นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อาทิตย์ 05 พ.ค. 2024 7:58 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: การศึกษาเรื่อง
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 04 พ.ย. 2009 8:16 pm 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4549
การศึกษาเรื่องของบารมีทั้ง ๑๐

ก็เพื่อ พิจารณาสำรวจตัวเอง ว่า ยังยิ่งหย่อนในบารมีใด

และจะได้อบรมบารมีนั้น ให้มากยิ่งขึ้น

จนสามารถที่จะเป็นปัจจัยให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้.



ถ้ามุ่งแต่ที่จะให้สติเกิด

ระลึก รู้ลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏ

ตามปกติ ตามความเป็นจริง ในชีวิตประจำวัน

โดยที่ไม่คำนึงถึง "การอบรมเจริญบารมี"

ก็จะต้องพ่ายแพ้ต่อ อกุศลธรรม

เพราะว่า อกุศลธรรม มีปัจจัยให้เกิดมากกว่า กุศลธรรม.



การสะสมบารมีทั้ง ๑๐ นั้น

ไม่สามารถที่จะทราบได้ว่าแต่ละท่านจะต้องสะสมอบรมไปอีกนานเท่าไร

แต่ในชาติที่สามารถจะสะสมอบรมได้

ก็ควรจะสะสมอบรมบารมี ตามกำลังความสามารถ.



บารมีทั้ง ๑๐ นั้น...มี โลภะ เป็นปฏิปักษ์

เพราะฉะนั้น การอบรมเจริญบารมี จึงไม่ใช่ด้วยความต้องการผลของกุศล

แต่ต้องเป็นเพราะการเห็นโทษของอกุศลแต่ละประเภท

ไม่ใช่ต้องการเจริญบารมี เพื่อผล คือ สังสารวัฏฏ์

แต่เป็นการบำเพ็ญบารมีเพื่อขัดเกลากิเลส

จนกว่าจะสามารถดับกิเลสได้หมดเป็นสมุจเฉท

จึงจะสามารถดับสังสารวัฏฏ์ได้.



เพราะการดับสังสารวัฏฏ์...จะเป็นไปได้

ก็ด้วยการดับกิเลสเป็นสมุจเฉท

ตราบใดที่ยังมีกิเลสอยู่...ก็ไม่สิ้นสังสารวัฏฏ์.



ฉะนั้น การอบรมเจริญบารมี

จึงไม่ใช่ด้วยความหวังผลของกุศลในสังสารวัฏฏ์.



ด้วยเหตุนี้........






ผู้ที่เห็นโทษของความตระหนี่...จึงให้ทาน.




ผู้ที่เห็นโทษของความเป็นผู้ทุศีล...จึงรักษาศีล.





ผู้ที่เห็นโทษในกาม และ การครองเรือน...จึงมีอัธยาศัยในเนกขัมมะ.





ผู้ที่เห็นโทษในความไม่รู้ และ ความสงสัย...จึงเป็นผู้อบรมเจริญปัญญา.





ผู้ที่เห็นโทษในความเกียจคร้าน...จึงเป็นผู้อบรมวิริยะ.





ผู้ที่เห็นโทษในการพูดและการกระทำที่ไม่จริง...จึงเป็นผู้อบรมเจริญสัจจะ.





ผู้ที่เห็นโทษในความไม่อดทน...จึงเป็ผู้อบรมเจริญขันติ.




ผู้ที่เห็นโทษในการไม่ตั้งใจมั่น...จึงเป็นผู้อบรมเจริญอฐิษฐาน.





ผู้ที่เห็นโทษในพยาบาท...จึงเป็นผู้อบรมเจริญเมตตา.





ผู้ที่เห็นโทษในโลกธรรม...จึงเป็นผู้อบรมเจริญอุเบกขา.
การที่จะเกิดใหม่เพราะบุคคลนั้นยังมีกิเลสอยู่ แต่ต้องไม่ลืมว่า เราไม่ได้เกิด

มาชาติเดียว เกิดมาหลายชาตินับไม่ถ้วน แม้เสือ ก็เคยเกิดมาเป็นภพภูมิอื่น

ด้วย เช่น เป็นมนุษย์ เป็นเทวดา ดังนั้น การที่เสือจะเกิดใหม่ในภูมิที่ดีหรือไม่

นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับกรรมในชาติปัจจุบันที่ทำเท่านั้น เป็นผลของกรรมในชาติ

อื่นก็ได้ ที่ได้ทำกรรมอื่นไว้ เช่น อาจจะเป็นชาติที่เกิดเป็นมนุษย์ก่อนชาติที่เป็น

เสื้อ ได้ทำกรรมดีไว้ กรรมนั้นส่งผล ในตอนใกล้ตายในชาติที่เป็นเสือ ก็

สามารถได้ภูมิที่ดีได้ ดังนั้น เราต้องเข้าใจว่ากรรมที่ให้ผลในชาติถัดไปทันทีก็มี

เช่น อนันตริยกรรม(ฆ่า บิดา มารดา เป็นต้น) แม้จะทำความดีมากมายเท่าไหร่

ในชาตินั้น กรรมที่เป็นอนันตริยกรรม ย่อมให้ผลในชาติต่อไป คือ เมื่อคนนั้นตาย

จากไป ก็ต้องเกิดในนรกทันที บางกรรมก็ให้ผลในชาติถัดๆไป เป็นต้น ดังนั้น

สัตว์ถึงแม้จะทำบาปมาก แต่ก็ไม่จำเป็นจะต้องไป ภูมิไม่ดี เพราะยังมีกรรมอื่นๆ

ในอดีตที่เป็นกรรมดี มาส่งผลให้เกิดในภพภูมที่ดี เพราะสัตว์ไม่ได้ทำ อนันตริ

ยกรรม จึงไม่จำเป็นจะต้องไปภูมิที่ไม่ดีแน่นอน

พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 127

เรื่องคนเฝ้าประตูชาวทมิฬ

เล่ากันมาว่า ในบ้านมธุอังคณะ. มีนายประตูชาวทมิฬคนหนึ่งถือเอา

เบ็ดไปแต่เช้า ตกปลาได้แล้วแบ่งออกเป็น ๓ ส่วน ส่วนหนึ่งเอาแลกข้าวสาร

ส่วนหนึ่งแลกนม ส่วนหนึ่งต้มแกงกิน. โดยทำนองนี้ เขาทำปาณาติบาตอยู่ถึง

๕๐ ปี ต่อมาแก่ตัวลง ล้มหมอนนอนเสื่อ ในขณะนั้น พระจุลลปิณฑปา-

ติกติสสเถระ ชาวคิรีวิหาร รำพึงว่า คนผู้นี้ เมื่อเรายังเห็นอยู่อย่าพินาศ

เสียเลย แล้วไปยืนอยู่ที่ประตูเรือนของเขา. ขณะนั้นภริยาของเขาจึงบอกว่า

นี่ ! พระเถระมาโปรดแล้ว เขาตอบว่า ตลอดเวลา ๕๐ ปี เราไม่เคยไป

สำนักของพระเถระเลย ด้วยคุณความดีอะไรของเรา ท่านจึงต้องมา เธอจง

ไปนิมนต์ให้ท่านไปเสียเถิด. นางบอกพระเถระว่า นิมนต์ไปโปรดสัตว์

ข้างหน้าเถิดเจ้าข้า พระเถระถามว่า อุบาสกมีพฤติการทางร่างกายอย่างไร.

นางตอบว่า อ่อนแรงแล้ว เจ้าข้า. พระเถระเข้าไปยังเรือนให้สติ แล้วกล่าวว่า

โยมรับศีล (ไหม). เขาตอบว่า รับ ขอรับพระคุณเจ้า นิมนต์ให้ศีลเถิด.

พระเถระให้สรณะ ๓ แล้ว เริ่มจะให้ศีล ๕. ในขณะที่อุบาสกนั้น ว่า ปญฺจ

สีลานิ นั่นแหละ ลิ้นแข็งเสียแล้ว. พระเถระคิดว่า เท่านี้ก็พอควร แล้ว

ออกไป. ส่วนเขาตายแล้วไปเกิดในภพจาตุมหาราชิกะ.




พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้าที่ 422
ข้อความบางตอนจาก เรื่องบุรุษผู้ฆ่าโจรมีเคราแดง

กัลยาณมิตรเป็นเหตุให้เกิดในดุสิต

ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมว่า "บุรุษฆ่าโจร กระทำ

กรรมหยาบช้าสิ้น ๕๕ ปี พ้นจากกรรมนั้นในวันนี้แล ถวายภิกษาแก่

พระเถระก็ในวันนี้เหมือนกัน กระทำกาละก็ในวันนี้นั่นแล, เขาบังเกิด

ในที่ไหนหนอแล ?"

พระศาสดาเสด็จมาแล้ว ตรัสถามว่า "ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้

พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยถ้อยคำอะไรหนอ ?" เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบ

ทูลว่า "ด้วยถ้อยคำชื่อนี้" จึงตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย บุรุษนั้น

บังเกิดในดุสิตบุรี." ภิกษุทั้งหลายทูลถามว่า "พระเจ้าข้า พระองค์

ตรัสอะไร ? บุรุษนั้นฆ่ามนุษย์เท่านี้สิ้นเวลาเท่านี้ แล้วบังเกิดในวิมาน

ดุสิต."

พระศาสดาตรัสว่า "อย่างนั้น ภิกษุทั้งหลาย, บุรุษนั้นได้

กัลยาณมิตรผู้ใหญ่, เขาฟังธรรมเทศนาของสารีบุตร ยังอนุโลมญาณให้

บังเกิดแล้ว เคลื่อนจากโลกนี้แล้ว บังเกิดในวิมานดุสิต" ดังนี้แล้ว

ตรัสพระคาถานี้ว่า :-

" บุรุษผู้ฆ่าโจรในเมือง ฟังคำเป็นสุภาษิตแล้ว

ได้อนุโลมขันติ ไปสู่เทวโลกชั้นไตรทิพย์ ย่อม

บันเทิงใจ."

ภิกษุ. " พระเจ้าข้า ธรรมดาอนุโมทนากถามีกำลัง, บุรุษนั้น

กระทำอกุศลกรรมไว้มาก, เขายังคุณวิเศษให้บังเกิดด้วยเหตุเท่านั้นอย่างไร

ได้ ?"

พระศาสดาตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงอย่าถือประมาณ

แห่งธรรมที่เราแสดงแล้วว่า 'น้อยหรือมาก' เพราะว่า แม้วาจาคำเดียว

ที่อาศัยประโยชน์ ประเสริฐโดยแท้"



สัตว์ที่ตายจากสัตว์ไปเกิดในอบายมากกว่าโดยแท้ สัตว์ที่ตายจากสัตว์ไปเกิดในสุคติภูมิมี

เป็นส่วนน้อย ที่เกิดเป็นเสือ ด้วยผลของอกุศลกรรม และเสือฆ่าสัตว์กินเป็นอาหาร ไม่ได้

เจริญกุศล ฟังธรรมไม่รู้เรื่อง มีแต่ทำอกุศลกรรม โอกาสที่จะเกิดในสุคติภูมิยาก และเสือก็

ไม่ได้พบพระเถระเหมือนคนเฝ้าสวนหรือโจรเคราแดง คนเฝ้าสวนฆ่าสัตว์ 50 ปี และโจรเครา

แดง ฆ่าคน 55 ปี เขาทั้งสองคนเกิดมาเป็นมนุษย์เป็นผลของกุศลกรรม ขณะที่เขาฆ่าสัตว์

หรือฆ่าคนนั้น เป็นเพราะอำนาจของกิเลสที่เคยสะสมมา แต่เขามีบุญได้มาพบพระเถระให้ั

รักษาศีลก่อนตาย และโจรเคราแดงถวายข้าวต้มผสมน้ำนมแด่พระเถระ และได้ฟังธรรม

ก่อนตายก็ไปสุคติภูมิ
นามธรรม และ รูปธรรม เป็นสภาพธรรมที่ต่างกัน

ถ้าเราไม่แยก นามธรรม และ รูปธรรม ออกจากกัน

และไม่รู้ลักษณะของนามธรรม และ รูปธรรม แล้ว

ก็ย่อมยึดถือ นามธรรม และ รูปธรรม ว่าเป็นตัวตน.



เช่น การได้ยิน เป็น นามธรรม...ไม่ใช่รูปร่างสัณฐาน

การได้ยิน ต่างจาก โสตปสาท

แต่การได้ยิน ก็มีโสตปสาท เป็นปัจจัยสำคัญ.


นามธรรมที่ได้ยิน เป็นสภาพธรรมที่รู้เสียง

โสตปสาท และ เสียง เป็นรูปธรรม...ซึ่งไม่รู้อะไร.


รูปธรรม คือ โสตปสาท และ เสียง

แตกต่างจากนามธรรมที่ได้ยิน โดยประการทั้งปวง

ดังนั้น...เมื่อไม่รู้ชัด ว่า การได้ยิน โสตปสาท และ เสียง

เป็นสภาพธรรมที่ต่างกัน

จึงทำให้มีการยึดถือ ว่า เป็นตัวตน (ของเรา) ที่ได้ยิน.


.


ข้อความในวิสุทธิมัคค์ ทิฏฐิวิสุทธินิทเทส มีว่า.........



นามกาย อาศัยรูป จึงเป็นไป

เปรียบเหมือนมนุษย์ อาศัย (โดยสาร) เรือ

(จึงแล่น) ไปในห้วงน้ำฯ


รูปกาย อาศัยนาม จึงเป็นไป

เหมือนอย่างเรือ อาศัยมนุษย์

จึงแล่นไปในแม่น้ำฯ


ทั้งสองอย่าง

คือ มนุษย์ และ เรือ

อาศัยกันและกัน จึงไปในห้วงน้ำได้ ฉันใด

นามธรรม และ รูปธรรม ก็ฉันนั้น.


.

เอาบุญมาฝากได้ถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน สวดมนต์

เดินจงกรม นั่งสมาธิ กำหนดอิริยาบทย่อย เจริญอนุสติ คือ พุทธานุสติ

ธัมมานุสติ และสังฆานุสติ ศึกษาธรรม

ที่ผ่านมาเทศกาลกินเจ ครอบครัว พ่อ แม่ และคนในครอบครัว

ละเว้นเนื้อสัตว์ ขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
 หัวข้อกระทู้: Re: การศึกษาเรื่อง
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 04 พ.ย. 2009 9:50 pm 
ออฟไลน์
Administrator
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 11:37 am
โพสต์: 6391
สาธุ อนุโมทนาครับ :D

_________________
089 969 9445 @ anytime
line ID navaraht


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 5 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO