พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ตอบกระทู้

ต้องรู้จักธรรม

พุธ 07 ต.ค. 2009 7:26 am

ก่อนอื่น.....ต้องรู้จัก "ธรรม" ก่อน.!

แล้วจะค่อย ๆ เข้าใจ ในสิ่งที่พระผู้มีพระภาคฯ ทรงแสดงไว้

ณ สถานที่ต่าง ๆ

จนกระทั่งมีการรวบรวม เป็น พระไตรปิฎก.


.


ผู้ที่มีปัญญามาก

สะสมความรู้ ความเข้าใจ ในสิ่งที่กำลังปรากฏ

ขณะที่กำลังฟัง.....

ก็สามารถที่จะแทงตลอด "ความจริงของสภาพธรรม"

เช่น ท่านพระสารีบุตร เป็นต้น.


.


เพราะฉะนั้น

ที่พระผู้มีพระภาคฯ ทรงพระมหากรุณาแสดงธรรมไว้

ตลอด ๔๕ พรรษา

สำหรับ "ผู้ที่ฟังแล้ว...ฟังอีก"

แล้ว ไตร่ตรอง จนกระทั่งเป็นความเข้าใจของตนเอง

ว่า สามารถที่จะเข้าใจได้ แม้คำที่ได้ยิน แต่ละคำ.......

ว่า ถูกต้องหรือเปล่า.!


.


แม้ในขั้นต้น

ไม่สามารถที่จะรู้จัก "ธรรม"

เพียงได้ยินคำแต่ละคำ และ เพียงรู้เรื่องราว

เท่านั้น.


.


เพราะฉะนั้น

ในปฐมเทศนา "ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร"

มีข้อความที่ทรงแสดง

คือ

สัจจญาณ กิจจญาณ กตญาณ.



ทุกคน...อาจจะสนใจเพียงแค่ "อริยมรรคมีองค์ ๘"

เพราะว่า เป็นหนทางเดียว ที่จะทำให้บรรลุคุณธรรม

สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระอริยบุคคล.



แต่

พระผู้มีพระภาคฯ ทรงตรัสถึง

สัจจญาณ กิจจญาณ กตตญาณ


( ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ)


.


ญาณ เป็น "ความรู้"


เพราะฉะนั้น

"สัจจญาณ"

คือ

"ความรู้" ที่เข้าใจ เรื่องของสัจจธรรม อย่างมั่นคง ว่า

ขณะนี้ เป็น "ธรรม" ทั้งหมด.!


และ

"ธรรม"

ก็มีความหลากหลายมาก

"ธรรม" ที่เกิดขึ้นในขณะนี้

เกิดขึ้น เพราะเหตุ-ปัจจัย

เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องดับหมดไป

และ ไม่กลับมาอีกเลย.


.


เพราะฉะนั้น


การฟังพระธรรมทั้งหมด

ก็เพื่อ "รู้ความจริง"


จนกระทั่งสามารถที่จะ "ละความไม่รู้"


เมื่อละความไม่รู้.....

กิเลสต่าง ๆ ก็จะเบาบางลง.


แต่ ถ้ามี "ความไม่รู้"

แล้วจะไปทำอย่างหนึ่งอย่างใดขึ้นมา........เพื่อที่จะรู้

โดยหวังว่า กิเลสจะเบาบางลงจนกระทั่งหมดไป นั้น


เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย.!


.


เพราะฉะนั้น

ต้องไม่ขาด "สัจจญาณ"

คือ


"ความรู้"

ที่เข้าใจ เรื่องของสัจจธรรม อย่างมั่นคง ว่า

ขณะนี้ เป็น "ธรรม" ทั้งหมด.!
ในอรรถกถาอลคัททูปมสูตร อธิบายการศึกษาเพื่อรักษาพระสัทธรรมให้ดำรงอยู่ต่อไป

นั้น เป็นการศึกษาของผู้จบกิจที่ควรทำในพระศาสนาแล้ว คือ เป็นการศึกษาของพระ

อรหันต์เท่านั้น ส่วนการศึกษาของพระเสกขบุคคล เพื่อการอบรมเจริญปัญญา สลัดตน

ออกจากวัฏฏะทุกข์ ส่วนการศึกษาของปุถุชน มี ๒ ประเภท คือ ๑.บางคนศึกษาเพื่อรู้

แจ้งอริยสัจจธรรม ๒.บางคนเพื่อการโต้แย้ง เพื่อลาภยศ(จับงูพิษข้างหาง) จากข้อ

ความในอรรถกถาที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่า การศึกษาเพื่อรักษาพระศาสนา ของพระเสกข

บุคคลกับปุถุชน ย่อมไม่มี เพราะ ไม่ได้อยู่ในฐานะเช่นนั้น แต่ในทางพฤตินัย ขณะที่

ศึกษาและประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสอน จุดประสงค์เพื่อการบรรลุธรรมที่ยังไม่

บรรลุ ก็ชื่อว่ารักษา หรือสืบทอดพระสัทธรรมในใจของตน ไปในขณะเดียวกัน สมดัง

พระบาลีในปัญจกนิบาติ ว่า การศึกษาโดยเคารพ การปฏิบัติตามโดยเคารพ ทำให้พระ

สัทธรรมดำรงอยู่นาน....

การพบกันครั้งสุดท้ายก่อนตายจากไปนั้น ไม่มีเครื่องหมาย ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใด

เลยที่จะแสดงให้รู้ว่า เมื่อเห็นกันแล้วจะไม่ได้เห็นกันอีก เมื่อเห็นตอนเช้าก็อาจไม่ได้

เห็นตอนเย็น เห็นตอนเย็นก็อาจจะไม่ได้เห็นตอนเช้า ทุกคนเห็นความจริงว่า ไม่มีใคร

สามารถหลีกเลี่ยงหรือต่อรองความตายได้ จะขอเวลาต่อแม้เล็กน้อยก็ไม่ได้


ฉะนั้น การกล่าวถึงชีวิตของแต่ละคน ก็ไม่พ้นจากการพิจารณาสภาพธรรมที่

เกิดขึ้นเป็นแต่ละบุคคล ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาเลย เมื่อพูดกันถึงผู้ตาย ก็ควร

จะได้ระลึกถึงสภาพจิตในขณะนั้นว่าแยบคายหรือยัง แทนที่จะโศกเศร้า เสียใจ อาลัย

อาวรณ์ ก็ควรจะเป็นความเบิกบานในพระธรรม ที่ได้เข้าใจความจริงอันเป็นสัจจธรรม

ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงถึงธรรมดาของการเกิด ซึ่งต้องมีการตาย

เมื่อเกิดแล้วที่จะไม่ตายนั้นไม่มี และการตายนั้นก็ไม่สามารถจะรู้ล่วงหน้าได้เลย เมื่อ

เข้าใจความจริง ก็รู้ว่าความจริงเป็นสัจจธรรม



หยาดน้ำค้างบนยอดหญ้า เหมือนอาทิตย์ขึ้นมา ย่อมแห้งหายไปได้เร็ว ไม่ตั้ง

อยู่นาน แม้ฉันใด ชีวิตของมนุษย์ทั้งหมาย เปรียบเหมือนหยาดน้ำค้าง ฉันนั้น เหมือน

กัน นิดหน่อย รวดเร็ว มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก จะพึงถูกต้องได้ด้วยปัญญา ควร

กระทำกุศล ควรประพฤติพรหมจรรย์ เพราะสัตว์ที่เกิดมาแล้วจะไม่ตายไม่มี ฯ "

พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย สัตตนิบาต (๗๑)


"แม่น้ำไหลลงจากภูเขา ไหลไปไกล กระแสเชี่ยว พัดไปซึ่งสิ่งที่พอจะพัดไป

ได้ ไม่มีระยะเวลาหรือชั่วครู่ที่มันจะหยุด แต่ที่แท้ แม่น้ำนั้นมีแต่ไหลเรื่อยไปถ่ายเดียว

แม้ฉันใด ชีวิตของมนุษย์ทั้งหลาย เปรียบเหมือนแม่น้ำที่ไหลลงจากภูเขาฉันนั้นเหมือน

กัน ฯ "

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตกนิบาต (๗๑)


เป็นสุขในการนอบน้อมสักการะสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยการปฏิบัติ

ธรรม เว้นการทำชั่ว เราอาจคิดว่า เราเจริญสติปัฏฐานไม่ได้ เพราะจิตกระวนกระวาย

ไม่สงบ บุคคลในครั้งพุทธกาลก็เป็นทุกข์เพราะกิเลสครอบงำ แต่ก็สามารถรู้แจ้งอริย-

สัจจธรรมได้ จึงทำให้เราไม่ท้อถอย

เราอาจคิดว่าการเจริญสติปัฏฐาน มิใช่สำหรับเราและคิดว่าเราห่างไกลจากการ

รู้แจ้งอริยสัจจธรรม แต่อย่างไรก็ตาม เราควรระลึกว่า พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และ

ทรงแสดงอริยสัจจธรรม เพื่อประโยชน์สุขของเรา พระธรรมนั่นเองที่เปลี่ยนชีวิตของ

เรา....

Re: ต้องรู้จักธรรม

พุธ 07 ต.ค. 2009 9:01 am

0170.gif
0170.gif (6.36 KiB) เปิดดู 780 ครั้ง


ขออนุโมทนาบุญกับความเพียรที่ได้นำธรรมะมาลงไว้ในเวปนี้ครับ
0170.gif
0170.gif (6.36 KiB) เปิดดู 780 ครั้ง
ตอบกระทู้