นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อาทิตย์ 05 พ.ค. 2024 4:07 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ละโลภะ
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 05 มี.ค. 2010 11:28 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4549
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 120

[พระมหินทเถระไปประกาศพระศาสนาที่เกาะลังกา]

ส่วนพระมหินทเถระ ผู้อันพระอุปัชฌายะ และภิกษุสงฆ์เชื้อเชิญว่า

ขอท่านจงไปประดิษฐานพระศาสนายังเกาะตัมพปัณณิทวีปเถิด ดังนี้ จึง

ดำริว่า เป็นกาลที่เราจะไปยังเกาะตัมพปัณณิทวีปหรือยังหนอ ? ครั้งนั้น

เมื่อท่านใคร่ควรอยู่ ก็ได้มีความเห็นว่า ยังไม่ใช่กาลที่ควรจะไปก่อน.

ถามว่า ก็พระเถระนั้น ได้มีความเห็นดังนี้ เพราะเห็นเหตุการณ์อะไร ?

แก้ว่า เพราะเห็นว่า พระเจ้ามุฏสีวะ ทรงพระชราภาพมาก.

.บัดนี้ เป็นเวลาที่ควรจะไปยังเกาะลังกาหรือยังหนอแล. ลำดับนั้น ท่าน

ดำริว่า ขอให้พระราชกุมารพระนามว่า เทวนัมปิยดิส เสวยอภิเษก ที่

พระชนกของเราทรงส่งไปถวายเสียก่อน, ขอให้ได้สดับคุณพระรัตนตรัย

และเสด็จออกไปจากพระนคร เสด็จขึ้นสู่มิสสกบรรพตมีมหรสพเป็นเครื่อง

หมาย, เวลานั้น เรา จักพบพระองค์ท่านในที่นั้น. พระเถระ ก็สำเร็จ

การพักอยู่ที่เวทิสคิรีมหาวิหารนั้นและ สิ้นเดือนหนึ่งต่อไปอีก.

ก็โดยล่วงไปเดือนหนึ่ง คณะสงฆ์และอุบาสกแม้ทั้งหมด ซึ่งประชุม

กันอยู่ในวันอุโบสถ ในดิถีเพ็ญแห่งเดือนแปดต้น (คือวันเพ็ญเดือน ๗)

ได้ปรึกษากันว่า เป็นกาลสมควรที่พวกเราจะไปยังเกาะตัมพปัณณิทวีปหรือ

ยังหนอ ? เพราะเหตุนั้น พระโบราณาจารย์ทั้งหลาย จึงได้กล่าวว่า

ในกาลนั้น ได้มีพระสังฆเถระ

ชื่อมหินท์โดยนาม ๑ พระอิฏฏิยเถระ ๑ พระ-

อุตติยเถระ๑ พระภัททสาลเถระ ๑ พระสัมพล

เถระ ๑ สุมนสามเณร ผู้ได้ฉฬภิญญา มี

ฤทธิ์มาก ๑ ภัณฑกอุบาสก ผู้ได้เห็นสัจจะ

เป็นที่ ๗ แห่งพระเถระเหล่านั้น ๑, ท่าน

มหานาคเหล่านั้นนั่นแล พักอยู่ในที่เงียบ-

สงัด ได้ปรึกษากันแล้ว ด้วยประการฉะ

นี้แล.

[พระอินทร์ทรงเล่าเรื่องพุทธพยากรณ์ถวายให้พระมหินท์ทราบ]


เวลานั้น ท้าวสักกะ ผู้เป็นจอมแห่งทวยเทพ เสด็จเข้าไปหาพระมหินทเถระ

แล้วได้ตรัสคำนี้ว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ! พระเจ้ามุฏสีวะ สวรรคต


แล้ว, บัดนี้ พระเจ้าเทวานัมปิยดิสมหาราชเสวยราชย์แล้ว, และสมเด็จ

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ทรงพยากรณ์องค์ท่านไว้แล้วว่า ในอนาคต ภิกษุ

ชื่อมหินท์ จักยังชาวเกาะตัมพปัณณิทวีปให้เสื่อมใส ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้

เจริญ !เพราะเหตุดังนั้นแล เป็นกาลสมควรที่ท่านจะไปยังเกาะอันประเสริฐ

แล้ว แม้ กระผม ก็จักร่วมเป็นเพื่อนท่านด้วย.


ถามว่า ก็เพราะเหตุไร ท้าวสักกะจึงได้ตรัสอย่างนั้น ?


แก้ว่า เพราะได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ

ที่ควงแห่งโพธิพฤกษ์นั่นเอง ได้ทอดพระเนตรเห็นสมบัติแห่งเกาะนี้ในอนาคต

จึงได้ตรัสบอกความนั่นแก่ท้าวสักกะนั้น และทรงสั่งบังคับไว้ด้วยว่า ในเวลา

นั้น ถึงบพิตรก็ควรร่วมเป็นสหายด้วย, ดังนี้ ฉะนั้น ท้าวสักกะ จึงได้ตรัส

อย่างนั้น.

วันลอยกระทง ตรงกับวันเพ็ญ ขึ้น 15 ค่ำเดือน 12

ซึงในวันนี้มีเหตุการณ์สำคัญในอดีตที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาดังนี้

พระสารีบุตรปรินิพพาน

พระสารีบุตร พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญท่านไว้เป็นอันมาก ดังเช่นที่พระองค์ตรัส

ไว้ว่า สารีบุตรอยู่ที่ทิศหรือสถานที่ใด ทิศหรือสถานที่นั้นก็เหมือนมีพระพุทธเจ้าเพราะ

พระสารีบุตรมีปัญญามาก และพระสารีบุตรยังมีพระคุณที่ทำให้เราได้มีโอกาสศึกษาพระ

ธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าด้วย ในพระธรรมที่มี 84000 พระธรรมขันธ์ 2000 พระ-

ธรรมขันธ์ เป็นคำที่พระสารีบุตรกล่าวไว้

พระอานนท์กล่าวไว้ว่า

ธรรมเหล่าใด ที่ขึ้นปากขึ้นใจข้าพเจ้า ข้าพเจ้า

เรียนธรรมเหล่านั้นจากพระพุทธเจ้า ๘๒,๐๐๐ พระ

ธรรมขันธ์ เรียนจากภิกษุ ๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์

รวม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์.

ท่านพระสารีบุตรพิจารณาคุณธรรมและปัญญาของท่านเองก็หาที่สิ้นสุดไม่ได้

เม็ดทรายในแม่น้ำคงคายังนับได้แต่ปัญญาของพระสารีบุตรนั้นนับไม่ได้

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้าที่ 426

อรรถกถาจุนทสูตร

พระธรรมเสนาบดี สารีบุตร แสดงวัตรถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ไปที่พัก

กลางวัน. เพื่อนเหล่าอันเตวาสิกในที่นั้นแสดงวัตรหลีกไปแล้ว ท่านจึงกวาดที่

พักกลางวัน ปูแผ่นหนัง ล้างเท้าแล้วนั่งคู้บัลลังก์เข้าผลสมาบัติ. ลำดับนั้น

เมื่อท่านออกจากผล สมาบัตินั้น ตามกำหนดแล้ว เกิดความปริวิตกนี้ว่า พระ

พุทธเจ้าทั้งหลาย จักปรินิพพานก่อนหรือหนอ หรือว่าพระอัครสาวกปรินิพพาน

ก่อน. แต่นั้นรู้แล้วว่า พระอัครสาวกปรินิพพานก่อน แล้วจึงตรวจดูอายุ

สังขารของตน รู้แล้วว่า อายุสังขารของเราจักเป็นไปได้เพียง ๗ วัน เท่านั้น
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่มที่ ๑ ภาคที่ ๑


อนาถบิณฑิกสูตร


อนาถบิณฑิกเทวบุตร ยืนอยู่ ณ.ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

แล้วได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า



"ก็พระเชตวันนี้

อันหมู่แห่งท่านผู้แสวงคุณพำนักอยู่

พระธรรมราชา ก็ประทับอยู่แล้ว

เป็นที่ให้เกิดปีติ แก่ข้าพระองค์


สัตว์ทั้งหลาย

ย่อมบริสุทธิ์ด้วยส่วน ๕ นี้คือ

กรรม วิชา ธรรม ศีล และ ชีวิตอันอุดม

หาได้บริสุทธิ์ด้วยโคตร และ ทรัพย์ไม่


เพราะเหตุนั้นแหละ

บุรุษผู้เป็นบัณฑิต เมื่อเล็งเห็นประโยชน์ของตน

พึงเลือกเฟ้นธรรมโดยแยบคาย

อย่างนี้ จึงจะบริสุทธิ์ในธรรมนั้น


พระสารีบุตร รูปเดียวเท่านั้น

เป็นผู้ประเสริฐด้วย ปัญญา ศีล และ อุปสมธรรม เครื่องสงบระงับ


ภิกษุใด เป็นผู้ถึงซึ่งฝั่ง คือ นิพพาน

ภิกษุนั้น

ก็พึงเทียบเท่า ท่านพระสารีบุตร นั้น."



อนาถบิณฑิกเทวบุตร....ครั้นกล่าวดังนี้แล้ว

ก็ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า

ทำประทักษิณ แล้วอันตรธานไปในที่นั้นเอง.


สุสิมสูตรนี้ก็กล่าวถึงคุณของพระสารีบุตร ดังนี้

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 387

๙. สุสิมสูตร

[๓๐๓] สาวัตถีนิทาน.

ณ กาลครั้งหนึ่ง ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึง

ที่ประทับครั้นแล้วจึงถวายอภิวาท นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.

พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า อานนท์ เธอชอบ

สารีบุตรหรือไม่.

อ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ใครเล่าที่ไม่ใช่คนพาล ไม่ใช่คนมุทะลุ

ไม่ใช่คนงมงาย ไม่ใช่คนมีจิตวิปลาส จะไม่ชอบท่านพระสารีบุตร เพราะ

ท่านเป็นบัณฑิต มีปัญญามาก มีปัญญาแน่นหนา มีปัญญาชวนร่าเริง มี

ปัญญาไว มีปัญญาแหลม มีปัญญาคม มักน้อย สันโดษ สงัดกาย สงัดใจ

ไม่คลุกคลีด้วยหมู่ ปรารภความเพียร เข้าใจพูด อดทนต่อถ้อยคำ โจทก์ท้วง

คนผิด ตำหนิคนชั่ว ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ใครเล่าที่ไม่ใช่คนพาล ไม่ใช่คน

มุทะลุ ไม่ใช่คนงมงาย ไม่ใช่คนมีจิตวิปลาส จะไม่ชอบท่านสารีบุตร....

[๓๐๕] ณ กาลครั้งนั้น สุสิมเทพบุตร แวดล้อมไปด้วยเทพบุตร

บริษัทเป็นอันมาก ขณะที่พระผู้มีพระภาคเจ้าและอานนท์เถระ กำลังกล่าว

สรรเสริญคุณท่านพระสารีบุตรอยู่ ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถวายอภิวาท

แล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า จริงอย่างนั้น

พระผู้มีพระภาคเจ้า จริงอย่างนั้น พระสุคต อันใครเล่าที่ไม่ใช่คนพาล ไม่ใช่คน

มุทะลุ ไม่ใช่คนงมงาย ไม่ใช่คนมีจิตวิปลาส จะไม่ชอบท่านพระสารีบุตร เพราะ

ท่านเป็นบัณฑิต ฯลฯ ตำหนิคนชั่ว ...

[๓๐๖] ครั้งนั้น เทพบุตรบริษัทของสุสิมเทพบุตร ขณะที่สุสิมเทพ-

บุตรกำลังกล่าวสรรเสริญท่านพระสารีบุตรอยู่ เป็นผู้ปลื้มใจ เบิกบาน เกิด

ปีติโสมนัส มีรัศมีแห่งผิวพรรณแพรวพราวอยู่.....

พระสุตตันตปิฏก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่มที่ ๑ ภาคที่ ๑


สุสิมสูตร


ครั้งนั้น สุสิมเทพบุตร ได้กล่าวคาถานี้ ในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้า

ปรารภถึงท่านพระสารีบุตร ว่า



" ท่านพระสารีบุตร คนรู้จักท่านดี ว่าเป็นบัณฑิต

ไม่ใช่คนมักโกรธ มักน้อย สงบเสงี่ยม ฝึกฝนมาดี มีคุณงาม

อันพระศาสดา ทรงนำมาสรรเสริญ เป็นผู้แสวงคุณ."



พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสคาถาตอบ สุสิมเทพบุตร

ปรารภถึงท่านพระสารีบุตร ว่า



"สารีบุตร ใครๆก็รู้ ว่าเป็นบัณฑิต

ไม่ใช่คนมักโกรธ มักน้อย สงบเสงี่ยม อบรม ฝึกฝนมาดี

จำนงอยู่ ก็แต่กาลเป็นที่ปรินิพพาน."



ข้อความบางตอนว่าด้วยการสรรเสริญพระสารีบุตร....

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 323

๖. สารีปุตตสูตร

ว่าด้วยการสรรเสริญพระสารีบุตร


.....[๗๔๓] ครั้งนั้นแล ท่านพระวังคีสะได้สรรเสริญท่านพระสารีบุตร ต่อ

หน้าด้วยคาถาทั้งหลายอันสมควรว่า


ท่านสารีบุตรเป็นนักปราชญ์ มีปัญญาลึกซึ้ง

ฉลาดในทางและมิใช่ทาง มีปัญญามาก

ย่อมแสดงธรรมแก่ภิกษุทั้งหลาย แสดงโดย

ย่อก็ได้ แสดงโดยพิสดารก็ได้ เสียงของท่าน

ไพเราะดังก้องเหมือนเสียงนกสาริกา ปฏิภาณ

เกิดขึ้นโดยไม่รู้สิ้นสุด เมื่อท่านแสดงธรรมอยู่

ภิกษุทั้งหลายย่อมฟังเสียงอันไพเราะ เป็นผู้

ปลื้มจิตยินดีด้วยเสียงอันเพราะ น่ายินดี น่าฟัง

เงี่ยโสตอยู่ ดังนี้.

พระสารรีบุตร เปรียบตัวเองดั่งผ้าเช็ดธุลี ทนสิ่งต่างๆได้ทั้งหมด

เหมือนโคเขาขาด ไม่มีพิษมีภัยกับใคร

เหมือนเด็กจัณฑาลที่เข้าไปในสภา ย่อมอ่อนน้อมเป็นอย่างยิ่ง

เหมือนแผ่นดิน ย่อมทนสิ่งที่สะอาดและไม่สะอาดได้

เหมือนลมย่อมไมรังเกียจที่จะพัดสิ่งที่สะอาดและไม่สะอาด

เหมือนไฟ ย่อมไม่รังเกียจที่จะไหม้สิ่งที่สะอาดและไม่สะอาด

เหมือนน้ำ ย่อมไม่รังเกียจสิ่งที่สะอาดและไม่สะอาด



เหตุการณ์สำคัญในวันเพ็ญเดือน 12 ที่อาจจะยังไม่ทราบกันแต่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่

ประเทศศรีลังกา เป็นเหตุการณ์สำคัญและอัศจรรย์มากจนแผ่นดินไหว ฝนโบกขรพรรษ

ตก เป็นเหตุการณ์ที่มีการขอพระบรมสารีริกธาตุมาจากพระอินทร์คือพระธาตุรากขวัญ

(ไหปลาร้า)เบื้องขวา เพื่อมาประดิษฐานที่ประเทศศรีลังกา เมื่อได้พระบรมสารีริกธาตุ

มา พระราชาแห่งศรีลังกาจึงวางผอบที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ที่กระพองของช้าง

ช้างเกิดความดีใจเปล่งเสียงอันดัง พร้อมๆกันนั้นฝนโบกขรพรรษก็ตกลงมา แผ่นดินก็

ไหว มีอันให้รู้ว่า พระธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จักประดิษฐานอยู่ ที่ปัจจันตชนบท

(ศรีลังกา) ดังนี้เป็นเหตุพวกเทวดาและมนุษย์ได้ร่างเริงบันเทิงใจทั่วกัน.

พระมหาวีระ (ผู้มีความเพียรใหญ่)

เสด็จมาในเกาะลังกานี้ จากเทวโลก ได้

ประดิษฐานอยู่บนกระพองช้าง ในดิถีเพ็ญ

เป็นที่เต็มครบ ๔ เดือน (กลางเดือน ๑๒)

นี่ก็เป็นเหตุการณ์สำคัญที่สามารถน้อมระลึกถึงได้ในวันเพ็ญเดือน 12 ครับ

สำหรับทุกท่านมองเห็นพระจันทร์ในวันลอยกระทงหรือวันไหนก็ตาม ย่อมน้อมระลึกถึง

พระรัตนตรัย พระสารีบุตรและพระพุทธศาสนาได้ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง แต่เห็นเป็น

สิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้นได้ก็อนุโมทนาเป็นอย่างยิ่ง

วันลอยกระทง จึงเป็นวันที่ควรลอยบาป ลอยอกุศลด้วยการฟังพระธรรม เจริญกุศล

ทุกประการ และอบรมเจริญปัญญาต่อไปไม่ว่าวันไหนๆด้วยความเข้าใจพระธรรม ขอให้

สหายธรรมมีความสุขในกุศลธรรมในวันลอยกระทงและทุกๆวัน ขออนุโมทนาครับ


ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัยและท่านพระสารีบุตร

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้าที่ 4-7

"ดูกรคฤหบดี ถ้าอย่างนั้นท่านจงตั้งใจฟังให้ดี อาตมาจักกล่าวให้ท่านฟัง ในบัดนี้

ดูกรคฤหบดี อย่างไรจึงชื่อว่ามีกายกระสับกระส่ายด้วย มีจิตกระสับกระส่ายด้วย

คือ ปุถุชนบางคนในโลกนี้ ผู้ไม่ได้สดับคำสอนของพระอริยเจ้า....

เขาย่อมเห็นรูปโดยความเป็นตนบ้าง

ย่อมเห็นตนว่าเป็นรูปบ้าง

ย่อมเห็นรูปในตนบ้าง

ย่อมเห็นตนในรูปบ้าง

เขาเป็นผู้ยึดถือมั่นว่า

"เราเป็นรูป รูปเป็นของเรา"...


พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้าที่ 444

[๗๔๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนต้นไม้ใหญ่ มีแก่นดัง


อยู่ลำต้นที่ใหญ่กว่าพึงทำลายลง ฉันใด เมื่อภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ซึ่งมีแก่น ดำรง


อยู่ สารีบุตรและโมคคัลลานะปรินิพพานแล้ว ฉันนั้นเหมือนกัน. เพราะฉะนั้น


จะพึงได้ในข้อนี้แต่ที่ไหน. สิ่งใดเกิดแล้ว มีแล้ว ปัจจัยปรุงแต่งแล้ว มีความ


ทำลายเป็นธรรมดา การปรารถนาว่า ขอสิ่งนั้นอย่าทำลายไปเลย ดังนี้ มิ

ใช่ฐานะที่จะมีได้ เพราะเหตุนั้นแล ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงมีตนเป็น

เกาะมีตนเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือ มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง


อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่เถิด.

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 123

[พระมหินทเถระพร้อมกับคณะไปเกาะลังกา]

พระเถระ รับคำของท้าวสักกะนั้นแล้ว เป็น ๗ คนทั้งตน เหาะขึ้น

ไปสู่เวหาจากเวทิสบรรพต แล้วดำรงอยู่บนมิสสกบรรพต ซึ่งชนทั้งหลายใน

บัดนี้จำกันได้ว่า เจติยบรรพตบ้าง ทางทิศบูรพาแห่งอนุราชบุรี. เพราะ เหตุนั้น

พระโบราณาจารย์ทั้งหลายจึงได้กล่าวไว้ว่า

พระเถระทั้งหลายพักอยู่ที่เวทิสคิรี-

บรรพตใกล้กรุงราชคฤห์ สิ้น ๓๐ ราตรีได้

ดำริว่า เป็นกาลสมควร ที่จะไปยังเกาะอัน

ประเสริฐ, พวกเราจะพากันไปสู่เกาะอัน

อุดม ดังนี้ แล้วได้เหาะขึ้นจากชมพูทวีป

ลอยไปในอากาศดุจพญาหงส์บินไปเหนือ

ท้องฟ้าฉะนั้น,พระเถระทั้งหลายเหาะขึ้นไป

แล้วอย่างนั้นก็ลงที่ยอดเขาแล้ว ยืนอยู่บน

ยอดบรรพต ซึ่งงามไปด้วยเมฆ อันตั้งอยู่

ข้างหน้าแห่งบุรีอันประเสริฐราวกะว่า หมู่-

หงส์จับอยู่บนยอดเขาฉะนั้น.

ก็ท่านพระมหินทเถระ ผู้มาร่วมกับพระเถระทั่งหลาย มีพระอิฏฏิยะ เป็นต้น

ยืนอยู่อย่างนั้น บัณฑิตพึงทราบว่า ได้ยืนอยู่แล้วในเกาะนี้ ในปีที่ ๒๓๖ พรรษา

นับมาแต่ปีที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน.

[พระเจ้าเทวานัมปิยดิสทรงพบพระมหินทเถระ]

ก็ในวันนั้น ที่เกาะตัมพปัณณิทวีป มีงานนักษัตรฤกษ์ในเชษฐมาสต้น


(คือเดือน ๗). พระราชาทรงรับสั่งให้โฆษณานักษัตรฤกษ์ แล้วทรงบังคับ


พวกอำมาตย์ว่า พวกท่าน จงเล่นมหรสพเถิด ดังนี้ มีราชบุรุษจำนวนถึง


สี่หมื่นเป็นบริวาร เสด็จออกไปจากพระนคร มีพระสงค์จะทรงกีฬาล่าเนื้อ


จึงเสด็จไปโดยทางที่มิสสกบรรพตตั้งอยู่. เวลานั้น มีเทวดาตนหนึ่ง ซึ่ง

สิงอยู่ที่บรรพตนั้น คิดว่า เราจักแสดงพระเถระทั้งหลาย แก่พระราชา จึง

แปลงเป็นตัวเนื้อละมั่งเที่ยวทำทีกินหญ้าและใบไม้อยู่ในที่ไม่ไกล(แต่พระเถระ

นั้น). พระราชาทรงทอดพระเนตรเห็นเนื้อละมั่งตัวนั้นแล้ว จึงทรงดำริว่า บัดนี้


ยังไม่สมควรจะยิงเนื้อ ตัวที่ยังเลินเล่ออยู่ จึงทรงดีดสายธนู. เนื้อเริ่มจะหา


ทางหนี ๆ ไปทางที่กำหนดหมายด้วยต้นมะม่วง. พระราชาเสด็จติดตามไป


ข้างหลัง ๆ แล้วเสด็จขึ้นสู่ทางที่กำหนดด้วยต้นมะม่วงนั่นเอง. ฝ่ายมฤค ก็

หายตัวไปในที่ไม่ไกลพระเถระทั้งหลาย. พระมหินทเถระเห็นพระราชากำลัง

เสด็จมาในที่ไม่ไกล จึงอธิษฐานใจว่า ขอให้พระราชาทอดพระเนตรเห็น

เฉพาะเราเท่านั้น อย่าทอดพระเนตรเห็นพวกนอกนี้เลย จึงทูลทักว่า ติสสะ

ติสสะ ขอจงเสด็จมาทางนี้. พระราชาทรงสดับแล้ว เฉลียวพระหฤทัยว่า

ขึ้นชื่อว่าชนผู้ที่เกิดในเกาะนี้ซึ่งสามารถจะเรียกเราระบุชื่อว่า ติสสะ ไม่มี ก็

สมณะโล้นรูปนี้ทรงแผ่นผ้าขาดที่ตัด (ด้วยศัสตรา) นุ่งห่มผ้ากาสาวะ เรียก

เราโดยเจาะชื่อ ผู้นี้คือใครหนอแล จักเป็นมนุษย์หรืออมนุษย์ ? พระเถระจึง

ถวายพระพรว่า

ขอถวายพระพร มหาบพิตร ! อาตม-

ภาพทั้งหลายชื่อว่าสมณะ เป็นสาวกของ

พระธรรมราชามาที่เกาะนี้ จากชมพูทวีป

เพื่ออนุเคราะห์มหาบพิตรเท่านั้น.

ท้าวเธอพระองค์นั้น เมื่อทรงอนุสรณ์ถึงศาสนาประวัตินั้น ที่พระองค์

ได้ทรงสดับมาไม่นาน(ได้ฟังจากพระเจ้าอโศก) ครั้นได้ทรงสดับคำนั้น ของ

พระเถระว่า ขอถวายพระพรมหาบพิตร ! อาตมภาพทั้งหลาย ชื่อว่าสมณะ

เป็นสาวก ของพระธรรมราชาดังนี้ เป็นต้นแล้วทรงดำริว่า พระผู้เป็น

พระเจ้าทั้งหลาย มาแล้วหนอแล จึงทรงทิ้งอาวุธในทันใดนั้นเอง แล้วประทับ

นั่งสนทนาสัมโมทนียกถาอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง.เหมือนดังที่พระโบราณาจารย์

กล่าวไว้ว่า

พระราชาทรงทิ้งอาวุธแล้ว เสด็จ-

ประทับนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง ครั้นประทับนั่ง

แล้ว ได้ตรัสพระดำรัสประกอบด้วยประโยชน์

เป็นอันมากร่าเริงอยู่.

[พรเถระแสดงให้พระราชาทอดพระเนตรเห็นจริงอีก ๖ คน]

คราวนั้น พระเถระ ก็แสดงชน ๖ คนแม้นอกนี้. พระราชาทอด

พระเนตรเห็น (ชนทั้ง ๖ นั้น) แล้ว จึงทรงรับสั่ง (ถาม) ว่า คน

เหล่านี้มาเมื่อไร ?

พระเถระ. มาพร้อมกับอาตมภาพนั่นแล มหาบพิตร !

พระราชา. ก็บัดนี้สมณะแม้เหล่าอื่น ผู้เห็นปานนี้ มีอยู่ในชมพูทวีปบ้างหรือ ?

พระเถระ. มีอยู่ มหาบพิตร ! บัดนี้ ชมพูทวีป รุ่งเรืองไปด้วย

ผ้ากาสาวพัสตร์ สะบัดอบอวลไปด้วยลมฤษี, ในชมพูทวีปนั้น

มีพระอรหันต์พุทธสาวกเป็นอันมาก

ซึ่งเป็นผู้มีวิชชา ๓ และได้บรรลุฤทธิ์

เชี่ยวชาญทางเจโตปริยญาณ สิ้นอาสวะแล้ว.

พระราชา. ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ! พระคุณเจ้าทั้งหลาย พากัน

มาโดยทางไหน ?

พระเถระ. มหาบพิตร ! อาตมภาพทั้งหลายไม่ได้มาทางน้ำและทางบกเลย.

พระราชา. ก็ทรงเข้าพระทัยได้ดีว่า พระคุณเจ้าเหล่านี้มาทางอากาศ.

จะเห็นได้ว่าพระพุทธเจ้าทรงเห็นว่าศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองที่ประเทศศรีลังกาเพราะมี

บุคคลที่สามารถฟังธรรมแล้วบรรลุได้ การอบรมเจริญปัญญาจึงไม่ได้จำกัดสถานที่หรือ

เวลา หากแต่ว่าเมื่อเหตุปัจจัยพร้อมคือ ปัญญาพร้อมที่จะเกิดเมื่อได้ยินได้ฟังในหนทาง

ที่ถูก ปัญญาก็สามารถเกิดระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่

เราได้ ซึ่งในตอนต่อไปจะได้ขอกล่าวถึงในเรื่องที่พระเถระได้แนะนำให้พระราชาให้สิ่ง

ที่บูชาในเกาะศรีลังกา นั่นก็คือพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งจะมีการอันเชิญมาจากสวรรค์ชั้น

ดาวดึงส์ ซึ่งเป็นสิ่งน่าสนใจทีเดียว



เอาบุญมาฝากได้ถวายสังฆาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน เมื่อวานนี้ได้

ไปไหว้หลวงพ่อโสธร ได้สักการะสังเวชนียสถานจำลอง ได้ร่วมบุญปิดทองรอยพระพุทธบาท ได้ปิกทองพระพุทธรูป และ

ปิดทองรูปหล่อพุทธสาวก ปิดทองช่อฟ้า

อุโบสถ ปิดทองพระประจำวันเกิด ทำบุญ

ซื้อดอกไมถวายพระ ไปไหว้พระที่หอพระชลบุรี ไปไหว้พระที่วัดเครือวัลล์ ได้ไปไหว้รอยพระพุทธบาท อนุโมทนากับผู้มาทำบุญได้ไถ่ชีวิตโคกระบือ ได้ทำบุญสร้างศูนย์วิปัสสนา ได้ซื้อที่ดินถวายวัด

ได้ใส่บาตรพระ 100 บาตร ได้ถวายสังฆทาน ได้อนุโมทนาบุญกับสิ่งต่างๆตามถนนหนทาง เช่น ไฟแดง ป้านบอกทาง

กำแพงวัด อุโบสถแต่ละวัด อนุโมทนากับ

สะพานข้ามแม่น้ำ อนุโมทนากับถนน

เสาไฟฟ้า ป้ายบอกบุญของวัดต่างๆ

ได้เสียสละที่นั่งให้ผู้อื่น ได้แผ่ส่วนบุญให้

ศาลพระภูมิ เทวดา และแผ่ส่วนบุญทั้งหมดให้เทวดา และพรหมที่คุ้มครองหลวงพ่อโสธร มีงานบุญอีกมากและได้ทำบุญตู้ตามวัดหลวงพ่อโสธร วันนี้ได้ฟังธรรม ศึกษาธรรม เสียสละเวลาไปบำเพ็ญประโยชน์

ในกานก่อสร้างโดยเสียสละแรงกาย วันนี้เพลียมากจากการทำงานตอนนี้ถึงเวลาพักเลยมานั่งพิมพ์หน้าคอมได้และได้ทำความสะอาดสถานที่สาธารณะ ต่อนี้รู้สึกเวียน

ศรีษะเล็กน้อยจากการทำงาน และได้ให้อภัยทาน และตั้งใจว่าจะไปทำงานเพื่อส่วนรวมต่อ และจะสร้างบารมีให้ครบ 10 อย่าง

ขอให้อนุโมทนาบุญด้วย



ขอเชิญร่วมบุญสร้างโรงครัวเป็นเจ้าภาพกองผ้าป่าสามัคคีวัดพระโพธิสัตว์ธรรม

จังหวัดยะลา
ในวันอาทิตย์ที่ 14 มีนาคม 2553

โทร.083-1761005

ขอให้สรรพสัตว์ทั้ง 31 ภพภูมิจงบรรลุมรรคผลนิพพานเทอญ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Bing [Bot] และ บุคคลทั่วไป 11 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO