พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ตอบกระทู้

ปัญหานิทเทส

ศุกร์ 18 ก.ย. 2009 8:53 am

.


ในขุททกนิกาย จูฬนิทเทส ภาค ๒

โมฆราชมาณวก ปัญหานิทเทส ข้อ ๕๐๕


พระผู้มีพระภาคฯ

ตรัสถามภิกษุทั้งหลาย ว่า


"ดูกร ภิกษุทั้งหลาย

ท่านทั้งหลาย จะสำคัญข้อความข้อความนั้น เป็นไฉน.

หญ้า ไม้ กิ่งไม้ ใบไม้ใด ที่มีอยู่ในเขตวิหารนี้

ชน พึงนำหญ้า ไม้ กิ่งไม้ ใบไม้นั้น ไปเสีย เผาเสีย

หรือ พึงทำตามควรแก่เหตุ.

ท่านทั้งหลาย พึงมีความคิดอย่างนี้ว่า

ชน นำเราทั้งหลายไปเสีย เผาเสีย

หรือ พึงทำตามควรแก่เหตุ บ้างหรือหนอ.?"


พระภิกษุ ทูลว่า

"ไม่ใช่อย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า."



พระผู้มีพระภาคฯ ตรัสว่า

"นั้น เป็นเพราะเหตุไร.?"



พระภิกษุ ทูลว่า

"เพราะสิ่งเหล่านั้น ไม่ใช่ตน

หรือ สิ่งที่เนื่องกับตนของข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

พระพุทธเจ้าข้า."



พระผู้มีพระภาคฯ ตรัสว่า


"ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล

สิ่งใด ไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย

ท่านทั้งหลาย จงละสิ่งนั้นเสีย.


สิ่งนั้น อันท่านทั้งหลายละเสียแล้ว

จักเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขตลอดกาลนาน.


ดูกร ภิกษุทั้งหลาย รูป ไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย

ท่านทั้งหลาย จงละรูปนั้นเสีย.


รูปนั้น อันท่านทั้งหลายละเสียแล้ว

จักเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข ตลอดกาลนาน.


บุคคล

ย่อมพิจารณา เห็นโลก โดยความเป็นของสูญ

แม้อย่างนี้."


.


ข้อความตอนท้าย

พระผู้มีพระภาคฯ ตรัสว่า


"ดูกร คามณิ

เมื่อบุคคล เห็นซึ่งความเกิดขึ้นพร้อม แห่งธรรมทั้งสิ้น

(เห็น) ซึ่งความสืบต่อ แห่งสังขารทั้งสิ้น ตามความเป็นจริง

ภัยนั้น ย่อมไม่มี.


เมื่อใด

บุคคล ย่อมพิจารณา เห็นโลก เสมอด้วยหญ้า และ ไม้

ด้วย ปัญญา.


เมื่อนั้น

บุคคลนั้น ก็ไม่พึงปรารถนาภพ หรือ อัตภาพอะไร ๆ อื่น

เว้นแต่ นิพพาน อันไม่มี ปฏิสนธิ.


บุคคล

ย่อมพิจารณา เห็นโลก โดยความเป็นของสูญ

แม้อย่างนี้ ฯ "


.


เมื่อยังไม่รู้ ตามความเป็นจริง......

ว่า รูป ซึ่ง เคยยึดถือเป็นของตน

เวทนา-ความรู้สึกต่าง ๆ ซึ่ง เคยรู้สึกว่าเป็นของตน

สัญญา-ความจำต่าง ๆ ว่าเป็นเรา ชื่อนี้ อยู่ในโลกนี้

เป็นเรา ที่มีกิจหน้าที่ อย่างนี้ ฯลฯ

และ ไม่รู้ ว่า สังขารทั้งหลาย

ไม่ว่าจะเป็นกุศลธรรม หรือ อกุศลธรรม ทั้งหลาย

เสมอกับหญ้า ไม้ กิ่งไม้ ใบไม้.

ก็ยังไม่สามารถ ละคลาย การยึดถือสภาพธรรม

คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

ว่าเป็นตน เป็นของของตน.


.


เมื่อไม่ได้ศึกษา พิจารณาพระธรรม ที่พระผู้มพระภาคฯ ทรงแสดง.

พร้อมกับ การอบรมเจริญสติปัฏฐาน.


ก็ไม่ชื่อว่า "รู้จักโลก"

แม้ว่าจะได้อยู่กับโลกนี้ มานานแล้ว.!

ไม่ว่าจะเป็นกี่ปี กี่ชาติ.


เมื่อไม่รู้จัก "โลก"

จะพ้นจาก "โลก" ได้อย่างไร.!


.


ไม่ว่าจะสุข สักเท่าไร...ก็ไม่ได้สุข ตลอดกาล.!

เพราะความรู้สึกเป็นสุข

เกิดขึ้นเพียงชั่วขณะจิต

ซึ่ง เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป.


.


เมื่อไม่ได้ศึกษาสภาพธรรม ตามความเป็นจริง

จะไม่รู้ แม้แต่ว่า "โลก" คืออะไร.!

และ "โลก" มีอะไรบ้าง.!


ทุกคน รู้ ว่า มีสิ่งที่ปรากฏทางตา มีเสียง ฯลฯ

เพราะ เสียงปรากฏ เมื่อได้ยินเสียง เป็นต้น.


แต่ ถ้าไม่มี "สภาพรู้"

ไม่มี "ธาตุรู้" ซึ่ง กำลังได้ยิน....เสียง ก็ปรากฏไม่ได้.!


ฉะนั้น

อารมณ์ต่าง ๆ ที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก

ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

ย่อมแสดงให้รู้ ว่ามี "จิต"

ซึ่งเป็น

"สภาพรู้" หรือ "ธาตุรู้"


ซึ่งเป็น "โลก"

ที่กำลังเกิด-ดับอยู่ทุกขณะจิต.!


และ

ถ้าไม่มี อารมณ์ต่าง ๆ........ปรากฏกับจิต

ก็ไม่มีใครสามารถจะรู้ "ลักษณะของจิต"

ซึ่งเป็นสภาพรู้ ที่กำลังเกิด-ดับ ได้เลย.!
ตอบกระทู้