นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อาทิตย์ 05 พ.ค. 2024 10:19 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 11 มี.ค. 2010 2:02 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586
ฐานิโย 10.jpg


พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
วันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๓๕

....................................................................

นักปฏิบัติที่จะทำจิตทำใจของตนเองให้ก้าวขึ้นไปสู่ภูมิจิต ภูมิธรรมขั้นสูง เราจำเป็นต้องรักษากาย วาจา
อันเปรียบเหมือนเปลือกหุ้มไข่ ให้บริสุทธิ์สะอาดด้วยกฎหรือระเบียบ ข้อปฏิบัติตามขั้นภูมินั้นๆ ซึ่งเรียกว่าศีลนั่นเอง

เมื่อเรามารักษากาย วาจา ให้บริสุทธิ์ปราศจากโทษทางสิกขาบทวินัย เมื่อเราจะมาบำเพ็ญสมาธิภาวนา สมาธิของเราก็เจริญงอกงาม สมาธิที่เกิดขึ้นก็เป็นสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิย่อมทำให้เกิดปัญญา ปัญญาที่เกิดจากสมาธิย่อมเป็นสัมมาทิฐิ คือความเห็นที่ถูกต้อง...

“งานของจิตก็คือความคิด” ความคิดนอกจากเป็นงานของจิตแล้ว ยังเป็นอาหารของจิต เป็นการบริหารจิตให้เกิดมีพลังงาน เป็นการผ่อนคลายความตึงเครียด เป็นสิ่งที่เป็นเครื่องหมาย ให้เราสามารถกำหนดรู้ว่า อะไรเกิดขึ้นดับไป ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

ถ้าเรามีสติปัญญาเข้มข้น เราก็จะสามารถมองเห็นว่า ความคิดนี่แหละเป็นสิ่งมายั่วยุให้เราเกิดความยินดียินร้าย ถ้าหากสมาธิของผู้มีปัญญาก็จะกำหนดหมายว่า ความยินดี คือ กามตัณหา ความยินร้าย คือ วิภวตัณหา การเข้าไปยึดติดอยู่กับสิ่งนั้นก็ คือ ภวตัณหา ในเมื่อจิตมีกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหาอยู่พร้อม ความสุขและความทุกข์ ย่อมเกิดขึ้นสลับกันไป

เมื่อจิตดวงนี้มีสติปัญญาเข้มแข็ง เขาสามารถจะกำหนดหมายรู้ว่านี่คือ “ทุกขอริยสัจ” ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ แล้วก็จะได้รู้ ความเกิด ความดับ ของทุกข์เรื่อยไป จนในที่สุดจิตก็จะเกิดความรู้ขึ้นมาว่า นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับ ทุกข์เท่านั้นเกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นดับไป ก็จะได้ดวงตาเห็นธรรมว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นดับไปเป็นธรรมดา เช่นเดียวกับท่านอัญญาโกณฑัญญะ ฟังธัมมจักกัปปวัตตนสูตรจบลง ซึ่งพระพุทธเจ้าแสดงอริยสัจ ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เมื่อจิตของท่านอัญญาโกณฑัญญะ ได้สมาธิก้าววูบลงไป นิ่ง สว่าง

จักขุง อุทะปาทิ...จักษุบังเกิดขึ้นแล้ว จิตจะรู้พร้อมอยู่ที่จิต หยั่งรู้อยู่ภายในจิตเป็นลักษณะของญาณ

ญาณัง อุทะปาทิ...ญาณได้บังเกิดขึ้นแล้ว ในเมื่อญาณ การหยั่งรู้แก่กล้า มีพลังขึ้นกลายเป็นปัญญา จิตไหวตัวกลายเป็นความรู้ เกิดความคิดขึ้นมา

ปัญญา อุทะปาทิ...ปัญญาบังเกิดขึ้นแล้ว จิตมีสิ่งรู้ สติมีสิ่งระลึก ซึ่งจะเป็นไปเองโดยอัตโนมัติทุกขณะจิต และมีสติรู้พร้อมอยู่กับความคิดที่เกิดดับ รู้แจ้งเห็นจริงว่าความคิดมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น-ดับไป เพราะอาศัยที่มีสติรู้เท่าทันเหตุการณ์ จิตกำหนดรู้อยู่ที่จิต สติพร้อมอยู่ที่จิต สิ่งที่รู้มาปรากฏขึ้นกับสติ มาพร้อมกัน ไม่มีความพลั้งเผลอ คือไม่เผลอยินดี

วิชชา อุทะปาทิ...วิชชาบังเกิดขึ้นแล้วในเมื่อมีวิชชาความรู้แจ้งเห็นจริงตามสภาพแห่งความเป็นจริง จิตก็ปล่อยวาง ในขณะนั้นวูบลงไปอีก มีความสว่างไสวโพลงขึ้นมา

อาโลโก อุทะปาทิ...ความสว่างไสวได้บังเกิดขึ้นแล้ว นี่คือวิถีทางที่จิตจะเป็นไปซึ่งเป็นจิตที่ดำเนินสมาธิในทางที่ถูกต้อง

_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 8 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO