พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ตอบกระทู้

สอนเด็กให้รู้บุญคุณบิดามารดา

อาทิตย์ 26 ก.ค. 2009 10:17 pm

นอกจากจะเอาดีกับพระพุทธเจ้าแล้ว เราควรจะรู้จักที่เกิดของคนเรา ทุกคนเกิดมาจากคุณพ่อคุณแม่ คุณพ่อคุณแม่ของเรา บรรดาทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ในโลกนี้ สิ่งที่ท่านปรารถนาอันเป็นยอดแห่งความต้องการคือการมีบุตรสืบสกุล นี้คือความต้องการของคุณพ่อคุณแม่อยู่พื้นที่ตรงนี้

ที่นี้พ่อแม่ของเราเป็นผู้ให้กำเนิด คือเป็นผู้ให้เกิด เมื่อท่านให้เราเกิดแล้วท่านก็เป็นผู้อุปถัมภ์เลี้ยงดูเราจนเติบใหญ่ ไม่ได้เลี้ยงดูให้ใหญ่โตเพียงแค่เนื้อหนัง ยังให้ใหญ่โต เติบโตด้วยฐานะตำแหน่งหน้าที่การงาน ซึ่งเราได้มูลฐานนี้มาจากพ่อแม่ทั้งนั้น ได้ร่างกายจิตใจ ได้วิชาความรู้ ได้ทรัพย์สินสมบัติ

ดังนั้นพ่อแม่ท่านจึงมีคุณงามความดีที่เป็นพื้นฐาน คือมีพรหมวิหาร ๔ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา พ่อแม่ทุกคนมีความรักมีความปรารถนาดี ที่จะช่วยให้บุตรของตนพ้นจากความทุกข์ยากลำบาก เมื่อบุตรของตัวเองได้รับความสุขสบาย มุทิตา พลอยยินดี ไม่มีพ่อแม่คนไหนอิจฉาตาร้อนลูกเต้าของตนเอง เมื่อลูกมีความสุขสมบูรณ์ดีพร้อม ทุกสิ่งทุกอย่างพ่อแม่เบาใจได้ คือ อุเบกขา

เพราะอาศัยที่ท่านมีคุณธรรมดังกล่าวมาแล้ว ท่านจึงได้ชื่อว่าเป็นพระพรหมของเรา พ่อแม่ของเรามี ๔ หน้า เรามองเห็นพ่อแม่มีเพียงหน้าเดียว แต่ความรู้สึกของท่านมี ๔ หน้า

หน้าที่ ๑ เมตตา ความรักความปรารถนาดี

หน้าที่ ๒ กรุณา คิดจะช่วยเหลือให้พ้นจากความทุกข์ความลำบาก

หน้าที่ ๓ มุทิตา พลอยยินดีเมื่อลูกตัวเองได้ดีมีความสุขสบาย

หน้าที่ ๔ อุเบกขา เบาใจยิ้มแย้มแจ่มใส ภาคภูมิใจดีอกดีใจที่ลูกของตนเองได้มีความสุขสบาย วางใจได้

อันนี้เป็นคุณธรรมที่มีในจิตใจคุณพ่อคุณแม่

ดังนั้นท่านสมควรที่จะได้รับขนานนามจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นพรหมของลูก พ่อแม่ของเราเป็นพระพรหม เป็นพระพรหมของเรา ใครจะว่าพ่อแม่เราไม่ใช่พระพรหม เราจะว่าของเราเอง เพราะพ่อแม่ของเรามีคุณธรรม ๔ คือพรหมวิหาร

ที่นี้ในเมื่อพ่อแม่มีพรหมวิหาร เป็นพระพรหมของเรา นอกจากจะเป็นพระพรหมของเราแล้ว เพราะอาศัยที่ท่านมีความบริสุทธิ์ คือบริสุทธิ์ใจต่อลูกของตนเอง เลี้ยงมาด้วยความรัก เลี้ยงมาด้วยความเมตตา เลี้ยงมาด้วยความดีอกดีใจในเมื่อลูกมีความสุข เลี้ยงมาด้วยความร่าเริงบันเทิงใจ เป็นผู้มีจิตใจบริสุทธิ์ สะอาด ไม่มีความอิจฉาตาร้อน ไม่เคยคิดที่จะให้ลูกเต้าของตนเองต้องลำบาก ท่านจึงเป็นผู้มีจิตใจบริสุทธิ์ต่อลูกทุก ๆ คน

นี่ขอแทรกนิยายเล็ก ๆ สักหน่อยหนึ่ง มีเด็กซุกซนคนหนึ่งชอบไปเที่ยวเล่นในป่า เพราะบ้านเขาอยู่ใกล้ป่าละเมาะ ในป่านั้นมีสัตว์ร้าย อย่างน้อยก็มีควายเปลี่ยวที่มันดุ ๆ ไล่ขวิดไล่ชนเด็ก เขาบอกกับแม่ของเขาว่า

“แม่ครับ ผมจะไปเที่ยวเล่นในป่า”

พอแม่ได้ยิน

“อย่าไปเลยลูก มันจะเกิดอันตราย ไปคนหนึ่งคนเดียว ผู้หลักผู้ใหญ่ไม่ได้ไปด้วย”

“ผมจะไปครับ แม่อย่าห้ามผมเลย”

ไอ้เจ้าเด็กซุกซนก็วิ่งเข้าในป่าไป แม่ก็ชักอารมณ์เสีย

“เออ! เอ็งเข้าไปในป่าให้ควายเปลี่ยวมันขวิดแกตายซะนะ”

พอเด็กวิ่งเข้าไปในป่า ควายที่ดุ ๆ ควายเปลี่ยวมันก็วิ่งถลันเข้ามาทันที ไอ้เจ้าเด็กน้อยเห็นควายมันวิ่งเข้ามาจะชนเอาก็อธิษฐานจิตและกล่าวด้วยวาจาเบา ๆ พอตัวเองได้ยินว่า

“สิ่งใดที่แม่ข้าพเจ้าคิดด้วยใจสิ่งนั้นจงเป็นจริง สิ่งใดที่แม่ข้าพเจ้าพูดด้วยปากขออย่าให้สิ่งนั้นเป็นจริง”

พอเด็กพูดขึ้นแล้วก็สำรวมจิตอธิษฐานจิตระลึกถึงคุณแม่ ไอ้เจ้าควายตัวเบ้อเริ่มมันก้มลงทำท่าจะขวิดมันก็ดีดคอมันไม่ขึ้น คอแข็งทื่อไปเลย นี้แสดงว่าพ่อแม่ของเราปากร้ายแต่ว่าใจดี

เพราะฉะนั้นท่านจึงเป็นผู้มีใจอันบริสุทธิ์ต่อลูก แม้ปากจะพูดว่าให้ควายชนแกตายเถอะนะ ก็พูดแต่ปาก แต่ใจไม่ได้นึกอย่างนั้น ใจจริงน่ะ ไม่ต้องการที่จะให้ลูกเราประสบเหตุอย่างนั้น ดังนั้น เด็กน้อยคนนั้นอธิษฐานจิตพูดออกมาว่า สิ่งใดที่พ่อแม่ข้าพเจ้าคิดในใจสิ่งนั้นจงเป็นจริง สิ่งใดที่แม่ข้าพเจ้าพูดด้วยปากสิ่งนั้นจงอย่าเป็นจริง เพราะแม่เขาไม่ได้คิดที่จะให้ลูกเต้าตาย ควายมันจึงทำร้ายเด็กน้อยคนนั้นไม่ได้

อันนี้เป็นตัวอย่างแสดงว่าพ่อแม่มีน้ำใจอันบริสุทธิต่อลูก ดังนั้นท่านจึงเป็นพระอรหันต์ของลูก

อรหันตะ แปลว่าผู้ฆ่า ฆ่าความพยาบาทอาฆาต ฆ่าความเคียดแค้น ฆ่าความจองเวรจองกรรมกับลูกกับเต้า พ่อแม่ไม่ได้เป็นเช่นนั้น ท่านจึงเป็นผู้มีใจอันบริสุทธิ์ต่อลูก สมควรแล้วที่พระพุทธเจ้ายกย่อง ยกฐานะเทียบเท่าพระอรหันต์ในพระพุทธศาสนา

ที่นี้พ่อแม่ของเรายังเป็นเนื้อนาบุญของลูก ลูกเต้าผู้แสวงบุญ ต้องการบุญ ต้องการกุศล ด้วยการปรนนิบัติก็ดี ด้วยการให้วัตถุสิ่งของก็ดี การให้มารดาบิดานั่นแหละเป็นเนื้อนาบุญอันประเสริฐของเรา

เมื่อพ่อแม่ของเรามีคุณธรรมดังที่กล่าวมาแล้ว ท่านจึงเป็นบุพพการีชน เป็นผู้ทำอุปการะก่อน

๑. ให้เราเกิด

๒. เลี้ยงดูเรามา

๓. อบรมสั่งสอนให้เป็นอันดีและส่งเข้าสู่สถาบันการศึกษา และอื่น ๆ ซึ่งเป็นหน้าที่ของท่าน

ท่านปฏิบัติหน้าที่ของท่านไม่ขาดตกบกพร่อง พ่อแม่ของเรามีลูก ๑๐ คน แม้จะทุกข์ยากปากหมองอย่างไร ท่านก็อุตส่าห์พยายามเลี้ยงลูกของท่านจนใหญ่โต

ที่นี้เราซึ่งเป็นลูก ๆ นี่สมมติว่าพ่อแม่ของเราท่านมีลูก ๑๐ คน ลูก ๑๐ คนนี้จะเลี้ยงดูพ่อแม่ได้หรือเปล่า อันนี้ให้นักเรียนทั้งหลายเอาไปคิด เวลานี้พวกเธอกำลังจะมาเลี้ยงน้ำใจพ่อแม่ มาเรียนมาศึกษาให้พ่อแม่ได้มีความภาคภูมิใจ อันนี้คือการเลี้ยงน้ำใจพ่อแม่ การเลี้ยงน้ำใจนี่ เป็นสิ่งประเสริฐที่สุด มาตาปิตุ อุปฏฺฐานํ การอุปัฏฐากเลี้ยงดูบิดามารดาเป็นมงคลอันสูงสุด พวกหนู ๆ ยังเล็กหาเงินหาทองยังไม่ได้จะไปเลี้ยงพ่อแม่ใหญ่โตได้อย่างไร เลี้ยงได้ซิ คือ

๑. เอาอกเอาใจ

๒. รับใช้

๓. ทำดังที่ท่านต้องการให้สำเร็จ

นี้คือการเลี้ยงน้ำใจ

ที่นี้ถ้าหากว่าเราจะไปไหนมาไหน ทำอะไร เมื่อพ่อแม่ของเราบอกว่า อย่านะ ลูก หยุดทันที อย่าเดินหนีต่อหน้าพ่อแม่ของเรา ว่าผิดว่าถูกยกผลประโยชน์ให้ท่านไปก่อน อย่าไปฝ่าฝืนในขณะนั้น ถ้าหากท่านพูดผิดหรือเข้าใจผิด เมื่อท่านใจดีแล้วค่อยมาปรับความเข้าใจกันทีหลัง อย่าไปทำกระฟัดกระเฟียดต่อหน้าท่าน ท่านเกิดน้อยอกน้อยใจ ท่านเสียใจ ใครทำพ่อแม่เสียใจถึงกับน้ำตาไหลเป็นบาปเป็นกรรมหนัก เฉียด ๆ เข้าถึงอนันตริยกรรม

ฉะนั้น มาตาปิตุอุปฏฺฐานํ การอุปัฏฐากเลี้ยงดูบิดามารดา จึงเป็นมงคลอันสูงสุด ใครต้องการความเป็นสิริมงคลแก่ตัวเอง ก็ให้เลี้ยงดูบิดามารดา

มาตาเปติ ภรํ ชนฺตุ การเลี้ยงดูบิดามารดาท่านว่ามีอานิสงส์ทำให้ผู้นั้นได้ไปเกิดเป็นพระอินทร์

กุเล เชฏฐา ปจายินํ การเคารพนบนอบต่อผู้ใหญ่ในวงศ์สกุล ก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ไปเกิดในสวรรค์เป็นพระอินทร์

สกุลของเรานี้มีอยู่ ๒ ขั้นตอนเวลานี้เรามีสกุลของเราอยู่ ๒ ขั้นตอน

๑. วงศ์สกุลที่ให้กำเนิดคือให้ชีวิตจิตใจเกิดมา

๒. วงศ์สกุลที่ให้กำเนิดการศึกษา เช่น สถาบันการศึกษาต่าง ๆ อันนี้คือวงศ์สกุลของเรา

วงศ์สกุลทั้ง ๒ นี้ย่อมมีผู้หลักผู้ใหญ่ ดังนั้นใครมีความเคารพนบนอบ มีความเคารพนบน้อมต่อผู้ใหญ่ในวงศ์สกุล บุคคลนั้นได้สร้างคุณธรรม ซึ่งเป็นเหตุเป็นปัจจัย เมื่อตายไปแล้วได้ไปเกิดเป็นพระอินทร์ ใครอยากเกิดเป็นพระอินทร์ให้ปฏิบัติตามหลักดังกล่าวมานี้ อันเป็นวิธีการที่จะเอาดีกับพ่อกับแม่

เราจะเอาดีกับครูบาอาจารย์ก็ปฏิบัติเหมือนกับปฏิบัติกับพ่อกับแม่ พ่อแม่ของเราเป็นพ่อแม่ในบ้าน ครูบาอาจารย์เป็นพ่อแม่ในโรงเรียน

เราอยู่ในบ้าน พ่อแม่ของเราเป็นผู้ปกครองดูแลสุขทุกข์ของเรา เราอยู่ในโรงเรียนครูบาอาจารย์เป็นผู้ดูแลสุขทุกข์ของเรา เพราะฉะนั้นทั้ง ๒ อย่างนี้คือพ่อแม่ของเรา ผู้ให้เกิดก็เป็นพ่อเป็นแม่ ครูบาอาจารย์ผู้อุปถัมภ์ค้ำจุนอยู่ก็ได้ชื่อว่าเป็นพ่อเป็นแม่เช่นเดียวกัน ดังนั้นขอให้นักเรียนทุกคนจงจำนำไปปฏิบัติ

papare1.jpg
papare1.jpg (20.35 KiB) เปิดดู 1181 ครั้ง

พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย)
วัดป่าสาลวัน ต.เมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา

Re: สอนเด็กให้รู้บุญคุณบิดามารดา

จันทร์ 27 ก.ค. 2009 11:45 am

ขอบพระคุณครับ

Re: สอนเด็กให้รู้บุญคุณบิดามารดา

พุธ 29 ก.ค. 2009 1:13 am

สาาธุ ขอบคุณครับ :grt:

Re: สอนเด็กให้รู้บุญคุณบิดามารดา

พุธ 29 ก.ค. 2009 10:32 am

ขอบพระคุณครับ ได้อ่านได้ยินได้ฟังเรื่องราวที่เกี่ยวกับพระคุณของบิดามารดาทุกครั้งก้อจะรู้สึกดีมากๆเลยครับ :D
:ilu:
วันหนึ่งผมไปกราบหลวงปู่ดีที่วัดเทพากรมาท่านพูดว่า.....
...ความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูกนั้นเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์ที่พึงมีต่อกัน....เช่นเดียวกันกับ..
...ความรักแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีต่อพุทธศาสนิกชนก็เป็นเช่นเดียวกันกับความรักที่มีพ่อแม่มีให้แก่ลูก...มีความบริสุทธิ์เหมือนกัน...

ฉะนั้นแล้ว..เราท่านทุกคนจึงสามารถกราบพระองค์ท่านได้อย่างสนิทใจนั่นแล.

:pry:

Re: สอนเด็กให้รู้บุญคุณบิดามารดา

พุธ 29 ก.ค. 2009 11:15 pm

ช่วงนี้ชอบพิมพ์ผิดหรือตกหล่นอยู่เรื่อยเลย :sck:

Re: สอนเด็กให้รู้บุญคุณบิดามารดา

พฤหัสฯ. 30 ก.ค. 2009 10:24 pm

แสดงว่านอนน้อย

พักผ่อนเยอะ ๆ นา

เดี๋ยวไม่สบาย เป็นหวัด 2009 :D

Re: สอนเด็กให้รู้บุญคุณบิดามารดา

พฤหัสฯ. 30 ก.ค. 2009 11:30 pm

แม่นแล้วครับ

ช่วงนี้พักผ่อนน้อยแุถมใช้ความคิดเยอะไปหมด :roll:

ขอบพระคุณในความห่วงใยครับ :D ท่านเองก้อเหมือนกันรักษาสุขภาพด้วยนา

yoyo_0106.gif
yoyo_0106.gif (9.24 KiB) เปิดดู 1090 ครั้ง
ตอบกระทู้