นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน จันทร์ 06 พ.ค. 2024 1:25 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ธรรมะต้องมาเป็นชุด
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 03 มี.ค. 2010 7:03 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586
ธรรมะต้องมาเป็นชุด
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์ชยสาโร
วันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓

.jpg



"... อาทิตย์ที่แล้วอาตมาคุยกับชาวอเมริกันคนหนึ่งที่อยู่ในเมืองไทย เขามีบ้านอยู่ที่เชียงใหม่ แกเคยเป็นบาทหลวงตั้งหลายสิบปี แต่ตอนหลังเกิดเสียศรัทธาแล้วออกจากศาสนาคริสต์ ไปอยู่เชียงใหม่ บ้านก็เต็มไปด้วยพระพุทธรูป สวยงามมาก บ้านเหมือนพิพิธภัณฑ์

แกเล่าว่า นอกจากเป็นบาทหลวงแล้วแกยังเคยเป็นนักเปียโน ซึ่งในทัศนะของแก เพลงที่ถือเป็นสุดยอดก็มีเพลงของโชแปง

ทีนี้ บางบทบางเพลงของโชแปงแม้แกจะมีความรู้ทางเทคนิคพร้อม รู้โน้ตทุกตัว แต่แกก็ไม่สามารถเล่นเพลงได้ เพราะอะไร ... เพราะการจะเล่นเพลงให้ได้อย่างโชแปงนั้นผู้เล่นต้องมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงพอ ดังนั้น ด้วยประสบการณ์ในการเล่นที่ยังน้อย กล้ามเนื้อของแกยังไม่แข็งแรงพอที่จะเล่นเพลงนั้นได้ ต้องฝึกอีกหลายปี กระทั่งกล้ามเนื้อแข็งแรงพอ แกจึงสามารถเล่นเพลงของโชแปงได้

แกสรุปให้ฟังว่าแม้ความรู้ทางวิชาการหรือทางเทคนิคจะรู้หมดเลย แต่ว่าร่างกายยังไม่พร้อม ยังไม่เอื้อ ก็ทำไม่สำเร็จ

ดังนั้น ถึงแม้ว่าเรารู้วิธีการทุกอย่าง แต่ว่ามันยังไม่พร้อมในตอนนี้เราก็ยังทำไม่ได้ เรียกว่าความรู้มันเกินกำลังของกาย หากสรุปเข้ากับเรื่องของการปฏิบัติธรรมก็ว่า

บางทีความรู้ทางธรรมมันเกินกำลังของจิต

เพราะฉะนั้น พระพุทธองค์จึงสอนให้เราเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเนื่องอาศัยกันหมด อย่างเช่น เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ทั้งสี่ข้อ มีข้อสังเกตว่า ธรรมะทุกหมวดต้องมีตัวแทนของปัญญาอยู่เสมอ และมักจะเป็นข้อสุดท้าย

อย่างเช่นในอิทธิบาท ๔ ...ข้อที่ ๔ "วิมังสา" ก็เป็นชื่อหนึ่งของปัญญา

ในพรหมวิหาร ๔ ..."อุเบกขา" ก็เป็นชื่อหนึ่งของปัญญา แต่เป็นปัญญาที่เกิดจากการศึกษา การพิจารณาเรื่องกฎแห่งกรรม เราอยากให้คนอื่นมีความสุข ไม่ต้องการให้เขาเป็นทุกข์ มีความหวังดี แต่โอกาสที่จะช่วยให้คนอื่นมีความสุขมันก็มีจำกัด แล้วเวลาคนรอบข้างเราเป็นทุกข์ โอกาสที่จะช่วยดับทุกข์ ที่จะช่วยให้เขาพ้นทุกข์มันก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จเสมอ บางทีเขาไม่เชื่อเรา หรือว่าเขายังติดมากเกินไป หรือว่ามันก็มีข้อขัดข้องต่าง ๆ ... เมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็ต้องยอมรับความจริงด้วย อุเบกขา อุเบกขาเหมือนกับเป็นเกียร์ neutral (N) ในรถยนต์ ก่อนจะเข้าเกียร์ก็ต้องกลับมาอยู่ neutral ก่อน การอยู่ neutral คือ การอยู่อย่างจิตใจปกติสุข

ในขณะที่เราไม่ประสบความสำเร็จในการทำความดีหรือการช่วยคนอื่น ก็ถือว่าเวลายังไม่พร้อม หรือว่าตัวเรายังไม่พร้อม หรือว่าคนที่กำลังเป็นทุกข์เค้าไม่พร้อม

แต่เมื่อเราพยายามจะช่วยคนอื่นแล้วไม่ได้ผล ส่วนมากก็จะน้อยใจ เสียใจ ท้อแท้ใจ บางทีเบื่อหน่าย ...ไม่เอาแล้ว ! อย่างนี้ เรียกว่า เมตตาก็ไม่พอ เพราะว่าขาดอุเบกขาหนุนหลัง ...นี้ก็ไม่ใช่เวลาที่จะใช้เมตตา ต้องอยู่ด้วยอุเบกขาก่อน

แต่ในความอุเบกขานั้นไม่ใช่ความเฉยเมย ไม่สนใจ ไม่เอาแล้ว ! หากแต่พร้อมที่จะช่วยเมื่อไหร่ที่มันเหมาะสมที่จะช่วยได้ผล ระหว่างนี้เราต้องอาศัยอุเบกขา จึงจะไม่เป็นทุกข์กับความดี ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นทุกข์

ความดีก็ทำให้เราเป็นทุกข์ได้ถ้าเราขาดปัญญา หรือว่าใจร้อนเกินไป หรือใจเย็นเกินไป เป็นต้น ปัญญา จะเป็นตัวบอกว่า กาลใดควรวางท่าทีอย่างไร

ฉะนั้น ธรรมะก็ต้องมาเป็นชุด แม้ศีล สมาธิ และปัญญา หรืออริยมรรคมีองค์แปด ก็ต้องมาเป็นชุดเช่นกัน (จะแยกหรือเลือกปฏิบัติเป็นบางข้อมิได้) ... "

_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 8 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO