นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อาทิตย์ 05 พ.ค. 2024 10:37 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: จิตเกิดขึ้น
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 30 ต.ค. 2009 8:33 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4549
จิตเกิดขึ้น ต้องรู้อารมณ์ ไม่มีขณะใดเลยที่จิตไม่รู้อารมณ์ เพราะเหตุว่า อารมณ์

หมายถึง สิ่งที่จิตรู้ ดังนั้น เมื่อจิตเกิดขึ้น จึงต้องรู้อารมณ์ สำหรับการเห็นหนึ่งขณะ

กล่าวคือ จักขุวิญญาณเกิดขึ้น ก็รู้รูปารมณ์ หรือ เห็นสี ขณะเดียวก็ดับไป และก่อนที่

จักขุวิญญาณจะเกิด ก็มีจักขุทวาราวัชชนจิตเกิดก่อน เมื่อจักขุวิญญาณเกิดแล้วดับไป

ก็มีจิตอื่น ๆ เกิดสืบต่อโดยไม่มีระหว่างคั่น กล่าวโดยสรุป คือ ตลอดทั้งจักขุทวารวิถี

มีอารมณ์เดียวกัน คือ มีสี เป็นอารมณ์ สี หรือ รูปารมณ์ หรือ วัณณรูป เป็นสภาพธรรม

ที่มีจริง สามารถปรากฏได้ทางตา และต้องกระทบกับจักขุปสาทะ ถ้าไม่กระทบกับจักขุ-

ปสาทะ ก็ไม่สามารถที่จะเห็นได้

วัณณรูป หรือ สี จะมีอยู่ที่ไหน ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็น ในป่า ในเขา หรือในที่ห่างไกล

อย่างไรก็ยังคงเป็นวัณณรูป แต่ถ้ามีจิตเห็น(จักขุวิญญาณ)หรือจิตที่รู้สีเกิดขึ้น สีนั้น

หรือวัณณรูป นั้น จึงได้ชื่อว่า รูปารมณ์ (เพราะรูปสีเป็นอารมณ์ของจิต) และที่สำคัญ

รูปารมณ์ เป็นอารมณ์ของจิตได้ ๒ ทวาร คือเป็นอารมณ์ของจิตทางจักขุทวาร ในขณะ

ปัจจุบัน และเป็นอารมณ์ของจิตทางมโนทวาร เมื่อจักขุวารวิถีจิตดับไปแล้ว

พระราชาองค์หนึ่งบรรทมหลับอยู่บนแท่นบรรทม มหาดเล็กของพระองค์ นั่งถวาย

งานนวดพระยุคลบาทอยู่ นายทวารหูหนวกยืนอยู่ที่พระทวาร ทหารยาม ๓ คนยืนเรียง

ลำดับอยู่ ทีนั้นยังมีคนบ้านนอกคนหนึ่งถือบรรณาการมาเคาะประตูเรียก นายทวารหู-

หนวกไม่ได้ยินเสียง มหาดเล็กผู้นวดพระยุคลบาทจึงได้ให้สัญญาณ เขาจึงเปิด

ประตูด้วยสัญญาณนั้น ทหารยามคนที่หนึ่งรับเครื่องบรรณาการ ส่งให้คนที่ ๒ คนที่ ๒

ส่งให้คนที่ ๓ คนที่ ๓ ทูลเกล้าถวายพระราชา พระราชาได้เสวย.

------------------------------

จากข้ออุปมานี้ สรุปได้ว่า

คนบ้านนอกถือเครื่องราชบรรณาการมา เคาะที่ประตูวัง = อารมณ์ที่กระทบปสาทะ

มหาดเล็กผู้ถวายนวดพระยุคลบาทของพระราชา (ผู้รู้ว่ามีคนมาเคาะประตู จึงให้

สัญญาณแก่นายประตูหูหนวก) = จักขุทวาราวัชชนจิต

นายทวารหูหนวก (ไม่ได้ยินเสียง) เปิดประตูจึงเห็น = จักขุวิญญาณ

ทหารยามคนที่หนึ่ง = สัมปฏิจฉันนจิต

ทหารยามคนที่สอง = สันตีรณจิต

ทหารยามคนที่สาม = โวฏฐัพพนจิต

พระราชาได้เสวยเครื่องราชบรรณาการ = ชวนจิต

จากข้อเปรียบเทียบนี้ แสดงเนื้อความว่า อารมณ์มีกิจ คือหน้าที่เพียงแต่กระทบ

ปสาทะเท่านั้น คนบ้านนอกไม่ได้เข้าไปเฝ้าพระราชา แต่ว่าเครื่องราชบรรณาการ

ส่งต่อจากคนที่หนึ่ง ให้คนที่สอง ให้คนที่สาม แล้วจึงถึงพระราชา

เพราะฉะนั้นจักขุวิญญาณเท่านั้น ที่กระทำกิจเห็นอารมณ์อยู่ที่ทวาร อารมณ์สามารถ

เพียงกระทบปสาทะเท่านั้น แต่ว่าจิตรู้อารมณ์สืบต่อกัน อารมณ์ไม่ได้ข้ามพ้นหรือว่า

ล่วงล้ำปสาทะไปที่อื่นเลย อารมณ์จะเลยปสาทะเข้าไปที่ไหนไม่ได้ เป็นรูปที่กระทบ

ปสาทะ ทางตาที่กำลังเห็น รูปารมณ์ มีกิจเพียงกระทบปสาทะเท่านั้น



วาระ คือ วิถีจิตซึ่งเกิดดับสืบต่อกันโดยรู้อารมณ์เดียวกันและทางทวารเดียวกัน ซึ่ง

บางวาระวิถีจิตเกิดทั้ง ๗ วิถี บางวาระวิถีจิตเกิด ๖ วิถี บางวาระวิถีจิตเกิด ๕ วิถี บาง

วาระวิถีจิตไม่เกิดเลยมีแต่อตีตภวังค์และภวังคจลนะเท่านั้น คือเมื่อรูปกระทบปสาทะ

และกระทบอตีตภวังค์นั้น อตีตภวังค์ดับไปแล้ว ภวังคจลนะก็ยังไม่เกิด จึงเป็นอตีต-

ภวังค์เกิดดับอีกหลายขณะ แล้วภวังคจลนะจึงเกิดไหวขึ้นแล้วดับไป ๆ หลายขณะ

เมื่ออารมณ์ คือ รูปที่กระทบปสาทะนั้นใกล้จะดับ จึงไม่เป็นปัจจัยให้วิถีจิตเกิดขึ้นรู้

อารมณ์นั้น เมื่อวิถีจิตไม่เกิดขึ้นรู้อารมณ์ที่กระทบปสาทะ จึงเป็นโมฆวาระ เช่น ขณะ

นอนหลับสนิทถูกปลุกเขย่าแล้วก็ยังไม่ตื่น เขย่าแรง ๆ ก็ยังไม่ตื่นอีก ขณะนั้นเป็นโมฆ-

วาระ เพราะอาวัชชนจิตไม่เกิด มีแต่อตีตภวังค์และภวังคจลนะ เมื่อวิถีจิตไม่เกิดขึ้นรู้

อารมณ์ที่กระทบจึงเป็น “โมฆวาระ” และอารมณ์นั้นก็เป็นอติปริตตารมณ์ คือเป็นอารมณ์

ที่เล็กน้อยที่สุดเพราะเพียงกระทบปสาทรูปและภวังค์ แต่ไม่ทำให้วิถีจิตเกิดได้เลย
ก็โลกที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ของผู้ที่ไม่ยังไม่เห็นความเป็น

จริงของโลกใบนี้เป็นคนละใบกัน เมื่อไรที่ทุกคนเห็นทุกอย่าง ตามความเป็นจริง

โลกใบนี้ก็จะเป็นโลกใบเดึยวกัน มองทุกอย่างเห็นเหมือนกันตามความเป็นจริง

ไม่ใช่แนวทางที่เห็นแก่ตัว มุ่งเพื่อประโยชน์ส่วนตน หรือความสุขเฉพาะตน

แต่จะเห็นทุกอย่างตามความเป็นจริงของมัน คือความเป็นอนัตตา ก็จะเกิดการละ

การคลาย การยึด การติด การเบียดเบียนต่อกันและกัน เกิดเป็นการให้ การสละ การ

เกื้อกูล การเมตตา กรุณาต่อกัน

การศึกษาพระธรรม ไม่เลือกเพศ ไม่เลือกอาชีพ ไม่เลือกเวลา ไม่เลือกสถานที่

เมื่อปัญญาถึงระดับหนึ่ง ประโยชน์ของตน หรือประโยช์ของเขาจะไม่มี จะมีแต่การ

เกื้อกูลในทางที่เป็นกุศลต่อกัน

ศรัทธาเป็นองค์ธรรมหนึ่ง ที่เป็นปัจจัยให้ปัญญาเจริญ หากไม่ได้ศึกษา

แก่นแท้พระธรรมจริงๆ ศรัทธาย่อมไม่เกิด สิ่งที่เกิดย่อมเป็นเพียงแค่คิดว่ารู้

เป็นการวนอยู่ภายนอกของกระพึ้ แล้วมีความเห็นต่างกันไปตามการสะสม

ของแต่ละคน...




เอาบุญมาฝากได้ถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนาให้ ธรรมะเป็นทาน กำหนดอิริยาบทย่อยขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 9 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO