|
"..พระพุทธเจ้าก็ดี พระอริยสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าก็ดี ท่านผู้เป็นพระอริยะทั้งหลายเหล่านั้น ท่านมีข้อวัตรปฏิบัติเพื่อให้เป็นเยี่ยงอย่างทุกกาลทุกเวลา ทุกอิริยาบถ ท่านไม่ได้เลิกละสละปล่อยวางจนตลอดชีวิต พระองค์ไม่คลุกคลี ทรงชักนำพาสาวกยินดีแต่ในที่สงบวิเวก พาสาวกของพระองค์ปฏิบัติ อัปปิจฉตา มักน้อย สันโดษ มีจิตใจเด็ดเดี่ยวมั่นคง คงที่ ไม่เปลี่ยนแปลง มรรคผล ธรรมวิเศษนั้น ไม่เลือกบุคคล เพศ ภูมิ ชนชั้น วรรณะ และไม่เลือกกาล สถานที่ ผู้ดีมีจน มรรคผลมีตลอดกาล ตลอดเวลา มีประจำอยู่แต่ไหนแต่ไรมา เรายังขาดศีล สมาธิ ปัญญา ศรัทธา สติ ความเพียร ยัง ไม่แก่กล้าเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ จิตจึงไม่มีกำลังต่อสู้เอาชนะกับกิเลสได้ พวกเรามานี้ไม่ใช่มาเล่น เราบวชก็ไม่ใช่บวชเล่น เราบวชจริง เรามาจริง เราต้องปฏิบัติจริง จึงจะรู้จึงจะเห็นธรรมอันเป็นของจริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงตรัสรู้ธรรมจริง เป็นสัจธรรม พระองค์ทรงแสดงธรรมเป็นคำที่มั่นคง มีอยู่และตั้งอยู่ตลอดกาล ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ทั้งในอดีต อนาคต และปัจจุบัน ไม่เคยคราคร่า ยังสดใส ใหม่เอี่ยม เต็มเปียมอยู่ตลอดกาลทุกเมื่อ ไม่เคยขาดตกบกพร่องแม้ แต่น้อย จงพากันปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจัง เพื่อจิตจะได้มีกำลังแข็งแกร่ง ต่อสู้กับข้าศึกผู้คึกคะนองก่อกวนเราอยู่ตลอดเวลา เป็นเวลาอันยาวนาน จะนับจะประมาณกี่ร้อยกี่พันกัปกัลป์อนันตชาติ ก็ประมาณมิได้ ทำให้ เราได้รับทุกข์ทรมานมาแสนสาหัสจนนับร่องรอยไม่ได้.."
ภูริทตฺตธมฺโมวาท พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร (พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)
"บางเรื่องรู้แล้วมันทุกข์ อย่ารู้ดีกว่า.. ทุกวันนี้มันมีแต่ประเภท..รู้ไปหมดแต่มันอดไม่ได้ รู้ไปทั่วแต่เอาตัวไม่รอด.."
#หลวงปู่หา สุภโร
"..ทาน เป็นการให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ ศีล เป็นเครื่องปัดป่ากิเลส ภาวนา อบรมจิตใจให้ฉลาดและเที่ยงตรงต่อเหตุผลความถูกต้อง ดังนั้นควรหันมาฝึกใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะการภาวนาช่วยแก้ความยุ่งยาก ลำบากใจทุกประเภท ที่เป็นภาระหนัก.."
โอวาทธรรม หลวงปู่มั่นภูริทัตโต
โอวาทธรรมพ่อแม่ครูอาจารย์ " หลวงปู่คำแปลง พูดมานี่เตือนสติลูกๆ หลานๆให้ตั้งใจปฏิบัติ ทำความดีให้เต็มที่ในปัจจุบันชาตินี้
เราต้องการความสุข
เราก็ต้องทำความดีในปัจจุบันนี้ให้เกิดขึ้นมากๆ
ตำราว่า.... จิตผ่องใส..
เป็นเหตุให้เกิดในสุคติได้... "
โอวาทธรรม
หลวงปู่คำแปลง ปุณณชิ
วัดหนองบัวคำแสน
อ. นากลาง จ. หนองบัวลำภู
"..เปรียบเหมือนกับเมล็ดข้าวสารที่ห่อหุ้มอยู่ด้วยเปลือกนอกของมัน และเก็บใว้ในยุ้งฉางหรือกระสอบ เมื่อได้รับสิ่งประสบ คือความเย็นชื้นแห่งดิน น้ำ และอากาศภายนอกเข้าเมื่อใด เมล็ดข้าวเหล่านั้น ก็ย่อมจะต้องแตกงอกงามออกมาเป็นต้นข้าว มีใบรวงและก่อพืชพันธุ์สืบต่อไปอีกไม่มีสิ้นสุด แต่ถ้าเรานำเมล็ดข้าวนั้นไปกะเทาะหรือฝัดสีข้าวเปลือกนอกออก หรือนำไปใส่ภาชนะคั่วไฟเสีย มันก็จะต้องหมดเชื้อหมดยางนำไปเพาะอีกไม่ได้ ฉันใดก็ดี ดวงจิตของเราก็เช่นเดียวกัน ถ้าเราได้ ใช้ความเพียร บำเพ็ญตบะ บำเพ็ญพรต แผดเผากิเลสเกิดขึ้นภายในดวงจิตของเรา ด้วยการทำสมาธิ และพิจารณาธรรมด้วยสติปัฏฐาน ๔ มีกาย เวทนา จิต ธรรม อยู่เนือง ๆ แล้ว ตัวกิเลสของเราก็ต้องกระเด็นออกไปเหมือนกับเมล็ดข้าวสารที่ถูกคั่วด้วยไฟ และกระเด็นออกไปจากกระทะฉันนั้น การบำเพ็ญอย่างนี้เรียกว่า จิตไม่ตาย พ้นจากความตาย กายก็ไม่ตาย จิตก็ไม่ตาย นี่แหละที่เข้าถึงความจริงได้ โดยประการฉะนี้.."
ธมฺมธโรวาท พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (ท่านพ่อลี ธมฺมธโร) วัดอโศการาม อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ (พ.ศ.๒๔๔๙-๒๕๐๔ )
ทำบุญให้ทานมันจึงไม่ได้ห่วงหน้าห่วงหลัง ทำทุกอย่างทำอะไรในโลกอันนี้ห่วงหน้าห่วงหลังห่วงยุ่งเหยิงวุ่นวายทั้งนั้นแหละ เมื่อมีการทำบุญแล้ว จิตทำบุญนั้นละจิตตัดความวุ่นวายยุ่งเหยิง ให้สร้างเสียเวลายังไม่ตาย ตายแล้วก็ไม่เป็นห่วง ไม่ตายก็ไม่เป็นห่วง บุญไม่ห่วงแหละอยู่ในนี้เลย ถ้าภายนอกแล้วห่วงทั้งนั้นแหละ ทั้งห่วงทั้งหวง ตายแล้วเป็นเปรตเฝ้าอยู่นั้นมันมี ในชาดกท่านแสดงไว้ อู๋ย น่าสลดสังเวชนะ ความตระหนี่ถี่เหนียวมันแสดงฤทธิ์ให้เจ้าของนั่นแหละ พูดแล้วมันสลดสังเวชนี่นะ
ฟังซิว่าความตระหนี่ถี่เหนียว สมบัติเงินทองข้าวของมีมากมีน้อยไม่แจกไม่จ่ายไม่ทำบุญให้ทาน หวงไว้ๆ จะตายก็ยังหวงอยู่ ตายไปแล้วสมบัติเงินทองข้าวของกลายไปเป็นอาจมให้เจ้าของกิน ฟังซิมันน่าสลดสังเวชไหม นั่นละโทษแห่งความตระหนี่ถี่เหนียว มันมีคุณอะไรบ้าง น่าสลดสังเวชไหมฟังกันให้ดีนะ ขนาดนั้นละ นอกจากนั้นยังเป็นเปรตเป็นผีมาเฝ้าบ้านเฝ้าเรือน ถ้าหากว่ากรรมไม่หนักมากกว่านั้น ถ้ากรรมหนักมากกว่านั้นก็จมลงในนรกเลย เพราะฉะนั้นการทำบุญให้ทานจึงตัดสิ่งเหล่านี้ออกได้ทั้งนั้นๆ ไม่มีอะไรตัดได้ ตัดสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาเหล่านี้
มีบุญเท่านั้นตัดได้ เอ้า แบ่งกินแบ่งทานจึงเรียกว่าเป็นมนุษย์ฉลาด มีแต่กินไม่ได้ทานก็ไม่ได้นะ มีแต่ทานไม่ได้กินยังพออยู่จะว่ายังไง อ้าวมันอิ่มหัวใจนี่นะ หลวงตาเล่าให้ฟัง เราอิ่มใจของเราเราอยู่ในภูเขา ไม่กินข้าวกี่วันช่างหัวมัน ภาวนาซัดกันกับกิเลส ซัดกับกิเลสจนกระทั่งชาวบ้านเขาตีเกราะประชุมเขาว่าเราตายแล้ว เราอุ่นใจอยู่นี้เราไม่ได้ห่วงอะไร แต่เขาเป็นห่วงเราเขาว่าเราจะตาย แต่เราไม่ได้ห่วงเราว่าเราจะตาย เราชมสมบัติภายในของเรานี่ มันสง่างามเหมือนจะเหาะเหินเดินฟ้าภายในใจ นั่นเห็นไหมท้องปากจะตายแต่หัวใจไม่ได้เป็นอย่างนั้น ดีดผึงๆ นั่นละจึงเอาอันนี้ละมาเป็นสักขีพยานให้พี่น้องทั้งหลายทราบ
ธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่มีฤทธิ์มีเดชมากถ้าปฏิบัติตาม แต่นี้ไม่ค่อยปฏิบัติตามกันน่ะซิ ชาวพุทธเรามีแต่ลมปากเฉยๆ ใครถามก็ว่าถือศาสนาพุทธๆ อยู่ในท้องแม่ยังไม่ได้ ตกคลอดออกมาก็ว่าศาสนาพุทธ ออกมาจากคำปากแม่ มันเป็นอย่างนั้นนะ บทเวลาให้ปฏิบัติไม่ปฏิบัติ ไม่มีจริงมีจังอะไรก็ไม่มีความแน่นหนามั่นคงภายในใจซิคนเรา ความแน่นหนามั่นคงทั้งหมดอยู่กับความดีนะ ไม่ได้อยู่กับสิ่งทั้งหลายนะ พิจารณาให้ดี
บุญกุศลเวลาเราสร้างพอเต็มที่ๆ แล้วมันถึงขั้นพอ เหมือนน้ำเต็มแก้ว เวลาพอแล้วเต็มแก้ว เอาน้ำมหาสมุทรมาก็ไม่อัศจรรย์ เอาน้ำบ่อน้ำบึงที่ไหนมาก็ไม่อัศจรรย์ เพราะเต็มแก้วแล้ว ถ้ายังไม่เต็มยังหิว เห็นอันนั้นมันคว้าเห็นอันนี้มันคว้า พอมันเต็มเต็มที่แล้วไม่หิว เอาอะไรมาก็ไม่หิว เอาอะไรมาก็ไม่อัศจรรย์เพราะพอแล้ว นั่นละคำว่าพอแล้วจึงไม่มีอะไรเสมอคำว่าพอแล้ว นิพพานแปลว่าพอแล้ว สร้างให้มันถึงเมืองพอซิในหัวใจของคนเรา เมื่อพอแล้วเป็นอย่างนั้นแหละ
ไม่ต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้า ทูลถามอะไรเป็นของอันเดียวกัน น้ำเต็มแก้วอย่างเดียวกันถามกันทำไม มองดูเต็มแก้วแล้วแก้วไหนก็เต็มอย่างเดียวกันแล้วถามกันหาอะไร แก้วนี้เต็มแล้วทำไมเป็นอย่างนั้นทำไมเป็นอย่างนี้ไม่เคยมี เต็มแล้วต้องเต็มแล้ว พระพุทธเจ้ากี่หมื่นกี่แสนกี่ล้านๆ พระองค์ไม่ต้องไปทูลถามท่าน เป็นของอันเดียวกัน นั่นละให้รู้ในหัวใจนั่นซิการปฏิบัติธรรม มาพูดโก้ๆเก้ๆเฉยๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร ให้มันเห็นในหัวใจเจ้าของนั่นซิ พระพุทธเจ้าสอนลง สนฺทิฏฺฐิโก ให้รู้เองเห็นเองนั่นแหละถนัดชัดเจนดีท่านว่า ดีกว่าไปถามคนอื่น ดีกว่าคนอื่นมาบอก ให้เราเห็นชัดเจนซิ
ศาสนาพระพุทธเจ้าเป็นตลาดแห่งมรรคผลนิพพาน แต่พวกเรามาทำเป็นกระดาษเศษไปหมด หนังสือก็เรียน เรียนมาได้แต่ความจำ ความจริงไม่มีในหัวใจก็ร้อนเหมือนไฟนั่นแหละ ถ้าความจริงมีอยู่ในหัวใจมากน้อยแล้วเย็นคนเรา เย็นๆ ฟาดให้มันเต็มแก้วซิน้ำ พอแล้วอยู่ไหนสบาย ตายเมื่อไรว่าพร้อมก็ยังไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ว่าพอแล้วตายเมื่อไรก็ได้ พอแล้วว่างั้น พอ นั่นซิผู้ปฏิบัติธรรมให้มันเห็นอยู่ในหัวใจเจ้าของนั่นซิ พระพุทธเจ้าเห็นในหัวใจ พระสาวกทั้งหลาย ครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเห็นในหัวใจ เต็มในหัวใจแล้ว ก็สดๆ ร้อนๆ เหมือนกันกับพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่นั่นแหละ ไม่ผิดแปลกอะไร ธรรมอันเดียวกัน กิเลสประเภทเดียวกัน ฟาดมันม้วนเสื่อลงไปหมดแล้วไม่มีอะไรมากวนใจ นั่นแหละแสนสบาย อยู่ในใจนี่แหละ
พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน) จากธรรมเทศนา “ ตายแบบพระพุทธเจ้า” แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๔๐(เช้า) ณ วัดป่าบ้านตาด
"..มีน้อยเราก็ทำตามน้อย มีมากทำตามมาก ไม่เห็นแก่ความทุกข์ความยาก ความลำบาก ไม่เห็นแก่สิ่งขัดข้องทั้งหลายมาเป็นอุปสรรค มีความมุ่งอยู่เสมอที่จะบำเพ็ญคุณงามความดีให้เป็นไปในจิตสันดานของตน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว บุญกุศลที่เราจะพึงได้รับ ย่อมเป็นไปเช่นเดียวกับสาธุชนทั้งหลายโดยไม่ต้องสงสัย เพราะการสร้างคุณงามความดีนี้นั้น สัตว์เดรัจฉานทั่วๆ ไปเขาไม่มีโอกาสที่จะสร้างได้เหมือนอย่างมนุษย์เรา เรามีโอกาสรู้ดี ชั่ว สุข ทุกข์ รู้บุญรู้บาป แล้วสร้างคุณงามความดีใส่ตนได้ จึงชื่อว่ามนุษย์นี้เป็นมนุษย์ที่มีความได้เปรียบกว่าบรรดาสัตว์เดรัจฉานทั้งหลายซึ่งเขาไม่มีโอกาส ดังนั้นบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลายที่ได้มาบริจาคทานในวันนี้ แม้แต่เมล็ดหนึ่งขึ้นไปในบรรดาข้าวทั้งหลายที่ท่านคณะศรัทธาได้มาบริจาค โปรดได้ทราบว่าได้ฝังไว้แล้วในพระพุทธศาสนา เช่นเดียวกับเราฝากทรัพย์ไว้ในธนาคารต่างๆ จะเป็นธนาคารใดก็ตาม ธนาคารนั้นๆ ย่อมเป็นผู้ค้ำประกันทรัพย์สมบัติของเรามากน้อยที่ได้ฝากไว้แล้วในธนาคารนั้นๆ แต่ธนาคารในเมื่อมีเหตุสุดวิสัย สมบัติของเราที่ฝากไว้นั้นอาจจะอันตรธานไปได้ แต่ที่เราฝากไว้ในพระพุทธศาสนานี้นั้น ย่อมเป็นที่แน่นอนที่สุดว่าจะต้องเป็นของเราอยู่ตลอดกัปตลอดกัลป์ จนกระทั่งถึงได้พ้นจากทุกข์ในวัฏสงสารถึงพระนิพพานเสียเมื่อใด บุญกุศลก็ยังต้องส่งเราถึงสถานที่นั้นจนกระทั่งถึงวันนิพพาน.."
โอวาทธรรมคำสอน พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน) วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี (พ.ศ.๒๔๕๖-๒๕๕๔)
...สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราท่านจึงว่า เมื่อเราเห็น รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์เกิดขึ้นมาแล้ว ควรปล่อยเขาไปเสีย เมื่อหูได้ยินเสียง ก็ปล่อยเขาไปเสีย เมื่อจมูกได้กลิ่น ก็ปล่อยเขาไปเสีย เมื่อรสมันเกิดขึ้นกับลิ้นของเรา ก็ปล่อยเขาไปเสีย เมื่อโผฏฐัพพะที่ถูกต้องด้วยกายเกิดขึ้นมา ชอบใจ ไม่ชอบใจ ก็ปล่อยเขาไปเสีย ให้กลับไปที่เดิมของเขาเสีย เรื่องธรรมารมณ์ที่เกิดขึ้นกับใจของเรานี้ มันไม่ต้องอาศัยอะไร ไม่ต้องอาศัยสัมผัสอะไร มันสัมผัสขึ้นที่ใจของมันเอง เรียกว่า ธรรมารมณ์ หรือ #ธรรมะกับอารมณ์ เป็นส่วนดีก็เรียกว่า #กุศล เป็นส่วนที่ชั่วก็เรียกว่า #อกุศล สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ให้ปล่อยไปตามเรื่องของเขาเสีย เรียกว่าเรารู้มันอย่างนี้แล้ว สุขก็ดี ทุกข์ก็ดี สารพัดอย่างอยู่ในรูปอันเดียวกัน การทําใจให้สงบเช่นนี้เรียกว่า #การภาวนา
...การภาวนา คือ #การทําให้สงบ เมื่อสงบแล้วก็คือ #ทำให้รู้ การทำให้สงบหรือทำให้รู้นี้ต้องลงมือปฏิบัติกายกับจิตสองอย่างนี้เอง ไม่ใช่อื่น ความเป็นจริงสิ่งที่กล่าวนี้ มันเป็นสิ่งละสิ่ง เช่น รูปก็เป็นส่วนหนึ่ง เสียงก็เป็นส่วนหนึ่ง กลิ่นก็เป็นส่วนหนึ่ง รสก็เป็นส่วนหนึ่ง โผฏฐัพพะก็เป็นส่วนหนึ่ง ธรรมารมณ์ก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่ละอย่างนี้ ก็เป็นคนละส่วนๆ อยู่ แต่ท่านก็ให้เรารู้จักมันเสีย แยกสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ออก สรุปเป็นสุขบ้าง ทุกข์บ้าง สุขเกิดขึ้นมาก็เป็น #สุขเวทนา ทุกข์มันเกิดขึ้นมาก็เรียก #ทุกขเวทนา
พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภทฺโท)
..สิ้นลมปราณเมื่อไร ตั้งใจไปนิพพาน..
...#คําว่าไม่สนใจไม่ได้หมายความว่าจะปล่อยให้มันหิวตาย ไม่ใช่อย่างนั้น คือว่ามันอยากจะแก่ก็เชิญมันแก่ เราเชิญมันแก่หรือไม่เชิญมันแก่ มันก็แก่ ใช่ไหม ก็เชิญมันไปเสียเลย หมดเรื่องหมดราว ถ้าร่างกายป่วยก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะร่างกายคนเกิดขึ้นมา หนึ่ง ต้องแก่ทุกวัน สอง ต้องมีอาการป่วยไข้ไม่สบายเป็นของธรรมดา สาม มีความตายไปในที่สุด รวมความว่าร่างกายจะมีสภาวะเป็นอย่างไรก็ตามที ก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาของร่างกาย จิตใจไม่หวั่นไหวในเมื่อร่างกายแก่ ไม่มีความเดือดร้อนเกินไปในขณะที่ร่างกายป่วยไข้ไม่สบาย ความตายจะเข้ามาถึงก็ไม่หนักใจ เพราะว่าตายเมื่อไรขอไปนิพพานเมื่อนั้น
...ถ้าจิตใจของบรรดาท่านพุทธบริษัทวางเฉยได้อย่างนี้เรียกว่า สังขารุเปกขาญาณ ถ้าทำอย่างนี้ถ้าจิตยังทรงตัวแบบนี้ เขาเรียก #พระอรหันต์ เป็นไหวไหม ไหวน่ะ ไม่ใช่ไม่ไหว ถ้าเป็นได้นะ ถ้าเป็นได้ ไหว ถ้าเป็นไม่ได้ ไม่ไหว ถูกไหม รวมความว่าถ้าฆราวาสนี้ ความจริงได้เปรียบพระ ฆราวาสถ้าเป็นพระอรหันต์วันไหนนิพพานวันนั้น ถ้าหากว่าฆราวาส มาบอกกับท่านทั้งหลายว่าเขาเป็นพระอรหันต์ อย่า...เชื่อไม่ได้ สภาวะฆราวาสไม่สามารถจะทรง ความเป็นพระอรหันต์ไว้ได้ เมื่อทรงไม่ได้ เมื่อเป็นอรหันต์แล้วก็ต้องตาย ต้องไปนิพพาน สำหรับพระกับเณรนี่ถ้าทรงความเป็นพระอรหันต์ได้ ต้องอยู่ต่อไป ประเภทไหนดี ประเภทต้นดีกว่า เพราะว่าท่านที่เป็นพระอรหันต์จริงๆ ความจริงไม่ต้องถึงพระอรหันต์ ขั้นอนาคามี พอถึงอนาคามีท่านก็เบื่อโลกเบื่อร่างกายแล้ว ความพอใจในร่างกายของท่านไม่มี แล้ว เลิกกัน เบื่อ เขาเรียก #นิพพิทาญาณ พอถึงอรหันต์ก็เข้าถึงสังขารุเปกขาญาณ วางเฉยหมด เฉยในร่างกายของเรา เฉยในทรัพย์สินต่างๆ ฉะนั้นเป็นฆราวาสอยู่ไม่ได้ต้องนิพพาน ในวันนั้น รวมความว่าการปฏิบัติของบรรดาท่านพุทธบริษัท ก็ขอทุกคนจะทําบุญประเภทไหนก็ตาม ให้หวังพระนิพพานเป็นที่ไป แต่การหวังนิพพานได้แน่นอนคือ
...#พยายามตัดโลภะ ความโลภ จงอย่าคิดอยากได้ทรัพย์สมบัติของบุคคลอื่นใด ที่ไม่ใช่ของเราโดยไม่ชอบธรรม ใช่ไหม ลักเขาบ้าง ขโมยเขาบ้าง โกงเขาบ้าง จงอย่าคิด คิด อย่างเดียวว่าทรัพย์สมบัติของเขา ถ้าเราอยากได้ เราซื้อเขาเราแลกเขา เขาพอใจเราเอา อย่างนี้ไม่ใช่โลภนะ ที่ว่าได้มาโดยชอบธรรม การตัดโลภะ ความโลภ ก็ใช้จาคานุสสติกรรมฐาน เป็นพื้นฐาน จาคานุสสติก็คือ คิดอยากจะสงเคราะห์ เห็นคนก็ดี สัตว์ก็ดีถ้ามีทุกข์ ถ้าไม่เกิน วิสัยที่เราจะสงเคราะห์ได้ เราจะสงเคราะห์เขาให้มีความสุขตามกำลัง แต่ถ้าหากว่ากำลังจะสงเคราะห์ของเรายังไม่มี ทรัพย์สินมีไม่พอ เรายังไม่มีจะให้ การให้ถือว่าเป็นทาน จิตคิดจะให้เป็นจาคานุสสติ จิตก็ยังคิดว่าเราต้องการจะสงเคราะห์อยู่ อย่างนี้มีอยู่ อย่างนี้ความโลภขาดจากจิต หมดความโลภไปตัวหนึ่ง ใกล้นิพพานเข้าไปแล้ว ใช่ไหม
...ต่อมาก็ #ตัดโทสะ ความโกรธ จิตคิดถึงความเป็นจริงว่าการโกรธเป็นศัตรูกันเป็นเหตุสร้างความเร่าร้อนให้เกิดขึ้น ถ้าเรามีเมตตาความรักซึ่งกันและกัน กรุณาความสงสารซึ่งกันและ กัน ก็มีความสุข ในเมื่อความโกรธเป็นปัจจัย เกิดความเร่าร้อน เราจะไม่โกรธใคร ตื่นขึ้นเช้า คิดไว้เสมอว่า วันนี้เราจะเป็นมิตรที่ดีของคนและสัตว์ทั้งโลก ถ้าไม่เกินวิสัย และใครมีทุกข์ ไม่เกินวิสัย เราจะสงเคราะห์ให้เกิดมีความสุขตามกำลัง ตั้งใจไว้ตั้งแต่ตอนเช้าตรู่ที่ตื่นใหม่ๆ อย่างนี้ทุกวันไม่ช้าจิตมันก็จะชิน ความโกรธก็ค่อยๆ คลายตัว
...แล้วต่อมาด้าน #ความหลง ก็คิดถึงความเป็นจริงว่า โลกทั้งโลกเต็มไปด้วยความทุกข์ คนทุกคนในโลกไม่มีใครมีความสุขจริง มีความทุกข์ทั้งหมด ทุกข์จากความหิว หิวทุกคน แล้วทุกข์จากการเหน็ดเหนื่อยจากการงานอย่างนี้ก็มีทุกคน ทุกข์จากความแก่อย่างนี้มีทุกคน ทุกข์จากความป่วยไข้ไม่สบายอย่างนี้มีทุกคน ทุกข์จากการพลัดพรากจากของรักของชอบใจอย่างนี้มีทุกคน ทุกข์จากความตายที่จะเข้ามาถึงก็มีทุกคน
พระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโร)
" ให้ตั้งใจปฏิบัติขัดเกลากิเลสถ้าไม่ปฏิบัติขัดเกลากิเลสออก กิเลสมันก็ติดอยู่ในหัวใจ กิเลสหนา ปัญญาหยาบฝึกหัดปัญญาให้มันแกะกิเลสออก กิเลส คือความมืดความดำ ความมืดมัวไม่รู้จักชอบ ไม่รู้จักดีจักชั่ว นี่่ แกะออกจากหัวใจ
หัวใจมันมืดมันดำให้เอาพุทโธ พุทโธ พุทโธนี่เป็นส่วนผู้สว่างเด้อ แปลว่า ผู้ตื่น ตื่น คือ บ่ทำชั่ว สว่างคือทำคุณงามความดี มีจิตใจเลื่อมใส ยินดีในธรรม
ฝึกหัดเอาเด้อ ถ้าบ่ฝึกก็บ่ได้ กิเลสเอาไปกินหมด ฝึกหัดทางธรรม ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าคือฝึกหัดขัดเกลากิเลสออกจากใจให้มันเบามันบางลง ปัญญาก็เกิดจากใจนี่แหละคือ สัมมาทิฏฐิ ปัญญาอันเห็นชอบ"
สัมมาทิฏฐิ ปัญญาอันเห็นชอบ
สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สององค์นี้เป็นองค์ของปัญญา เพื่อแก้ไขกิเลสได้ รวมลงมาและเป็น ศีล สมาธิ ปัญญา นั่นแหละ รวมให้ย่อลงมามี ๓ อย่าง มี ศีล สมาธิ ปัญญา
ศีล คือ รักษากาย วาจาเรียบร้อย ไม่มีโทษ เรียกว่ามีศีล สมาธิ ความตั้งใจมั่น ถ้าเราไม่ตั้งใจก็ไม่มั่น ก็งอนแงนคลอนแคลนตามกิเลสนั่นแหละ ดังนั้นจึงให้มีศีล สมาธิ ปัญญา ๓ อย่างนี้นั่นก็ถอดออกมาจากมรรค ๘ คือ หนทางเดินให้ถึงความดับทุกข์
สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ คือ องค์ของปัญญา สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว องค์ของศีล สัมมาวาจา คือ วาจาชอบ สัมมากัมมันโต การงานชอบ การงานไม่ผิดธรรม การงานไม่ผิดศีลผิดธรรม การงานของเราหลายอย่างเด้อ ให้การงานชอบ ทางดี
สัมมาอาชีโว เลี้ยงชอบ เลียงชีวิตตามธรรม ตามวินัย สัมมาอาชีโว สัมมากัมมันโต นี้คือ องค์ของศีล
สัมมาวายาโม ต่อไปอีก คือ ความเพียรชอบ มีความเพียร พยายาม เพียรทำสมาธิ เพียรทำบุญ เพียรสำรวมระวังไม่ให้บาปเกิดขึ้น เรียกว่าความเพียรชอบ เพียรระวังไม่ให้บาปเกิดขึ้นและเพียรละบาปที่เกิดขึ้นแล้ว เพราะเราระวังแล้วเด้ เรารู้แล้วว่าสิ่งนี้มันเป็นบาปเด้ เราต้องละ ละบาป เพราะเรามีสัมมาวายาโม เพียรละบาปที่เกิดขึ้น มันเป็นบาปอันนี้ มันเป็นบาปก็ระวัง เพียรทำบุญ เพียรภาวนาให้บุญกุศลเกิดขึ้น ทางกาย ทางวาจา ทางใจของเรา เพียรให้บุญเกิดขึ้น แล้วก็เพียรรักษาบุญที่เกิดขึ้นไม่ให้เสื่อมไป นี่คือความเพียรชอบ รักษาไว้ สังวรปธาน ปหารปธาน ภาวนาปธาน อนุรักขนาปธาน ปธานคือความเพียร อนุรักขนาปธาน เรียกว่ารักษาไว้ ภาวนาปธาน ให้ภาวนานั่นแหละ ครูบาอาจารย์แนะนำสั่งสอนไว้ ให้ภาวนากัน คำว่าภาวนาเนี่ย เพียรภาวนาให้บุญมันเกิดขึ้นเป็น พระพุทธเจ้าสอนว่าอย่างนั้นเด้ สัมมาวายาโมในองค์มรรค ๘
สัมมาสติ สติ คือ ให้มีความระลึกได้ ให้มีสติอยู่กับ พุทโธ พุทโธ พุทโธนั่นแหละ สติ สำคัญมาก ให้เป็นมหาสติปัฏฐาน ๔ นั่นแหละ มหาสติปัฏฐาน ๔ ให้ระลึกถึงกายของเรานี่แหละ ถึงเวทนา ถึงจิต ถึงธรรม กาย เวทนา จิต ธรรม เรียกว่ามหาสติปัฏฐาน ๔ ถ้าสติไม่แก่กล้า สมาธิไม่เกิด สัมมาวายาโม สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ๓ อย่างนี้ เป็นองค์ของสมาธิ ย่นเข้ามา เขาเรียกว่าสมาธิ รวมกันเล้วเรียกว่าศีล สมาธิ ปัญญา รวมให้สั้น ให้จำได้ง่าย เรามีศีลมั้ย ทำอะไรก็ตามก็ให้เอาศีลเทียบดู จำง่ายๆเลย ถ้ามันผิดศีลก็อย่าทำ ผิดศีลมันเป็นบาป สมาธิเนี่ย คือตั้งใจมั่น ถ้าไม่มั่นก็ไม่เป็นสมาธิ ให้มันอยู่อันเดียว พุทโธ พุทโธ ให้จิตอยู่กับพุทโธ เนี่ยแหละ เรียกว่าให้ตั้งใจมั่น ถ้าจิตมันเผลอเมื่อไหร่ ถ้าเผลอ เรียกว่า ขาดสติ
สัมมาสมาธิ สุดท้าย จิตมันต้องเป็นสมาธิ สติเพียงพอ สมาธิจะเกิด จิตมันจะรวมลง จะเป็นขณิกสมาธิเบื้องต้นนิดๆหน่อยๆ นานเข้าไปจะเรียกว่าอุปจารสมาธิ นานเข้าไปอีกเป็นอัปปนาสมาธิ มันเป็นขั้นตอนไป ถ้าเรามีความเพียร ความพยายาม ความตั้งใจ หนีจากคำสั่งสอนไปไม่ได้ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเนี่ยรวมหมดเรียกว่า มรรค ๘
ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เรียกว่า อริยสัจ ๔ ทุกข์เป็นของควรรู้ สมุทัยเป็นของควรละ นิโรธเป็นของควรทำให้แจ้ง มรรคเป็นของควรทำให้เกิดให้มี... "
โอวาทพระธรรมคำสอน
พระราชวชิรอุดมมงคล พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่บุญมา สุชีโว อายุวัฒมงคล ๙๔ ปี ๗๔ พรรษา วัดสามัคคีสิริมงคล (วัดป่าสุขเกษม) อำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู
“ใครจะว่าเราดีเราชั่วนั้นไม่ใช่อยู่ที่คนพูด แต่อยู่ที่การกระทำของเรา ถ้าหากเขาว่าเราดี แต่เราไม่ดีจริงก็ไม่มีความหมาย”
หลวงพ่อเกษม เขมโก
“ทุกๆ คน ควรรีบขวนขวาย ซึ่งความงามความดี ทั้งเด็กและผู้ใหญ่
เป็นเด็กก็อย่าได้เกียจคร้านในการเรียนหนังสือ จงตั้งจิตตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ให้มีความรู้ ความเฉลียวฉลาด ความสามารถ
เป็นผู้ใหญ่แล้ว ก็จงตั้งตัวตั้งตนให้ดี ให้มีความขยัน มีความประหยัด ให้คบแต่คนดี ให้รู้จักประมาณ ในการใช้จ่าย
ถ้าเป็นผู้เฒ่าผู้แก่แล้ว ก็เตรียมตัวเพื่อคุณงามความดี ให้ยิ่งๆ กว่าเด็กและคนหนุ่มทั้งหลาย”
ครูบาเจ้าพรหมา พรหมจักโก
|