นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อังคาร 07 พ.ค. 2024 8:49 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: เรื่องราว
โพสต์โพสต์แล้ว: อาทิตย์ 15 พ.ค. 2011 5:38 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4550
วิบากคืออะำไร วิบากเป็นนามธรรม คือจิต และเจตสิก ที่เกิดขึ้น

เพราะกรรมเป็นปัจจัย จริง ๆ แล้ววิบากจิตเกิดได้ทั้ง 6 ทวาร และเกิดโดยไม่ต้อง

อาศัยทวารก็ได้ เช่น เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัส เป็นวิบากทั้ง 5 ที่เกิด

ทางตา ทางหู เป็นต้น ส่วนวิบากทางใจคือ ตทาลัมพนะ 2 ขณะ ส่วนวิบากที่ไม่

ต้องอาศัยทวารคือ ปฏิสนธิจิต ภวังคจิต และ จุติจิต
ตราบใดที่ยังมีตา หู จมูก ลิ้น กาย และ ใจ นั่นหมายความว่าต้องมีสภาพธรรม

เกิดขึ้นเป็นไป มีจิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางทวารทั้ง ๖ ดังกล่าวนี้ ตามประเภทของจิต

นั้น ๆ กล่าวคือ เกิดขึ้นเป็นกุศล เป็นเหตุที่ดี, เกิดขึ้นเป็นอกุศล เป็นเหตุที่ไม่ีดี,

เกิดขึ้นเป็นวิบาก คือ เป็นผลของกรรม และ เกิดขึ้นเป็นกิริยา ไม่เป็นเหตุให้เกิดผล

ต่อไปข้างหน้า ทั้งหมดนี้ เป็นชาติของจิต จะไม่พ้นไปจากนี้เลย ซึ่งเมื่อกล่าวถึง

จิตแล้ว ก็ต้องหมายรวมถึงเจตสิก ด้วย เพราะจิตทุกขณะต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย

สำหรับวิบากจิตแล้ว เป็นจิตที่เกิดขึ้นรับผลของกรรมโดยมีกรรมเป็นเหตุ ถ้ากรรมดีให้

ผล ก็ทำให้รับผลที่ดี ถ้าอกุศลกรรมให้ผล ก็ทำให้ได้รับผลที่ไม่ดี วิบากจิตนี้เกิดได้

ทั้ง ๖ ทวาร และ บางประเภทเกิดได้โดยไม่ต้องอาศัยทวารด้วย (ตามความคิดเห็นที่

๓) ซึ่งเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร

ทั้งสิ้น แต่ที่สามารถรู้ได้ในชีวิตประจำวัน คือ วิบากจิตที่เกิดขึ้นรับผลของกรรม

ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น และทางกาย ซึ่งเป็นผลของกุศลกรรมและเป็นผล

ของอกุศลกรรม ตามสมควรแก่เหตุคือกรรมที่แต่ละุบุคคลได้กระทำแล้ว

วันวิสาขะ เป็นวันพิเศษวันอันประเสริฐที่สุด เพราะเป็นวันที่

พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ได้ตรัสรู้ และย้อนกลับไปเมื่อสี่อสงไขย

แสนกัปป์ ในวันวิสาขะ ท่านสุเมธดาบสได้รับคำพยากรณ์จาก

พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าทีปังกร ว่าอนาคตจะได้เป็นพระพุทธเจ้า
พระโพธิสัตว์ปฏิสนธิในครรภ์มารดา

ในวันเพ็ญ 15 ค่ำเดือน 8(อาสาฬหบูชา)พระโพธิสัตว์จุติจากสวรรค์ชั้นดุสิต ปฏิสนธิ

ในพระครรภ์พระนางมหามายาเทวี พร้อมๆกับแผ่นดินไหว (ขณะที่ปฏิสนธิในพระครรภ์

มารดา ไม่ใช่ขณะประสูติ) เทวดาต่างอารักขาพระโพธิสัตว์และพระมารดา พระมารดา

ไม่มีความลำบากในการทรงพระครรภ์ พระมารดาย่อมได้ยศ ได้ลาภอันเลิศ ไม่มีความ

พอใจในบุรุษ

พระโพธิสัตว์ทรงประสูติ

ตามธรรมเนียมของสมัยนั้น สตรีเมื่อจะคลอดย่อมคลอดที่สกุลเดิมหรือบ้านของบิดา

มารดาของตน พระนางมหามายาเทวีจึงมีพระประสงค์จะไปที่กรุงเทวทหะอันเป็นเมือง

ของพระราชบิดาและพระราชมารดาของพระองค์

เมื่อเสด็จถึงป่าสาลวันชื่อลุมพินีวัน ขณะนั้นต้นสาละออกดอกบานสะพรั่ง พระเทวีมี

ประสงค์จะเล่นในสวนสาลวัน พระนางมีประสงค์จะจับกิ่งใด กิ่งนั้นก็น้อมมาที่พระหัตถ์

และลมกัมมัชวาตก็เกิดขึ้น มหาชนจึงล้อมม่านแล้วถอยออกไป พระนางได้ยืนจับกิ่ง

สาละนั่นแล ได้ประสูติแล้ว


ขณะนั้นนั่นเองท้าวมหาพรหมผู้มีจิตบริสุทธิ์ ๔ องค์ ก็มาถึงพร้อมกับถือข่ายทอง

มาด้วย เอาข่ายทองนั้นรับพระโพธิสัตว์ วางไว้ตรงพระพักตร์ของพระราชมารดา

พลางทูลว่า ข้าแต่พระเทวี ขอพระองค์จงดีพระทัยเถิด พระราชบุตรของพระองค์

มีศักดาใหญ่อุบัติขึ้นแล้ว.......... พระโพธิสัตว์ก็ประทับยืนบนแผ่นดินทอดพระเนตรดู

ทิศตะวันออก จักรวาลนับได้หลายพันได้เป็นที่โล่งเป็นอันเดียวกัน พวกเทวดาและ

มนุษย์ในที่นั้นต่างพากัน บูชาด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้น กราบทูลว่าข้าแต่ท่าน

บุรุษคนอื่นในที่นี้เช่นกับท่านไม่มี คนที่ยิ่งกว่าท่านจักมีแต่ที่ไหน
พระโพธิสัตว์มองตรวจดูตลอดทิศให้ทิศเล็กแม้ทั้ง ๑๐ คือทิศใหญ่ ๔ ทิศเล็ก ๔

เบื้องล่าง เบื้องบน ก็มิได้ทรงมองเห็นใครที่เช่นกับตน ...... ต่อจากนั้นประทับยืนที่

พระบาทที่ ๗ ทรงเปล่งอาสภิวาจา [วาจาแสดงความยิ่งใหญ่] ว่า

เราเป็นผู้เลิศในโลก เราเป็นผู้เจริญที่สุดในโลก เราเป็นผู้ประเสริฐที่สุด

ในโลก การเกิดครั้งนี้เป็นการเกิดครั้งสุดท้าย บัดนี้ ภพใหม่ไม่มีต่อไป
ในเวลาเช้าของวันเพ็ญ เดือน 6 วันวิสาขบูชา ขณะนั้นมีพระชนมายุ 35 พระชันษา

ขณะนั้นทรงประทับที่ต้นไทร นางสุชาดานำข้าวมธุปายาสที่ใส่ถาดทองมาถวายพระ-

โพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ทรงรับและเสวยข้าวมธุปายาสแล้วได้เสด็จไปที่ท่าน้ำเนรัญชรา

พระองค์ทรงอธิษฐานว่าหากเราได้เป็นพระพุทธเจ้าก็ขอให้ถาดลอยทวนน้ำไป เมื่อ

พระองค์ทรงปล่อยถาดลงในกระแสน้ำ ถาดนั้นก็ลอยทวนกระแสน้ำและได้จมลงไปใน

ที่อยู่ของนาคราช เมื่อถึงเวลาเย็น นายโสตถิยะก็ถวายหญ้า 8 กำ กับพระโพธิสัตว์

พระโพธิสัตว์ทรงวางหญ้าที่โพธิบัลลังก์ที่ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ทรงประทับนั่งแล้ว

อธิษฐานว่าหากเรายังไม่บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว แม้เนื้อและเลือด จะเหือดแห้ง

ไปก็จะไม่ลุกไปเด็ดขาด พระองค์ทรงกำจัดมารในเวลาเย็น ในเวลาปฐมยามทรง

ระลึกชาติได้แต่ยังไม่เป็นพระพุทธเจ้า เวลามัจฌิมยาม พระองค์ทรงเห็นสัตว์เกิดสัตว์

ตาย ด้วยพระญาณแต่ไม่เป็นพระพุทธเจ้า เวลาปัจฉิมยามทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาท

ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในเวลาใกล้รุ่งของวันวิสาขบูชา


เมื่อพระองค์ทรงตรัสรู้ได้เปล่งพระอุทานที่พระพุทธเจ้าทั้งปวงมิได้ทรงละว่า

เราเมื่อแสวงหานายช่าง (คือตัณหา) ผู้กระทำ

เรือน เมื่อไม่ประสบ ได้ท่องเที่ยวไปยังสงสารมิใช่

น้อย ความเกิดบ่อย ๆ เป็นทุกข์ ดูก่อนนายช่างผู้

กระทำเรือน เราเห็นท่านแล้ว ท่านจักทำเรือนไม่ได้

อีกต่อไป ซี่โครงทั้งปวงของท่าน เราหักแล้ว ยอด

เรือนเรากำจัดแล้ว จิต (ของเรา) ถึงวิสังขาร (นิพพาน)

แล้ว เราได้ถึงความสิ้นตัณหาแล้ว.

สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้คืออะไร

ในปัจฉิมยามพระองค์ทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาท นั่นก็คือพระองค์ทรงตรัสรู้สัจจะ

ความจริงที่เป้นสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ทรงตรัสรู้ ความจริงที่เป็นเพียง จิต เจตสิก

รูป นิพพาน ไม่ใชสัตว์ บุคคล อาศัยเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้น เพราะมีความไม่รู้ จึงมีสภาพ

ธรรมอื่น ๆ เกิดวนเวียนเป็นสังสารวัฏฏ์ ไม่มีที่สิ้นสุด แต่เมื่อวิชชา คือปัญญาเกิดก็

สามารถดับสังสารวัฏฏ์ได้ พระองค์ตรัสรู้ความจริงที่เป็นเพียงสภาพธรรมด้วยปัญญา

ของพระองค์ ตามความเป็นจริง การจะรู้ความจริงจึงรู้ขณะนี้ด้วยการฟัง การศึกษาให้

เข้าใจ สภาพธรรมทำหน้าที่เองให้ปัญญาเจริญขึ้น จนประจักษ์แจ้งสภาพธรรมที่มี

ในขณะนี้
ในวันมาฆบูชา พระพุทธองค์ทรงปลงมายุสังขาร ณ ปาวาลเจดีย์ จากนี้ไปอีก 3 เดือน

เราจะปรินิพพาน พระองค์ทรงตรัสเตือนภิกษุทั้งหลายว่า

ชนเหล่าใด ทั้งเด็กผู้ใหญ่ ทั้งพาล ทั้งบัณฑิต ทั้งมั่งมีทั้งขัดสน ล้วนมีความตาย

เป็นเบื้องหน้า ภาชนะดิน ที่ช่างหม้อทำ ทั้งเล็กทั้งใหญ่ ทั้งสุกทั้งดิบทุกชนิดมีความ

แตกเป็นที่สุดฉันใด ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย ก็ฉันนั้น…..ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวก

เธอจงไม่ประมาทมีสติ มีศีลด้วยดีเถิด จงเป็นผู้มีความดำริตั้งมั่นด้วยดี จงตามรักษา

จิตของตนเถิด. ผู้ใดจักเป็นผู้ไม่ประมาทอยู่ในธรรมวินัยนี้ ผู้นั้นจักละชาติสงสารแล้ว

จะกระทำที่สุดทุกข์ได้.

พระพุทธองค์ทรงแสดงเรื่องสังเวชนียสถานว่าเป็นที่ที่ควรระลึกถึง ควรเห็นของผู้มี

ศรัทธาเมื่อพระศาสดาล่วงไปแล้ว

พระอานนท์ร้องไห้ที่ประตูวิหาร พระพุทธเจ้าทรงตรัสเรียกพระอานนท์และเตือนว่า

ทุกสิ่งมีความแตกสลายไปธรรมดา เธออย่าประมาทจงทำที่สุดทุกข์และตรัสสรรเสริญ

พระอานนท์มากมาย

พระพุทธเจ้าทรงโปรดสุภัททะปริพพาชกจนสุดท้ายได้บรรลุเป็นพระอรหันต์

พระพุทธเจ้าตรัสว่า เธออย่าสำคัญว่าศาสดาล่วงไปแล้ว จะหาพระศาสดาไม่ได้

พระธรรมของเราจะเป็นศาสดาของพวกเธอ

เมื่อพระภิกษุสงฆ์ประชุมพร้อมกันแล้ว พระองค์ได้ตรัสพระปัจฉิมโอวาทว่า



ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนพวกเธอว่า

สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา พวกเธอจงยังความ

ไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด.นี้เป็นพระปัจฉิมวาจาของพระตถาคต.

พระพุทธเจ้าทรงเข้าฌานและออกจากฌานและทรงออกจากจตุตถฌานแล้ว

พระพุทธเจ้าก็ปรินิพพาน ดับรอบซึ่งสังขารธรรมและขันธ์ทั้งหลายในคืนวันวิสาขบูชา

พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วไปไหน ?

นิพพานไม่ใช่สถานที่ ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง เมื่อจุติจิตของพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์

เกิดขึ้น ก็ไม่มีเหตุปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตเกิดจึงไม่เป็นเหตุให้มีขันธ์ 5 เกิดขึ้นอีก จึงไม่

สามารถกล่าวได้ว่าไปที่ไหน เหมือนเปลวเทียนเมื่อดับไป เปลวเทียนไปไหน ช่างตี

เหล็กใช้ฆ้อนเหล็ก เมื่อตีเหล็กติดไฟ แล้วไฟก็ดับไป ไฟไปไหน พระอรหันต์ผู้ดับ

กิเลสแล้วเมื่อปรินิพพานจึงหาคติที่ไปไม่ได้อีก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่มที่ ๔๓ - หน้าที่ ๒๑๒-๒๑๔

๖. เรื่องหญิงขี้หึง

ข้อความเบื้องต้น

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภหญิงขี้หึง

คนใดคนหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " อกต " เป็นต้น.

หญิงขี้หึงทำกรรมชั่วแล้วคิดปกปิด

ได้ยินว่า สามีของหญิงนั้น ได้ทำความเชยชิดกับหญิงรับใช้ในเรือน

คนหนึ่ง. หญิงขี้หึงนั้น มัดมือมัดเท้าหญิงรับใช้คนนั้นไว้ แล้วตัดหูตัดจมูก

ของเขา ขังไว้ในห้องว่างห้องหนึ่ง ปิดประตูแล้ว เพื่อจะปกปิดความที่

กรรมนั้นอันตนทำแล้ว (ชวนสามี) ว่า " มาเถิดนาย, เราจักไปวัดฟัง

ธรรม " พาสามีไปวัดนั่งฟังธรรมอยู่. ขณะนั้น พวกญาติผู้เป็นแขกของ

นางมายังเรือน (ของนาง) แล้ว เปิดประตูเห็นประการอันแปลกนั้นแล้ว

แก้หญิงรับใช้ออก. หญิงรับใช้นั้นไปวัด กราบทูลเนื้อความนั้น แด่พระ-

ทศพล ในท่ามกลางบริษัท ๔.

กรรมชั่วย่อมเผาผลาญในภายหลัง

พระศาสดา ทรงสดับคำของหญิงรับใช้นั้นแล้ว ตรัสว่า " ขึ้นชื่อว่า

ทุจริต แม้เพียงเล็กน้อยบุคคลไม่ควรทำ ด้วยความสำคัญว่า 'ชนพวก

อื่นย่อมไม่รู้กรรมนี้ของเรา ' (ส่วน) สุจริตนั่นแหละ เมื่อคนอื่นแม้ไม่รู้

ก็ควรทำ, เพราะว่าขึ้นชื่อว่าทุจริต แม้บุคคลปกปิดทำ ย่อมทำการเผา

ผลาญในภายหลัง, (ส่วน) สุจริตย่อมยังความปราโมทย์อย่างเดียวให้เกิดขึ้น

ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ว่า:-

อกต ทุกฺกต เสยฺโย ปจฺฉา ตปฺปติ ทุกฺกต

กตญฺจ สุกต เสยฺโย ย กตฺวา นานุตปฺปติ.

คำแปล
"กรรมชั่ว ไม่ทำเสียเลยดีกว่า, (เพราะ) กรรมชั่ว

ย่อมเผาผลาญในภายหลัง, ส่วนบุคคล ทำกรรมใดแล้ว

ไม่ตามเดือดร้อน, กรรมนั้น เป็นกรรมดี อันบุคคล-

ทำแล้วดีกว่า."


แก้อรรถ

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทุกฺกต ความว่า กรรมอันมีโทษยัง

สัตว์ให้เป็นไปในอบาย ไม่ทำเสียเลยดีกว่า คือ ประเสริฐ ได้แก่ยอดเยี่ยม.

สองบทว่า ปจฺฉา ตปฺปติ ความว่า เพราะกรรมนั้น ย่อมเผาผลาญ

ในกาลที่ตนตามระลึกถึงแล้ว ๆ ร่ำไป.

บทว่า สุกต ความว่า ส่วนกรรมอันไม่มีโทษ มีสุขเป็นกำไร

ยังสัตว์ให้เป็นไปในสุคติอย่างเดียว บุคคลทำแล้วดีกว่า.

สองบทว่า ย กตฺวา ความว่า บุคคลทำกรรมใดแล้ว ย่อมไม่

เดือดร้อนในภายหลัง คือ ในกาลเป็นที่ระลึกถึง ชื่อว่า ย่อมไม่ตามเดือดร้อน

คือเป็นผู้มีโสมนัสอย่างเดียว, กรรมนั้นอันบุคคลทำแล้ว ประเสริฐ.

ในกาลจบเทศนา อุบาสกและหญิงนั้น ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว,

ก็แลชนทั้งหลายทำหญิงรับใช้นั้นให้เป็นไท ในที่นั้นนั่นแล แล้วทำให้

เป็นหญิงมีปกติประพฤติธรรม ดังนี้แล.

เรื่องหญิงขี้หึง จบ.

เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับน้องคนหนึ่งและเพื่อนๆของน้องที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ให้ยานพาหนะเป็นทาน ให้ที่อยู่อาศัยเป็นทาน
เมื่อวานนี้ได้ไปสักการะพระธาตุ ปิดทอง กราบสังขารอดีตเจ้าอาวาสที่ไม่เนื่เปื่อยที่ วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี และตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น
สักการะพระธาตุ ปิดทอง กราบสังขารอดีตเจ้าอาวาสที่ไม่เนื่เปื่อยที่ วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะครับ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Bing [Bot] และ บุคคลทั่วไป 7 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO