นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อาทิตย์ 05 พ.ค. 2024 6:21 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: บุญกับความโลภ
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 27 เม.ย. 2010 9:25 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4549
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 711

๑. ปฐมนิพพานสูตร ว่าด้วยอายตนะ คือ นิพพาน

[๑๕๘] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อาราม

ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล พระ-

ผู้มีพระภาคเจ้าทรงชี้แจงให้ภิกษุทั้งหลายเห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ

ให้ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาอันปฏิสังยุตด้วยนิพพาน ก็ภิกษุเหล่านั้นกระทำ

ให้มั่น มนสิการแล้วน้อมนึกธรรมีกถาด้วยจิตทั้งปวงแล้ว เงี่ยโสตลงฟัง

ธรรม ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึง

ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นมีอยู่ ดิน

น้ำ ไฟ ลม อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจาย-

ตนะ อากิญจัญญายตนะ โลกนี้ โลกหน้า พระจันทร์

และพระอาทิตย์ทั้งสอง ย่อมไม่มีในอายตนะนั้น

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนะนั้น

ว่า เป็นการมา เป็นการไป เป็นการตั้งอยู่ เป็นการ

จุติ เป็นการอุปบัติ อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยมิได้

มิได้เป็นไป หาอารมณ์มิได้ นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์.

จบปฐมนิพพานสูตรที่ ๑
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 723

ข้อความบางตอนจาก.. ตติยนิพพานสูตรที่ ๓

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติไม่เกิดแล้ว ไม่

เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้

แล้ว มีอยู่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว

เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุง

แต่งไม่ได้แล้ว จักไม่ได้มีแล้วไซร้ การสลัดออกซึ่งธรรม-

ชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่ง

แล้ว จะไม่พึงปรากฏในโลกนี้เลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย

ก็เพราะธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัย

กระทำไม่ได้แล้วปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่ ฉะนั้น การ

สลัดออกซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำ

แล้วปรุงแต่งแล้วจึงปรากฏ.



จบตติยนิพพานสูตรที่ ๓

เบื้องต้นควรทราบว่า อายุของรูป ๑ ขณะ มีอายุเท่ากับอายุของจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ

รูปที่เกิดขึ้นและกระทบทางปัญจทวารก่อนวิถีจิตทางปัญจทวารจะเกิดขึ้น ๓ ขณะจิต

จากนั้นวิถีทางปัญจทวารจึงเกิดขึ้นรู้อารมณ์นั้น ๑๔ ขณะ เมื่อรวมขณะจิตทั้งหมด

๑๗ ขณะ เท่ากับอายุของรูปเกิดดับ ๑ ขณะ จากนั้นวิถีจิตทางมโนทวารเกิดขึ้นรูปนั้น

ทันที โดยอายุของรูปชื่อว่าดับไปแล้ว แต่ด้วยความรวดเร็วของจิตที่เกิดสืบต่อนั้น

ชื่อว่ามีรูปปรมัตถ์ที่เพิ่งดับไปนั้นเป็นอารมณ์ครับ



ก่อนอื่นต้องทราบก่อนนะครับว่า อารมณ์ของวิถีจิตทางปัญจทวารเป็นปรมัตถ์

เพียงอย่างเดียว ส่วนอารมณ์ทางมโทวาร มีทั้งปรมัตถ์และบัญญัติ มโนทวาร

วิถีที่รู้อารมณ์ต่อจากทางปัญจทวารวาระแรกมีปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์ ส่วนวาระ

หลังๆ มีบัญญัติเป็นอารมณ์ ครับ

เมื่อวิถีจิตทางปัญจทวาร (ทวารหนึ่งทวารใด) ดับหมดแล้ว ภวังคจิต

เกิดคั่นหลายขณะแล้ว มโนทวารวิถีจิตก็เกิดสืบต่อ มโนทวารวิถีจิตวาระแรกมี

อารมณ์หนึ่งอารมณ์ใดใน ๕ อารมณ์ที่เพิ่งดับไปทางปัญจทวารนั่นเองเป็น

อารมณ์ มโนทวารวิถีจิตวาระแรกที่เกิดต่อจากปัญจทวารวิถีจิตนั้น ยัง

ไม่มีบัญญัติเป็นอารมณ์
มโนทวารวิถีจิตแต่ละวาระมีวิถีจิต ๒ หรือ ๓ วิถีจิต คือ มโนทวา-

ราวัชชนวิถีจิต ๑ ขณะ ชวนวิถีจิต ๗ ขณะ ตทาลัมพนวิถีจิต ๒ ขณะ (บาง

วาระก็ไม่มีตทาลัมพนวิถีจิต) เมื่อมโนทวารวิถีจิตวาระที่ ๑ ดับไปแล้ว ภวังคจิต

ก็เกิดคั่นหลายขณะ แล้วมโนทวารวิถีจิตวาระที่ ๒ ก็เกิดต่อมีบัญญัติคือ รูปร่าง

สัณฐานของอารมณ์หนึ่งอารมณ์ใดใน ๕ อารมณ์นั้นเป็นอารมณ์ เมื่อมโนทวาร

วิถีจิตวาระที่ ๒ ดับไปแล้วภวังคจิตก็เกิดคั่น แล้วมโนทวารวิถีจิตวาระต่อๆ ไปก็

เกิดขึ้นมีอรรถ คือ ความหมาย หรือคำต่างๆ เป็นอารมณ์ทีละวาระโดยมีภวังคจิต

เกิดคั่น ขณะที่รู้ว่าเป็นคน เป็นวัตถุ เป็นสิ่งต่างๆ ขณะนั้นจิตรู้บัญญัติ ไม่ใช่รู้

ปรมัตถอารมณ์ ปรมัตถอารมณ์ที่ปรากฏทางตาเป็นสีสัณวัณณะต่างๆ เท่านั้น แต่

ขณะที่มโนทวารวิถีจิตรู้ว่าเป็นสัตว์ บุคคล วัตถุ สิ่งต่างๆ ขณะนั้นมโนทวารวิถี

จิตมีบัญญัติเป็นอารมณ์ จึงรู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร

ฉะนั้น พระธรรมที่ว่า ปรมัตถธรรมไม่ใช่บัญญัติ ก็เพราะปรมัตถ-

ธรรมเป็นสภาพธรรมที่มีจริง แม้จะไม่ใช้คำบัญญัติใดๆ เรียกปรมัตถธรรมเลย

สภาพธรรมที่เกิดขึ้นนั้นก็มีลักษณะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ส่วนบัญญัติไม่ใช่ปรมัตถ-

ธรรม เพราะไม่ใช่สภาพธรรมที่มีจริง และที่ชื่อว่า ปญฺญตฺติ เพราะให้รู้ได้โดย

ประการนั้น ๆ

วิถีจิตทางปัญจทวาร มี ๗ วิถี คือ


.


อาวัชชนวิถีจิต เป็นวิถีจิตที่ ๑

และถ้าเป็นทางปัญจทวาร คือ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็คือ


ทวิปัญจวิญญาณจิต

ดวงหนึ่งดวงใด ทางปัญจทวาร เป็นวิถีจิตที่ ๒


ได้แก่


จักขุวิญญาณ

โสตวิญญาณ

ฆานวิญญาณ

ชิวหาวิญญาณ

กายวิญญาณ



แล้วแต่ว่าอารมณ์ที่ปรากฏ

ที่กระทบปสาทนั้นๆ เป็นอารมณ์อะไร.



เมื่อวิถีจิตที่ ๒ ดับไปแล้ว เป็นปัจจัยให้เกิดวิถีจิตต่อไป คือ

สัมปฏิจฉันนจิต เป็นวิถีจิตที่ ๓

ทำกิจรับอารมณ์ต่อจากวิญญาณจิตที่ดับไป.



สันตีรณจิต เป็นวิถีจิตที่ ๔

ทำกิจพิจารณาอารมณ์นั้นๆ แล้วดับไป.



โวฏฐัพพนวิถีจิต เป็นวิถีจิตที่ ๕

กระทำกิจ กำหนดอารมณ์ที่ปรากฏ

เพื่อกุศลจิต หรือ อกุศลจิต ที่จะเกิดในวิถีจิตต่อไป.


(ต่อไป)...คือ ชวนวิถีจิต เป็นวิถีจิตที่ ๖


.



"ชวนะ" โดยศัพท์แปลว่า "ไปอย่างเร็ว"

หรือจะใช้คำว่า "แล่นไปในอารมณ์" ก็ได้


ชววิถีจิต เป็นกุศลจิต ก็ได้ เป็นอกุศลจิต ก็ได้

สำหรับ...ผู้ที่ยังไม่ใช่พระอรหันต์.


แต่ผู้ที่เป็นพระอรหันต์แล้ว

ดับกุศลจิต และ อกุศลจิตได้แล้ว

จิตที่ทำ ชวนกิจ (ทั้งทางมโทวารและทางปัญทวาร)

สำหรับพระอรหันต์ คือ กิริยาจิต

กิริยาจิต...ไม่เป็นเหตุที่จะทำให้เกิด วิบากจิต คือ ผลของกรรม.



.



ตทาลัมมณวิถีจิต หรือ ตทาลัมพณวิถีจิต เป็นวิถีจิตที่ ๗

จิตดวงนี้ ทำกิจรู้อารมณ์ ต่อจาก ชวนวิถีจิต

เหตุเพราะว่า อารมณ์ของชวนวิถีจิต ยังไม่ดับไป

คือ ถ้านับอายุของรูป ๆ หนึ่ง ที่กระทบกับทวาร

รูป ซึ่งมีอายุ ๑๗ ขณะจิต หมายถึง


ตั้งแต่อตีตภวังค์ เป็นขณะจิตที่ ๑

ภวังคจลลนจิต เป็นขณะจิตที่ ๒

ภวังคุปัจเฉทจิต เป็นขณะจิตที่ ๓

อาวัชชนจิต เป็นขณะจิตที่ ๔

ทวิปัญจวิญญาณจิต เป็นขณะจิตที่ ๕

สัมปฏิจฉันนจิต เป็นขณะจิตที่ ๖

สันตีรณจิต เป็นขณะจิตที่ ๗

โวฏฐัพพนจิต เป็นขณะจิตที่ ๘

ชวนจิต ๗ ขณะ เป็นขณะจิตที่ ๙-๑๕

ตทาลัมพณวิถีจิต เป็นขณจิตที่ ๑๖-๑๗



( รูปที่กระทบปสาท ทางทวารใดทวารหนึ่ง ๑ ครั้ง

จึงมีอายุเท่ากับจิต ๑๗ ขณะจิต ดังนี้ )


.



วิสัยของผู้ที่เป็น "กามบุคคล"

เวลาที่ได้รับอารมณ์ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ

แล้วรูปนั้นยังไม่ดับไป

ก็เป็นปัจจัยให้ วิบากจิต คือ ตทาลัมพณวิถีจิต

เกิดขึ้นรู้อารมณ์นั้นๆต่ออีก ๒ ขณะจิต

แล้วจึงจบวิถีจิตทางปัญจทวาร


(ทั้งหมดนี้ คือ การเกิดขึ้นของวิถีจิต ๗ วิถีจิต ทางปัญจทวาร

และอายุของรูป ๆ หนึ่ง ที่ตั้งอยู่เท่ากับ ๑๗ ขณะจิต แล้วจึงดับไป)



.



หลังจากนั้น...ก็เป็น ภวังคจิต ต่อไป...

จนกว่า วิถีจิตต่อไปจะเกิดขึ้น.


ซึ่งอย่าลืมนะคะ ว่าขณะใดที่เป็นภวังคจิตนั้น โลกนี้จะไม่ปรากฏ

ความทรงจำ เกี่ยวกับเรื่องราวของบุคคลต่างๆ


และเหตุการณ์ต่างๆ ในโลกนี้ จะไม่ปรากฏเลย

ขณะที่เป็นภวังคจิต.




เช่น ขณะที่นอนหลับสนิท...

ไม่มีความรู้ ความจำเรื่องใดๆทั้งสิ้น เกี่ยวกับโลกนี้.


แล้วถ้า จุติจิต เกิด...ทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้

ปฏิสนธิจิต จะเกิดต่อทันที

และ "วิถีจิตต่อไป" ก็จะเป็น "เรื่องราวของโลกอื่น"


.


เพราะฉะนั้น ก็ให้เห็น "ความเป็นไปของขณะจิต"

ว่า เป็นเพียงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย.



.
.
.



(สำหรับทางมโนทวาร...คือ จิตที่รู้อารมณ์ทางใจ)


เมื่อ รูปใด รูปหนึ่ง

ที่กระทบกับวิญญาณจิตทางทวารใดทวารหนึ่งในปัญจทวาร ดับไปแล้ว

ภวังคจิตเกิดคั่น...ต่อจากนั้น มโนทวารวิถีจิต

คือ วิถีจิตทางมโนทวาร... ก็เกิดขึ้น

ทำกิจรู้อารมณ์เดียวกัน ของอารมณ์ที่ปรากฏทางปัญจทวารวิถีจิตที่เพิ่งดับไป.


สำหรับมโนทวารวิถีจิต

มีวิถีจิตไม่มากเท่ากับ วิถีจิตทางปัญจทวารวิถีจิต

เพราะว่า อารมณ์ที่ปรากฏนั้นๆไม่ได้กระทบกับปสาท...จึงไม่มีอตีตภวังค์

แต่ว่า ก่อนที่จิตจะมีการรำพึงถึงอารมณ์ ที่รับมาจากทางปัญจทวารวิถีจิต

ก็จะต้องมี ภวังคจลนจิต ที่เกิดขึ้นแล้วดับไป

แล้ว ภวังคุปัจเฉทจิต ก็ต้องเกิดขึ้น แล้วดับไป

ต่อจากนั้น........มโนทวาราวัชชนจิต ก็เกิดขึ้น.



สำหรับจิตทางมโนทวารวิถีจิต คือ จิตที่ทำอาวัชชนกิจ มี ๑ ดวง

คือ มโนทวาราวัชชนจิต ทำกิจรำพึงถึงอารมณ์ ทางมโนทวาร

โดยไม่ต้องมีอารมณ์ใดๆ มากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย.



ในชีวิตประจำวัน...

เวลาที่เกิดการนึกถึงเรื่องหนึ่งเรื่องใดก็ตาม

ขณะนั้นเกิดจากเหตุ คือ


มโนทวาราวัชชนจิต เกิดก่อน โดยเป็นวิถีจิตทางมโนทวาร

เป็นขณะจิตที่ ๑ ทางมโนทวาร.


ทำกิจรำพึงถึงอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง

และเมื่อ "จิตขณะนี้" ดับไปแล้ว

ก็เป็น "ชวนวิถีจิต" ซึ่ง เป็นวิถีจิตทางมโนทวาร

เป็นขณะจิตที่ ๒ ทางมโนทวาร.


สำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์

จะนึกถึงอารมณ์นั้น ด้วยกุศลจิต หรือ อกุศลจิต

ถ้าเป็นอกุศลจิต เช่น โลภมูลจิต หรือ โทสมูลจิต

อกุศลจิตนั้นก็จะเกิดขึ้น และดับไป ๗ ขณะจิต.


ต่อจากนั้น...ถ้าเป็นอารมณ์ที่แรง

ตทาลัมพณจิตก็เกิดต่อ เป็นวิถีจิตทางมโนทวาร ขณะจิตที่ ๓


ฉะนั้น สำหรับทางมโนทวารวิถีจิต

จะมีวิถีจิตเกิดขึ้น ๓ วิถีจิต คือ


อาวัชชนวิถีจิต เป็นวิถีจิตที่ ๑

ชวนวิถีจิต เป็นวิถีจิตที่ ๒

ตทาลัมพณวิถีจิต เป็นวิถีจิตที่ ๓


เอาบุญมาฝากได้ถวายสังฆทาน
ได้อนุโมทนาบุญกับผู้ใส่บาตรตามถนนหนทาง กรวดน้ำอุทิศบุญ
เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน
รักษาศีล อาราธนาศีล เจริญวิปัสสนา ได้ปฏิบัติธรรม
ได้ถวายข้าวพระพุทธรูป สักการะพระธาตุ
ทำงานบ้านช่วยพ่อแม่ทุกวัน
และเจริญอาโปกสิน
ฟังธรรมศึกษาธรรม
ศึกษาการรักษาโรค
วันนี้มีงานบุญนิมนต์พระที่หมู่บ้านที่ศาลปู่ตามี
ผู้คนไปทำบุญทั้งหมู้บ้าน
และสร้างบารมีครบทั้ง 10 อย่าง ขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญร่วมบุญแกะสลักพระนอนบนหินทราย
โทร.089 8354072

ขอให้สรรพสัตว์ทั้ง 31 ภพภูมิจงบรรลุมรรคผลนิพพานเทอญ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 7 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO