นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน เสาร์ 20 เม.ย. 2024 10:12 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ทำด้วยจิตว่าง
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 28 ต.ค. 2008 3:18 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586
"หลวงตาบัวนำพี่น้องทั้งหลายนี้เป็นธรรมล้วนๆ ไม่มีโลกที่เข้ามาแอบแฝงเหมือนปล่อยหมาเข้าถาน เข้าใจไหมปล่อยหมาเข้าถาน ปล่อยเข้าไปจับหางดึงมันไม่ยอมออก จับขาดึงออกจนหางขาดขาขาดไม่ยอมออก เข้าใจไหมปล่อยหมาเข้าถานน่ะ จับอะไรดึงแล้วขาดไปเจ้าของยังไม่ยอมออก ฟาดเสียจนกว่ามันจะอิ่ม พอออกมาก็เป็นฟักแฟงแตงโมกลิ้งไปเลยไม่มีแข้งมีขา เข้าใจไหม เป็นอย่างนั้นแหละ

นี่ละกิเลสตัณหากินไม่มีอิ่มพอ ถ้าธรรมแล้วพอ พอเป็นระยะๆ เป็นความอบอุ่นๆ พอ อยากในธรรมนี้ทำให้รื่นเริงบันเทิง อยากในทางโลกทำให้เดือดร้อนวุ่นวี่วุ่นวายกระเสือกกระสน กลัวจะไม่ได้อย่างใจ เป็นไฟเผาตนเองและผู้อื่นได้รับความกระทบกระเทือนไปตามๆ กันหมด ถ้าอยากเป็นธรรมแล้วไม่เป็น เป็นคติเครื่องเตือนใจที่เราได้นำมาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง มันหากเป็นอยู่ในจิตนี้ละ เวลาเรียนหนังสือก็เรียน เวลาเรียนจิตใจหนักแน่นอยู่ทางการภาวนา

ตั้งแต่อยู่วัดโยธานี่ภาวนาอยู่ตั้งแต่เริ่มบวช เห็นท่านพระครูท่านเดินจงกรมตอนเช้าแต่เช้าๆ เราเป็นนาคอยู่ในโบสถ์ ท่านก็อยู่ในโบสถ์แต่ว่าหลังโบสถ์ทางนู้น ตอนเช้าท่านออกเดินจงกรมตั้งแต่ตี ๔ ท่านออกนะ จนกระทั่งสว่าง พอสว่างปั๊บท่านก็เข้ามาทำวัตร ทำวัตรเสร็จก็ออกบิณฑบาตพอดีๆ เราก็ดูท่าน พอบวชแล้วไปเรียนภาวนากับท่าน อยากภาวนาจะให้ภาวนาอย่างไร เอ้อ เอาพุทโธละนะ เราก็เอาพุทโธ ท่านว่าอย่างนั้น ท่านเดินจงกรมท่านก็เอาพุทโธ เอาพุทโธนะ

เราก็เอาจริงๆ นะ เพราะจิตนี้มันไม่เหลาะแหละ ว่าอะไรจริงจังมาก ว่าเอาพุทโธนะ เราไปทำ ทำทีแรกก็ทำตามประสีประสา ภาวนา เรียนหนังสือพอเที่ยงคืนหยุด จากนั้นไปก็ฝึกหัดนั่งภาวนาไป ๑ ชั่วโมงทุกวันๆ เลย ทีนี้เผอิญมันเป็นอย่างไรไม่ทราบนะ ภาวนาพุทโธๆ แล้วมันเหมือนเราดึงจอมแหเข้ามา แหที่ตากไว้นั่นละ เหมือนเราไปจับดึงจอมแหที่ตากไว้ดึงเข้ามาๆ ตีนแหก็ม้วนเข้ามา หดเข้ามาๆ ดึงเข้ามา หดเข้ามาๆ มาเป็นกองแห ลงเป็นกองแหกึ๊ก

นี่ละกระแสของจิต กระแสมันออกมาเป็นตีนแห มันกว้างขวางกระแสของจิต เวลามันหดเข้ามาๆ เข้ามาถึงตัวจิตจริงๆ นี้มันกึ๊กเลยเทียวนะ เราไม่เคยทำ เป็นขึ้นมาในใจ ก็บวชใหม่ๆ นี่ พุทโธๆ ถี่ยิบเข้ามา ดูอาการแปลกๆ เอาพุทโธกับสติจับติดปั๊บ จากนั้นก็รวม รวมแล้ว โห มันขาดไปหมดเลยนะ นี่ตั้งแต่เราบวชใหม่ๆ ไม่ได้ทราบจากใคร จากท่านพระครูเท่านั้นแหละ ว่าให้เอาพุทโธนะ นี่ก็ภาวนาพุทโธแหละท่านว่า เวลามันเป็นมันเป็นอย่างนั้นละ

วันนั้นจิตไม่ได้ไปไหนนะ ป้วนเปี้ยนอยู่กับคำภาวนาที่จิตลง ลงแบบอัศจรรย์มากอยู่นะวันนั้น แต่มันไม่นาน มันตื่นเต้น จิตรวมเข้าไปๆ นี้มันหดเข้าไปๆ พอเข้าไปถึงนั้นแล้วเหมือนว่าขาดหมดเลยโลก จิตกับโลกทั้งหลายนี้ขาดกันหมดเลย มันจ้าขึ้นภายในใจ โถ ทำไมเป็นอย่างนี้ มันตื่นเต้นที่นี่ ทั้งเป็นสุขทั้งอะไรเกิดความตื่นเต้น ไม่นานจิตก็ถอนออกมา เอาอีกวันหลังเลยไม่ได้เรื่อง มันไปขยับเอาตั้งแต่รางวัลที่ได้แล้ว มันไม่ได้ทำงาน ว่าอย่างนั้นเถอะนะ เคยได้แล้วก็ไปคิดตั้งแต่สิ่งที่ได้แล้ว

จนออกปฏิบัติเป็นให้ ๓ ครั้ง มันรวมอย่างอัศจรรย์นะ ตั้งแต่เรียนหนังสืออยู่ ๗ ปีมันเป็นได้ ๓ ครั้ง ทีนี้พอออกปฏิบัติเอาละที่นี่จะเอาให้มันจริงจังละ เอาจริงๆ แล้วก็ได้จริงๆ นะ นี่ละการภาวนาสำคัญมากนะ โถ เวลาจิตได้รวมนี่มันสว่างจ้าไปหมดเลย จิตดวงนี้ละ ไม่ใช่ธรรมดา เรายังไม่ลืมไปอยู่ที่วัดดอยธรรมเจดีย์ตอนเช้าประมาณตี ๔ นี้ละลงไปเดินจงกรม ตอนนั้นจิตมันอยู่ในขั้นของความว่าง รูปกายอะไรอสุภะอสุภัง ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา เหล่านี้มันผ่านไปหมด ยังเหลือแต่ความว่างเปล่าของจิต ก็เกิดความอัศจรรย์ในตัวเองเหมือนกัน มันว่างไปหมดเลย ร่างกายตลอดต้นไม้ภูเขาในความรู้สึกว่างตลอด ส่วนเหล่านั้นเขาก็มีของเขาอยู่อย่างนั้นละแต่จิตนี่มันว่างไปหมด นี้ก็อัศจรรย์เหมือนกัน

จิตที่ว่างอยู่ในท่ามกลางแห่งสิ่งทั้งหลายที่มีเต็มโลกเต็มสงสาร แต่จิตนี้มันว่างไปหมดเลย ก็เป็นแล้วให้เห็นชัดๆ ไม่เรียนจากใคร เรียนจากธรรมะของพระพุทธเจ้านั่นแหละ จิตมันก็แน่นเข้าไปโดยลำดับ พอหยุดจากการศึกษาเล่าเรียนทีนี้เอาเต็มเหนี่ยวเลย ภาวนาพุทโธๆ เข้าอยู่ในป่าในเขาเรื่อยมา อาการของจิตเปลี่ยนไปเรื่อยๆนะเราภาวนาพุทโธๆ พุทโธอันเดียวออกจากจิตนี้ละมันค่อยเปลี่ยนสภาพไปเรื่อยๆ สว่างไสวกระจ่างแจ้ง จนเจ้าของเองก็อัศจรรย์ในเจ้าของเหมือนกัน เราเป็นแล้ว โถ จิตเราทำไมถึงอัศจรรย์นักหนา มองไปที่ไหนมันว่างไปหมดเลย ไม่มีอะไรเหลือ ว่างตลอด

นี่ละจิตเป็นขั้นๆๆ จนกระทั่งถึงว่างๆๆ ว่างไปหลายขั้นหลายภูมินะ ว่างอย่างที่สุดก็คือว่างข้างนอกด้วย ว่างข้างในนี้ด้วย ปล่อยข้างนอกด้วย ปล่อยข้างในด้วย สว่างรอบตัวไปหมด นั่นจิตเวลาว่างว่างทั้งภายนอกภายใน ไม่ได้ว่างตั้งแต่ภายนอก ภายในยังพะรุงพะรัง นี่มันว่างไปหมดเลย เหมือนกับคนที่อยู่ในห้อง เข้าไปยืนอยู่ในห้องนี้ ไปดูชมห้อง โอ๊ ห้องนี้ว่างสว่างไสวไปหมดนะ ให้มีอีกคนหนึ่งเข้ามาที่ความรู้สูงกว่านั้นให้มาดู คนนั้นบอกออกมาว่าห้องนี้ว่างเหลือเกิน ว่างไปหมดเลยไม่มีอะไรในนี้ คนที่อยู่ข้างนอกดูว่ายังไม่ว่าง ตัวท่านเองไปยืนขวางห้องอยู่นั้นมันยังไม่ว่าง ถ้าอยากให้ว่างตัวท่านต้องถอนตัวออกมามันถึงจะว่าง พอคนนั้นถอนตัวออกมาปั๊บห้องก็ว่าง

อันนี้จิตก็เหมือนกันปล่อยอะไรๆ ปล่อยไปหมดๆ เป็นห้องว่างๆ แต่ตัวเองยังไม่ว่างในตัวเองกับกิเลสอยู่ภายใน ทีนี้ก็ย้อนเข้ามาพิจารณาถึงจิตดวงนี้ ทีนี้จิตดวงนี้ก็ว่าง ว่างจากกิเลส ว่างภายนอก ว่างภายใน ปล่อยภายนอก ปล่อยภายใน พ้น นั่นมันเป็นขั้นๆ การภาวนา พอถึงขั้นว่างภายนอกภายในก็วางทั้งภายนอกวางทั้งภายใน ปล่อย ไปเลย อย่างนั้นละธรรมพระพุทธเจ้า ได้มาเล่าให้พี่น้องลูกหลานทั้งหลายฟัง เราได้ทำมาแล้ว"

luangta glubguti re1.jpg


พระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว ญาณสัมปันโน)
วัดป่าบ้านตาด ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี

_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 2 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO