นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อังคาร 07 พ.ค. 2024 1:39 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: กามวิถี
โพสต์โพสต์แล้ว: อาทิตย์ 26 ก.ย. 2010 10:13 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4550
ต่อไปนี้จะอธิบายถึงเรื่องความโกรธครับ
ความโกรธนั้นบางคนก็เรียกว่าโทสะ
หมายถึงความโกรธนั้นเอง
ความโกรธนั้นอาจจะทำให้เสียหายทั้งทรัพย์สิน
และอาจรวมถึงชีวิตได้
ต่อไปจะอ้างถึงความโกรธในพระไตรปิฎกครับ

วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้าที่ 157
[การสอนตนเมื่อเกิดปฏิฆะ]
[นัยที่ ๑-ระลึกถึงโทษของความโกรธ]
แต่ถ้าเมื่อเธอนำจิตเข้าไปในคนเป็นศัตรูกัน ปฏิฆะเกิดขึ้น เพราะ
ระลึกถึงความผิดที่เขาทำให้ไซร้ เมื่อเช่นนั้น เธอพึงเข้าเมตตา (ฌาน)
ในบุคคลลำดับหน้า ๆ (มีคนที่รัก เป็นต้น) ในบุคคลไร ๆ ก็ได้บ่อย ๆ
ออกแล้วทำเมตตาถึงบุคคลนั้นร่ำไป บรรเทาปฏิฆะให้ได้
ถ้าแม้เมื่อเธอพยายามไปอย่างนั้น มันก็ไม่ดับไซร้ ทีนี้
เธอพึงพยายามเพื่อละปฏิฆะ โดยระลึกถึงพระพุทธโอวาท
ทั้งหลาย มีกกจูปมโอวาท (พระโอวาทที่มีความอุปมาด้วย
เลื่อย) เป็นต้น บ่อย ๆ เถิด
ก็แลโยคาวจรภิกษุนั้นเมื่อจะสอนตน พึงสอนด้วยอาการ (ต่อไป)
นี้แลว่า๒ "อะไรนี่เจ้าบุรุษขี้โกรธ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้มิใช่หรือว่า
(๑) "ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้หากพวกโจรป่า ๓ จะพึง (จับ
ตัว) ตัดองค์อวัยวะด้วยเลื่อยที่มีด้าม ๒ ข้าง แม้นผู้ใดยังใจให้คอด
ร้ายในพวกโจรนั้น เพราะเหตุที่ใจร้ายนั้น ผู้นั้นหาได้ชื่อว่าสาสนกร
(ผู้ทำตามคำสอน) ของเราไม่ ๑" และว่า
(๒) ผู้ใด โกรธตอบ ผู้ที่โกรธเอา (ก่อน)
เพราะเหตุที่โกรธตอบนั้น ผู้นั้นกลับเลวกว่าผู้
ที่โกรธ (ก่อน) นั้นเสียอีก ผู้ไม่โกรธตอบ
ผู้โกรธเอา ชื่อว่าชนะสงครามที่ชนะยาก ผู้ใด
รู้ว่าผู้อื่นขุ่นเคืองขึ้นมาแล้วมีสติระงับใจเสียได้
(ไม่เคืองตอบ) ผู้นั้นชื่อว่า ประพฤติเป็นประ-
โยชน์ด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่าย คือ ทั้งฝ่ายตน และ
ฝ่ายท่าน"๒ และว่า
๓) "ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมที่ศัตรูปรารถนา (ให้มีแก่ผู้
เป็นศัตรูกัน) ที่ศัตรูพึงทำ (ให้แก่ผู้เป็นศัตรูกัน) ๗ ประการนี้ย่อม
มาถึงคนมักโกรธ จะเป็นสตรีหรือบุรุษก็ตาม ธรรม ๗ ประการคือ
อะไรบ้าง ดูกรภิกษุทั้งหลาย ศัตรูในโลกนี้ ย่อมปรารถนาอย่างนี้
ต่อผุ้เป็นศัตรูกันว่า เออน่ะ ขอ (ให้) มันเป็นคนมีผิวพรรณทราม
เถิด" ดังนี้ ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุอะไร ภิกษุทั้งหลาย (เพราะ)
ศัตรูย่อมไม่ยินดี ด้วยความมีผิวพรรณ (งาม) แห่งผู้เป็นศัตรูกัน
ภิกษุทั้งหลาย บุรุษบุคคลผู้มักโกรธนี้ ถูกความโกรธครอบงำแล้ว
โกรธเต็มประดาแล้ว ถึงเขาจะเป็นผู้อาบน้ำแล้วอย่างดี ลูบไล้กาย
อย่างดี ตัดแต่งผมและหนวด นุ่งห่มผ้าขาวสะอาด ก็ตามเถิด ถึง
กระนั้น เขาผู้ถูกความโกรธครอบงำ ก็เป็นคนมีผิวพรรณทรามอยู่
นั่นเอง นี้ ภิกษุทั้งหลาย ธรรมที่ศัตรูปรารถนา (ให้มีแก่ผู้เป็น
ศัตรูกัน) ที่ศัตรูพึงทำ (ให้แก่ ผู้เป็นศัตรูกัน) ประการต้น
ย่อมมาถึงคนมักโกรธ จะเป็นสตรีหรือบุรุษก็ตาม
อีกข้อหนึ่ง ภิกษุทั้งหลาย ศัตรูย่อมปรารถนานี้ต่อผู้เป็นศัตรูกันว่า

"เออน่ะ ขอ (ให้) มันนอนเป็นทุกข์เถิด" ฯลฯ "ขอ (ให้) มันเป็น
คนอัตคัดเถิก* ฯลฯ "ขอ (ให้) มันเป็นคนไม่มีโภคะเถิด" ฯลฯ
"ขอ (ให้) มันเป็นคนไม่มี (เกียรติ) ยศเถิด" ฯลฯ "ขอ(ให้) มัน
เป็นคนไม่มีมิตรเถิด" ฯลฯ เพราะกายแตกตายไป ขอ(ให้) มัน
อย่าได้เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์เลย" ดังนี้ ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุอะไร
ภิกษุทั้งหลาย (เพราะ) ศัตรูย่อมไม่ยินดีด้วยความไปสุคติแห่งผู้
เป็นศัตรูกัน ภิกษุทั้งหลาย บุรุษบุคคลผู้มักโกรธนี้ ถูกความโกรธ
ครอบงำแล้ว โกรธเต็มประดาแล้ว ย่อมประพฤติชั่วด้วยกาย
ประพฤติชั่วด้วยวาจา ประพฤติชั่วด้วยใจ เขาผู้ถูกความโกรธครอบ
งำ ครั้นประพฤติชั่วด้วยกายวาจาใจแล้ว เพราะกายแตกตายไป
ย่อมเข้าถึงอบายทุคติวินิบาตนรก"๑ และว่า
(๔) "ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดุ้นฟืนเผาศพ ไฟไหม้ทั้ง ๒
ข้าง ตรงกลางก็เปื้อนคูถ ใช้ประโยชน์เป็นเครื่องไม้ในบ้านก็ไม่ได้
เป็นฟืนในป่าก็ไม่ได้ ฉันใดก็ดี เรากล่าวบุรุษบุคคลผู้นี้ว่า มีอุปมา
ฉันนั้น"๒ ดังนี้
บัดนี้ ตัวเจ้านั้นมัวโกรธอยู่อย่างนี้ ก็จะไม่ชื่อว่าเป็นสาสนกร (ผู้
ทำตามคำสอน) ของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วย มัวโกรธตอบ (เขา)
กลับเป็นคนเลวกว่าคนที่โกรธ (ก่อน) แล้วก็จักไม่ชื่อว่าชนะสงคราม
ที่ชนะยากด้วย จักได้ชื่อว่าทำสปัตตกรณธรรม (สิ่งที่ศัตรูทำให้แก่ผู้
ที่เป็นศัตรูกัน) แก่ตนด้วยตนเองด้วย จักเป็นคนเหมือนดุ้นฟืนเผาศพ
ด้วยละซิ"

พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้าที่ 206

คนโกรธมีผิวพรรณทราม ย่อมนอนเป็นทุกข์ ถือเอาสิ่งที่เป็น
ประโยชน์แล้ว กลับปฏิบัตสิ่งอันไม่เป็นประโยชน์ ทำปาณาติบาตด้วยกายและวาจา
ย่อมถึงความเสื่อมทรัพย์ ผู้มัวเมา เพราะความโกรธ ย่อมถึงความไม่มียศ ญาติมิตร
และสหาย ย่อมเว้นคนโกรธเสียห่างไกล คนผู้ โกรธย่อมไม่รู้จักความเจริญ ทำจิต
ให้กำเริบ ภัย ที่เกิดมาจากภายในนั่น คนผู้โกรธย่อมไม่รู้สึก คนโกรธย่อมไม่รู้อรรถ
ไม่เห็นธรรม ความโกรธย่อมครอบงำนรชนในขณะใด ความมืดตื้อย่อมมีไม่ขณะ
นั้น คนผู้โกรธย่อมก่อกรรมที่ทำได้ยากเหมือนทำได้ง่าย ภายหลังเมื่อหายโกรธ
แล้ว เขาย่อมเดือดร้อนเหมือนถูกไฟไหม้ คนผู้โกรธย่อมแสดงความแก้อยาก
ก่อน เหมือนไฟแสดงควัน ก่อน ในกาลใด ความโกรธเกิดขึ้น คนย่อมโกรธ

ในกาลนั้น คนนั้นไม่มีหิริ ไม่มีโอตตัปปปะ และไม่ มีความเคารพ คนที่ถูกความ

โกรธครอบงำย่อมไม่มีความสว่างแม้แต่น้อยเลย


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้าที่ 610

ในสัตว์ผู้ตกอยู่ในอำนาจของความโกรธนั้น จะได้อะไรด้วยการช่วยเหลือ

สัตว์เหล่านี้ทั้งหมด พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงคุ้มครองดุจบุตรเกิดแต่อกฉะนั้น.
เพราะฉะนั้น เราไม่ควรทำใจโกรธในสัตว์นั้น. เมื่อผู้ทำความผิดมีคุณ เราไม่
ควรทำความโกรธในผู้มีคุณ. เมื่อไม่มีคุณควรแสดงความ สงสารเป็นพิเศษ. ยศอัน

เป็นคุณของเราย่อมเสื่อมเพราะความโกรธ. สิ่งเป็นข้าศึกทั้งหลายมีผิวพรรณเศร้า
หมองและการอยู่เป็นทุกข์เป็นต้น ย่อมมาถึงเราด้วยความโกรธ. อนึ่งชื่อว่าความ
โกรธนี้กระทำสิ่งไม่เป็นประโยชน์ได้ทุกอย่าง ยังประโยชน์ทั้งปวงให้พินาศเป็นข้า
ศึกมีกำลัง. เมื่อมีขันติข้าศึกไร ๆ ก็ไม่มี. ทุกข์มีความผิดเป็นนิมิตอันผู้ทำความผิด
พึงได้รับต่อไป อนึ่งเมื่อมีขันติเราก็ไม่มีทุกข์. ข้าศึกติดตามเราผู้คิดและโกรธ.

เมื่อเราครอบงำความโกรธด้วยขันติ ข้าศึกเป็นทาสของความโกรธนั้นก็จะถูกครอบ
งำโดยชอบ. การสละขันติคุณอันมีความโกรธเป็นนิมิตไม่สมควรแก่เรา. เมื่อมีความ

โกรธอันเป็นข้าศึกทำลายคุณธรรม ธรรมมีศีลเป็นต้น จะพึงถึงความบริบูรณ์แก่เรา
ได้อย่างไร. เมื่อไม่มีธรรมมีศีลเป็นต้นเหล่านั้น เราเป็นผู้มากด้วยอุปการะแก่สัตว์
ทั้งหลาย จักถึงสมบัติสูงสุดสมควรแก่ปฏิญญาได้อย่างไร. เมื่อมีความอดทนสังขาร
ทั้งหลายทั้งปวง ของผู้มีจิตตั้งมั่นเพราะไม่มีความฟุ้งซ่านในภาย นอก ย่อมทน
ต่อการเพ่งโดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ ธรรมทั้งหลายทั้งปวง
ย่อมทนการเพ่งโดยความเป็นอนัตตา และนิพพานย่อมทนต่อการเพ่งโดยความเป็น

อสังขตะ อมตะ สันตะ และปณีตะเป็นต้น และพุทธธรรมทั้งหลายย่อมปรากฏ
โดยเป็นอจินไตย และหาประมาณมิได้. ด้วยประการฉะนี้.


เอาบุญมาฝากวันนี้ได้ถวายสังฆทาน
อนุโมทนาบุญกับผู้ใส่บาตรตามถนนหนทาง กรวดน้ำอุทิศบุญ เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน
รักษาศีล อาราธนาศีล เจริญวิปัสสนา ได้ปฏิบัติธรรม
ได้ถวายข้าวพระพุทธรูป สักการะพระธาตุ
ทำงานบ้านช่วยพ่อแม่และเจริญอาโปกสิน ศึกษาการรักษาโรค
ให้อาหารสัตว์เป็นทาน และที่ผ่านมาได้
ร่วมบุญสร้างพระสูง 22 ม. ร่วมกฐิน
กับวัดกรรมฐาน ประมาณ 400 กว่าวัด
ร่วมบุญสร้างศาลาอุโบสถและงานบุญหลายอย่างในวัด
และที่ผ่านมาได้เตรียมงานหลายวันกับกลุ่มเพื่อนหลายคน
ให้การรักษาผู้ป่วยจำนวนหลายร้อยชีวิต
โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเพื่อการกุศล
และได้จัดดอกไม้บูชาพระธาตุ และพระรัตนตรัย
เมื่อเช้าคุณแม่ได้ถวายสังฆทาน
และได้มีงานทำบุญเลี้ยงพระทั้งวัดจำนวน 3 วัด
และสร้างบารมีครบทั้ง 10 อย่าง ขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ต่อไปเป็นข่าวงานกุศล
ขอประชาสัมพันธ์ช่วยอีกแรงหนึ่ง เนื่องจากทางวัดประโชติการาม อยู่ทิศเหนือ ห่างจังหวัดแค่ 5 กิโล ต.บางกระบือ อ.เมือง ไปง่ายมาก บนถนน สิงห์บุรี ชัยนาท ความจริงแล้วเป็นวัดที่เก่าแก่ และมีสิ่งล้ำค่า มีคุณค่า พอที่จะจารึกเป็น คำขวัญของจังหวัดเลยทีเดียวครับ


วัดนี้มีพระประธานยืนใหญ่ ปางห้ามญาติ ( พระประจำวันจันทร์ด้วยนะครับ ) ถึงสององค์ หันหน้าไปทิศเดียวกัน องค์หนึ่งสูง สามวา อีกองค์ สูง 6 วา ถือว่าใหญ่จนเป็นพระ อัฏฐารส คือสูงเกิน 18 ศอก
เป็นพระอัฏฐารส คู่ หันพระพักตร์ ไปทางเดียวกัน เพียงแห่งเดียวในโลก และอายุการสร้าง น่าจะสมัย กรุงศรีอยุธยา หรือสุโขทัยทีเดียว


แต่ด้วย การพยายามจะบูรณะ เนื่องจากน้ำท่วม และพระพุทธรูปเริ่มเอน
คือหลวงพ่อสิน ในภาพนี้ ( จึงต้องมีเหล็กมาค้ำไว้ )
ทำให้ได้งบมาบูรณะองค์พระ
ทำให้มีการรื้อพระวิหาร
ทำให้พระอยู่กลางแจ้งขึ้นมาทันที และวิหารที่สวยงาม ก็ถูกรื้อไป
เป็นอย่างนี้สองสามปีแล้วครับ


เพราะต่อมา มีความซับซ้อน เมื่อจะสร้างวิหารใหม่ ก็ พบกำแพงโบราณอยู่ใต้องค์พระ
จึงมีการขุด รอบวิหาร โดยกรมศิลป
และงบประมาณ จะถมดิน หรือปรับแต่ง ไม่มีรองรับ
ทำให้พระประธานสององค์ และมณฑปที่ครอบอยู่
โดนขุดล้อม ไปหมด วิหารรอบองค์พระ ก็ไม่มีดินรองรับ ที่หนาแน่นพอ
สภาพดิน ทั้งหมดบริเวณนี้ตอนนี้ ก็ย่ำแย่มาก
ประกอบกับวัดนี้ น้ำท่วมได้ง่ายมาก
เมื่อไม่กี่ปีก่อน น้ำท่วมสูงเลยกำแพงที่ล้อม พระสองรูปนี้อีกด้วยซ้ำ


ผมคิดว่า พระที่ล้ำค่าของโลก ทั้งสององค์ ซึ่งบังเอิญอยู่ในที่เดียวกัน ในวัดเดียวกันด้วยนี้

พร้อมที่จะทรุดล้ม ทั้งสององค์ได้อย่างง่ายดาย
ตกอยู่ในอันตรายอย่างยิ่ง เหมือนหอเอนปิซ่า เมื่อตอนที่ยังไม่มีการซ่อมแซม เช่นเดียวกันเครับ
คงต้องใช้ งบประมาณมาก ในการซ่อม และต้องการความร่วมมือ
ทั้งจาก งบประมาณ จังหวัด การประสานงาน ของกรมศิลปด้วยครับ

ถ้าซ่อมดีแล้ว จะเป็นวัดที่งามอย่างมหัศจรรย์ และเป็นที่ท่องเที่ยว ล้ำค่าของจังหวัดสิงหบุรีได้ทีเดียว เนื่องจากเป็นพระประจำวันจันทร์ ถึงสององค์ ทางวัดอยากจะบูรณะ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้เสร็จเร็วๆ

ขอแรง ช่วยส่งไปยัง วัดนี้ด้วยครับ
ท่านเจ้าอาวาสคือ หลวงพ่อ พระนพดล เกษมธรรมโชติ
ขอข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อท่านได้โดยตรง โทร 089 5136491 ครับ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 6 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO