พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
อังคาร 28 ต.ค. 2008 2:19 pm
ผู้ปฏิบัติไม่ว่าจะเป็นภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา สามารถรักษาศีลให้สำรวมดีแล้ว การทำสมาธิภาวนาก็เป็นไปได้ง่าย แต่ถ้าผู้ปฏิบัติไม่สำรวมรักษาศีลให้บริสุทธิ์แล้ว การทำสมาธิภาวนาก็จะเป็นไปได้ยาก ทำไมท่านจึงพูดไว้เช่นนั้น ? ก็เพราะว่าเรารักษาศีลให้บริสุทธิ์แล้ว ก็เท่ากับว่าเป็นการปราบกิเลสอย่างหยาบได้แล้ว ดังนั้นเมื่อเราทำสมาธิควบคู่กันไป ก็สามารถเป็นไปได้ง่าย
สำหรับการทำสมาธินั้นเราจะกำหนด “พุทโธ” เป็นอารมณ์หรือเรียกว่าเอา “พุทโธ” เป็นเป้าหมายก็ได้ หรือว่าจะกำหนดลมหายใจเข้าออกเป็นอารมณ์หรือเป้าหมายก็ได้ เป็นต้น อันนี้แล้วแต่ว่าเราจะชอบอย่างไหนหรือถูกจริตกับสิ่งใด เมื่อเรากำหนดสติของเราตั้งมั่นอยู่ที่ไหน จิตของเราก็ให้อยู่ที่นั่นเพราะสติเป็นเครื่องผูกเป็นเครื่องครอบงำเป็นเครื่องบังคับ นอกจากสติและความรู้แล้วไม่มีสิ่งไหนในโลกที่จะสามารถบังคับจิตให้สงบลงได้ เมื่อเราต้องการบำเพ็ญสมถะเราต้องเจริญสติให้มาก ๆ
การฝึกหัดทำสมาธิภาวนานี้ในตอนแรก ๆ จะทำได้ยาก มักจะมีอาการปวดเมื่อยตามแข้งตามขาหรือตามเอวตามหลัง ในตอนแรก ๆ นี้จะต้องอาศัยความอดทนและต้องอาศัยความฝืนอยู่มากพอสมควร แต่เมื่อกระทำไปประมาณ ๒-๓ อาทิตย์ ก็จะรู้สึกเคยชิน อาการปวดเมื่อยต่าง ๆ ก็จะค่อย ๆ หายไป เมื่อเรารู้สึกปวดเมื่อยแล้วท่านจึงแนะนำให้เปลี่ยนอิริยาบถ จากนั่งสมาธิไปเป็นการเดินจงกรม ซึ่งการกำหนดใจในขณะเดินจงกรมนั้นก็เหมือนกับเรากำหนดเวลาที่เรานั่งสมาธินั่นเองเพียงแต่ต่างจากการนั่งเป็นการเดินเท่านั้น
อานิสงส์ของการเดินจงกรม ๕ อย่าง
๑.ทนต่อการเดินทาง คือเดินทางได้ไกล
๒.ทนต่อการทำความเพียร คือทำความเพียรได้มาก
๓.อาหารที่บริโภคเข้าไปแล้วย่อมจะย่อยได้ง่าย
๔.อุคคหนิมิตที่เกิดขึ้นเวลาเดินจงกรมจะไม่เสื่อมง่าย
๕.การเดินจงกรมนั้นจิตก็สามารถที่จะรวมได้ และเป็นการบริหารร่างกายให้แข็งแรง โรคที่จะมาเบียดเบียนก็น้อยลง
ในบางครั้งเมื่อเราทำสมาธิได้แล้ว เมื่อจิตเริ่มรวมจะเกิดอาการต่าง ๆ เช่นมีความรู้สึกว่าเบามือทั้งสองข้าง ซาบซ่านตามร่างกาย ขนลุกขนพองคล้ายกับพบสิ่งที่น่ากลัว มีอาการตัวเบาหวิว เป็นต้น บางคนเมื่อรู้ว่าจิตเริ่มจะรวมจึงคอยดูว่าจิตจะรวมอย่างไร จิตก็รวมไม่ได้ สมาธิก็ไม่เกิด อันนี้เป็นการกระทำที่ผิด
เมื่อเรารู้ว่าจิตของเรากำลังจะรวมให้เรากำหนดผู้รู้นิ่งอยู่ สติกับใจอย่าให้เคลื่อนจากกัน อย่าให้สติเคลื่อนไหวไปกับอาการใด ๆ เมื่อสติไม่เคลื่อนไปกับอาการใดๆแล้วจิตก็รวมเอง บางครั้งก็รวมสนิทเลยเปรียบเหมือนเอาไม้ปักลงไปในน้ำที่ไหลเชี่ยว ปักให้นิ่งไว้อย่าให้เคลื่อนไปตามน้ำ อย่าให้จิตเคลื่อนจากผู้รู้
ผู้ที่สามารถทำจิตรวมได้แล้วก็ให้กำหนดจิตตามเดิม กำหนดอย่างไรที่ให้จิตรวมกันได้ก็กำหนดอย่างนั้น ถ้าจิตรวมสนิทก็อย่าเพิ่งออกจากสมาธิเสียทีเดียว ก่อนออกจากสมาธิก็ให้พิจารณาเสียก่อน เราจะได้ทราบว่าเราบริกรรมอย่างใดตั้งสติอย่างใด ละวางอารมณ์สัญญาอย่างใด จิตของเราจึงรวมได้เช่นนี้ ถ้าเราสามารถพิจารณาถึงกรรมวิธีต่าง ๆ ได้ก็จะเป็นประโยชน์ในการปฏิบัติในครั้งต่อไป
ขอย้ำอีกครั้งกำหนดให้แน่วแน่นิ่งอยู่กับผู้รู้ สติกับผู้รู้อย่าให้เคลื่อนไปตามอาการใด ๆ จิตก็จะรวมได้เพราะสติอย่างเดียวเท่านั้น (ถ้าขาดสติก็นั่งหลับ , เกิดอาการฟุ้งซ่าน ,จิตไม่รวม เป็นต้น) พูดตามปริยัติ “สติ” แปลว่าความระลึกได้ในกิจที่ได้กระทำ แม้คำพูดทั้งในอดีตและปัจจุบัน ในทางปฏิบัติ “สติ” แปลว่าระลึกอยู่ที่ใจไม่ให้รู้ไปตามสิ่งอื่น ถึงจะมีสัญญาอะไรก็ไม่ให้เคลื่อนไหวไปตามอาการนั้น กำหนดรู้นิ่งไว้อย่างนั้น ระลึกอยู่ที่ใจ
ใจก็หมายถึงผู้รู้ เมื่อสติกับใจบังคับกันแนบนิ่งดีแล้วจิตก็จะรวมสนิท เมื่อเรานั่งกำหนดแล้ว ขณะที่เราเบาเนื้อเบากาย ก็ให้เรานิ่งไว้อยู่กับผู้รู้ คำบริกรรมต่าง ๆ ก็ให้เลิกบริกรรมให้เอาแต่สตินิ่งไว้ ให้ระลึกแต่ผู้รู้เท่านั้น ตามธรรมดาสติมักจะส่งไปนอกชอบเล่นอารมณ์ สังขารที่ปรุงแต่งไม่ว่าจะคิดดี คิดร้าย คิดไม่ดี ไม่ร้าย เราจะต้องพยายามฝึกหัดละวางอารมณ์เหล่านี้ อย่าให้จิตส่งออกไปภายนอกให้สติอยู่ที่ผู้รู้เท่านั้น เมื่อเรานั่งสมาธิภาวนาเรากำหนดคำบริกรรมใด ๆ ก็ตาม ถ้าเราเผลอจากคำบริกรรมนั้น เมื่อเรารู้สึกว่าเราเผลอไปรับรู้อารมณ์ภายนอก ก็ให้รีบกลับมาบริกรรมอย่างเดิมตามที่เราเคยปฏิบัติมา
ถ้าในขณะทำสมาธิแล้วจิตรวมวูบลงไป เกิดเห็นร่างกายเป็นซากศพที่มีสภาพที่เหมือนกับว่าเพิ่งขุดขึ้นมาจากหลุมศพ แต่จริง ๆ แล้วร่างกายเราไม่ได้เป็นเช่นนั้น เมื่อเราถอนจิตออกมาก็จะเห็นเป็นตัวตนธรรมดา อาการที่เราเห็นเป็นซากศพเช่นนี้ ท่านเรียกว่า “อสุภนิมิต” ถ้าเราเคยได้ยินครูบาอาจารย์แนะนำสั่งสอนในเรื่องของอสุภนิมิตแล้ว เราก็ทำความรู้เท่าทัน อสุภนิมิตนี้ถ้าเกิดบ่อย ๆ จะเป็นการดีมาก ท่านอาจารย์ใหญ่(หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต)ท่านนิยมมาก ถ้าพระเณรองค์ใดได้อสุภนิมิต เห็นร่างกายเน่าเปื่อยเป็นซากศพแล้ว ท่านว่าผู้นั้นจะสามารถที่จะบรรลุธรรมได้ง่าย
อสุภนิมิตนี้ไม่ใช่เป็นของร้าย เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วเราอดกลัวไม่ได้ ก็ให้เราลืมตาเสียตั้งสติให้มั่น ขออย่างเดียวอย่าลุกขึ้นวิ่งหนี ถ้าเราเคยได้ยินได้ฟังคำแนะนำอย่างนี้แล้ว เมื่อเวลาที่เกิดอสุภนิมิตก็จะระลึกได้อยู่หรอก แต่ถ้าเราไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน เมื่อเวลาที่เกิดอสุภนิมิตขึ้นก็จะเกิดความกลัว ถ้าเราลุกวิ่งหนีก็จะทำให้เราเสียสติได้ การลุกขึ้นวิ่งหนีนี้ขอห้ามโดยเด็ดขาด การที่เกิดอสุภนิมิตนี้เรียกว่า “มีพระธรรมมาแสดงให้เราได้รู้ได้เห็น ว่าร่างกายของเราเป็นอย่างนี้ ย่อมมีความเจริญในเบื้องต้น มีความชราในเบื้องกลาง และมีการแตกสลายไปในที่สุด”
เมื่อเวลาเกิดอสุภนิมิตขึ้น ถ้าเราสามารถทนได้ นับว่าเป็นการดีมาก เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณามาก สิ่งเหล่านี้เรียกว่าเป็นนิมิตในตัวเรา แต่บางครั้งก็เป็นนิมิตภายนอก เช่นบางครั้งเกิดเห็นเป็นพระพุทธเจ้าหรือบรรดาครูบาอาจารย์มาปรากฏให้เห็น หรือเห็นพวกวัตถุเช่นโบสถ์ วิหารหรือสิ่งต่าง ๆ นิมิตภายนอกนี้เรียกว่า “อุคคหนิมิต”
เรื่องของนิมิตเป็นเรื่องที่สำคัญ ในบางครั้งก็มาทำท่าแลบลิ้นปลิ้นตา ก็อย่าไปเข้าใจว่าเป็นเปรตเป็นผี ที่จริงแล้วเป็นเพราะว่าสังขารภายในมันฉายออกไปเพื่อหลอกใจของเราเอง มันฉายออกไปจากใจนี่แหละ อันนี้พูดเตือนสติไว้
การทำสมาธิภาวนานี้ถ้าบุคคลใดเกิดนิมิตมาก ก็อย่าได้ไปเกิดความกลัวจนกระทั่งเลิกปฏิบัติ ขอให้ปฏิบัติต่อไปโดยให้สติตั้งมั่นกำหนดรู้ อย่างที่แนะนำมาแล้ว เมื่อเราทำต่อไปเรื่อย ๆ ก็จะเกิดอานิสงส์ คือถ้าเป็นคนนิสัยดุร้ายก็จะเป็นคนใจดี ถ้าเป็นคนโกรธง่ายก็จะค่อย ๆ เบาบางลง ถ้าเป็นคนปัญญาทึบเมื่อทำจิตสงบได้แล้วก็จะเป็นคนที่ฟังอะไรรู้เรื่องเข้าใจในเหตุผล ถ้าเป็นคนที่ฉลาดอยู่แล้วก็จะเพิ่มพูนปัญญาให้มากขึ้นไปอีก ท่านจึงว่ามีอานิสงส์มาก
ขณะที่เราเกิดเห็นนิมิตขึ้นมา ถ้าเราแก้ความกลัวในนิมิตได้ต่อไปก็จะสบาย เมื่อเราเกิดความกลัวขึ้น เราอย่าไปยึดถือสิ่งที่เราเห็นในนิมิตเป็นตัวเป็นตน เป็นเราเป็นเขา ให้กำหนดรู้ว่าเป็นมาร ซึ่งพระพุทธเจ้าเรียกว่า “ขันธมาร” หรือ “กิเลสมาร”
เรื่องของนิมิตนี้จะเกิดหรือไม่เกิดไม่สำคัญ เพราะว่าที่เราทำสมาธิภาวนาก็เพื่อมุ่งให้เกิดความสงบภายในจิตใจเท่านั้น ถ้าผู้ปฏิบัติสามารถทำจิตใจของตนให้สงบเป็นอารมณ์เดียวได้พอเท่านั้น ไม่มีนิมิตเกิดขึ้นไม่เป็นไร
การเรียนบำเพ็ญสมถะจึงจำเป็นต้องมีครูบาอาจารย์ เราจึงต้องรู้ไว้ว่าที่แห่งไหนมีครูบาอาจารย์อยู่บ้าง เพื่อว่าในอนาคตเราจะออกปฏิบัติเราจะได้รู้ไว้ ถ้าเป็นวิปลาสแล้วจะไม่ยอมแก้ไขอะไรง่าย ๆ กลับมาหาครูบาอาจารย์ที่เคยทรมานกันนั่นแหละ ถึงว่าจะอยู่ห่างไกลก็จำเป็นต้องไปเพราะเป็นเรื่องของการปฏิบัติ เมื่อจิตใจเป็นอย่างใดมีข้อสงสัยอย่างใดจะได้ไปศึกษากับท่านเสียก่อนที่จะผิด
เมื่อทำสมาธิจนถึงขั้นได้ฌานแล้ว บางครั้งก็จะได้ถึงขั้นอภิญญาซึ่งเป็นความรู้พิเศษ ผู้ที่ปฏิบัติเกิดนิมิตมาก ๆ มักจะได้อภิญญา เมื่อเหตุการณ์ใด ๆ ที่จะเกิดขึ้น ท่านมักจะรู้ล่วงหน้าก่อนเสมอ เช่นจะรู้ล่วงหน้าว่าวันนี้จะมีผู้มาหา เป็นต้น อภิญญาเกิดจากฌานสมาธิ อภิญญานี้ไม่แน่นอนมักจะเสื่อมได้ หรืออาจจะเป็นวิปลาสจะพูดไม่ตรงต่อธรรมวินัย เมื่อผู้ได้อภิญญาแล้วถ้าไม่รู้ทันก็จะเกิดความหลงได้
หลวงปู่มั่นท่านจะหลบหลีกหมู่ไปธุดงค์องค์เดียวหรือสองสามองค์เป็นอย่างมาก บรรดาหมู่คณะหรือผู้ปฏิบัติเกิดความรู้ต่าง ๆ หรือมีปัญหาที่จะต้องกราบเรียนถาม ก็จะต้องออกตามหาท่านเอง ซึ่งมิใช่เรื่องง่ายที่จะตามท่านพบเสียด้วย
บุคคลที่มีปัญญาแก่กล้า ไตรลักษณ์จะเกิดในปฐมฌานหรือทุติยฌาน ส่วนบุคคลที่มีปัญญาขนาดกลางไตรลักษณ์จะเกิดเมื่อสำเร็จฌาน ๔ แล้ว บุคคลใดที่สำเร็จฌาน ๔ ก็มักจะไม่เกิดความกำหนัดหรือที่เรียกว่า “จิตตกกระแสธรรม” มันจะเป็นของมันเอง เรียกว่าเป็นผลของฌานสมาธิก็ได้
ถึงแม้ว่าบุคคลใดจะทำสมาธิได้ดี จะได้รับความสุขขนาดไหนก็ตามหรือจะได้อภิญญาเพียงใดก็ตาม ถ้าไตรลักษณญาณไม่เกิดขึ้นแล้ว ก็ยังนับว่าเป็นมิจฉาสมาธิเป็นสมาธิที่ยังผิด ยังอยู่ในวงเขตที่ผิด ไตรลักษณ์(อนิจจัง,ทุกขัง,อนัตตา)นี้จะเป็นเครื่องตัดสินถูกหรือผิด จะเป็นสัมมาสมาธิหรือมิจฉาสมาธิ
เมื่อพิจารณาขันธ์ ๕ (รูป,เวทนา,สัญญา,สังขาร,วิญญาณ) ธาตุ ๔(ดิน,น้ำ,ลม,ไฟ) เห็นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาแล้วจนเกิดญาณความรู้พิเศษ เมื่อเกิดความรู้พิเศษแล้ว วิปัสนูปกิเลสหรือวิปลาสก็เกิดขึ้นไม่ได้ เมื่อสิ่งใดหรือความรู้ใดเกิดขึ้นก็จะเอาไตรลักษณ์(อนิจจัง ,ทุกขัง,อนัตตา)เป็นเครื่องตัดสิน
การพิจารณาให้ถือเอารู้รูปกายตามความเป็นจริง รู้เวทนาตามความเป็นจริง รู้จิตตามความเป็นจริง ให้ยึดถือความรู้นี้เป็นหลัก ความรู้อย่างอื่นไม่สำคัญ ถึงจะเกิดอภิญญารู้ในเหตุผลต่าง ๆ ครั้งแรก ๆ ก็อาจเป็นจริง แต่ถ้าเรายึดถือในสิ่งเหล่านี้ต่อไป ก็จะกลายเป็นเรื่องหลอกลวงเรา ท่านจึงห้ามไม่ให้เอาสิ่งนิมิตเป็นเรื่องสำคัญ
ขอให้พวกท่านจงทำกัน ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็สามารถปฏิบัติได้เหมือนกันเมื่อตั้งใจทำแล้ว จะไร้ผลเสียเลยก็ไม่มี อย่างต่ำก็เป็นการเพิ่มบุญวาสนาบารมีของเราให้แก่กล้าขึ้น
- ปภาโส.jpg (9.36 KiB) เปิดดู 1363 ครั้ง
พระครูญาณทัสสี (คำดี ปภาโส)
วัดถ้ำผาปู่นิมิตร ต.นาอ้อ อ.เมือง จ.เลย
จันทร์ 03 พ.ย. 2008 9:27 am
ขอบพระคุณพี่รณฯมากครับ กำลังอยากศึกษาหลากหลายแนวทางอยู่ ว่าจะถูกจริตใดต่อตัวกระผม
กระทู้นี้ถูกใจนัก
จันทร์ 03 พ.ย. 2008 12:28 pm
ครับผม ขอให้ตั้งใจภาวนาต่อไปนะครับ อย่าท้อ หลวงปู่ดู่บอกว่า
"ล้มแล้วต้องรีบลุก จะไปท้อไม่ได้ จะไปยอมแพ้ไม่ได้ ของข้าเสียมามากกว่าอายุแกซะอีก"
พุธ 05 พ.ย. 2008 1:30 am
แล้วอาจารย์มีความเห็นยังไง
ที่เดี๋ยวนี้มีการสอนจากหลาย ๆ สำนัก (ทั้งพระและฆราวาส)
ให้เน้น...ดูจิต...อย่างเดียว ไม่ต้องมานั่งภาวนา
อยากรู้มาก ๆ เลย...มันคาใจมานานแล้วอ่ะ
พุธ 05 พ.ย. 2008 1:44 am
อยากรู้เหมือน ซ้อ ด้วยกั๊บบ
พุธ 05 พ.ย. 2008 11:25 am
การดูจิตล้วนนั้น ถ้าให้พูดอย่างตรงไปตรงมาถือเป็นวิธีการที่ดีมาก ๆ อันหนึ่งครับ แต่มันมีข้อแม้อยู่ว่าผู้ที่จะ "ดู" ออก บอกได้ว่าอะไรคือจิต อะไรคือสติ อะไรคืออารมณ์ มองเห็นการทำงานของสามสิ่งนี้อย่างชัดเจน แยกออกได้ว่าบัดนี้สิ่งใดกำลังทำงานอยู่ ผู้จะทำได้อย่างนี้ต้องฝึกตัวเองมาพอสมควรครับ
ไม่ใช่ว่าไม่เคยปฏิบัติมาก่อนเลย หรือปฏิบัติมาแบบนิด ๆ หน่อย ๆ ก็หาญมานั่งดูจิตพิจารณาจิตล้วน ๆ โดยไม่ต้องอาศัยเครื่องนำทางอย่างคำบริกรรมเป็นต้น การทำอย่างนี้ไม่ใช่ของง่ายครับ
หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท จึงปฏิเสธแม้กระทั่งการภาวนาอย่าง "อานาปานสติ" ว่าไม่ใช่สมบัติของสาธารณชน หากต้องเป็นผู้เคยภาวนามาหนักหน่วงจนเคยสงบใหญ่มาแล้ว จนจับหลักของใจได้แล้ว จนกำหนดรู้ได้แล้วว่าอะไรคือผู้รู้ อะไรคือสติ อะไรคืออารมณ์ เห็นชัดดังนี้แล้วจึงต่อยอดด้วยการภาวนาแบบ "อานาปานสติ" หรือกำหนดดูลมหายใจเข้าออกนั่นเอง ส่วนจะกำหนดแบบมีพุทโธกำกับหรือดูลมอย่างเดียวก็ไม่ถือเป็นประมาณ
น่าทึ่งที่ว่าหลวงปู่เจี๊ยะยกย่องท่านพ่อลี ธัมมธโร อย่างที่สุด เคยบอกกับผมอย่างเอ็นดูว่า
"เปี๊ยกเอ๊ย ท่านพ่อลีน่ะเป็นทองคำทั้งองค์นะ"
ขนาดเคารพเทิดทูนยกย่องเพียงนั้น ท่านก็ยังกล้าที่จะพูดความจริงว่า "อานาปาฯ" ไม่เหมาะกับผู้ฝึกใหม่หรือผู้ไม่มีบารมีเก่าพอ ท่านค้านอย่างเต็มที่แม้ว่าผู้ที่ท่านเคารพสูงสุดจะยกย่อง "อานาปาฯ" เพียงใดก็ตาม
เพราะความจริงมันเป็นอย่างนั้น
ดูแต่พวกเราเถิด เราว่าการกำหนดลมหายใจดี ก็ดีจริงดอกมิได้เถียง แต่ดูผลการปฏิบัติของเราสิ กำหนดลมหายใจเข้าไปยังไม่ทันออกมา... กำหนดลมหายใจออกมายังไม่ทันได้เข้าไป...
เราก็หลับแล้ว...
เราก็ฟุ้งปรุงเตลิดแล้ว...
เพราะอะไร ? เพราะลมหายใจที่เข้าและออกในแต่ละคราวมันมีช่วงจังหวะที่ "ยาว" เกินไป มันละเอียดละเมียดละไมจนจิตหยาบ ๆ ของคนที่ไม่เคยฝึกมาก่อนกำหนดไม่ทัน แรก ๆ ก็ทำได้อยู่หรอก แต่สักพักก็เสีย เพราะมันฟุ้งง่าย ถีนมิทธะครอบงำง่าย เนื่องจากช่องโหว่มันเยอะ
แต่ถ้าเราภาวนาแบบใช้คำบริกรรม "ยิง" รัวแบบปืนกลอย่างต่อเนื่องไม่หยุดไม่ถอย เช่น บริกรรมว่า พุทโธ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ รัวอย่างนี้ชนิดที่เรียกว่าไม่ให้มีช่องโหว่ ไม่เปิดโอกาสให้จิตได้ฟุ้งปรุงไปคิดเรื่องอื่นใด นอกจากคิดพุทโธ
ยิ่งถ้าจะให้ได้ผลเร็ว คือไม่ว่าจะทำกิจการงานอันใดก็พุทโธรัวในใจเข้าไว้ ซักผ้า หุงข้าว ต้มแกง กวาดบ้าน นั่ง ยืน เดิน นอน กิน ดื่ม ทำ พูด ฯลฯ ทุกอิริยาบถให้มีแต่พระพุทโธรัวเป็นปืนกลอยู่ในใจ สติกับจิตก็จะแนบแน่นอยู่ตลอดหาช่องโหว่ที่จะพลั้งเผลอได้ยาก ทำบ่อย ๆ อย่างนี้ไม่นานนักเวลาเราไปนั่งภาวนาอย่างเป็นกิจจะลักษณะโอกาสที่จิตจะสงบเป็นสมาธิก็เกิดได้ง่ายขึ้น ไม่ใช่ว่าคิดเตลิดทั้งวันแต่พอถึงเวลานั่งก็มานั่งเลยโดยไม่มีการเกลี่ยจิตมาก่อน หลวงปู่เจี๊ยะท่านว่าให้นั่งไปอีกร้อยปีมันก็ไม่มีทางสงบ
อย่าไปพูดถึงคนอื่นท่านอื่นที่นั่งครั้งแรกก็สงบ...
ภาวนาไม่กี่นานก็รวม...
นั่นเขา
นี่เรา !
เราผู้ฟุ้งง่าย ปรุงง่าย ต้องมีวิธีกำราบจิตที่ตรงไปตรงมาและถูกทางกับกิเลส อย่าไปปฏิบัติแบบแฟชั่นโชว์ที่ว่า วิธีนี้มาใหม่ วิธีนี้กำลังอินเทรนด์ โด่งดังในหมู่นักภาวนา ดารากำลังนิยมไปนั่ง คนดังยังไปปฏิบัติเลย ฯลฯ ถ้าเป็นอย่างนี้นั่งจนตายก็ไม่ได้ผลอะไร เพราะมันไม่ได้ไปภาวนาเพื่อเอาออก แต่มันเป็นไปเพื่อเอาเข้า
ก็เรียกว่าผิดทาง เป็นมิจฉาปฏิปทา เป็นไปเพื่อความอยากใหญ่ อยากอวด สั่งสมอัตตาตัวตนให้พองโตและแน่นหนา
ทุกวันนี้มีสำนักโด่งดังเรื่องการดูจิต สำหรับท่านผู้เป็นเจ้าของสำนักเราก็ยกท่านไว้ ท่านอาจทำได้อย่างน่าทึ่งน่าอัศจรรย์นั่นก็เพราะท่านมี "ของเก่า" แต่ถ้าเราไม่มีอย่างนั้นแล้วคิดทำตามท่านเราก็จะแย่ เขามีทุนอยู่พันล้านจึงมาชักชวนเราลงทุนเปิดบริษัทใหญ่ แล้วเรามีทุนเท่าไรที่จะทำตามเขา
และไม่ใช่แค่ผมที่คิดอย่างนี้ เมื่อนำความกราบเรียนพระเถระผู้ใหญ่หลายรูปถึงวิธีการสอนตามแนวทางของท่านองค์นี้ ก็ได้รับคำตำหนิมามิใช่น้อย อาทิ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ท่านพระอาจารย์จันทร์เรียน คุณวโร ท่านพระอาจารย์ประสิทธิ์ ปุญญมากโร ท่านพระอาจารย์สงบ มนัสสันโต ฯลฯ
ด้วยท่านเห็นว่า "การดูจิต" เป็นวิธีการที่ลัดสั้นจนเกินไป มุ่งแต่จะดูจิตโดยไม่เอากระบวนการขั้นตอนอะไรเลย ไม่ต้องสวดมนต์ ไม่ต้องนั่งสมาธิ ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ดูเอาเลย มองเข้าไปตรง ๆ
ไม้จะโตได้ไม่ใช่มุ่งเอาแต่แก่น เปลือกก็จำเป็น กระพี้ก็จำเป็น รากแก้วก็จำเป็น แม้รากฝอยที่ดูละเอียดยิบและเหมือนจะมีมากจนน่ารำคาญก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ไม้ใหญ่เจริญเติบโตอยู่ได้อย่างมั่นคงนับร้อยปีจนเราได้เห็นและได้ใช้ประโยชน์จากมัน
ละเลยได้อย่างไร ? โดยเฉพาะผู้ฝึกใหม่
ผมรู้จักหลายคนที่ภาวนาแบบดูจิตล้วนนี้ แต่เมื่อมีเหตุให้โมโหโกรธาเป็นกำลังก็ไม่เห็นยับยั้งได้ เมื่อสังเกตอยู่นานเวลาเขาโกรธจึงบอกว่า "มองเข้าไปตรง ๆ สิ" กลับยิ่งทำให้เขาโกรธหนักเข้าไปอีกเหมือนไสฟืนเข้าใส่ไฟ
ดูจิตไม่ทันเสียแล้ว...
แต่ถ้าลองให้พิจารณาถึงตัวโกรธเวลามันทำหน้าที่ของมันขึ้นมา ว่ามีขั้นตอนอย่างไร และที่กำลังโกรธอยู่นี้มีเป้าหมายอย่างไร โกรธไปเพื่ออะไร โกรธแล้วจะได้ผลตอบแทนอะไรกลับมา ?
อย่างหลวงพ่อชาท่านสอนว่า เวลาโกรธให้ถามตัวเองว่านี้เป็นเราหรือ ? ถ้าโกรธเป็นเราเราเป็นโกรธจริง ให้เอานาฬิกามาตั้งไว้เลย เอ้า ฉันจะโกรธให้ได้ทั้งสิ้น 1 ชั่วโมงนะ น้อยกว่านี้ก็ไม่ได้ มากกว่านี้ก็ไม่ได้ เอาให้พอดี 1 ชั่วโมง ดูซิ มันจะทำได้ไหม ?
ถ้าทำไม่ได้ ก็แสดงว่าโกรธนี้ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่โกรธ มันเป็นเพียงอารมณ์อันหนึ่งที่จรเข้ามาแล้วก็จะออกไป มันเกิดขึ้นเพราะมีเหตุปัจจัยที่หนุนมัน เมื่อหมดเหตุมันก็ดับ ไม่มีความจำเป็นต้องไปยึดมันหรือทำตามมันเมื่อเวลามันปรากฏขึ้นในจิต และถ้าเป็นคนมักโกรธก็ให้หมั่นแผ่เมตตา
นี่คือ "กระบวนการ" ที่หล่อเลี้ยงจิตให้เติบโตอย่างช้า ๆ แต่มั่นคง
จะไปลัดสั้นแค่ดูจิตล้วนย่อมทำไม่ได้ในผู้ที่กำลังฝึกตน ยิ่งฝึกใหม่ยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย นอกจากจะปฏิบัติไว้เพียงเพื่อ "คุย" กันเวลานัดเจอหรือออกทีวี นั่นก็อีกเรื่อง
ตัวของตัว ย่อมรู้ตัวเองดี
คนภาวนาเป็นแล้ว ความปรุงย่อมเบาบาง ที่ประดิษฐ์คำพูดมาก รังสรรค์กิริยาท่าทางมาก ให้ดูปล่อยวาง ดูโปร่งเบา แท้แล้วนั่นยึดมากเสียยิ่งกว่าผู้ปราศจากความปรุงแต่ง ทว่าปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามธรรมชาติ ระวังรักษาอยู่แต่จิตไม่ให้ผิดศีลผิดธรรม ไม่ให้พลั้งเผลอจากสติ
ข้างนอกเป็นของนิดหน่อย ข้างในนี่สิที่สำคัญมาก
ท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่นจึงว่า "ติดดีนี่แก้ยากกว่าติดชั่ว"
หวังว่าคงพอเป็นแนวทางได้บ้างนะครับคุณซ้อใหญ่ฯ
พุธ 05 พ.ย. 2008 12:01 pm
ตอนแรกติดในคำพูดของท่านพ่อลีที่ว่า
"กรรมฐาน 40 ห้อง เป็นน้องอานาปาณฯ"
และคำพูดของครูบาอาจารย์อีกหลายรูปที่สรรเสริญ อานาปาณสติ อย่างมาก
เลยคิดว่าจะต้องใข้กรรมฐานนี้แหละ ในการปฏิบัติ
แต่จำเนียรกาลผ่าน ด้วยความเพียรดุจหางอะมีบ้าของเด็กลึกลับ ก็ทำให้.....
หลับอย่างสบายฮะ คริ คริ คริ
ท่านผู้ใหญ่ท่านหนึ่งก็แนะนำให้เปลี่ยนกรรมฐานซะ ก็เลยเปลี่ยนมาใช้คำบริกรรม
แต่จำเนียรกาลผ่าน ด้วยความเพียรดุจหางโปรโตซัวของเด็กลึกลับ ก็ทำให้.....
หลับอย่างสบายอีกฮะ คริ คริ คริ
ชาตินี้พอคาดการณ์ได้แล้วฮะว่า ชาติหน้าจะเป็นอะไร
พุธ 05 พ.ย. 2008 12:09 pm
ก้อถ้าไม่เป็นอะมีบ้า ก็คงเป็นโปรโตซัวแหละฮะ
- PIC_2YD11231.gif (5.46 KiB) เปิดดู 1278 ครั้ง
พุธ 05 พ.ย. 2008 12:16 pm
ยอดเยี่ยม เยี่ยมยอด ข้าน้อยขอคารวะท่านผู้ถามและท่านผู้ตอบ จากใจจริงเป็นอย่างยิ่ง
ซ้อเล็กฯ
พุธ 05 พ.ย. 2008 9:22 pm
ไม่แน่ฮะ คุณเด็กลึกลับ เราอาจได้อยู่ใน "ไฟลั่ม" เดียวกัน
พฤหัสฯ. 06 พ.ย. 2008 12:56 pm
พฤหัสฯ. 06 พ.ย. 2008 1:29 pm
ยังไม่ได้เป็นทั้ง "พระ" และ "ครู" เลยคร้าบ...
พุธ 12 พ.ย. 2008 12:24 pm
ต้องนำไปใช้ เห็นทางสว่างแล้ว
Powered by phpBB © phpBB Group.
phpBB Mobile / SEO by Artodia.