พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ตอบกระทู้

พระผู้เป็นพาล

ศุกร์ 18 ก.ย. 2009 1:13 am

พระผู้เป็นคนพาลนามว่า ‘พระมหาเทวะ’ เป็นพระสงฆ์ในประเทศอินเดียเมื่อราว พ.ศ. ๑๐๐ เศษ (ก่อนยุคพระเจ้าอโศกมหาราช) ท่านมีนามเดิมว่า มหาเทวะ ถือกำเนิดในตระกูลพ่อค้าในแคว้นมถุรา มีรูปร่างหน้าตาดี แต่ต่อมาได้ทำบาปหนักคือฆ่าบิดาและมารดาของตน แล้วก็ยังได้ลงมือฆ่าพระอีกรูปหนึ่งซึ่งผู้คนนับถือว่าเป็นพระอรหันต์ เพราะเหตุที่เกรงว่าพระรูปนั้นจะล่วงรู้และป่าวประกาศความชั่วของตน

ด้วยความกลัดกลุ้มใจในบาปกรรมที่ทำไว้ ภายหลังจึงมาอุปสมบท(โดยปกปิดความจริง) และได้นามตามชื่อเดิมว่า พระมหาเทวะ ด้วยความฉลาดประกอบกับรูปสมบัติ และความสามารถในการแสดงธรรมจึงทำให้มีชื่อเสียงโด่งดัง ถึงขนาดพระมหากษัตริย์ในยุคนั้นคือ ‘พระเจ้ากาฬาโศก’ รับเป็นโยมอุปัฏฐาก และด้วยความหลงอยากให้มีคนมานับถือมากยิ่งขึ้นไปอีก จึงได้ประกาศตนว่าสำเร็จเป็นพระอรหันต์แก่สหธรรมิกและสานุศิษย์

คืนหนึ่ง พระมหาเทวะฝันว่าได้เสพเมถุนจนทำให้อสุจิเคลื่อน (ฝันเปียก) ฝ่ายศิษย์ผู้ทำหน้าที่ซักล้างผ้าสบงให้ท่านเห็นเข้าก็สงสัยว่า พระอรหันต์ผู้ไม่มีอาสวะแล้ว ทำไมจึงยังมีสิ่งนี้อยู่ เมื่อไปถามผู้ที่ตนนับถือว่าเป็นอาจารย์ พระมหาเทวะก็แก้ว่า พระอรหันต์หากถูกมารมายวนยั่วในความฝันก็อาจทำให้อสุจิเคลื่อนได้ ไม่แปลกอะไร

ต่อมาพระมหาเทวะต้องการจะเอาอกเอาใจบริวารจึงแกล้งทำอุบาย พยากรณ์มรรคผลว่าลูกศิษย์ผู้นั้นสำเร็จโสดาบันบ้าง สกิทาคามีบ้าง อนาคามีบ้าง อรหันต์บ้าง กระทั่งศิษย์ที่ได้รับการพยากรณ์ว่าสำเร็จเป็นพระอรหันต์เกิดความสงสัยถามอาจารย์ว่า

“ธรรมดาของพระอรหันต์ก็ควรมีญาณหยั่งรู้ด้วยตนเองว่าตนสำเร็จแล้วมิใช่หรือ แต่ทำไมตัวข้าพเจ้าจึงมิได้มีญาณหยั่งรู้เฉพาะตนเล่า ?”

พระอาจารย์ก็แก้ว่า “บางครั้ง พระอรหันต์ผู้นั้นก็อาจไม่มีญาณก็ได้ ไม่แปลกอะไร”

ศิษย์อรหันต์ (ตามการพยากรณ์) ถามต่อว่า

“ธรรมดาผู้ที่เป็นพระอรหันต์ควรหมดสิ้นความสงสัยในธรรมและทราบชัดว่าภพชาติสิ้นแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี แต่ทำข้าพเจ้ายังมีข้อสงสัยในอริยสัจ ๔ และยังต้องอาศัยการพยากรณ์จากท่านอาจารย์เล่า ?”

พระมหาเทวะก็แก้ว่า “แม้เป็นพระอรหันต์ก็อาจยังมีข้อสงสัยได้ ไม่แปลกอะไร พระอรหันต์โดยมากก็ยังต้องอาศัยการพยากรณ์รับรองจากผู้อื่น”

การปลูกฝังมิจฉาทิฏฐิของพระมหาเทวะยังคงดำเนินต่อไปกระทั่งบังอาจกล่าวในที่ประชุมสงฆ์ครั้งหนึ่งว่า “บัดนี้ พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ผู้เป็นมหาบัณฑิตผู้มีปัญญาย่อมสามารถแต่งพระสูตรเพิ่มเติมเข้าไปได้” เท่านั้นเอง พระสงฆ์ฝ่ายที่ยังเคร่งครัดในพระธรรมวินัยก็มิอาจยอมรับได้ เพราะถือเป็นการทำร้ายเนื้อตัวของพระพุทธศาสนาโดยตรง เป็นการเอาธรรมะที่เป็นความเห็นของปุถุชนเขาปลอมปนกับธรรมะที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ดีแล้ว จะเป็นการทำลายประโยชน์ที่จะมีแก่สัตว์โลกต่อไปภายหน้า จึงคัดค้านมติของพระมหาเทวะ

การโต้แย้งครั้งนั้นรุนแรง และยาวนานตลอดคืนยันรุ่ง กระทั่งพระเจ้ากาฬาโศกเสด็จมาห้ามด้วยพระองค์เอง พระมหาเทวะรู้ว่ามีผู้สนับสนุนมากกว่าจึงเสนอให้ตัดสินโดยใช้เสียงข้างมาก ในที่สุดฝ่ายพระมหาเทวะก็เป็นฝ่ายชนะ หมู่พระสงฆ์ผู้ยึดมั่นในคำสั่งสอนของพระพุทธองค์รู้สึกอึดอัดคับข้องใจจึงตัดสินใจที่จะเดินทางไปอยู่เมืองอื่น

ฝ่ายกษัตริย์ผู้เบาปัญญาก็แสร้งทำดีต่อพระสงฆ์เหล่านั้นด้วยการอาสานำเรือไปรับพระ แล้วแกล้งทำเรือแตกในระหว่างกลางแม่น้ำ เพื่อลงโทษที่ไม่ยอมรับมติสงฆ์ ในระหว่างที่เรือกำลังจะจมลงนั้นเอง พระสงฆ์เหล่านั้นก็เหาะขึ้นแล้วไปยังแคว้นกาสมีระโดยทางอากาศ ทำให้กษัตริย์ฉุกคิดว่านี่เรากำลังทำบาปใหญ่ต่อพระผู้มีคุณธรรมแล้วหรือนี่ จึงส่งคนไปตามนิมนต์ท่านกลับมา แต่พระอริยสังฆเจ้าเหล่านั้นก็ไม่รับนิมนต์ พระเจ้ากาฬาโศกจึงให้คนไปสร้างเสนาสนะถวายยังเมืองนั้นเป็นการไถ่โทษ

เหตุการณ์ชีวิตช่วงท้ายของพระมหาเทวะ ปรากฏว่ามีหมอดูมาทำนายว่าท่านจะอยู่ได้อีกเพียง ๗ วัน พอมีลูกศิษย์มาถาม ท่านก็สวมรอยว่าเรื่องนี้ท่านล่วงรู้มานานแล้ว จากนั้นก็มีการประกาศไปว่านับจากนี้อีก ๗ วัน พระมหาเทวะอรหันตเจ้าจักดับขันธปรินิพพาน พอครบ ๗ วัน ท่านก็ตายจริง ๆ

ประชาชนจำนวนมาก พร้อมด้วยพระเจ้ากาฬาโศกก็มาร่วมงาน แต่เกิดอัศจรรย์ว่าแม้จะพยายามจุดไฟเท่าไร ๆ ไฟก็ไม่ยอมติด โหรหลวงได้กราบทูลว่าต้องนำขี้เยี่ยวของสุนัขมารดศพจึงจะจุดไฟติด การณ์ก็เป็นจริงตามนั้น ภายหลังการฌาปนกิจศพพระมหาเทวะ ยังปรากฏเศษกระดูกบางชิ้นเหลืออยู่ ก็บังเกิดมีพายุพัดหอบเศษกระดูกนั้นให้กระจายจนหมดสิ้นไม่เหลือเลย (ไม่เหลือให้คนเขลานำกระดูกคนพาลไปบูชา) .

Re: พระผู้เป็นพาล

ศุกร์ 18 ก.ย. 2009 2:13 pm

เรื่องอย่างนี้ ไม่เคยตกยุค กิเลสคนก็ยังเหมือนเดิม รูปการณ์ก็ยังเหมือนเดิม อกาลิโกโดยแท้ สนุกด้วยขอรับ นิน นิน นิน
ตอบกระทู้