มีเหตุการณ์ที่ค่อนข้างแปลกอยู่เรื่องหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นในราวปลายปี พ.ศ. ๒๕๓๒ ก่อนที่
หลวงปู่ดู่จะละสังขารเพียงไม่ถึงเดือน กล่าวคือ ช้างใหญ่เชือกหนึ่งที่เดินทางมาจากจังหวัดสุรินทร์ เพื่อมาร่วมพิธีคล้องช้างที่เพนียดคล้องช้าง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ขณะเดินทางมาตามถนนสายเอเชียถึงบริเวณใกล้ทางเข้าวัดสะแก ช้างก็แสดงอาการไม่อยู่นิ่ง จนทำให้คนขับรถบรรทุกช้างต้องหยุดจอด พอรถจอดสนิท ช้างเชือกนั้นก็เดินลงจากรถแล้วลงลุยน้ำมาตามคลองข้าวเม่า มุ่งหน้ามาทางวัดสะแก
ควาญช้างพยายามควบคุมช้างด้วยการเอาขอเหล็กสับบนศีรษะช้าง กระทั่งเลือดไหลออกมาทางด้านหน้า ถึงกระนั้นช้างก็ยังไม่ยอมหยุด สุดท้ายช้างได้มาขึ้นที่ฝั่งตรงข้ามวัดสะแก แล้ว
ยกงวงขึ้นลงเหมือนจะแสดงอาการเคารพมาทางฝั่งวัดสะแก มีผู้นำควาญช้างมากราบ
หลวงปู่ดู่ แต่ควาญช้างนั้นยังมีอาการตกใจถึงขนาดว่าร้องไห้ออกมาเพราะไม่เคยประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้ เขาพูดด้วยโทสะว่าถ้าควบคุมช้างไม่ได้ เขาก็จะไปเอาปืนที่สุรินทร์มายิงมัน แล้วค่อยเอาศพมันกลับไป
หลวงปู่ให้กำลังใจแก่ควาญช้างว่า ไม่เป็นไรหรอก เอาน้ำมนต์ไปรด เอาข้าวไปให้มันกิน มันก็จะค่อย ๆ ดีขึ้นเอง แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็ได้เกิดขึ้น ช้างนั้นเมื่อได้รับน้ำมนต์ของหลวงปู่ก็มีอาการสงบลงจริง ๆ และที่แปลกกว่านั้นคือช้างไม่มีอาการสนใจกล้วย อ้อย ที่มีคนเอามาให้
แต่กลับเอางวงดูดข้าวในกาละมังที่หลวงปู่ให้ลูกศิษย์จัดเตรียมให้ มันดูดแค่ ๒-๓ ทีก็หมดกาละมัง ช้างอยู่ที่นั่นกระทั่งงานที่เพนียดคล้องช้างสิ้นสุด และเหมือนว่ามันจะรู้ มันได้เดินไปรวมกับหมู่ช้างที่จะกลับจังหวัดสุรินทร์ โดยควาญช้างไม่ต้องเอาขอสับบังคับมันแต่อย่างใดอีก
มีลูกศิษย์ที่อยู่ในเหตุการณ์เล่าให้ฟังว่า หลวงปู่ท่านว่า...
“ช้างมันเห็นแสงสว่าง มันรู้ มันจะมาสักการะหลวงปู่ทวด” บางคนก็ได้ยินหลวงปู่บอกว่า
“พวกแกสู้ช้างไม่ได้ ช้างมันยังรู้จักมาสักการะหลวงปู่ทวด” บ้างได้ยินหลวงปู่บอกว่า
“พระพุทธเจ้าต้องมีช้าง” และบ้างก็ได้ยินหลวงปู่บอกว่า
“ช้างยังมาอยู่กับข้าไม่ได้ ต้องไปใช้เวรใช้กรรมให้หมดเสียก่อน” ฯลฯ
เรื่องราวความลึกซึ้งจะเป็นอย่างไรก็ยากที่ใคร ๆ จะรู้ได้ ทว่าความบากบั่นของช้างเชือกนั้น ทำให้ผู้เขียนอดไม่ได้ที่จะครุ่นคิดถึงคำสอนของหลวงปู่ที่ว่า
“แกเชื่อจริงไหมล่ะ” “แกเชื่อจริงไหมล่ะ” มีความหมายหยาบละเอียดหลายนัย เช่น การที่ชาวพุทธจำนวนไม่น้อยไปยึดถือข้อปฏิบัติอันจัดว่าเป็นสีลพตปรามาส ประพฤติออกนอกทางพระพุทธศาสนา ถือเอามงคลภายนอกยิ่งกว่าการพัฒนาตนให้เป็นที่พึ่งแก่ตน ข้ามครูอาจารย์ ข้ามพระพุทธเจ้า ก็ล้วนแต่เพราะ
“เชื่อไม่จริง” ความลังเลสงสัยต่าง ๆ ก็ล้วนมาจาก
“เชื่อไม่จริง” นักปฏิบัติภาวนา พอลมหายใจจะดับ เกิดตกใจ กลัวตาย ถอนจากสมาธิก็เพราะ
“เชื่อไม่จริง” ปฏิบัติธรรมแบบไฟไหม้ฟางชนิดขยันก็ทำ ขี้เกียจก็หยุด นั่นก็เพราะ
“เชื่อไม่จริง” การที่ไม่สามารถรักษาความบากบั่นพากเพียร หรือไม่สามารถรักษาใจไม่ให้ย่อท้อต่ออุปสรรคใด ๆ ก็เพราะ
“เชื่อไม่จริง” ตั้งอยู่ในความประมาท มิได้ระลึกถึงภัยคือความแก่ ความเจ็บ ความตาย ก็เพราะ
“เชื่อไม่จริง” ฯลฯ
มิน่าเล่า หลวงปู่จึงมักถามลูกศิษย์เป็นเชิงให้พิจารณาตนเองอยู่บ่อยครั้งว่า
“แกเชื่อจริงไหมล่ะ” นี่ถ้าพากันเชื่อคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ กันจริง ๆ ความองอาจกล้าหาญในการปฏิบัติธรรมเพื่อบูชาคุณความดีของหลวงปู่ ก็คงพอช่วยให้ไม่ต้องอายช้างเชือกนี้ได้เป็นแน่
หมายเหตุ เป็นบันทึกของลูกศิษย์ของหลวงปู่ดู่ท่านหนึ่ง