นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน พฤหัสฯ. 02 พ.ค. 2024 4:15 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: เรื่องของจิต
โพสต์โพสต์แล้ว: อาทิตย์ 14 มิ.ย. 2009 7:36 pm 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4545
"จิต" กำลังทำหน้าที่ อยู่ตลอดเวลา.


ทั้ง ๆ ที่ "ลักษณะของจิต" กำลังมี.


และ มีคำ ที่ใช้เรียก.


แต่

ยังไม่รู้ "ลักษณะของจิต"


.


ให้ รู้ ลักษณะ.!


หมายความว่า......


"สติ" ระลึก ตามปกติ

แล้ว "เข้าใจ" ใน "ลักษณะ" นั้น

ว่า เป็น "สภาพรู้"


.


ให้ เข้าใจ ว่า.............

"สติ" ระลึก ตามปกติ.


ขณะใด............"มีสติ"

ขณะใด..."หลงลืมสติ"


ขณะใด........"สติเกิด"

ขณะใด...."สติไม่เกิด"


ขณะนั้น.....................

ไม่ใช่ ขณะ ที่ "เรา"

..........พยายามที่จะดู.!


.


อาการรู้....ลักษณะรู้.....รู้ยาก

เพราะว่า มองไม่เห็น.!

และ

เกิดขึ้นชั่วขณะสั้นแสนสั้น แล้วก็ดับ.

แต่

"จิต" เป็น "ธาตุชนิดหนึ่ง"

ซึ่งไม่ใช่ รูปธรรม.


และ

"ธาตุรู้"...."อาการรู้" นี้

ก็ไม่ใช่ของใคร.!

เมื่อเกิดขึ้น ก็ ทำกิจของตน.


เช่น

เกิดขึ้น ทำกิจเห็น

เกิดขึ้น ทำกิจได้ยิน

ฯลฯ


เมื่อ "ธาตุรู้" เกิดขึ้น

ก็เกิดขึ้น เพื่อ "รู้อารมณ์ที่ปรากฏ"


.


เมื่อมีการการอบรมเจริญสติปัฏฐาน บ่อย ๆ

จนชินขึ้น ๆ


"ความเข้าใจ"

ใน "ลักษณะ" ของสภาพธรรม ตามความเป็นจริง

จะค่อย ๆ แยก.........จาก "ชีวิตวันหนึ่ง"

จนกระทั่ง....เป็น "ชีวิตเพียงขณะหนึ่ง"

ที่มีความต่างกัน.!


.


เช่น

ขณะที่ได้ยิน ก็เป็นเพียงขณะหนึ่ง

ต่างกับขณะที่กำลงรู้แข็ง เป็นต้น.

และ

แตกต่างกัน โดยเป็น "จิตแต่ละชนิด"

แตกต่างกัน โดย มี "การเกิด" ที่ต่างขณะกัน

เกิดขึ้น และดับไป ทีละขณะ ๆ


.


แต่

เป็นเพราะ "ความไม่รู้"

จึงเห็นสภาพธรรม ติดกันแน่น

"ไม่ปรากฏสภาพของความแยกขาดจากกัน"

เป็น สังสารวัฏฏ์

เป็น ตัวเรา...เป็นตัวเขา.


.


"ลักษณะที่เกิดแล้วดับ"

เช่น

ในขณะที่กำลังได้ยินเกิดขึ้น...แล้วก็ดับ

เพราะว่า "เสียง" ไม่ได้เกิด....ตลอดไป

มีอ่อน หรือ แข็ง กระทบ........

หมายความว่า "แข็ง" ต้องเกิด

แล้ว "จิต" ก็ต้องเกิดขึ้น รู้ "แข็ง"นั้น

แล้วก็ต้องดับไป.

(เป็นต้น)


.


การรู้ลักษณะ ที่แตกต่างกันของสภาพธรรมต่างๆ

จนกระทั่ง "รู้" ความเกิดดับ ของสภาพธรรม นั้น.


ต้อง ค่อย ๆ "เข้าใจ" มากขึ้น ๆ

จนเข้าใกล้ "ความเป็นจริงของสภาพธรรม" มากขึ้น ๆ


นี่ คือ "สติ" เริ่ม ระลึก.!


เริ่ม "เข้าใจ" ใน "ลักษณะ" ของ สิ่งที่กำลังปรากฏ.!


ต้อง เป็น "ปัญญา" ที่ รู้.!


"สติ" ระลึก ตามปกติ

ไม่ผิดปกติ ไปจากขณะนี้เลย.!


.


เพราะฉะนั้น

ผู้ที่ฟังพระธรรม....ฟังไป ระลึกไป

เมื่อ "ความเข้าใจ" เกิด..."สติ ก็ ระลึกไป อบรมไป

จนกระทั่ง ละ.........ละ เมื่อไร

ประจักษ์ความจริง...เมื่อนั้น.!


.


เพราะฉะนั้น

ทุกอย่าง...ต้องมาจาก "ความเห็นถูก"

คือ "ความเข้าใจถูก"


ถ้า "ไม่เข้าใจ" อย่างนี้

"หนทาง"

ที่จะรู้อย่างนี้....ก็มีไม่ได้.!


ตอนที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ใหม่ๆ ไม่ทรงน้อมพระทัยที่จะแสดง

ธรรม ไม่ใช่ทรงท้อพระทัยแต่ทรงเห็นความลึกซึ้งของพระธรรม ยากที่จะเข้า-

ใจได้ มีผู้ที่ศึกษาพระธรรมแล้วอยากจะบรรลุเร็วๆ ต้องการผลเร็วๆแต่ไม่ได้เจริญเหตุ
ที่จะให้ได้ผลคือการบรรลุธรรมซึ่งไม่ใช่ง่ายๆเลย แค่สภาพธรรมที่กำลังปรากฎอยู่ตรง
หน้าในชีวิตประจำวันเป็นธรรมะที่ควรรู้ยิ่งก็ยังไม่รู้ รู้ได้ยากเพราะพระธรรมลึกซึ้ง
ไม่ควรประมาทคิดว่าพระธรรมนั้นเข้าใจได้โดยเร็ว ควรที่จะฟัง และพิจารณา
ไตร่ตรองเทียบเคียงหาเหตุผล อดทนที่จะอบรมเจริญความเห็นถูกเข้าใจถูก
ในลักษณะสภาพธรรมที่กำลังปรากฎขณะนี้เช่น จิตเห็น จิตได้ยิน..จิตคิดนึก
โลภ โกรธ ทุกข์กายเป็นต้นว่าเป็นเพียงสภาพธรรม เป็นอนัตตาให้มั่นคง

เพราะฉะนั้น..ความโกรธมีลักษณะอย่างเดียวคือ ขุ่นเคือง ไม่แช่มชื่น

ไม่สบายใจ ความรู้สึกขณะนั้นล่ะ เป็นโทมนัสเวทนา มีปัจจัยก็เกิดขึ้นแล้ว

มาจากไหน มาจากการที่เราต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้ว ไม่ได้สิ่งนั้น โดยเฉพาะ

สิ่งที่คนที่อยู่ในภูมิที่มี รูป เพราะว่ามีตา จึงเห็นสิ่งที่ปรากฏ ก็ต้องติดในสิ่ง

ที่ปรากฏ มีโสตประสาท เกิดมาในภูมิที่มีเสียง มีรูปไม่ปราศจากรูปเลย นอก

จากอรูปพรหมภูมิที่จะไม่มีรูป ที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพราะ

ไม่มีรูปใด ๆ ทั้งสิ้น มีแต่นามธรรมเท่านั้น

เพราะฉะนั้น..ตราบใดที่ยังเป็นภูมิ ของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

ตาสามารถกระทบกับสิ่งที่ปรากฏ ทางตาเท่านั้น ไม่กระทบกับเสียง กับกลิ่น

เพราะฉะนั้น ในขณะนี้เอง ที่กำลังมีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น มีความติดข้อง

ต้องการมากมาย เริ่มจากพอใจ แล้วทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้ว่าเป็นอะไร เพียงแค่ปรากฎ

ลองคิดดูนะ นามธาตุ คือจิต เป็นธาตุรู้ ขณะนั้นถ้าจิต หรือปัญญากำลังรู้

ในลักษณะของธาตุรู้ จะไม่รู้ในลักษณะของรูป ถูกต้องไหม เพราะฉะนั้น

ในขณะนั้นไม่มีรูป ซึ่งเป็นที่ตั้ง ที่ต้องการของจิตในขณะนั้น เพราะว่าจิตเป็น

ธาตุรู้ มืดสนิทจริง ๆ เพราะว่าถ้าหลับตาแล้วเราบอกว่ามืด ขณะนั้นก็ยังคงมี

ความสามารถ ที่จะบอกความต่างของความสว่างกับความมืดได้ แต่ธาตุซึ่งไม่

มีรูปใด ๆ เจือปนเลยทั้งสิ้น สักนิดเดียว เพราะฉะนั้น ธาตุนั้นจะมืดสักแค่ไหน

ถ้าธาตุนั้นปรากฏ โดยเป็นธาตุรู้ รูปปรากฎไม่ได้ จะเห็นได้ว่าในความมืดสนิท

ธาตุรู้เกิดขึ้น ให้เห็นว่าเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ เพราะว่าขณะนั้นไม่ได้รู้

ในอารมณ์ที่จิตนั้นกำลังรู้ แต่กำลังรู้ในลักษณะที่เป็นธาตุรู้ ซึ่งไม่มีแสงสว่าง

อะไรเลย ในความมืดสนิท สามารถที่จะคิดนึกได้ สามารถที่จะเป็นธาตุที่

อารมณ์นั้นไม่ปรากฏ
เพราะฉะนั้น..ก็จะทำให้เข้าใจถึงปฏิสนธิจิต ภวังค์จิตได้ว่าขณะนั้น

อารมณ์ไม่ได้ปรากฏ แต่ว่ามีธาตุรู้ ซึ่งเกิดขึ้นแล้ว ๆ ก็เป็นธาตุรู้ด้วย เวลาถึง

การที่จะมีการเห็น หมายความว่ากิเลส ทำให้จักขุประสาทรูปเกิด เพราะว่าทั่ว

ตัวนี้จะมีรูป ซึ่งเกิดจากกิเลสบ้าง บางกลุ่มบางกลาป บางกลุ่มก็เกิดจากจิต

เกิดจากอุตุ ความเย็น ความร้อน บางกลุ่มก็เกิดจากอาหาร แต่ว่ากิเลสเป็น

ปัจจัย ที่จะทำให้ จักขุปสาทรูปเกิด ซึ่งเป็นรูปที่สามารถกระทบ สิ่งที่กำลัง

ปรากฏให้เห็นในขณะนี้ เห็นไหม ใครไปทำได้ นอกจากกิเลส และเวลาที่

กิเลส ทำให้จักขุประสาทรูป ๆ เกิด ก็ต้องดับด้วย มีอายุแค่ ๑๗ ขณะ ไม่ว่า

จะเกิดจากสมุฏฐานใดก็ตาม รูปที่เป็นสภาวรูปทั้งหมด ก็จะมีอายุเพียงแค่ ๑๗

ขณะ แล้วก็ดับ โดยไม่เห็นได้ไหม กัมชรูป ทำให้จักขุประสาทรูป โสต

ประสาทรูป ฆานประสาทรูป ชิวหาประสาทรูป กายประสาทรูป เกิดแล้ว

ขณะที่ กิเลสเป็นปัจจัย ทำให้จักขุประสาทรูปเกิด จิตไม่เกิดขึ้นเห็นได้ไหม ?

ได้แน่นอน เพราะฉะนั้น ในขณะที่นอนหลับสนิท จักขุประสาทรูปเหล่านี้

ก็เกิดดับโดยที่ไม่ได้เห็น จิตเห็นไม่เกิด จิตได้ยินไม่ได้เกิด จิตได้กลิ่นก็ไม่

เกิด แต่กิเลสก็ทำให้รูปเหล่านี้เกิด โดยที่เมื่อเกิดแล้วก็มีอายุ ๑๗ ขณะ เพราะ

ว่าเวลาที่ขณะที่เห็นเกิดขึ้น ให้ทราบการอุปัตติของธรรม การเกิดขึ้นของธรรม

ว่า นอกจากจะมี จักขุประสาทรูปเกิดเพราะกิเลส ก็ยังต้องมีสิ่งที่ สามารถ

กระทบจักขุประสาท เป็นปัจจัยให้จิตเห็น อุปัตติเกิดขึ้น โดยกิเลสเป็นปัจจัย

ที่จะทำให้ ถึงกาลสุกงอมที่จะต้องเห็น ไม่เห็นไม่ได้ เหมือนกับขณะที่ได้ยิน

เดี๋ยวนี้ขณะนี้นะ เป็นกาลที่ กิเลสหนึ่งสุกงอม พร้อมที่โสตวิญญาณเกิดขึ้น

ได้ยินเสียง ทั้ง ๆ ที่จักขุประสาท ก็มีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ แล้วรูปที่

กระทบจักขุประสาท ก็มีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ สั้นแค่ไหน
เพราะฉะนั้น..เป็นปัจจัยที่ถึงวาระที่ กิเลสจะทำให้จิตเห็นเกิด จึง

เกิดจิตเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา เพราะฉะนั้น นี่ก็แสดงให้เห็นว่าทุกอย่าง

เป็นธรรม ซึ่งเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นจิต

ประเภทใด หรืออะไรก็ตาม เพราะฉะนั้น เมื่อเกิดเห็นแล้ว จะไม่อยากเห็น

มีไหม เห็นแล้วไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ตอนที่เกิดใหม่ ๆ อยู่ในครรภ์นี้ ไม่

เห็นหรอก แต่เวลาที่คลอดออกมา มีจักขุปสาท ถ้าหลับ หรือเป็นภวังค์ก็ไม่

เห็น แต่เมื่อถึงกาล ที่เห็นเกิด จะไม่ชอบสิ่งที่เห็นหรือมีสิ่งหนึ่งเกิดแล้ว
ให้เห็นว่าเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น สิ่งที่ปรากฏทั้งหมดนี้ เป็นที่ตั้งของความ

พอใจ มีโลภะ มีความไม่รู้เกิดขึ้นก่อน ที่จะถึง โทสะ ก็จะต้องมีการเห็น การ

ได้ยิน ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย เช่น เสียง ไม่มีเสียง ไม่ได้ยินเสียง ยังไม่

ชอบเสียง ที่ไม่ได้ยินแน่นอน ถูกต้องไหม เพราะยังไม่ได้ยิน แต่พอเสียง

ปรากฏแล้ว ได้ยินแล้วนี่ ชอบไหม ได้ยินก็ชอบที่จะได้ยิน แม้เสียงที่เพียง

ปรากฎให้ได้ยินก็ชอบแล้ว คิดดู ความไม่รู้ สภาพธรรมที่เป็นสังสารวัฏ จะ

มากมายสักแค่ไหน
เพราะฉะนั้น..ชอบทุกอย่าง ชอบสิ่งที่ปรากฏทางตา ชอบเสียงที่

ปรากฏทางหู กลิ่นชอบไหม ชอบหรือไม่ชอบ ก่อนที่จะรู้ความจริงทุกคน

ก็สะสมการชอบกลิ่นมาแล้ว แล้วแต่ว่าใคร จะชอบมากหรือชอบน้อย จะเป็น

อารัมมณาธิปติปัจจัย อารัมมณูปนิสสยปัจจัย อย่างที่กล่าวถึงเมื่อเช้านี้

ก็แล้วแต่นะ ว่าใครจะพอใจในกลิ่นมากน้อยแค่ไหน เพราะว่าคนที่มีปัญญา

มากพอนี้ ก็จะเห็นความไม่มีสาระของกลิ่น แต่สาระทางตายังมีที่จะต้องใช้ จะ

ต้องเห็น จะต้องรู้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด สาระทางหู ก็คือว่าสามารถจะได้ยิน

ได้ฟังธรรม มีการพิจารณา มีการเข้าใจได้ ไม่ใช่เพียงแต่ได้ยิน แล้วก็ติด

ข้องเพียงเท่านั้น แต่ก็ยังมีปัจจัยที สภาพธรรมที่เป็นฝ่ายโสภณ ก็จะเกิดได้

ด้วยจากการได้ยิน
เพราะฉะนั้น..ก็จะเห็นได้นะ ว่าเมื่อมีสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้แล้ว ปกติ

ธรรมดาของความไม่รู้นี้ ก็จะต้องติดข้องในเห็น ในสิ่งที่ปรากฏทางตา ในได้

ยิน ในเสียง ในกลิ่น และในสภาพคือจิตที่รู้กลิ่น ขณะที่ลิ้มรส รับประทาน

อาหาร มีใครไม่ชอบรสบ้าง รสเกิดแล้วปรากฏแล้ว ไม่ชอบหรือ ? ชอบ

เกิดแล้ว เท่านั้นเอง แล้วก็ลิ้มรสนั้น แล้วก็ชอบในสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้น

ไม่พ้นจาก ความติดข้อง ในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ

เป็น “ กามราคานุสัย ” เพราะ คำว่า “ กาม ” หมายถึง สิ่งที่น่ายินดี

พอใจ เป็น “ วัตถุกาม ” สี เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ทั้งหมดติด

ข้องอยู่อย่างนี้ ไม่ไปไหนเลย เมื่อกี้รับประทานอาหาร เย็นนี้ ก็ เป็นอย่างนี้

พรุ่งนี้ ก็ เป็นอย่างนี้ ก็เป็นอย่างนี้ในสังสารวัฏ ทั้งหมดเลย ก็เป็นความติด

ข้อง ถ้าไม่ได้สิ่งที่ต้องการ นี่แหละ เป็นปัจจัยให้เกิดความขุ่นใจ “โทสะ”
เพราะฉะนั้น..ก็จะรู้ความเป็นมา เป็นไปของจิต แต่ละประเภท ซึ่ง

เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ขณะนี้เป็นอย่างนี้ เป็นจิต ขณะนี้เป็นจิต อย่าลืม

ค่ะ เอาคน เอาชื่อ เอาอะไรออกหมด มีจิต แล้วเรากำลังฟังเรื่องจิต เพื่อ

ที่จะรู้จักจิต เข้าใจจิตตามความเป็นจริง “ จิต ” ก็เป็นเพียงธาตุหรือธรรมซึ่ง

เกิดตามเหตุตามปัจจัย


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
 หัวข้อกระทู้: Re: เรื่องของจิต
โพสต์โพสต์แล้ว: อาทิตย์ 14 มิ.ย. 2009 7:41 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586
ขอบคุณมากครับ :P

_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
 หัวข้อกระทู้: Re: เรื่องของจิต
โพสต์โพสต์แล้ว: จันทร์ 15 มิ.ย. 2009 5:30 am 
ออฟไลน์
Administrator
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 11:37 am
โพสต์: 6391
สาธุ

_________________
089 969 9445 @ anytime
line ID navaraht


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
 หัวข้อกระทู้: Re: เรื่องของจิต
โพสต์โพสต์แล้ว: จันทร์ 15 มิ.ย. 2009 11:26 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 10 ธ.ค. 2008 11:36 pm
โพสต์: 1173
0025[1].gif


อนุโมทนาด้วยครับ

_________________
หนอนในอาจมย่อมสกปรก เมื่อกลายเป็นจั๊กจั่นก็ดื่มน้ำค้าง เมื่อกลายเป็นหิ่งห้อยก็เรืองโรจน์ใต้เเสงจันทร์
พึงรู้ว่าสะอาดเกิดจากสกปรก สว่างเกิดจากมืดมน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 2 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO