นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 03 พ.ค. 2024 6:52 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: พรานเบ็ด
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 08 ม.ค. 2010 8:45 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4547
พระไตรปิกฏ ไตร แปลว่า 3 ปิกฏ แปลว่าตะกร้าซึ่งเป็นที่รวมของวัตถุสิ่งต่าง นำมา

ใช้เปรียบเหมือนกับการรวบรวมคำสอนให้เป็นหมวดเป็นหมู่ได้ 3 คำภีร์ หรือ เรียกกันว่า

ปิกฏ 3 คือ พระวินัย พระสูตร พระอภิธรรม จะศึกษาปิกฏไหนก่อนก็แล้วแต่อัธยาศัย

พระวินัยเน้นเรื่องศึล เรื่องการขัดเกลาความประพฤติไม่ดี พระสูตรแสดงถึงธรรมะที่พระ

พุทธเจ้าทรงแสดงแก่บุคคลต่างๆ และสถานที่ต่างๆ พระอภิธรรมแสดงถึงสภาพธรรมะ

ทั้งปวงที่ไม่มีสัตว์ บุคคลตัวตน
สำหรับผู้เริ่มต้นศึกษาพระธรรม

ควรเริ่มจากการรู้จักธรรมะ ว่าธรรมะคืออะไร ธรรมะคือทุกสิ่ง

มีปัจจัยให้เกิด ปรากฏขึ้น บังคับบัญชาไม่ได้ ทำกิจหน้าที่ของตนเอง แล้วดับไป ไม่

กลับมาเลย รวดเร็วมาก เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็เป็นปัจจัยให้ธรรมะอื่นเกิดพร้อมหรือเกิดต่อ


ธรรมะเป็นของยาก ละเอียด ลึกซึ้ง เพราะเป็นปัญญาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

แต่ธรรมะที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเรื่องจริงที่พิสูจน์ได้ ทนต่อการพิสูจน์

ธรรมใดที่ปฏิบัติตามไม่ได้ จะไม่ทรงสั่งสอน เพราะฉะนั้น หากมีโอกาสได้ยินได้ฟังพระ

ธรรม นั่นคือมีโอกาสเพื่อการปฏิบัติตามได้ และสามารถเข้าถึงธรรมะได้ แต่ต้องอาศัย

เวลา

ธรรมะเป็นสภาพความจริงที่เกิดปรากฏ ไม่ต้องเรียกชื่อก็ได้ เป็นสภาพอย่างไรก็เป็น

อย่างนั้น ไม่ผันแปรเป็นอย่างอื่น



วัตถุประสงค์ของการศึกษาธรรมะ เพื่อให้รู้ คือมีปัญญา เพือการละ มิใช่เพื่ออย่างอื่น

เลย คือ มิใช่เพื่อการให้ได้รู้เรื่องราวธรรมะมากๆ จำเรื่องราวธรรมะได้มากๆ หรือเพื่อการ

สอบได้ หรือได้รับการยกย่องใดๆ



เพราะฉะนั้น การเริ่มศึกษาพระธรรม จึงควรเริ่มจากการฟังพระธรรม

ฟัง ณ ขณะนั้น แล้วไตร่ตรอง พิจารณา ว่าถูกต้องตามความเป็นจริงหรือไม่ ถ้าจริงโดย

การพิสูจน์ด้วยเหตุผล เกิดเป็นความเห็นถูกเข้าใจถูก ความเห็นถูกเข้าใจถูกนี้เรียกว่า

เกิดปัญญาเล็กน้อยในขั้นการฟัง ซึ่งจะต้องฟังต่อไป ฟังให้มาก ค่อยๆ สะสม อบรม

อย่างนี้ บ่อยๆ จะเป็นปัจจัยให้ได้รู้จัก เข้าใจธรรมะมากขึ้นๆ อย่าเพิ่งใจร้อน อยากรู้

อยากมีสติ อยากมีปัญญา หรือคอยตั้งคำถามว่าเมื่อไรจะรู้ เมื่อไรจะเข้าใจ


ธรรมะเกิดปรากฏอยู่ทุกขณะ แม้ขณะนี้ แต่ไม่เคยรู้เลย ธรรมะเกิดปรากฏทางตา หู จมูก

ลิ้น กาย ใจ ขณะที่ปรากฏทางหนึ่งทางใดใน 6 ทวารแล้วผ่านเลยไปตั้งแต่เกิดจน

กระทั่งเดี๋ยวนี้ จนกระทั้งถึงวันจากโลกนี้ไป เพราะฉะนั้นจึงต้องรู้จักธรรมะจากสิ่งที่เกิด

ปรากฏตามความเป็นจริง ในชีวิตประจำวันนี่เอง

ธรรมะเกิดขึ้นปรากฏ ทำหน้าที่ของตนๆ เรียกว่าปฏิบัติหน้าที่ ตามธรรมชาติของตน

อย่างนั้น ไม่ใช่ใครจะไปปฏิบัติธรรม หรือ ไม่ใช่เราจะปฏิบัติธรรม

การเริ่มศึกษาพระธรรมมิให้ติดอยู่ที่ภาษา คำศัพท์ พยัญชนะ หรือตำรา นั่นเป็นเพียงสื่อ

เพื่อสนับสนุนการเข้าใจ เพื่อให้เข้าใจตรงกันเท่านั้น ธรรมะที่แท้เป็นสภาพธรรมที่เป็น

จริงอย่างนั้น จะเรียกชื่อหรือไม่เรียกชื่อก็ได้ เพราะภาษาเป็นการใช้คำเพื่อแทนสภาพ

ธรรมให้เกิดความเข้าใจเพื่อการสั่งสอนด้วยภาษามนุษย์ การศึกษาโดยอ่านตำรา จำ

เรื่องราวได้ แต่ไม่รู้จักเข้าใจ มีความเห็นถูกเข้าใจถูกในธรรมะได้เลย
ประโยชน์สูงสุดในการเป็นพุทธศาสนิกชน คือ

ศึกษาคำสอน

ซึ่งต้องเข้าใจตั้งแต่คำแรก คำว่า "ธรรมะ"

ถ้าเราไม่มีความเห็นตรงและถูกต้อง เราจะไม่พบ "ธรรมะ" เลย

และไม่ได้ "สาระ" จาก "ธรรมะ" ด้วย.




เบื้องต้น.....ที่เป็นความเห็นถูก

ก็จะนำไปสู่ความเห็นถูกยิ่งขึ้น.




ถึงแม้เราจะอ่านพระธรรมมากเพียงใดก็ตาม

แต่ถ้า "ความเข้าใจขั้นต้น" ของเราไม่ถูกต้อง

ยังมีความสงสัย คลางแคลง

ความเข้าใจถูก ที่จะเพิ่มขึ้น ย่อมเป็นไปไม่ได้เลย.




เพราะฉะนั้นก่อนอื่น คำว่า "ธรรมะ" อย่าเพิ่งผ่านไป

เพราะว่าเราชินกับคำนี้มานาน

ตั้งแต่เกิด เราได้ยินว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

แต่เราเข้าใจคำนี้จริงๆหรือเปล่า.....?




พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

ไม่มีใครมีปัญญาเสมอเหมือนพระองค์

เพราะฉะนั้น

เราต้องศึกษาธรรมะ ที่พระองค์ทรงแสดงไว้

อย่างละเอียด รอบคอบ

โดยไม่คิดว่าปัญญาของเรามีมากพอ

ที่จะอ่านพระไตรปิฎกและอรรถกถาได้เข้าใจทั้งหมด

เพราะเหตุว่า ปัญญาของเราไม่ถึงระดับนั้น.
"ธรรมะ"

หมายถึงสิ่งที่มีจริง.




จริงเมื่อไร.......เมื่อกำลังปรากฏ

ถ้าขณะนี้ไม่ปรากฏ...สิ่งนั้น มีจริงหรือเปล่า.?

.........มีจริงไม่ได้ เพราะไม่ปรากฏ.




เพราะฉะนั้น

ถึงแม้รู้ว่า "ธรรมะ" เป็นสิ่งที่มีจริง

ก็ต้องมีจริง ในขณะที่กำลังปรากฏ.




ถ้า "ธรรมะ" นั้นไม่เกิด.........ก็ปรากฏไม่ได้

สิ่งที่มีจริง ที่กำลังปรากฏให้รู้ได้...ต้องเกิด.




และถ้าศึกษาต่อไป จะทราบว่า

การเกิดขึ้น ของสภาพธรรมแต่ละอย่างๆ

ต้องตามเหตุปัจจัย

ไม่มีใครสามารถบังคับบัญชาได้.

ก็แม้ฟังอยู่ด้วยดีอย่างนี้ เป็นผู้ไม่ประมาท

ด้วยการไม่อยู่ปราศจากสติ และมีปัญญาเครื่องสอดส่อง

ด้วยความเป็นผู้รู้สุภาษิตและทุภาษิตนั่นแล ย่อมได้ปัญญา

บุคคลนอกนี้ ย่อมไม่ได้ปัญญา

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ 384

๗. ธนัญชานิสูตร

[๖๗๒] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ อยู่ ณ พระวิหารเวฬุวันสวนที่

ใช้เลี้ยงกระแต เขตพระนครราชคฤห์. สมัยนั้นแล ท่านพระสารีบุตรเที่ยว

จาริกไปในทักขิณาคิรีชนบท พร้อมด้วยภิกษ์สงฆ์หมู่ใหญ่. ครั้งนั้น ภิกษุ

รูปหนึ่งจำพรรษาอยู่ในพระนครราชคฤห์ ได้เข้าไปหาท่านพระสารีบุตรถึงทัก-

ขิณาคิรีชนบท ได้ปราศรัยกับท่านพระสารีบุตร ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้

ระลึกถึงกันไปแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง....

[๖๗๕] ท่านพระสารีบุตรได้ถามว่า ธนัญชานิ ท่านเป็นผู้ไม่

ประมาทหรือ.

ธนัญชานิพราหมณ์ได้ตอบว่า ข้าแต่ท่านพระสารีบุตร ที่ไหนข้าพเจ้า

จะไม่ประมาท เพราะข้าพเจ้าต้องเลี้ยงมารดาบิดา ต้องเลี้ยงบุตรภริยา ต้อง

เลี้ยงพวกทาส กรรมกร และคนรับใช้...



พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้าที่ 391

๔. คิลายนสูตร

ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความเบาใจ ๔ ประการ

[๑๖๒๗] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ นิโครธาราม

กรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ ก็สมัยนั้น ภิกษุมากรูปกระทำจีวรกรรมของ

พระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยหวังว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำจีวรสำเร็จแล้ว จัก

เสด็จหลีกไปสู่ที่จาริกโดยล่วง ๓ เดือน พระเจ้ามหานามศากยราช ได้ทรง

สดับข่าวว่า ....

[๑๖๒๘] พ. ดูก่อนมหาบพิตร อุบาสกผู้มีปัญญาพึงปลอบอุบาสก

ผู้มีปัญญาผู้ป่วย ได้รับทุกข์ เป็นไข้หนัก ด้วยธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความเบาใจ

๔ ประการว่า ท่านจงเบาใจเถิด....
[๑๖๓๒] อุบาสกนั้นพึงกล่าวกะเขาอย่างนี้ว่า พวกเทพชั้นดาวดึงส์



ดีกว่าประณีตกว่าพวกเทพชั้นจาตุมหาราช ขอท่านจงพรากจิตให้ออกจาก

พวกเทพชั้นจาตุมหาราช แล้วน้อมจิตไปในพวกเทพชั้นดาวดึงส์เถิด ถ้าเขา

กล่าวอย่างนี้ว่า จิตของเราออกจากพวกเทพชั้นจตุมหาราชแล้ว จิตของเรา

น้อมไปในพวกเทพชั้นดาวดึงส์แล้ว อุบาสกนั้นพึงกล่าวกะเขาอย่างนี้ว่า พวก



เทพชั้นยามาดีกว่าประณีตกว่าพวกเทพชั้นดาวดึงส์... พวกเทพชั้น

ดุสิต ดีกว่าประณีตกว่าพวกเทพชั้นยามา... พวกเทพชั้นนิมมานรดีดี

กว่าประณีตกว่าพวกเทพชั้นดุสิต... พวกเทพชั้นปรนิมมิตวสวัตตีดี

กว่าประณีตกว่าพวกเทพชั้นนิมมานรดี... พรหมโลกดีกว่าประณีต

กว่าพวกเทพชั้นปรนิมมิตวสวัตตี ขอท่านจงพรากจิตให้ออกจากพวกเทพชั้นปร

นิมมิตวสวัตตี แล้วน้อมจิตไปในพรหมโลกเถิด ถ้าเขากล่าวอย่างนี้ว่า จิตของเราออก

จากพวกเทพชั้นปรนิมมิตวสวัตตีแล้ว จิตของเราน้อมไปในพรหมโลก

แล้ว.

ทั้งหมดเป็นเรื่องของผู้มีปัญญา ซึ่งท่านศึกษามาดีแล้ว และเป็นไปตามฐานะ

ไม่ใช่ทุกคนจะทำได้ และเข้าใจว่าการใส่ใจถึงเทวโลกชั้นนั้นๆตามที่ศึกษามา

ชื่อว่าน้อมไป แต่ถ้าไม่ใส่ใจถึงเทวโลกชั้นนั้น แต่ใส่ใจถึงเทวโลกชั้นอื่น ชื่อว่า

พรากจิตจากเทวโลกชั้นนั้น..

พระอนาคามี เป็นพระอริยบุคคลขั้นที่ ๓ เป็นผู้ที่ดับความยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น

รส โผฏฐัพพะ ได้ เป็นผู้ที่ดับความโกรธ ได้ แต่ท่านยังไม่สามารถดับกิเลสทั้งปวง

ได้อย่างเด็ดขาด เนื่องจากว่ายังมีโลภะ ความติดข้องในภพ ยังมีมานะ และ ยังมี

อวิชชา รวมถึงอกุสลธรรมที่เกิดร่วมกันด้วย เช่น อหิริกะ(ความไม่ละอาย) อโนตตัปปะ

(ความไม่เกรงกลัว) เป็นต้น กิเลสเหล่านี้ จะถูกดับได้อย่างเด็ดขาด เมื่อถึงความเป็น

พระอรหันต์ ดังนั้น จิตของพระอนาคามี มีครบทั้ง ๔ ชาติ คือ จิตเกิดขึ้นเป็นกุศล,

จิตเกิดขึ้นเป็นอกุศล, จิตเกิดขึ้นเป็นวิบาก และจิตเกิดขึ้นเป็นกิริยา จึงยังไม่พ้นจาก

วัฏฏะไปได้ จนกว่าจะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ดังนั้น ความจริงเป็นอย่างไร ก็เป็นจริง

อย่างนั้น เปลี่ยนแปลงไม่ได้
กัมมวัฏฏ์

กัมมะ ( การกระทำคือเจตนาเจตสิก ) + วัฏฏะ ( การวนเวียน , หมุนเวียน )

สภาพที่หมุนเวียนคือกรรม หมายถึง เจตนาเจตสิกที่เกิดกับอกุศลจิต ๑๒ ดวง

และโลกียกุศล ๑๗ ดวง ซึ่งเป็นปัจจัยทำให้เกิดการวนเวียน คือ ทำให้เกิดวิบาก

จิต วิบากเจตสิก และ กัมมชรูป เป็นภพชาติและสังสารวัฏฏ์ต่อ ๆ ไป
สังสารวัฏฏ์ มี ๓ อย่าง คือ กิเลสวัฏฏ์ กัมมวัฏฏ์ วิปากวัฏฏ์


กิเลสวัฏฏ์ เกิดขึ้นวนเวียนทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ และสั่งสมสันดาน

สืบต่อเป็นเหตุให้กระทำกัมมวัฏฏ์ คือ กุศลกรรมและอกุศลกรรม ทางกาย วาจา ใจ กัมมวัฏฏ์

เป็นปัจจัยให้เกิด วิปากวัฏฏ์ และเมื่อวิบากจิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น

ทางกายนั้นก็ไม่ปราศจากกิเลสวัฏฏ์อีก เพราะยังมีความยินดียินร้ายในสิ่งที่ปรากฏทางตา ทาง

หู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เมื่อมีกิเลสก็เป็นเหตุให้กระทำกรรมที่เป็นอกุศลกรรมบ้าง

กุศลกรรมบ้าง อกุศลกรรมและกุศลกรรมนั้นก็เป็นเหตุให้เกิดอกุศลวิบากจิตและกุศลวิบากจิต

ไม่รู้จบ ตราบใดที่ปัญญาไม่ได้อบรมจนเจริญคมกล้า สามารถประจักษ์แจ้งอริยสัจจธรรม

สังสารวัฏฏ์ทั้ง ๓ คือ กิเลสวัฏฏ์ กัมมวัฏฏ์ และวิปากวัฏฏ์ ก็จะต้องเกิดขึ้นวนเวียนไปเรื่อย ๆ



ปฏิจจสมุปปาท คือ ธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้นนั้นก็เป็นกิเลสวัฏฏ์ กัมมวัฏฏ์ และวิปากวัฏฏ์ คือ

อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร (กิเลสวัฏฏ์เป็นปัจจัยให้เกิดกัมมวัฏฏ์) สังขารเป็นปัจจัยให้เกิด

วิญญาณ (กัมมวัฏฏ์เป็นปัจจัยให้เกิดวิปากวัฏฏ์).......

กิเลสวัฏฏ์

กิเลส ( เครื่องเศร้าหมอง ) + วฏฺฏ ( การวน , ความหมุนเวียน )

สภาพที่หมุนเวียนคือกิเลส หมายถึง อวิชชา คือโมหเจตสิก และตัณหา คือโลภ

เจตสิกซึ่งเป็นวัฏฏมูล คือ เป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดการหมุนเวียนไปในภพต่างๆ ไม่มีที่

สุด เพราะอวิชชาซึ่งเป็นความไม่รู้ และตัณหาซึ่งเป็นความทะยานอยาก จึงเป็น

ปัจจัยให้มีการกระทำทั้งที่เป็นกุศลกรรมและอกุศลกรรมทำให้เกิดวิบากเป็นสังสารวัฏฏ์

ต่อไป
ปากวัฏฏ์

วิปาก ( ความสุกวิเศษ , ผล ) + วฏฺฏ ( การวนเวียน , ความหมุนเวียน )

สภาพที่หมุนเวียนคือวิบาก หมายถึง โลกียวิบากจิต ๓๒ ดวง ( เว้นโลกุตรวิบาก

๔ ดวง ) เจตสิกที่เกิดร่วม ๓๖ ดวง ซึ่งเป็นผลของกุศลกรรม และอกุศลกรรม เป็น

ปัจจัยให้วนเวียนไปในสังสารวัฏฏ์ คือ ทำให้มีการเกิดในภพใหม่ ทำให้มีการเห็น ได้

ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สัมผัส ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดกิเลสวัฏฏ์ต่อไป




เอาบุญมาฝากได้ถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา กำหนดอิริยาบทย่อย
อนุโมทนากับผู้ใส่บาตรตอนเช้าตามถนนหนทาง ได้สักการะพระธาตุ
ถวายข้าวพระพุทธรูป ฟังธรรม และเมื่อวานนี้ได้อนุโมทนากับ
นักเรียนหลายพันคน ที่ได้เจริญภาวนา และวันนี้ตั้งใจว่าจะ
รักษาศีล เจริญวิปัสสนา นั่งสมาธิ สวดมนต์ เดินจงกรม กำหนด
อิริยาบทย่อย ขอให้อนุโมทนาบุญด้วย

ขอให้สรรพสัตว์ทั้ง 31 ภพภูมิจงบรรลุมรรคผลนิพพานเทอญ



ขอเชิญผู้สนใจร่วมบุญถวายปัจจัยเพื่อเป็นค่าอาหารสำหรับพระกรรมฐาน
หรือบำรุงรักษาซ่อมแซมวิหาร ศาลา กุฏิ กับทางวัดหลวงขุนวิน ติดต่อได้ที่วัดทุกวัน
เบอร์โทรวัด (โทรก่อน 6 โมงเย็น) 053-939615, 085-294 1758 แม่ชีบุญมี

ธ.ไทยพาณิชย์ ออมทรัพย์ สาขาสันป่าตอง
ชื่อบัญชี พระจรัญ จันทร์ประภาสกุล
เลขที่ 734-2041-227

หรือมีความสนใจอยากส่งสิ่งของสำหรับพระกรรมฐาน
ที่ขึ้นมาเก็บอารมณ์ที่ดอยหลวงแห่งนี้ก็ส่งมาได้ตามที่อยู่ด้านบน
แต่ขอแนะว่าควรเป็นอาหารแห้งที่อยู่ได้นานเท่านั้น
เพราะว่าไปรษณีย์ไม่สามารถขึ้นไปถึงวัดได้
กว่าทางวัดจะมาเอากล่องพัสดุก็กินเวลาไปประมาณ 7-10 วัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 9 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO