พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ตอบกระทู้

มีข้อความ

จันทร์ 14 ก.ย. 2009 8:13 am

มีข้อความที่แสดงว่า

"ผู้ทรามปัญญา คือ ผู้ที่ไม่มีปัญญา...ไม่สามารถมีพระรัตนตรัยเป็นสรณะ"


.


คงจะเคยได้ยินคำว่า "พระรัตนตรัย" มาตั้งแต่ยังเด็ก

และ รู้ว่า หมายถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์.

และ ถือว่า เป็นสิ่งที่ประเสริฐสุด.!


แต่

ไม่เคยเข้าใจเลย ว่า.....


พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า...ประเสริฐสุด อย่างไร.?



บางคน คิดว่า พระองค์จะบันดาล สิ่งที่ขอได้

ถ้าเป็นเช่นนั้น.....


เราพึ่งอะไร ในองค์พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือ.?



ถ้าจะพึ่ง ความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จริง ๆ

ก็ต้องพึ่ง "พระคุณทั้ง ๓"

คือ

"พระปัญญาคุณ"


เราต้องพึ่งพระปัญญาธิคุณ แน่นอน

เพราะว่า

เราไม่สามารที่จะรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ ด้วยตัวเอง.



ถ้าพระองค์ ไม่ตรัสรู้ ด้วยพระปัญญา

ซึ่งทำให้พระองค์ ทรงบริสุทธิ์

ถึงระดับที่เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

และ ทรงพระมหากรุณา.



ซึ่งแม้แต่จะมีบุคคลเพียงคนเดียว

ที่ได้อบรมเจริญปัญญามาแล้ว

และสามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้

แม้บุคคลนั้น อยู่แสนไกล ก็เสด็จไปโปรด

เพื่อทรงอนุเคราะห์ให้บุคคลนั้น ได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม.



เพราะจะมีสิ่งอื่นใดในโลก

ที่ประเสริฐกว่า

การที่จะทำให้บุคคล ที่สั่งสมปัญญามาแล้ว

และมีปัญญาสามาถเข้าใจสภาพธรรมได้ถูกต้อง

จนสามารถที่จะดับกิเลสได้

ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากแสนยากที่จะอนุเคราะห์ได้

เพราะถ้าไม่ใช่ ปัญญา

ก็ไม่สามารถที่จะดับกิเลส และ พ้นจากสังสารวัฏฏ์ได้.



ด้วยเหตุนี้....แม้หนทางจะไกลแสนไกล

ก็เสด็จไปเพื่อทรงอนุเคราะห์บุคคลนั้น.


นี่คือ

"พระมหากรุณาคุณ"


.


เพราะฉะนั้น

ถ้าไม่ได้ "ศึกษาพระธรรม"

มีทางใดบ้าง...ที่จะเห็น "พระปัญญาคุณ"


การที่เราคิด ว่า เราสามารถเข้าใจพระธรรม

โดยไม่ต้องศึกษา

เราเทียบว่า

เราเป็นใคร.....และ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นใคร.!

เราถึงจะสามารถเข้าใจพระธรรมได้......โดยไม่ต้องศึกษา.


นี่เป็นความเข้าใจที่ผิด.!


.


ผู้ที่นับถือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

ต้องเป็นผู้ที่ศึกษาพระธรรม.

มิฉะนั้น

กล่าวไม่ได้เลย ว่า เราเป็นผู้ที่นับถือพระองค์

เพราะเราไม่รู้จัก...................

เราไม่รู้ ว่า พระองค์สอนอะไร

เพราะเราไม่ได้ศึกษาสิ่งที่พระองค์สอน.!


.


เพราะฉะนั้น

ต้องเป็นผู้ที่มีปัญญา.!

จึงจะสามารถมี พระรัตนตรัยเป็นสรณะ ได้.


แม้แต่ "ธรรมรัตนะ"

ซึ่ง หมายถึง "โลกุตตรธรรม"

และ "นวโลกุตตรธรรม"

คือ รวมทั้งปริยัติธรรม คือ การศึกษา ด้วย.


เพราะแม้ว่า

นิพพาน เป็น โลกุตตรธรรม

เป็นสภาพธรรมที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง ไม่เกิด ไม่ดับ

เป็นสภาพธรรมที่ดับกิเลส.


แต่

ผู้ที่รู้แจ้งนิพพาน

เป็นผู้ที่ข้ามพ้นจากการเป็นปุถุชน

สู่ความเป็นพระอริยบุคคล ตามลำดับนั้น

ต้องอาศัย "การศึกษา"

การฟังพระธรรม และ การอบรมเจริญปัญญา

จนกระทั่งรู้แจ้งอริยสัจธรรม

ซึ่งเป็น "อริยสัจ ๔"



นี่จึงเป็น สรณะ คือ เป็นที่พึ่งที่แท้จริง.!


เพราะว่า

ถ้าบุคคลใด เพียงแต่ ให้ทาน รักษาศีล

หรือ มีปัญญาระดับของฌาน คือ ความสงบของจิต

แม้สงบจนถึงระดับที่ทำให้เกิดในพรหมโลก

ก็ยังกลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้อีก

คือ

ยังมี โลภะ โทสะ โมหะ

เพราะว่า

ยังไม่รู้ ลักษณะของสภาพธรรม ตามความเป็นจริง.


.


เพราะฉะนั้น

ก็จะเห็นได้จริง ๆ ว่า

ถ้าไม่มีการศึกษาพระธรรม

ไม่มีการอบรมเจริญหนทางที่ทรงแสดงไว้

แม้มีการกระทำอย่างอื่น

เช่น ทาน ศีล สมถภาวนา

ผู้นั้น ก็มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะ เพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ


.


ควรพิจารณาตนเอง ว่า

เพราะมีศรัทธา มีความนับถือใน "พระปัญญาคุณ"

จึงมีการศึกษาพระธรรม.


และ เมื่อ เริ่มมีความเข้าใจ

ก็ชื่อว่า เริ่มมีพระรัตนตรัยเป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง.!


.


เพราะระลึกถึงพระธรรมที่ทรงแสดง

ว่า ธรรมทั้งหลาย เป็นอนัตตา.!

อะไรจะเกิด ก็ต้องเกิด....เมื่อมีเหตุปัจจัย.


เพราะฉะนั้น

ผู้ที่ได้ศึกษาพระธรรมจริง ๆ

ก็จะเริ่มเห็น "ความเป็นอนัตตา"

เริ่มเห็น "พระคุณ" ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

จากการที่ได้เข้าใจพระธรรม...............

จนกว่าจะถึงความเป็นพระอริยบุคคล.!


.




เพราะฉะนั้น

ต้องเป็นการศึกษาพระธรรม โดยไม่ขาดปัญญา.!


มิฉะนั้น

ก็เป็นเพียงความเชื่อ ว่า มีพระพุทธเจ้า

เวลามีทุกข์ ก็ขอให้พ้นทุกข์.


อย่างนั้น

เป็นความเข้าใจที่ถูก หรือ ผิด.?


อย่างนั้น

เป็นการมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง หรือไม่.?


อย่างนั้น

ก็ยังคงต้องอยู่ในสังสารวัฏฏ์

ด้วยการไม่รู้จัก

"พระคุณของพระรัตนตรัย"



จำแนกจิต

โดยนัยของ โสภณะ และ อโสภณะ


.


"โสภณธรรม"

เป็นสภาพธรรมที่ดีงาม.

ซึ่ง

ไม่ใช่เพียงแต่ กุศลธรรม เท่านั้น.


สภาพธรรมที่ดีงาม แต่ ไม่ใช่กุศลธรรม

คือ

กุศลวิบากจิต

ซึ่งเป็น ผลของกุศลกรรม.

และ

โสภณกิริยาจิต

ซึ่งเป็น จิตและเจตสิก เฉพาะของพระอรหันต์

ผู้ซึ่งดับกุศลธรรม และ อกุศลธรรม ได้แล้ว

เป็นสมุจเฉท.


.


"อโสภณธรรม"

เป็นสภาพธรรมที่ตรงกันข้ามกับ โสภณธรรม.


คือ

ไม่ใช่สภาพธรรมที่ดีงาม.


ซึ่งไม่ใช่เพียงแต่เฉพาะ "อกุศลจิต" เท่านั้น

แต่หมายความถึง

จิต และ เจตสิก ขณะใด ที่ไม่มีโสภณเจตสิกเกิดร่วมด้วย

จิต และ เจตสิก ขณะนั้น เป็น อโสภณธรรม.


.


ฉะนั้น

โดยนัยของ สัมปยุตตธรรม

ซึ่งจำแนกจิต ให้ต่างกัน เป็นจิตประเภทที่ดีงาม เป็น โสภณะ

และ จิตประเภทที่ไม่ดีงาม เป็น อโสภณะ นั้น

ก็จำแนก โดย "เหตุ ๖" นั่นเอง.


.


เจตสิก ที่ดีงาม

ได้แก่

อโลภเจตสิก อโทสเจตสิก ปัญญาเจตสิก

เป็นต้น.

ซึ่งเป็น โสภณเจตสิก ที่ทำให้จิตดีงาม.


.


ฉะนั้น

การจำแนกจิต โดยประเภทที่เป็น โสภณะ และ อโสภณะ

ก็สืบต่อจากการจำแนกจิต โดย "เหตุ" นั่นเอง.!


.


จิตขณะใด ที่ประกอบด้วย เจตสิกที่เป็นโสภณเหตุ

จิตขณะนั้น เป็น โสภณจิต.

และ

จิตขณะใด ไม่ประกอบด้วย เจตสิกที่เป็นโสภณเหตุ

จิตขณะนั้น เป็น อโสภณจิต.


.


การศึกษา ปรมัตถธรรม นั้น

ต้องคิด ต้องพิจารณาเหตุผล ด้วยตนเอง.

เมื่อเข้าใจเหตุผลที่ถูกต้อง ชัดเจน

ก็จะไม่สับสน คลาดเคลื่อน

แม้เรื่อง โสภณธรรม และ อโสภณธรรม.

Re: มีข้อความ

จันทร์ 14 ก.ย. 2009 9:48 am

ขออนุโมทนาด้วยครับ
0025[1].gif
0025[1].gif (9.19 KiB) เปิดดู 883 ครั้ง
ตอบกระทู้