พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ตอบกระทู้

พื้นฐานการปฏิบัติที่คนสมัยนี้พากันละเลย

จันทร์ 07 ก.ย. 2009 7:23 pm

character.jpg
character.jpg (30.8 KiB) เปิดดู 904 ครั้ง

ในสมัยก่อนหลวงปู่จะให้ลูกศิษย์พากันหมั่นบริกรรมภาวนาไตรสรณคมณ์คือ "พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉรามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ"

หลวงปู่เคยสอนว่า "ถ้าแกหลับไปกับคำบริกรรมภาวนา แล้วตื่นมาพร้อมกับคำบริกรรม จึงจะใช้ได้" ซึ่งช่วงนั้น หลายคนที่พยายามฝึกฝนให้ได้อย่างนั้น และบางคนก็ทำสำเร็จ คือพอตื่นนอนขึ้นมา ความรู้สึกตัวเหมือนกับว่าในใจยังท่องบริกรรมภาวนาอยู่อย่างต่อเนื่อง

สมัยนั้น ลูกศิษย์ที่รู้ (จำ) มาก ก็ตั้งข้อสงสัยว่าหลวงปู่เน้นสมถะมากเกินไปกระมัง หลวงปู่น่าจะเน้นด้านวิปัสสนาจึงจะถูก

แต่แล้วประสบการณ์ในการปฏิบัติธรรมนานปีเข้า จึงทำให้เห็นความฉลาดหลักแหลมของผู้เป็นครูบาอาจารย์

ใคร ๆ ก็บอกว่าจะฝึกสติ แต่อุบายของการฝึกสติกลับไม่ค่อยนึกถึง ซึ่งแท้จริงแล้ว การหมั่นบริกรรมภาวนานี้แหละคืออุบายการฝึกสติที่ดีมาก ๆ ฝึกให้เรารู้เนื้อรู้ตัวตลอด ไม่ให้จิตเพ่นพ่านออกไปอย่างขาดสติ

บางคนก็บอกว่าต้องดูจิต หลวงปู่ก็สอนให้ดูจิต แต่ท่านก็รู้ว่าจิตเป็นของยากที่จะดู อุปมาจิตก็เหมือนลิงที่อยู่ในป่ากว้าง เราจะจับมันได้อย่างไร วิ่งไล่มันในป่าก็มีหวังหมดอายุขัยก่อนที่จะจับมันได้ ด้วยเหตุที่จิตเป็นของที่ดูยากรู้ยาก พระพุทธเจ้าจึงให้อุบายตะล่อมให้จิตมาอยู่ในขอบเขตที่แคบเข้า นั่นก็คือ กรรมฐาน ซึ่งพระองค์ก็ให้อุบายกรรมฐานมาตั้ง ๔๐ อย่าง ตามแต่อุปนิสัยของผู้ฝึก

ดังนั้น ในการที่จะดูจิตจึงต้องอาศัยกรรมฐานเพื่อให้จับตัวจิตหรือจิตได้ง่ายเข้า ถนัดเข้า ถ้าจิตเป็นของดูได้ง่าย ๆ พระพุทธเจ้าก็ไม่มีความจำเป็นต้องสอนกรรมฐาน ดังนั้น ไม่ว่าสายหลวงปู่มั่น สายหลวงพ่อวัดปากนั้น สายหลวงพ่อปาน ฯลฯ ก็ล้วนให้เพียรฝึกกรรมฐานก่อนทั้งนั้น เป็นแต่ใช้คำบริกรรมต่างกัน เช่น พุทโธบ้าง สัมมาอะระหังบ้าง นะมะพะทะบ้าง แต่สุดท้ายก็ไปสู่จุดเดียวกันคือความสงบตั้งมั่นของจิตเหมือนกัน ทีนี้ จะดูจิตดูอารมณ์ก็ดูไปให้มันถนัด

จับปลาช่อน มองดูเฉย ๆ ก็จับมันไม่ได้ จับมันแรงไปมันก็ลื่นปื๊ดหลุดมือไป จับเบาไปมันก็หลุดหนีไปอีก จึงต้องจับพอดี ๆ วางใจพอดี ๆ บังคับเหมือนกัน แต่บังคับพอดี ๆ ปลาช่อนหรือจิตมันจึงจะอยู่มือ หลังจากนั้นจะนำมาดัดมาฝึกก็ค่อยเริ่มจากจุดนี้

การบริกรรมภาวนาให้ได้ตลอดทั้งวัน อย่างที่หลวงปู่บอกไว้ว่าให้ทำทั้งหลับตา ลืมตา เดิน ยืน นั่ง นอน ขึ้นรถ ลงเรือ หุงข้าว ทำแกง ฯลฯ แต่ละคืน ๆ ให้บริกรรมไปจนหลับ ตื่นมาก็สังเกตว่ารู้สึกตัวปุ๊บก็บริกรรมต่อเนื่องไปอีก

แต่แน่นอนในยามที่ต้องมุ่งเน้นกิจกรรมเฉพาะหน้าเช่นหน้าที่การงาน การบริกรรมก็อาจต้องผ่อนลงมา แต่พอว่างจากกิจกรรมก็ทำให้หนักขึ้น ชัดขึ้นดังเดิมอีก ยอย่างนี้จึงจะเรียกว่าทำด้วยอิทธิบาท ๔ คือ ฉันทะ ความพอใจใครปฏิบัติ วิริยะ ความเพียรไม่ท้อถอยยอมแพ้ จิตตะ จดจ่อต่อเนื่องทุก ๆ อิริยาบท ไม่ขาดวรรคขาดตอน และวิมังสัง ใช้ปัญญาสอดส่องการวางใจหนักเบาตามควรแก่กาละเทศะ หรือสถานการณ์

ทีนี้ก็จะได้ตระหนักถึงอุบายสร้างพื้นฐานการปฏิบัติธรรมที่สำคัญยิ่งที่หลวงปู่ท่านเมตตาให้ไว้ ซึ่งหากปฏิบัติได้ก็จะเป็นเหมือนฐานเจดีย์ที่พร้อมต่อการก่อสร้างหรือต่อยอดต่อไปได้อย่างมั่นคง มิให้ยอดเจดีย์ถล่มครืนลงมาได้โดยง่าย เพราะสติคือธรรมที่มีอุปการะมาก

--------------------------------------
บทความจากพี่พรสิทธิ์

Re: พื้นฐานการปฏิบัติที่คนสมัยนี้พากันละเลย

จันทร์ 07 ก.ย. 2009 8:56 pm

ขอบพระคุณครับ ดีจริง ๆ เรื่องปลาช่อนลุยสวนนี่ :mrgreen:

Re: พื้นฐานการปฏิบัติที่คนสมัยนี้พากันละเลย

จันทร์ 07 ก.ย. 2009 10:03 pm

อ่านแล้วรู้สึกว่า

เรานี่ช่างย่อหย่อนเสียจริง

Re: พื้นฐานการปฏิบัติที่คนสมัยนี้พากันละเลย

พุธ 09 ก.ย. 2009 10:56 am

ขอบคุณครับ .... สาธุ

Re: พื้นฐานการปฏิบัติที่คนสมัยนี้พากันละเลย

พุธ 09 ก.ย. 2009 9:27 pm

ใช้เป็นตัวอย่างหยุดข้อถกเถียงเรื่อง วิปัสสนาโดยไม่ฝึกสมถะ ได้โดยง่ายเลยครับ
สุดท้ายก็ลงที่สติตัวเดียวกัน แล้วใช้สติไปพิจารณาไตรลักษณ์ของโลก ของจิต เหมือนกัน แหมถกเถียงกันจัง
ตอบกระทู้