นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน พฤหัสฯ. 25 เม.ย. 2024 3:24 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 29 พ.ย. 2008 11:53 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 10:40 am
โพสต์: 369
COVER_06600004637.jpg



การสูบบุหรี่

ในเรื่องของการกินหมาก สูบบุหรี่ มีพระสงฆ์อีกหลายๆ องค์ ถูกโจมตีจากผู้ปฏิบัติที่ยังติดรูปแบบ เพราะอ้างว่า แม้แต่กิเลสที่หยาบๆ ยังละไม่ได้ กิเลสส่วนละเอียดจะละได้อย่างไร ผู้เขียนเคยสัมผัสกับพระที่ทรงคุณธรรมหลายองค์ อาทิ พระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน ท่านยังคงฉันหมาก เมื่อมีผู้เรียนถาม ท่านตอบมีใจความโดยย่อว่า

"บุหรี่หรือหมาก ไม่ใช่เป็นเครื่องกั้น มัคคาวรณ์ (มรรคผลนิพพาน) และสัคคาวรณ์ (สวรรค์)"

เรื่องนี้เป็นการยากที่เราปุถุชนจะไปตัดสินได้แน่ชัด เพราะกิริยาที่ท่านสูบบุหรี่ กับการที่ท่านสูบบุหรี่เพราะติดบุหรี่อย่างเครื่องเสพติดนั้นไม่เหมือนกัน ถ้าจิตใจของท่านเป็นทาสบุหรี่ สูบด้วยความกระหายงมงาย ด้วยเป็นสิ่งเสพติดอย่างนั้นก็ผิด

พระบางองค์ท่านเห็นชาวบ้านมีทุกข์ แต่ไม่รู้จะเข้าวัดอย่างไร ไม่รู้จะหาอะไรมาถวายพระ เอาบุหรี่มาถวายท่านก็เมตตาสูบให้ อย่างหลวงปู่แหวน ท่านเอาบุหรี่มวนเองของชาวบ้านที่เขาเอามาถวาย ทำให้ผู้ถวายรู้สึกว่าตนยังพอมีของเล็กๆ น้อยๆ มาถวาย ให้เกิดความชื่นใจ ปีติ อิ่มเอิบ นึกอยากมาวัดอีก มาฟังคำสอนจากท่าน

ถ้าท่านปฏิบัติอย่างนั้น การสูบบุหรี่ก็เป็นกิริยาเพื่อโปรดสัตว์ เพื่อสงเคราะห์สัตว์โลกให้มีหลักยึดในใจก็ไม่ผิด

ผู้เขียนมาคิดเองว่าคนกินเหล้ากับคนไม่กินเหล้า นิสันดีกับนิสัยไม่ดี แตกต่างกันหรือไม่ ผู้ที่นุ่งขาวห่มขาวถือศีลจะมีนิสัยดีจริงหรือ คนสูบบุหรี่กับคนไม่สูบบุหรี่ มีสิ่งไหนตัดสินว่า ใจดีหรือใจไม่ดี คนตัดผมสั้นกับคนไว้ผมยาวใครดีกว่ากัน

วันหนึ่ง มีพยาบาลไปกราบนมัสการหลวงปู่ พยาบาลคนนั้นนั่งอยู่ใกล้หลวงปู่พอสมควร คิดในใจว่านี่หรือพระที่มีผู้คนนับถือกันทั้งแผ่นดิน ยังพ่นควันบุหรี่โขมง และแล้วเธอก็ต้องตกใจอย่างมาก เมื่อได้ยินหลวงปู่กล่าวว่า

หลวงปู่ "เรื่องของข้า ข้าจะสูบหรือไม่สูบ ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน"

ผู้เขียนมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งชอบสูบบุหรี่มาก

หลวงปู่ "แก (หมายถึงผู้เขียน) สูบแต่ไม่ติด แต่เพื่อนแกสูบติด"

ดังนั้น ท่านจึงเน้นที่ใจเป็นสำคัญ หลวงปู่ท่านเคยปรารภเรื่องสูบบุหรี่ให้ผู้เขียนฟังว่า

หลวงปู่ "สูบแล้ว นึกถึงสมัยเคยเลี้ยงควายตอนเด็ก ได้บุหรี่เป็นเพื่อนเลยไม่อยากทิ้ง ข้าจะสูบจนตายนั่นแหละ"


อยากได้บุญมาก

พระสงฆ์ถือว่าเป็นเนื้อนาบุญของโลก ผู้ที่ถวายทานท่าน จึงได้ชื่อว่าปลูกบุญนิธิไว้ในศาสนา แต่จะได้ผลมากน้อยนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างได้แก่

พระ - ซึ่งเป็นตัวเนื้อนาบุญ หากเป็นพระดีก็เปรียบดังที่ดินที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยแร่ธาตุ

วัตถุ - หรือวัตถุทานนี้ หากได้มาโดยความบริสุทธิ์ไม่ได้ไปลักชิงของใครเขามาก็ย่อมเป็นวัตถุทานที่บริสุทธิ์เหมาะแก่การบริโภคใช้สอย

เจตนา - ความตั้งใจและความศรัทธามากน้อยเพียงใด บุญก็ย่อมมากน้อยไปตามเพียงนั้น

องค์ประกอบทั้ง ๓ นี้ เป็นสื่อผูกพันเพื่อให้เกิดบุญสมความปรารถนา มีศรัทธาญาติโยมบางท่านเกิดความไม่แน่ใจในตัวพระสงฆ์ จึงได้มาเรียนถามหลวงปู่เพื่อให้หายข้องใจ ซึ่งหลวงปู่ก็ได้เมตตาตอบดังนี้

"อธิษฐานก่อนถวายทาน ทำจิตใจของเราให้ไปถวายกับพระพุทธเจ้าเลย จะได้บุญสูงพระที่รับเป็นเพียงผู้อุปโลกน์ ถ้าท่านไม่ดีจริง ท่านก็ไปนรก"

พระพุทธเจ้าเป็นผู้ตั้งศาสนา มีพระหฤทัยที่บริสุทธิ์ผุดผ่องด้วยธรรมปัญญา พระสงฆ์เปรียบเสมือนเสนาบดีของพระพุทธองค์ การถวายทานจึงได้ชื่อว่าได้ดำเนินรอยตามพระยุคลบาทของพระศาสดาผู้เป็นใหญ่แห่งสามโลกพระองค์นั้น

รับให้ถูกต้อง

วัตถุมงคลของหลวงปู่มีให้บูชาที่วัด ผู้เขียนเคยมีคำถามเรื่องนี้กับหลวงปู่

"หลวงปู่ครับ ถ้าสมมุติว่าผมมีพระแพงๆ เช่น พระรอด แล้วผมจะนำไปให้เขาบูชา แต่เงินที่ได้ผมจะนำมาทำบุญจะบาปไหมครับ"

หลวงปู่ท่านตอบว่า "ถ้าบาป ข้าต้องบาปแน่ เพราะข้าขายพระเต็มศาลา"

ผู้เขียนแย้งว่า "แต่หลวงปู่ไม่ได้ใช้เงินเอง"

หลวงปู่ท่านจึงสรุปว่า "อย่างไรข้าก็ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ขาย แต่จุดประสงค์ข้าทำเพื่อวัดวา ไม่ใช่ทำเพื่อข้า"

ดังนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างจึงอยู่ที่เจตนา ซึ่งหลวงปู่ท่านเน้นว่า เจตนา คือ ตัวบุญ

เมื่อก่อนที่หลวงปู่ยังแข็งแรง ผู้ที่บูชาพระแล้วก็มักจะนำมาให้หลวงปู่ประสิทธิ จนกระทั่งเมื่อท่านป่วยไม่ค่อยแข็งแรง ผู้บูชามักเกรงใจ ไม่ให้ท่านเป็นผู้ประสิทธิ แม้กระนั้น หลวงปู่ยังอดไม่ได้ด้วยความเมตตา เพราะท่านบอกว่าเพื่อกำลังใจและความศรัทธา เนื่องจากทุกคนต้องสละทรัพย์ ที่หามาได้ด้วยความเหนื่อยยาก มีอยู่ครั้งหนึ่ง ขณะที่ท่านประสิทธิให้กับผู้บูชารายหนึ่งซึ่งเป็นลูกศิษย์ของท่าน เมื่อเสร็จแล้วท่านพูดว่า

"แกรับพระยังไม่ถูก"

ผู้รับเกิดความสงสัย หลวงปู่ท่านจึงอธิบายต่อ "ทำจิตให้น้อมรับสิ่งที่ดีที่ให้ โดยเรียกพระเข้าตัว เวลาที่รับแกไม่ได้ทำจิตแบบนี้ แกมุ่งจิตออกมาให้ข้า แทนที่จะได้เลยไม่ได้"

เคยมีลูกศิษย์หลวงปู่ที่เป็นพระ เมื่อเวลาที่ท่านประสิทธิให้ ต้องการลองกำลังของหลวงปู่ จนหลวงปู่ต้องพูดขึ้นว่า "ลองพอหรือยัง"

ลูกศิษย์ผู้นั้นจึงได้คิดว่าหลวงปู่สามารถรู้ได้

บางครั้งเมื่อรับพระแล้วหลวงปู่ท่านจะกล่าวชมสำหรับคนที่รับถูกต้องว่า "เจอดีแล้วทำได้แบบนี้แกขนลุกใช่ไหม"

ผู้รับจึงถามว่า "หลวงปู่รู้ได้อย่างไรครับ"

หลวงปู่ท่านตอบว่า "แกขนลุก แต่อาการของแกมาเกิดที่ข้า ข้าจึงรู้"

สำหรับเรื่องการรู้นี้ หลวงปู่ท่านรู้เป็นเรื่องปกติวิสัย ผู้เขียนเองหรือหลายคนก็เคยประสบกับเรื่องเหล่านี้มาแล้วด้วยกันทั้งนั้น

หมายเหตุ : ผู้เขียนในที่นี้คือ อ.ศุภรัตน์ แสงจันทร์


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 29 พ.ย. 2008 12:00 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 10:40 am
โพสต์: 369
pra1.jpg




รูปธรรม นามธรรม ช่วงที่ ๑

ปัจจุบันมีการภาวนาทำสมาธิกันทั่วไป ไม่ว่าข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน นิสิตนักศึกษา ซึ่งหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านเคยกล่าวไว้ว่า

"หลังกึ่งพุทธกาล สำนักวิปัสสนากรรมฐานจะเกิดขึ้นเหมือนดอกเห็ด ผู้ที่จะเข้าไปศึกษาต้องมีวิจารณญาณว่า การสอนเป็นเพื่อการพัฒนาจิตหรือไม่"

ดังที่หลวงปู่เคยกล่าวไว้ว่า "ทำแล้วโลภ โกรธ หลง ลดลงหรือไม่"

เมื่อมีการตั้งสำนักเกิดขึ้นย่อมมีการกำหนดระเบียบปฏิบัติข้อวัตรต่างๆ ไว้ในแต่ละแห่ง หรือที่เราเรียกกันว่า "รูปแบบ" เช่น การนุ่งขาว ห่มขาว การกินมังสวิรัติ เป็นต้น หลวงปู่ท่านบอกว่า "ถ้าเป็นวิธีที่พระพุทธเจ้าวางไว้ดีทั้งนั้น" ท่านไม่ให้กล่าวร้ายป้ายสีเพราะท่านพูดว่า "คนดีไม่ตีใคร" บางครั้งมีผู้มาขอความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้จากหลวงปู่ดังนี้

ผู้ถาม "ถ้าจะมาปฏิบัติกับหลวงปู่ต้องเตรียมอะไรมาด้วยครับ"

หลวงปู่ "เตรียมใจ เตรียมจิต มาให้ดี"

ผู้ถาม "ไม่ต้องนุ่งขาว ห่มขาวใช่ไหมครับ"

หลวงปู่ "แต่งอะไรมาก็ได้ไม่จำเป็น"

ผู้ถาม "แม้แต่ดอกไม้ ธูปเทียน"

หลวงปู่ "มีก็เอามา ไม่มีก็ไม่ต้อง เรากล่าวว่า พุทธัง ธัมมัง สังฆัง ชีวิตัง เม ปูเชมิ นี่เราก็เอาชีวิตบูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แล้ว"

ผู้ถาม "การกินมังสวิรัติ จำเป็นไหมครับ"

หลวงปู่ "เรื่องการไม่กินเนื้อสัตว์ มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว คือ พระเทวทัตเคยขอพระพุทธเจ้า แต่ท่านไม่อนุญาต ดีชั่วอยู่ที่จิต ท่านกลัวลำบากญาติโยม"

รูปธรรม นามธรรม ช่วงที่ ๒

ในการทำวัตรสวดมนต์ของพระจะมีการพิจารณาอาหารบิณฑบาต เสนาสนะ และจีวรรวมอยู่ด้วย ที่เรียกว่า บทปฏิสังขาโย เพื่อไม่ให้พระคิดอยากได้ในสิ่งเหล่านี้ ทั้งนี้เป็นเพียงเพื่อการประทังชีพในการบำเพ็ญคุณธรรมต่อไป ดังคำพูดของหลวงปู่ที่ว่า "อยู่ในโลกก็ต้องกิน"

หลวงปู่ "อาจารย์แด่ ท่านเคยบอกข้าตอนที่ไปนวดให้ท่านว่า เป็นพระต้องระวังนะคุณ ถ้าไม่ไหว้พระสวดมนต์ ตายไปต้องไปเกิดเป็นควายแก่ให้เขาใช้งาน ท่านเคยบอกด้วยนะว่า ควายแก่"

ผู้ถาม "การบิดเบือนพระพุทธพจน์ของพระพุทธเจ้า เขาว่าเป็นการทำลายศาสนา เหมือนกับตัดคอพระพุทธรูปทีละองค์"

หลวงปู่ "พระเทวทัตมีฤทธิ์ขนาดเหาะได้ ยังไปนรกเลย แล้วคนที่ยังเหาะไม่ได้ จะไปไหน"

ผู้ถาม "ลูกอธิษฐานไว้ว่าต้องถือศีลแปด แต่กลัวจะหิว เพราะไม่ได้กินข้าวเย็นครับ"

หลวงปู่ "เปลี่ยนจากข้อ ๓ เป็น อพรัมมะจริยา ก็ได้ นี่เป็นศีล ๕ แบบอุกฤษฏ์ ถือเป็นเพศพรหมจรรย์"

ผู้ถาม "เดี๋ยวนี้คนใจบาป ตัดเศียรพระพุทธรูปไปขายต่างประเทศ"

หลวงปู่ "อีกหน่อยศาสนาพุทธจะไปปรากฏในต่างแดน ตอนนี้ไปในส่วนของรูปธรรม ต่อไปจะปรากฏในส่วนของนามธรรม จะมีการปฏิบัติกันมากขึ้นกว่านี้"

ผู้ถาม "ทางรัสเซีย เขาว่ากันว่า ปฏิบัติเกินไปจากอเมริกาหลายสิบปี แต่เขาใช้ในด้านวินาศกรรมเพราะเรดาร์จับไม่ได้ ไม่บาปหรือครับ"

หลวงปู่ "ให้เขาทำไปเถิด อีกหน่อยเขาพลิกจิตได้ ก็ดีเอง"

ผู้ถาม "ทำไมต้องห้อยพระ ไม่ต้องใช้ได้ไหมครับ"

หลวงปู่ "กำลังใจของคนไม่เท่ากัน เรามีเวลาเผลอเพราะไม่ใช่พระอรหันต์ ถ้าจิตเป็นพระไม่ต้องใช้ก็ได้ หรือถ้าทำเป็นแล้วก็ไม่ต้อง"

ผู้ถาม "บารมีพระช่วยได้จริงหรือไม่"

หลวงปู่ "ถ้ากรรมไม่หนักพระช่วยได้ ถ้าหนักพระช่วยไม่ได้ ตอนตายถ้านึกถึงพระก็ยังไปสวรรค์"

ผู้ถาม "ทำอย่างไรจึงนึกถึงพระหรือความดีก่อนตาย"

หลวงปู่ "ต้องทำอยู่เรื่อยๆ เหมือนกับทำไมต้องกินข้าวทุกวัน ถ้าไม่ทำบุญหรือทำ แต่บางทีนึกออกได้ยาก เช่นมีคนแถววัดสะแก ทำบาปกับปลาเอาไว้มาก ก่อนตายพอน้องเข้าไปบอกทางว่า พุทโธ แกกลับบอกว่าแกงส้มปลาเทโพอยู่ในครัว พอพี่เข้าไปบอกว่า อะระหัง แกกลับบอกว่า มีแต่กระชัง (ใส่ปลา) ทั้งนั้น"

พระชำรุด

คนส่วนใหญ่มักจะไม่นิยมนำพระที่แตกหรือหักมาไว้ในบ้าน โดยเฉพาะพระที่ทำด้วยปูนมักแตกหักได้ง่าย ผู้เขียนเรียนถามหลวงปู่ถึงเหตุผล

หลวงปู่ "สมัยก่อนข้าเป็นฆราวาส ก็ห้อยพระหักเพราะเสียดายของ เมื่อก่อนเขาใช้ลวดถัก เดี๋ยวนี้ก็ยังเห็นเขาใช้กัน ไม่เห็นเป็นไร"

ผู้เขียน "แล้วความจริงเป็นอะไรหรือไม่ เพราะเคยฟังมาว่าแม้แต่พระสมเด็จวัดระฆังที่แตกหัก ยังนำชิ้นส่วนมาแกะเป็นองค์เล็กๆ ใช้กันได้"

หลวงปู่ " พระที่ทำด้วยปูนหรือโลหะ ข้าอธิษฐานว่าเมื่อใดก็ตามที่ของที่ทำละลายเป็นน้ำ เมื่อนั้นจึงขอให้หมดอานุภาพ แล้วเมื่อไรจะละลายเป็นน้ำละแก"

ดังนั้น ถ้าพระของหลวงปู่หัก ไม่ต้องตกใจหรือเสียกำลังใจ เพราะคำตอบมีอยู่อย่างชัดเจน หลวงปู่เพียงแต่บอกว่า "ใครทำพระข้าหัก จะเสียใจไปตลอดชีวิต" ทั้งนี้เพื่อให้ทุกท่านมีความระมัดระวัง เนื่องจากของที่หักแล้วมักเกิดตำหนิ มองดูไม่สวยงามเท่าของที่สภาพสมบูรณ์

ผู้เขียน "การซ่อมแซมพระพุทธรูปองค์ใหญ่ๆ ที่คอหักหรือชำรุดนั้น มีอานิสงส์มากหรือน้อยกว่าการสร้างใหม่"

หลวงปู่ "ตามพระไตรปิฎกกล่าวว่า ซ่อมมีอานิสงส์มากกว่าการสร้างใหม่"


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 29 พ.ย. 2008 12:07 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 10:40 am
โพสต์: 369
1131988318.gif



อำนาจบุญ

วันหนึ่งขณะที่หลวงปู่กำลังสนทนากับผู้เขียน มีญาติโยมบ้านอยู่ที่อำเภอนครหลวง เข้ามากราบนมัสการพร้อมกับขอร้องหลวงปู่ให้ช่วยเหลือลูกสาวซึ่งถูกผีเข้าเป็นเวลาถึง ๓ ปี ผีที่เข้าบอกว่า โดนยิงตายที่หลังวัดข้างบ้านเจอผู้หญิงเกิดชอบใจ ต้องการได้ไว้เป็นภรรยา บางเวลาผีก็เข้า บางเวลาผีก็ออก ทำให้เกิดความกลัดกลุ้มมาก ถึงกับบางครั้งแกแทบจะยิงผี ซึ่งผีบอกว่า ยิงก็โดนลูกสาวแกเอง หลวงปู่ฟังเสร็จจึงพยักหน้ามาที่ผู้เขียนแล้วบอกว่า

หลวงปู่ "แกช่วยเขาทีเอาบุญ"

โยม "ต้องเอาตัวคนไข้มาหรือไม่ครับ"

หลวงปู่ "ไม่ต้อง" หลังจากนั้นหลวงปู่ตั้งจิตแล้วพูดว่า

"เรียกตัวผีมารับบุญหลวงปู่ทวด มารับบุญข้าให้โมทนาซะ จะได้ไปดี เป็นผีก็ไปเอาเมียผี ไม่ใช่มาเอาเมียคน รับบุญไปจะได้มีเมียนางฟ้าเยอะแยะ ดูด้วยว่าผีรับหรือยัง...รับแล้วใช่ไหม....ไปเกิดซะ เอาละหมดเรื่องแล้ว"

ผู้เขียนจึงบอกโยมคนนั้นว่า "ตอนที่เขาไปเกิดแล้วนี่เป็นเหตุ ลุงกลับบ้านลองไปดู ถ้าลูกสาวไม่เป็นไรแสดงว่าหาย"

โยมคนนั้นจึงกลับไปพร้อมกับความสงสัยจนกระทั่งผ่านไปเกือบเดือน แกได้กลับมาที่วัดอีกครั้ง พร้อมรายงานว่า "หายดีแล้วครับ ตั้งแต่วันนั้นไม่มีอาการเกิดขึ้นอีกเลย เพราะหลวงปู่เมตตาช่วยเหลือไว้"

กรรมเก่า

โดยปกติหลวงปู่จะไม่มีการล้มหมอนนอนเสื่อ มีครั้งแพทย์เห็นอาการท่านหนักมาก ท่านบอกไม่เป็นไร แต่ท่านได้สงเคราะห์ให้หมอรักษาโดยการให้น้ำเกลือ หลวงปู่ท่านมองสายน้ำเกลือ

หลวงปู่ "นึกถึงกรรมที่เคยผูกควายไว้กับต้นไม้ ไม่ให้ไปไหน ตอนนี้เลยมาโดนเข้ากับตัวเอง โดนผูกเอาไว้เหมือนกัน"

พระพุทธองค์ตรัสว่า "ขึ้นชื่อว่าความชั่ว ไม่ทำเสียเลยดีกว่า" เพราะการทำกรรมมีผู้บันทึกไว้ทั้งสิ้น ไม่ว่าดีหรือชั่ว จิตคือคอมพิวเตอร์ที่บันทึกได้อย่างแม่นยำ ด้วยตัวของตัวเอง และจิตตัวนี้จะแสดงผลของกรรมให้เห็นในขณะดับจิต หลวงปู่ท่านเล่าถึงกรรมที่จิตไปข้องนั้น แม้แต่น้อยนิดยังส่งผลได้ โดยท่านกล่าวถึงอาจารย์องค์หนึ่งว่า

หลวงปู่ "เป็นพระปฏิบัติกรรมฐาน ท่านเคยบอกลูกศิษย์ลูกหาท่านว่า ถ้าท่านตายวันไหน จะมีเสียงปี่พาทย์ราดตะโพนมารับ พอท่านตายจริงๆ กลับเงียบ ทำให้ลูกศิษย์เศร้าใจและเป็นห่วง ท่านไปไม่ได้เพราะไปนึกถึงอ้อยที่โยมเอามาถวาย ท่านปลูกเอาไว้กำลังจะได้ผล ท่านเพียงแต่คิดว่าจะนำไปถวายให้พระฉัน ถ้าตายไปเลยตอนนี้ก็จะไปเกิดเป็นเล็นติดอยู่กับต้นอ้อย พอวันที่ ๗ พวกทายกเห็นต้นอ้อยงามดี เลยตัดนำไปถวายพระที่มางาน จึงเป็นโอกาสดี ท่านเลยโมทนาจิต ไม่ติดเกาะอยู่เท่านั้นเอง ทายกทายิกาได้ยินเสียงปี่พาทย์รับขึ้นมา ลูกศิษย์ลูกหาพลอยดีใจ เพราะคำพูดอาจารย์กล่าวไว้ศักดิ์สิทธิ์"

ตรงกับพุทธภาษิตบทหนึ่งกล่าวไว้ว่า

จิตฺเต สงฺกิลิฏเฐ ทุคฺคติ ปาฏฺกงฺขา เมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว ทุคติเป็นอันต้องหวัง

จิตฺเต อสงฺกิลิฏฺเฐ สุคติ ปาฏิกงฺขา เมื่อจิตไม่เศร้าหมอง สุคติเป็นอันหวังได้


ทางที่พ้นโลก

หลวงปู่เคยเล่าให้ผู้เขียนฟังถึงประสบการณ์จากลูกศิษย์คนหนึ่ง กล่าวคือ ในตอนแรกลูกศิษย์ของท่านคนนี้นับถือศาสนาคริสต์ก็ไม่ยอมปฏิบัติ จนกระทั่งวันหนึ่งได้มีโอกาสเข้าไปนั่งปฏิบัติในกุฏิของท่าน และเห็นหลวงปู่ทวดในนิมิต ด้วยเหตุผลทางศาสนาจึงทำให้ไม่ยอมกราบหลวงปู่ทวด แต่ในที่สุดก็ต้องกราบหลวงปู่ทวดจนได้

ต่อมา ลูกศิษย์คนนี้มานมัสการท่านพร้อมทั้งรายงานผลการปฏิบัติ และได้เรียนถามท่านว่า

"หลวงลุงครับ รู้จักหลวงพ่อธรรมโชติไหม"

ท่านก็ฉุกคิดได้ถึงการอธิษฐานของท่านเมื่อหลายสิบปีก่อน

หลวงปู่ "ข้าเคยอธิษฐานขอคาถาจากรพอาจารย์ธรรมโชติ เพราะเห็นคนเขาลักของของวัด บางทีข้านอนอยู่ยังลักไปต่อหน้าต่อตา เขาเล่ากันว่า ที่วัดของท่าน ใครลักของไปต้องเอามาคืนหมด พระอาจารย์ธรรมโชติองค์นี้เป็นผู้ที่มีอาคมขลังในสมัยเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ และท่านเป็นผู้หนึ่งที่ร่วมอยู่ในค่ายบางระจันเพื่อต่อสู้กับอริราชศัตรูคือ พม่า"

ลูกศิษย์ "อาจารย์ธรรมโชติท่านสั่งให้ผมมาเรียนหลวงลุงว่า คาถาที่ขอนั้นยังเป็นโลก ติดอยู่ในโลกไปไม่ได้ แต่วิธีการของหลวงลุงเป็นการทำตัวให้พ้นโลกที่ท่านทำนั้นสูงอยู่แล้ว"

หลวงปู่จึงพูดกับผู้เขียนว่า

"ที่จริงข้าลืมไปแล้วด้วยซ้ำ เพราะขอมานมนานกาเล แต่ท่านยังอุตส่าห์บอกถึงข้าจนได้"


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 29 พ.ย. 2008 1:35 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 12:00 pm
โพสต์: 488
ยอดเยี่ยมทุกเรื่องเลยค่ะ :grt:

ขอบคุณค่า... :)


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 03 ธ.ค. 2008 7:24 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586
ขอบคุณมากครับ คุณbecknui

_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO