคนหนึ่งและเพื่อนๆของน้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ศึกษาการรักษาโรค ให้ยานพาหนะเป็นทาน ให้ที่อยู่อาศัยเป็นทาน
และตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะครับ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 2 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO