นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 03 พ.ค. 2024 7:01 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ตราบใด
โพสต์โพสต์แล้ว: จันทร์ 11 ม.ค. 2010 9:59 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4547
ตราบใดที่ยังไม่ดับกิเลสก็เป็นอย่างนี้ เพราะทุกขณะเป็นธัมมะ

ค่อยๆศึกษาอบรมเจริญปัญญาต่อไป จนกว่าจะดับกิเลสอันเป็นเหตุให้เกิด

ภพชาติทั้งหมด ปัญหาทั้งปวงก็จบ
นามรูปปรากฏเกิดขึ้นและดับไป...

เกิดขึ้นและดับไป ไม่กลับมาอีกเลย...นี้เท็จหรือเปล่า ?

เห็นขณะนี้มีอยู่ แต่ความจริงดับไปแล้ว...นี้เท็จหรือเปล่า ?

พระอริยเจ้าทั้งหลายเห็นด้วยปัญญาตามความเป็นจริงว่า

นามรูปนั่นเป็นของเท็จ

นิพพานเท่านั้นที่จริง เพราะนิพพานนั้นเที่ยง ไม่เกิดไม่ดับ


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้าที่ 672

[๔๐๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฯลฯ พึงตอบเขาว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายนามรูปที่โลก

พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ที่หมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดา

และมนุษย์เล็งเห็นว่า นามรูปนี้เป็นของจริง พระอริยเจ้าทั้งหลายเห็นด้วยดีแล้วด้วย

ปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงว่า นามรูปนั่นเป็นของเท็จ นี้เป็นอนุปัสสนาข้อที่ ๑

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นิพพานที่โลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ที่

หมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์เล็งเห็นว่า นิพพานนี้เป็นของเท็จ

พระอริยเจ้าทั้งหลายเห็นด้วยดีแล้วด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงว่า นิพพาน

นั้นเป็นของจริง นี้เป็นอนุปัสสนาข้อที่ ๒

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้พิจารณาเห็นเนือง ๆ ซึ่งธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างโดย

ชอบอย่างนี้ ฯลฯ

จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า

ท่านผู้มีความสำคัญในนามรูป อัน

เป็นของมิใช่ตนว่าเป็นตน จงดูโลกพร้อมทั้ง

เทวโลก ผู้ยึดมั่นแล้วในนามรูป ซึ่งสำคัญ

นามรูปนี้ว่า เป็นของจริง.

ก็ชนทั้งหลายย่อมสำคัญ (นามรูป)

ด้วยอาการใด ๆ นามรูปนั้น ย่อมเป็นอย่างอื่น

ไปจากอาการที่เขาสำคัญนั้น นามรูปของผู้

นั้นแล เป็นของเท็จ เพราะนามรูปมีความ

สูญสิ้นไปเป็นธรรมดา.

นิพพานมีความไม่สูญสิ้นไป เป็น-

ธรรมดา พระอริยเจ้าทั้งหลายรู้นิพพานนั้น

โดยความเป็นจริง พระอริยเจ้าเหล่านั้นแล

เป็นผู้หายหิวดับรอบแล้ว เพราะตรัสรู้ของ

จริง.
ปุถุชนยึดถือนามรูปด้วยความเห็นผิดว่านามรูปนั้นเป็นอัตตา หลงว่าอัตตา เรา เขา สิ่ง

หนึ่งสิ่งใดมีจริงๆ ส่วนนิพพานเป็นสภาพที่โลภะเข้าไปติดข้องไม่ได้ ปุถุชนก็เข้าใจผิด

ว่านิพพานไม่มีจริงเพราะไม่รู้ แต่พระอริยเจ้าท่านประจักษ์แจ้งแทงตลอดในนามรูป

ตามเป็นจริง ถึงพระนิพพานด้วยโลกุตตรปัญญา เห็นชัดโดยตลอดว่าที่เคยยึดถือนาม

รูปว่าเป็นอัตตาจริงๆนั้น ล้วนแต่เป็นเท็จทั้งสิ้น เพราะความจริงนามรูปทั้งหลายเกิดดับ

แปรปรวน สูญสิ้น ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา เป็นสภาพที่ตรงข้ามกับนิพพาน

เหมือนกันอย่างเดียวคือความเป็นอนัตตา แต่เป็นอนัตตาที่ยากที่สุดที่จะเข้าถึงได้

ในชีวิตประจำวันอกุศลจิตเกิดขึ้นมากมายเกือบตลอดทั้งวัน สะสมอกุศลซึ่งเปรียบ

เสมือนขยะที่เน่าเหม็นอยู่ในใจ โอกาสที่จะค่อย ๆ กำจัดขยะออกไปจากใจก็แสนยาก

เพราะเหตุว่ากุศลจิตเกิดน้อยมากในแต่ละวัน มีแต่จะพอกพูนขยะซึ่งก็คือโลภะ โทสะ

โมหะ และกิเลสต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้นอยู่ในจิต มีอาวุธใดที่จะกำจัดขยะในใจได้ ?

นอกจากปัญญาแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่จะเก็บกวาดขยะเหล่านี้ออกไปได้ อาวุธคือ

ปัญญา ถ้าไม่มีปัญญาก็ไม่สามารถดับกิเลสได้ เพราะฉะนั้นการฟังธรรมเพื่อให้เกิด

ความเห็นถูก เข้าใจถูกในลักษณะสภาพธรรม ซึ่งเป็นปัญญาขั้นปริยัติ ความเข้าใจที่

ค่อย ๆ สะสมมากขึ้น เป็นปัจจัยให้สติเกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะสภาพธรรมตรงตามความ

เป็นจริง เป็นปัญญาขั้นปฏิบัติ การอบรมเจริญปัญญาต้องเป็นลำดับขั้นจนกว่าปัญญา

ขั้นปฏิเวธจะเกิดขึ้นประหานกิเลสหมดสิ้นเป็นสมุจเฉท กำจัดขยะในใจจนหมดสิ้น

สะอาด...บริสุทธิ์...

สำหรับคำว่า "คนพาล"...ใครบ้างครับ ที่เป็นคนพาล.?

...............ถ้ากล่าวถึงตัวบุคคล ซึ่งเป็นสมมติบัญญัติ

แต่ถ้ากล่าวถึงสภาพธรรมจริง ๆ แล้ว

ก็หมายถึง ขณะที่อกุศลจิตเกิดขึ้น...ขณะนั้น เป็น"คนพาล"

จริง ๆ แล้ว มีรายละเอียดที่หลากหลายมากทีเดียว

ผู้ที่ไม่รู้ประโยชน์ ทั้งในโลกนี้ และ โลกหน้า...เป็นผู้ที่ตัดประโยชน์ตน

เป็นผู้ที่ทำร้ายตน และ เบียดเบียนผู้อื่น ซึ่งกล่าวได้ว่า...เป็น "คนพาล"

"คนพาล" ตรงกันข้ามกับ "บัณฑิต"

ผู้ที่มีปัญญา เป็นคนดี เป็นคนที่คิดดี ทำดี พูดดี...ดำเนินชีวิตอยู่ด้วยปัญญา

นี้คือ "บัณฑิต"...นี้คือ ความต่างระหว่าง คนพาล กับ บัณฑิต.

คำว่า "คนพาล" นี้...วิเคราะห์ศัพท์ ชื่อว่า "พาล" หรือ "คนพาล"

คือ ผู้ผลาญ เพราะ ตัดซึ่งประโยชน์ทั้งสอง

คือประโยชน์ในชาตินี้ และชาติหน้า ชื่อว่า "คนพาล"

ต้องคิดถึงคนอื่นไหม?

จิตของใคร เป็นกุศล ขณะไหน...ก็เป็นมิตร ขณะนั้น...ไม่ใช่ศัตรู

รู้จัก "ศัตรูตัวจริง" แล้วใช่ไหมกุศลธรรม เกิดเมื่อไหร่...ขณะนั้น เป็นมิตรไม่ได้เลย.!


เอาบุญมาฝากได้ถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน
กำหนดอิริยาบทย่อย ถวายข้าวพระพุทธรูป อนุโมทนากับผู้ใส่บาตรตามถนนหนทาง
และวันนี้ได้รักษาผู้ป่วยโดยไม่คิดค่าใช่จ่าย และวันนี้ตั้งใจว่าจะสวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกรม
เจริญอนุสติหลายอย่าง ฟังธรรม ขอให้อนุโมทนาบุญด้วย
ขอให้สรรพสัตว์น้อยใหญ่ทั้ง 31 ภพภูมิจงบรรลุมรรคผลนิพพานเทอญ



กำหนดการขอบรรพชา - อุปสมบท รุ่นมาฆบูชา ที่วัดสังฆทาน
ในวันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2553
กำหนดเริ่มรับสมัครบวชตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป และจะปิดรับสมัครบวช
ในวันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม 2553

เพื่อที่จะต้องมาบวชเป็นผ้าขาวอย่างน้อย 1 เดือน

- สำหรับผู้ที่ทำงาน ข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ บริษัทเอกชนต่างๆ
ที่ต้องลางานมาบวช และมีระยะเวลาบวชน้อย จะปิดรับสมัครบวช
ในวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2552 (เพื่อที่จะได้มาบวชเป็นผ้าขาวอย่างน้อย 15 วัน)

สำหรับเอกสารที่จะใช้ในการสมัครบวช เช่น

1. สำเนาบัตรประชาชน

2.สำเนาทะเบียนบ้าน

3.รูปถ่าย 2 นิ้ว (สำหรับนักศึกษาต้องใช้สำเนาบัตรนักศึกษาด้วย)

4.ใบรับรองแพทย์ เช่น สารเสพติด,ใบแสดงผลการตรวจเลือด HIV
ไวรัสตับอักเสบ B และโรคติดต่อต่างๆเป็นต้น

5.สำเนาบัตรประชาชนผู้รับรอง พร้อมเบอร์โทรศัพท์ เพื่อยืนยันตน

6.ใบลางาน (สำหรับผู้ที่ทำงาน ข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ บริษัทเอกชนต่างๆ)
(ถ้าไม่มีใบลางานหรือบัตรนักศึกษาต้องรอบวชรุ่นต่อไป)


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 13 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO