นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อาทิตย์ 05 พ.ค. 2024 2:59 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 22 มิ.ย. 2010 12:54 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586

(เหมือนพ่อ)re1.jpg


อุบายการสอนอย่างหนึ่งของหลวงปู่ที่นับว่าได้ผลมากคือการพูดในเชิงสบประมาทลูกศิษย์เพื่อกระตุ้นเร้าให้ลูกศิษย์ฝึกฝืนกิเลสและขวนขวายในการฝึกฝนตนเองให้ยิ่งขึ้นไปอีก คำพูดเชิงสบประมาทของหลวงปู่ที่ขอยกมา ณ ที่นี้ ได้แก่

๑. “แกมันยังเละ ๆ เทะ ๆ”

คำพูดนี้ เป็นการย้ำเตือนว่านักปฏิบัติอย่างเรา ๆ ว่ายังไม่หลักได้เกณฑ์ ยังห่างไกลคำว่ามีตนเป็นที่พึ่ง เพราะยังสอนหรือเตือนตัวเองไม่ได้ จึงยังไม่มีธรรมที่จะเป็นเครื่องรักษาจิต และพร้อมจะโกรธ โลภ หลง ไปตามสิ่งที่มากระทบ

ดังนั้น เมื่อพิจารณาคำหลวงปู่นี้แล้ว ก็ให้เกิดสำนึกว่าเราต้องเร่งปลูกฝังสัมมาทิฏฐิ เจริญสัมมาปฏิบัติ คือ ศีล สมาธิ และปัญญาให้ยิ่ง ๆ ขึ้น เพื่อให้เป็นคนมีหลักมีเกณฑ์โดยไม่เนิ่นช้า จะได้ลดอาการเละ ๆ เทะ ๆ ลงเสียบ้าง


๒. “ชาวบ้านเขาไม่เห็นต้องปฏิบัติอย่างคนรู้มากอย่างแกเลย”

สมัยนี้ สื่อหรือช่องทางการเรียนรู้มันมายเสียเหลือเกิน การเสพสื่อธรรมะโดยเจ้าตัวขาดการปฏิบัติหรือเจริญสติสัมปชัญญะไปพร้อม ๆ กัน จึงทำให้สัญญาหรือความจดความจำมันมาก ส่วนผลการปฏิบัติที่ประจักษ์ใจเจ้าของมันยังมีน้อยกว่ามาก ดีไม่ดีสำคัญผิดคิดว่าเราได้เราถึงอย่างครูบาอาจารย์ (เข้าใจเอาว่าฟังแล้ว เข้าใจแล้ว แปลว่าเป็นปัญญาหรือสมบัติของเราแล้ว ทั้ง ๆ ที่ยังเป็นแค่สมบัติตัวหนังสือ ส่วนกิเลสก็เป็นกิเลสตัวหนังสือ ไม่ได้น่ากลัวอะไรเลย ทุกข์ก็ทุกข์ตามตัวหนังสือ ไม่ได้รู้สึกสังเวชใจและอยากจะหนีทุกข์จริง ๆ) ผลคือเป็นชาล้นถ้วย ปิดกั้นไม่รับความรู้หรือการตักเตือนจากผู้ใด นั่นก็เพราะความสำคัญผิดคิดว่าสัญญาเป็นปัญญา

ด้วยเหตุนี้ เวลาไปปฏิบัติกับหลวงปู่ ท่านจึงให้วางตำราไว้ก่อน ทำตัวเป็นภาชนะว่างเปล่าพร้อมรับธรรมคำสอนจากท่าน แล้วศึกษาจากสนามรบจริง คือ กายใจเราเอง โดยพิจารณาและสังเกตสภาวะของจริง มิใช่ตัวหนังสือที่จำมา


๓. “ตราบใดที่แกยังไม่เห็นความดีในตัว ก็ยังไม่นับว่าแกรู้จักข้า”

ประโยคนี้ หลวงปู่ต้องการตอกย้ำว่า อาศัยเพียงความใกล้ชิดองค์ท่านหรืออยู่กับหลวงปู่นาน ๆ ก็มิได้แปลว่าเราจะรู้จักท่านจริง ต่อเมื่อเราได้น้อมนำเอาคำแนะนำสั่งสอนของท่านไปปฏิบัติขัดเกลากายวาจาจิตของตนเองให้มีคุณธรรมความดีขึ้นมากระทั่งตัวเองก็รู้สึกหรือเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงนี้ได้ชัด นั้นแหละจึงจะนับว่าเรารู้จักหลวงปู่ดีขึ้น กล่าวคือเราจะทราบซึ้งในคุณธรรมความดีขององค์หลวงปู่ที่เมตตาพร่ำสอนกระทั่งเปลี่ยนปุถุชนให้กลายเป็นกัลยณชนขึ้นมาได้


๔. “แกมันเชื่อไม่จริง”

ประโยคนี้ มีความหมายกว้างและครอบคลุมในหลาย ๆ กรณี ทั้งหยาบ กลาง ละเอียด ตั้งแต่ว่า

• พากันไปกราบไหว้เจ้าพ่อเจ้าแม่ ฯลฯ ก็เพราะเราไม่เชื่อพระรัตนตรัยจริง

• มาปฏิบัติ รับฟังคำสอนและการอบรมจากครูอาจารย์ เราก็พากันฟังแล้วเอาไปทิ้ง มิได้ฟังเอาไปทำ นั่นก็เพราะเชื่อท่านไม่จริง

• ในระหว่างปฏิบัติกรรมฐาน ท่านให้บริกรรมภาวนาไตรสรณคมน์ พอมีอารมณ์อื่นเข้ามา เราก็ทิ้งเลย ทิ้งคำบริกรรมภาวนาแล้วไปปรุงแต่งอารมณ์อื่นเป็นภาพยนตร์เรื่องยาว นั่นก็เพราะเชื่อไม่จริง เห็นอารมณ์อื่นดีกว่าคำบริกรรมภาวนา

• เวลาเกิดเคราะห์ร้าย หรือโรคภัย บางคนก็พร้อมจะไปยึดอย่างอื่นเป็นสรณะ ละทิ้งคำว่าพุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ไปโดยสิ้นเชิง บางคนถึงขั้นเปลี่ยนศาสนาไปก็มี

• เราปฏิบัติธรรมชนิดทำ ๆ หยุด ๆ ปฏิบัติแบบไฟไหม้ฟาง วูบ ๆ วาบ ๆ ไม่สม่ำเสมอ นั่นก็เพราะเชื่อไม่จริง

• เวลาปฏิบัติเกิดความทุกข์ยากลำบากขึ้นมาเป็นต้นว่าปวดแข้งปวดขา หรือฟุ้งหนัก เราก็ทิ้งการปฏิบัติ หาทางลัดดีกว่า นั่งสมาธิ เดินจงกรมทำไมให้เมื่อย ทรมานตัวเองเปล่า ๆ ให้กิเลสหรอกว่ารูปแบบอย่างนั้นไม่เหมาะกับคนยุคนี้แล้ว ต้องมีทางลัดกว่านั้น นั่นก็เพราะเชื่อไม่จริงว่าหนทางที่ท่านสอนเป็นทางพ้นทุกข์ได้จริง

• เวลาครูบาอาจารย์กระหนาบหนักเข้าเพื่อจะเจียระไนให้เราผู้เปรียบเหมือนหินให้เป็นเพชรเป็นพลอยขึ้นมา ก็ไม่อาจจะอดทนต่อการอบรมสั่งสอนของท่าน นั่นก็เพราะเชื่อไม่จริงว่าท่านทำด้วยเมตตาต่อเรา

• ปฏิบัติไป ๆ ยังไม่ก้าวหน้าอย่างที่คาดหวัง ก็แสวงหาหนทางใหม่ ๆ มันเรื่อยไป เหมือนย้ายที่ปลูกต้นไม้ไปเรื่อย ๆ ตราบใดที่ต้นไม้ยังไม่เหี่ยวเฉาถึงที่สุด หรืออายุขัยยังไม่ใกล้หมด ก็ยังจะไม่ได้คิดปักหลักแล้วเอาจริงเอาจังสักที นั่นก็เพราะความที่เชื่อไม่จริง

• ในระหว่างหนทางการปฏิบัติ พระท่านเตือนแล้วว่าให้ระวังกับดัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องความหลงตัวหลงตน และลาภสักการะต่าง ๆ ก็ยังพากันติดกับดัก นั่นก็เพราะเชื่อไม่จริง

• ฯลฯ



_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 22 มิ.ย. 2010 9:25 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ 27 มี.ค. 2010 1:50 pm
โพสต์: 598
สาธุ :pry:


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 22 มิ.ย. 2010 11:13 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร 16 มี.ค. 2010 4:20 pm
โพสต์: 31
การเดินทางทุกเส้นทางย่อมมีจุดหมายปลายทางแต่จะมีใครสักกี่คนที่จะเดินทางถึง
จุดหมายปลายทางของตนเอง แต่ถ้าคนเรามีเข็มทิศนำทางชี้ไปในทางที่ถูกที่ต้อง
นั่นย่อมจะนำทางไปสู่หนทางทางดี จะนำไปสู่หนทางที่ถูกต้อง จะได้พบกับความสุขถาวร
โดยนำคำสอนดี ๆ มายึดมาถือ เป็นหลักนำชี้ทางการดำเนินชีวิตของตน
ขอบคุณมากนะครับที่นำคำสอนดี ๆ มาให้ศึกษา อนุโมทนา สาธุด้วยคน นะครับ :pry:


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 23 มิ.ย. 2010 2:19 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586
ด้วยความยินดีครับ อนุโมทนาด้วยเช่นกันครับผม :P

_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 6 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO