นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 29 มี.ค. 2024 4:33 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: จิตตสังเขปที่ควรรู้
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 01 ก.ค. 2009 9:19 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4510
จิตตสังเขป

บทที่ ๑.



ไม่ว่า อกุศลธรรม ใด ๆ ........ขั้นหยาบ หรือ ละเอียด

เป็น อกุศลธรรม ทั้งสิ้น.


ไม่ใช่ เป็นอกุศลธรรม เฉพาะขณะที่เกิด โทสะ เท่านั้น.!


บางท่าน ถามว่า..............

ทำอย่างไร จึงจะไม่โกรธ.?



.



สภาพธรรมทั้งหลาย เป็น อนัตตา.


โทสะ ก็เป็น อนัตตา.


โทสะ เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย.



.



ผู้ที่ดับ ความโกรธ ได้...เป็น สมุจเฉท

คือ โทสเจตสิก ไม่เกิดอีกเลยนั้น...ต้อง เป็นผู้ที่อบรมเจริญปัญญา

รู้แจ้ง อริยสัจจธรรม

จนกระทั่งถึง ความเป็นพระอริยบุคคล......


ขั้น พระอนาคามีบุคคล.



.



การรู้แจ้ง อริยสัจจธรรม เป็น พระอริยบุคคล

มี ๔ ขั้น



ผู้ที่ รู้แจ้ง อริยสัจจธรรม

ประจักษ์แจ้ง สภาพพระนิพพาน เป็นครั้งแรก.


ดับ ความเห็นผิด และ ความสงสัย ใน สภาพธรรมทั้งหลาย


เป็น พระโสดาบันบุคคล.



.



เมื่อ พระโสดาบันบุคคล...เจริญปัญญา มากขึ้น

รู้แจ้ง อริยสัจจธรรม...ประจักษ์แจ้ง สภาพพระนิพพาน อีกครั้งหนึ่ง.


ดับ ความพอใจ

ใน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อย่างหยาบ ได้


เป็น พระสกทาคามีบุคคล.



.



เมื่อ พระสกทาคามีบุคคล เจริญปัญญา มากขึ้น

รู้แจ้ง อริยสัจจธรรม...ประจักษ์แจ้ง สภาพพระนิพพาน อีกครั้งหนึ่ง.


ดับ ความยินดี พอใจ

ใน รูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ

จึง ดับ โทสะ


เป็น พระอนาคามีบุคคล.



.



เมื่อ พระอนาคามีบุคคล เจริญปัญญา มากขึ้น

รู้แจ้ง อริยสัจจธรรม...ประจักษ์แจ้ง สภาพพระนิพพาน อีกครั้งหนึ่ง.


ดับ อกุศลธรรม ที่เหลืออยู่ ทั้งหมด


เป็น พระอรหันต์.



.



เมื่อ พระอรหันต์ ดับขันธปรินิพพาน แล้ว

ไม่เกิดอีกต่อไป.



.



เมื่อเข้าใจแล้ว ว่า

โลกุตตรปัญญา ของ พระอริยบุคคล แต่ละขั้น

ดับกิเลส แต่ละขั้น อย่างไร.




ก็จะต้อง ศึกษา

ให้ "เข้าใจหนทนทางปฏิบัติ".....ที่จะอบรม เจริญ "ปัญญา"

ให้ รู้แจ้ง สภาพธรรม ที่ปรากฏ

และ ดับกิเลส ได้จริง ๆ



ตามที่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

ได้ทรงแสดงไว้.


จิตตสังเขป

บทที่ ๑.



แม้พระผู้มีพระภาค จะได้ทรงแสดง

"ลักษณะของจิต"

ในความหมายของ คำ ว่า "ปัณฑระ" แล้ว


เพื่อให้ "เข้าใจลักษณะของจิต" ยิ่งขึ้น

จึงทรงแสดง ในความหมายของ คำ ว่า


"มนายตนะ"



.



ที่ (จิต) ชื่อว่า "มนายตนะ"

อธิบาย ใน คำ ว่า "มนายตนะ" นั้น...พึงทราบว่า



"อายตนะ"


เพราะความหมาย ว่า


เป็นที่อยู่อาศัย เป็นบ่อเกิด เป็นที่ประชุม

และ เป็นเหตุ.



จริงดังนั้น


แม้ "ผัสสะ" เป็นต้น.....ย่อมเกิด ใน "มนะ" นี้

รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ภายนอก

ย่อมประชุมที่ "มนะ" โดย ความเป็น "อารมณ์"



.



แม้เพราะความหมาย ว่า "เป็นเหตุ"

เพราะ "เหตุแห่งผัสสะ" เป็นต้น.

โดย อรรถ ว่า......."สหชาตปัจจัย"



.



"จิต" ทุกขณะ

เป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ เป็นอาการรู้.



.



แต่ จะเข้าใจ "ลักษณะ"

ซึ่ง "เป็นอนัตตา" ของ "จิต" ได้ยิ่งขึ้น

ก็โดย รู้ ว่า


"จิต" เป็น "มนายตนะ"


เพราะว่า "จิต"

เป็นที่อยู่อาศัย เป็นบ่อเกิด เป็นที่ประชุม

และ เป็นเหตุ.




.



ถึงแม้ รูป....จะมีจริง

ถึงแม้ เสียง จะเกิดขึ้น ก็จริง

ถึงแม้ กลิ่น จะมี "ปัจจัย" เกิดขึ้น ก็จริง

ถึงแม้ รส ต่าง ๆ จะมี ก็จริง

และ ถึงแม้ เย็น-ร้อน อ่อน-แข็ง ตึง-ไหว จะมี ก็จริง.



แต่ถ้า "จิต" ไม่เกิดขึ้น...."รู้"


และถ้า "จิต" ไม่เป็นที่ประชุม

ของ รูป รส กลิ่น เสียง เย็น-ร้อน อ่อน-แข็ง ตึง-ไหว.



สิ่งที่ปรากฏทางตา ก็ปรากฏไม่ได้

เสียง ก็ปรากฏ ไม่ได้ กลิ่น ก็ปรากฏ ไม่ได้

รส ต่าง ๆ ก็ปรากฏ ไม่ได้

เย็น-ร้อน อ่อน-แข็ง ตึง-ไหว ก็ปรากฏ ไม่ได้.!



แต่ เพราะว่า

"จิต" เป็น "สภาพรู้"

จึงเป็นที่อาศัย เป็นที่ประชุม และ เป็นเหตุ

ที่จะให้สภาพธรรม ปรากฏ.


เช่น


"สีสันวัณณะ" ที่อยู่ข้างหลัง ไม่ปรากฏ

เพราะ ไม่ได้ "ประชุม"


หมายความว่า


"สีสันวัณณะ" ที่อยู่ข้างหลัง

ไม่กระทบกับ "จักขุปสาท" และ ไม่กระทบกับ "จิต"

"จิต" จึงไม่เกิดขึ้น

"เห็น" "สีสันวัณณะ" ที่อยู่ข้างหลัง.



.



แม้ว่า "กรรม" เป็น "ปัจจัย"

ทำให้ "จักขุปสาท" เกิดขึ้น และดับไป สืบต่อ อยู่เรื่อย ๆ

ตราบใด...ที่ ตาไม่บอด.


แต่ "จิตเห็น" ก็ไม่ได้เกิดขึ้นตลอดเวลา.



ฉะนั้น

ขณะใด ที่ "สีสันวัณณะ" ปรากฏ

ขณะนั้น

"จิต" เป็น "มนายตนะ"

คือ เป็นที่ประชุมของ "รูป" ที่กระทบกับ "จักขุปสาท"



และ ขณะนั้น


"รูป" ที่กระทบกับ "จักขุปสาท"

ก็เป็น "รูปายตนะ"


"จักขุปสาท" ที่กระทบกับ "รูป"

ก็เป็น "จักขายตนะ"



สภาพธรรมใด ที่ประชุมรวมกัน ในขณะนั้น

เป็น "อายตนะ แต่ละ อายตนะ" ทั้งสิ้น.



.



"เสียง"

ต้องกระทบกับ "โสตปสาท" และ กระทบกับ "จิต"

"จิต" จึงเกิดขึ้น....."รู้เสียงที่ปรากฏ" ได้.


(เป็นต้น)



.



ฉะนั้น

"จิต" จึงเป็น "มนายตนะ"

คือ

เป็นที่ประชุม ของสภาพธรรม ที่ปรากฏ.





จิตตสังเขป

บทที่ ๑.



ข้อความใน อัฏฐสาลินี ที่ว่า


แม้เพราะความหมาย ว่า (จิต) เป็นเหตุ

เพราะ จิต เป็นเหตุ แห่ง "ผัสสะ"


เป็นต้น.



.



"ผัสสะ"

เป็น เจตสิก ประเภทหนึ่ง ใน ๕๒ ประเภท.



"ผัสสเจตสิก"

เป็นนามธรรม ที่กระทบ อารมณ์.



ขณะที่ รูป กระทบกับ รูป

เช่น ต้นไม้ ล้มกระทบกับพื้นดิน

การกระทบกันของต้นไม้และพื้นดิน...ไม่ใช่ "ผัสสเจตสิก"



ขณะที่ เสียง กระทบกับโสตปสาท

โสตปสาท เป็น รูป

เสียง เป็น รูป.



แต่ถ้า "ผัสสเจตสิก".......ไม่เกิดขึ้น

กระทบกับ "เสียง"...ที่ "โสตปสาท"

"จิตได้ยิน"......ก็เกิดขึ้นไม่ได้เลย.!



.



"ผัสสเจตสิก" เป็น นามธรรม

ซึ่ง เกิดพร้อมกับจิต ดับพร้อมกับจิต

รู้อารมณ์เดียวกับจิต

และ เกิดที่เดียวกับจิต.


ฉะนั้น

จิต จึงเป็นเหตุ แห่ง "ผัสสะ"



.



ในภูมิที่มีขันธ์ ๕

จิต และ เจตสิก....ต้องเกิดที่ "รูปใดรูปหนึ่ง" เสมอ.



.



รูปใด "เป็นที่เกิด" ของ จิต และ เจตสิก

รูปนั้น เป็น "วัตถุรูป"



.



"จักขุปสาท" เป็น "วัตถุรูป"

เพราะเป็น "ที่เกิด" ของ "จักขุวิญญาณจิต"

รวมทั้ง "เจตสิกที่เกิดพร้อมกับจักขุวิญญาณจิต" ด้วย.



.



สภาพธรรม ที่เกิดขึ้น

จะเกิดขึ้น โดยลำพังอย่างเดียว ไม่ได้.!

แต่ จะต้องมี สภาพธรรมอื่น....เป็น "ปัจจัย"

เกิดร่วมด้วย...พร้อมกัน

ในขณะนั้น.





จิตตสังเขป

บทที่ ๑.




สภาพธรรมใด

เป็น "ปัจจัย" ให้สภาพธรรมอื่น เกิดขึ้น...พร้อมกับตน

สภาพธรรมนั้น เป็น "สหชาตปัจจัย"



สห

แปลว่า...ร่วมกัน , พร้อมกัน.



ชาต

แปลว่า...เกิด.



"ปัจจัย"

คือ ธรรม ซึ่ง อุปการะ อุดหนุน

ให้ สภาพธรรมอื่น...เกิดขึ้น หรือ ดำรงอยู่.



.



แสดงว่า

สภาพธรรมทุกอย่าง ที่เกิดขึ้น

เป็น "สังขารธรรม"

เพราะ อาศัย ธรรมอื่น เป็น ปัจจัย จึงเกิดขึ้น.!



ถ้าปราศจาก "ปัจจัย"

สภาพธรรมทั้งหลาย ก็เกิดไม่ได้.!



และ สภาพธรรม ซึ่งเป็น "สหชาตปัจจัย" นั้น

ทำให้ สภาพธรรมอื่น เกิดขึ้น พร้อมกับตน.



.



แต่ สภาพธรรมบางอย่าง

ก็เป็น ปัจจัย

โดย เกิดก่อนสภาพธรรม ที่ตนเป็นปัจจัยให้เกิดขึ้น.


และ สภาพธรรมบางอย่าง

ก็เป็น ปัจจัย

โดย เกิดภายหลัง.



.



ฉะนั้น


จิต จึงเป็น สหชาตปัจจัย แก่ เจตสิก.....ที่เกิดพร้อมกับจิตนั้น.


และ


เจตสิก ก็เป็น สหชาตปัจจัย แก่ จิต....ที่เกิดพร้อมกับเจตสิกนั้น.



.



เมื่อ ผัสสเจตสิก เกิดขึ้น...กระทบ อารมณ์ ใด

จิต ที่เกิดพร้อมกับเจตสิกนั้น

ก็ รู้ อารมณ์ ที่ ผัสสเจตสิกนั้น กระทบ.




ไม่ใช่ว่า ผัสสเจตสิก กระทบ อารมณ์หนึ่ง

แล้ว จิต ที่เกิดพร้อมกับผัสสเจตสิกนั้น

ไปรู้ อีกอารมณ์หนึ่ง.!




(เช่น)


ขณะใดที่ ผัสสเจตสิก เกิดขึ้น...กระทบ "เสียงใด"


โสตวิญญาณ (จิต)

ที่เกิดพร้อมกับ ผัสสเจตสิก ที่กระทบ "เสียงนั้น"


ก็มี "เสียงนั้น" เป็น อารมณ์.


(เป็นต้น)



จิตตสังเขป

บทที่ ๑.





ปรมัตถธรรม

มี ๔ คือ

จิต เจตสิก รูป นิพพาน


ปรมัตถธรรม แต่ละอย่าง

เป็นปัจจัย ให้ปรมัตถธรรมอื่น...ที่เป็น สังขตธรรม เกิดขึ้น.


คือ


"จิต"

เป็นปัจจัย ให้เกิด เจตสิก และ เป็นปัจจัยให้เกิดรูป

(เว้นบางขณะ)



"เจตสิก"

เป็นปัจจัย ให้เกิด จิต และ เป็นปัจจัยให้เกิด รูป.

(เว้นบางขณะ)


"รูป"

เป็นปัจจัยให้เกิด รูป.


และ


"รูป"

เป็นปัจจัยให้เกิด จิต


ในขณะที่ รูป เป็น "วัตถุ" คือ เป็นที่เกิดของจิต

และ

ในขณะที่ รูป เป็น "อารมณ์" ของจิต.



ตามควรแก่สภาพของ ปรมัตถธรรม นั้น ๆ

โดย เป็น "ปัจจัย" ต่าง ๆ กัน

เช่น "สหชาตปัจจัย" เป็นต้น.



.



จิต และ เจตสิก

เป็น "สหชาตปัจจัย" ให้รูปเกิดพร้อมกับจิต

ทันที ที่จิตเกิดขึ้น ในอุปาทขณะ.



จิต ทุกดวง มี ๓ อนุขณะ

(ขณะย่อย)

คือ

อุปาทขณะ

(ขณะที่เกิดขึ้น)


ฐิติขณะ

(ขณะที่ยังไม่ดับ)


ภังคขณะ

(ขณะที่ดับ)



.



จิต ไม่ได้สั่ง ให้รูปเกิด.!


(เพราะว่า)


จิตตชรูป คือ รูป ที่เกิดเพราะจิตเป็นปัจจัย

เกิดพร้อมกับจิต ทันที ที่จิตเกิดขึ้น ในอุปาทขณะ นั้นเอง.



แต่ทั้งนี้ ต้องเว้น "ปฏิสนธิจิต"


เพราะว่า

ในขณะที่ "ปฏิสนธิจิต" เกิดขึ้นนั้น

มีแต่ "กัมมัชรูป" คือ รูปที่เกิดเพราะกรรมเกิดร่วมด้วย.


ฉะนั้น

ในขณะที่ "ปฏิสนธิจิต" เกิดขึ้นนั้น

จึงไม่มี "จิตตชรูป"



.



เมื่อ "ปฏิสนธิจิต" ดับไปแล้ว

จิต จึงเป็นปัจจัย ให้รูปเกิดขึ้น พร้อมกับจิต

ตั้งแต่ "ปฐมภวังค์"

คือ ภวังค์ที่เกิดขึ้นขณะแรก เป็นต้นไป.



โดย

เว้น "ทวิปัญจวิญญาณจิต ๑๐"


(หมายถึง ปัญจวิญญาณ (จิต) ๕ ประเภท.......ประเภทละ ๒ คือ

จิตเห็น ๒ ประเภท จิตได้ยิน ๒ ประเภท จิตได้กลิ่น ๒ ประเภท

จิตลิ้มรส ๒ ประเภท จิตรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย ๒ ประเภท)



และ

เว้น จุติจิต ของพระอรหันต์.



.



นอกจากนั้นแล้ว

ทุกขณะ ที่ จิต เกิดขึ้น...ในภูมิ ที่มีขันธ์ ๕

ต้องมี "จิตตชรูป" เกิดขึ้น

พร้อมกับอุปาทขณะของจิต ทุกครั้ง.!





จิตตสังเขป

บทที่ ๑.






แต่ละบุคคล

สะสมสภาพธรรม...อย่างวิจิตร

ต่าง ๆ กัน.


บางคน มี อกุศล มาก

บางคน มี กุศล มาก



.



แต่ ผู้ที่ "เข้าใจ"

เรื่อง การอบรมเจริญสติปัฏฐาน

แล้วมีการอบรมเจริญสติปัฏฐาน.



กุศลทั้งหลาย

ก็จะเป็น "บารมี" ที่อุปการะ เกื้อกูล

ให้ "สติ" ระลึกรู้ ตรง "ลักษณะ" ของสภาพธรรม

ที่ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน.




จนกระทั่ง

สามารถ ประจักษ์แจ้ง อริยสัจจธรรม

ดับกิเลสได้ เป็นสมุจเฉท

ตามลำดับขั้น.



.



แต่ ผู้ที่เริ่ม เจริญสติปัฏฐาน นั้น

สติปัฏฐาน ยังไม่มีกำลัง

ความเป็นตัวตน จึงยังมีกำลังมาก.

ไม่ว่าจะเป็น

ขณะที่เห็น ขณะที่ได้ยิน ขณะที่ได้กลิ่น

ขณะที่รังเกียจอกุศล ขณะที่บำเพ็ญกุศล

ฯลฯ


ก็ยังมีการ "ยึดถือ" ว่า เป็นเรา

เป็น กุศล ของเรา.!



.



ฉะนั้น

จุดประสงค์ ของการศึกษาปรมัตถธรรม

"เรื่องจิต"

ก็เพื่อ เป็น "ปัจจัย"

เกื้อกูลให้ "เข้าใจลักษณะของจิต"

ในขณะที่

กำลังเห็น กำลังได้ยิน กำลังได้กลิ่น

กำลังลิ้มรส กำลังกระทบสัมผัส

และ กำลังคิดนึก

เป็นต้น.



.



เพื่อให้ สติปัฏฐาน เกิดขึ้น

ระลึก รู้ ตรง "ลักษณะ" ของสภาพธรรม

ที่เป็น สภาพรู้.....ธาตุรู้

ที่กำลัง รู้ สิ่งหนึ่งสิ่งใด

ที่กำลังปรากฏ.



.



ขณะที่ ศึกษา "เรื่องจิต"

ก็อย่าเพิ่งคิด ว่า...รู้ "ลักษณะของจิต"

ชัดเจน แจ่มแจ้งแล้ว.




และ

จุดประสงค์ ของการศึกษา "เรื่องจิต" นั้น

ก็ไม่ใช่ เพื่อต้องการ

เป็นผู้ที่มีความรู้ "เรื่องจิต" มาก ๆ




แต่ เพื่อ เป็น "สังขารขันธ์"

ปรุงแต่ง...ให้ "สติ" เกิดขึ้น

ระลึก รู้ ...."สภาพของจิต"

ซึ่งเป็น นามธรรม เป็น ธาตุรู้

ที่กำลังรู้...ในขณะนี้.




เพื่อ "ปัญญา" ที่อบรมเจริญขึ้นแล้ว นั้น

จะได้ "คลายการยึดถือ" สภาพธรรมทั้งหลาย

ว่า เป็น ตัวตน.


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 01 ก.ค. 2009 3:18 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586
ขอบคุณมากครับ

_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO