นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อาทิตย์ 07 ธ.ค. 2025 6:34 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: การมีสติ
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 03 ธ.ค. 2025 11:38 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 5136
การปฏิบัติให้เอาตายเข้าไปสู่ อย่าไปกลัวตาย อย่างสมัยก่อนนั่งภาวนาคนเดียวหมดคืนถึงสว่างไม่ได้ แต่นั่งกับหมู่คณะได้ ก็เลยมานั่งภาวนาอยู่ตรงหน้าผา นั่งติดหน้าผา ถ้ามันหลับให้มันตกหน้าผาตายไปเลย มันกลัวตายมันก็มีสติว่าจะไม่หลับ ไม่อยากหลับ นั่งไปนั่งมาก็ถึงสว่างได้ พอนั่งภาวนาถึงสว่างได้ ก็มาฝึกให้มันเป็นสมาธิระลึกได้รู้ตัวอยู่ตลอด ทำจิตใจให้มันสงบ ไม่ให้มันปรุงแต่งไปทางไหน กำหนดลมหายใจเข้าออกหรือจะเป็นอานาปานสติ ก็ทำไป แล้วแต่จริตนิสัย เหตุที่ครูบาอาจารย์ให้นั่งถึงสว่าง เพราะท่านจะฝึกให้เห็นทุกข์ให้รู้ทุกข์ เวลานั่งไปนานๆ จะปวดขาแน่ จิตปรุงไปทางนั้นทางนี้แน่ ความอดทนไม่มีแน่ ฝึกให้มีความมุ่งมั่น มันมีเหตุผลอยู่ ไม่ใช่ว่าเหตุที่ท่านให้นั่งภาวนาหมดคืนถึงสว่างจะไม่มีเหตุผล ถ้าจิตมันสงบ จิตมันเป็นสมาธิแล้ว ทำอะไรมันก็สบาย ใจดี ความชั่วจะไม่เกิดกับผู้เป็นนักปฏิบัติ เพราะมันจะเกิดความละอายบาป จะทำบาปมันก็จะมีสติขึ้นมาเตือน อย่างสมัยก่อนหลวงปู่ดุเก่ง พอพิจารณาว่าดุด่ากันไม่ดี มันเป็นทุพภาสิต พอจะดุจะด่าใคร ก็ระงับไว้เสีย แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่ด่า ผู้ที่ถูกด่าก็ยังมีอยู่ จะด่าแต่ผู้อยู่นำ ผู้อุปัฏฐาก ด่าให้มันละโทสะ ละโกรธ ละอารมณ์โมโห ไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผล เวลาหลวงปู่ด่า ถ้าผู้มีปัญญาเข้ากะจะพิจารณาได้อยู่ แต่พระทุกวันนี้ ถ้าด่าเขาก็จะโกรธจะมีอารมณ์ขึ้นมาทันที เพราะขาดการฝึกฝน มีแต่จะทำเอาใจตัวเอง

ธรรมมะหลวงปู่ชนะ อุตฺตมลาโภ





" จะทำอะไรต้องมีสติเป็นตัวกับเสมอ นั่ง นอน ยืน เดิน เจ็บไข้ ต้องคิดให้ได้ว่ามันเป็นธรรมดาของชีวิต เราคิดและเชื่อเช่นนี้มาตลอด การคิดเช่นนี้จะทำให้เรามีสิ่งคอยยึดเหนี่ยว ไม่หลงระเริง ไม่เห่อเหิมไปกับมัน "

โอวาทธรรมคำสอน
พ่อท่านสงวน อธิจิตโต
จ.สตูล







“พระโสดาบันละร่างกายของทุกคนได้“

ถาม: พระโสดาบันท่านสามารถละความอยากให้ผู้อื่นไม่เจ็บไม่ตายด้วยหรือไม่คะ ถ้าไม่ใช่ต้องเป็นพระอริยะขั้นไหนคะ

พระอาจารย์: ท่านก็ละทั้งตัวท่านและผู้อื่น เพราะร่างกายท่านจะเห็นว่าเหมือนกัน ร่างกายของท่านกับร่างกายของผู้อื่นก็เป็นร่างกายที่ต้องแก่เจ็บตายเหมือนกัน ถ้าท่านละร่างกายของท่านได้ ท่านก็ละร่างกายของผู้อื่นได้ ท่านก็จะเห็นว่า ความเจ็บความตายของผู้อื่นนี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าอยากให้เขาไม่เจ็บไม่ตายก็จะทำให้ใจทุกข์ไปเปล่าๆ เหมือนกับร่างกายของตนเอง มันก็ต้องเจ็บต้องตาย ไปอยากให้มันไม่เจ็บไม่ตาย มันก็จะทำให้ทุกข์เหมือนกัน งั้นถ้าพระโสดาบันนี้ท่านละร่างกายของท่านได้แล้ว ท่านก็ละร่างกายของทุกคนได้.

สนทนาธรรมหน้ากุฏิ
วันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๓

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี





“สุขที่อยู่เหนือทุกข์“

เพราะโดยธรรมชาติของลาภ ยศ สรรเสริญ สุขนั้น เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนนั่นเอง วันนี้มีลาภ พรุ่งนี้ก็อาจจะเสื่อมลาภได้ วันนี้มียศ พรุ่งนี้ก็อาจจะเสื่อมยศได้ วันนี้มีสรรเสริญ พรุ่งนี้ก็อาจจะมีนินทาได้ วันนี้มีสุข พรุ่งนี้ก็อาจจะมีทุกข์ได้

ถ้าไม่ฉลาด ไปหลงยึดติดอยู่กับลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เวลาเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมา พลิกหน้ามือเป็นหลังมือแล้ว ก็จะรับสภาพนั้นไม่ได้
ดังที่เราเห็นกันอยู่ในโลกนี้ คนที่ต้องประสบกับความสูญเสียในลาภ ยศ สรรเสริญ สุขนั้น มีความทุกข์แสนสาหัส บางคนไม่สามารถทนอยู่ในโลกต่อไปได้ ถึงกับต้องทำร้ายชีวิตของตนเอง

เพราะคิดว่าชีวิตนี้ไม่มีความหมายแล้ว เพราะจะมีแต่ความทุกข์อยู่อย่างเดียวเท่านั้น นี่เป็นเพราะว่าไม่เคยได้ยินได้ฟัง พระธรรมคำสอนอันประเสริฐของพระพุทธเจ้า ที่ทรงชี้ให้เห็นถึงความสุขที่แท้จริง ในท่ามกลางโลกของความทุกข์นี้ว่ายังมีความสุขอยู่ สามารถมีความสุขที่อยู่เหนือความทุกข์แห่งลาภ ยศ สรรเสริญ สุขได้

ถ้ารู้จักวิธีดำเนินชีวิตให้ถูกต้อง ปฏิบัติทางกาย วาจา ใจให้เป็นไป เพื่อเป็นเหตุที่จะสร้างความสุขนี้ให้ปรากฏขึ้นมา เมื่อได้รับความสุขนี้แล้วจะเป็นความสุขที่พอ ไม่มีความหิวกระหายตามมา ไม่เหมือนกับความสุขที่ได้สัมผัสในทางโลก ไม่ว่าจะเป็นรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะชนิดใดก็ตาม เวลาที่ได้สัมผัสก็จะมีความสุข มีความสบายใจ ถ้าไม่ได้สัมผัสก็จะเกิดความว้าเหว่ อยากจะเสพสัมผัสอีก เพราะโดยธรรมชาติของลาภ ยศ สรรเสริญ สุข รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะนั้น ล้วนเป็นของที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอนนั่นเอง ไม่สามารถให้ความอิ่มความพอกับผู้เสพ จำต้องแสวงหามาใหม่อยู่ตลอดเวลา

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี

กำลังใจ ๑๓ กัณฑ์ที่ ๑๘๓
วันที่ ๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๖






อย่าโกรธแค้นใครเลย ผลที่เราเจอวันนี้ มันเป็นวิบากกรรม

แผ่เมตตาให้เขาบ่อยๆ จะได้ไม่จองเวรกัน

(หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)





"..ธรรมะหลวงปู่ดุลย์ อตุโล สอนเรื่องจิตก่อนตาย.."
"..เรื่องจิตก่อนตายนั้น สำคัญมากหากเวลาดับจิต หากจิต"ดี" ก็ได้ไปที่ "ดีๆ"หากจิต “หมอง” จิต “ร้าย” ก็จะไปสู่ “อบายภพ” ที่ร้อนร้ายในทันใด ซึ่งจิตก่อนตายนี้ เป็นของไม่แน่นอน บังคับไม่ได้ แล้วแต่วาระหรือกรรมจะพาให้เป็นไป ด้วยเหตุนี้บางคน แม้เคยทำบุญมามากต่อมากแต่ตายไปกลับไปตกนรกทั้งนี้เป็นเพราะ"จิตหมอง"ก่อนตาย บางคน แม้จะทำบาปทำกรรมมามากมาย แต่ตายไป กลับไปอยู่บนสวรรค์ทั้งนี้เพราะเกิด"จิตใส"ตอนดับจิต กรณีทั้งสองแบบ ล้วนมีบันทึกไว้ในพระไตรปิฏกมาแล้วทั้งสิ้นแต่สำหรับคนที่เคย"ฝึกจิต"มาก่อนวินาทีที่รู้ตัวว่า อย่างไรเสียจะต้องตายหรือดับจิตลงไปแน่ๆหาก"ทำเป็น" ก็อาจพลิกจิตยกขึ้นสู่ภูมิสูง ไปสู่"สุคติ"หรือ"อริยะ" ไป "สุคติภพ"หรือ"อริยภูมิ" เลยก็ได้

สำหรับวิธีตกกระไดพลอยกระโจน (สู่สุคติภพหรืออริยภูมิ)ของพระราชวุฒาจารย์หลวงปู่ดุลย์ อตุโล วัดบูรพาราม สุรินทร์ ก็คือ

ปล่อยวางทั้งอดีต อนาคต และปัจจุบันอยู่กับความไม่มีไม่เป็น ว่าง สว่าง บริสุทธิ์ หยุดการปรุงแต่ง หยุดการแสวงหา หยุดกิริยาจิต ไม่มีอะไรเลยไม่ยึดถืออะไรสักอย่าง
พระอริยเจ้ามีจิตไม่ส่งออกนอกจิตไม่หวั่นไหว จิตไม่กระเพื่อมมีสติอย่างสมบูรณ์เป็น วิหารธรรมมีสติอย่างสมบูรณ์ เป็นเครื่องอยู่วิธีทำหยุดคิด อย่าส่งจิตออกนอกมีสติอย่างสมบูรณ์เป็นเครื่องอยู่แต่เรื่องของการ"พลิกจิต" ช่วงสุดท้ายนี้ หลวงปู่ดุลย์ท่านว่าบุคคลนั้นๆต้องเคย"ฝึก"มาก่อน จึงจะทำได้จริง พอดี.."

โอวาทธรรมคำสอน
พระราชวุฒาจารย์
(หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)
วัดบูรพาราม อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ (พ.ศ.๒๔๓๑-๒๕๒๖)





" รีบพายเรือ ตะวันจะสาย ตลาดจะวาย
สายบัวจะเน่า "

รีบพายเรือ คือ รีบเดินจงกรม เดินภาวนา ยืน
ภาวนา นั่งภาวนา อดนอนผ่อนอาหาร
พิจารณาธาตุขันธ์ น้อมลงสู่ไตรลักษณ์เห็น
แจ้งประจักษ์ทุกเมื่อ จิตจะรวมลงสู่ภวังคภพ
อันแน่นแฟ้นแล้วเห็นของจริง อะไรบ้าง อยู่
ในตลาดนี้

ร่างกายนี้เปรียบเหมือนตลาดนั่นแหละ มีทุก
อย่างทุกประการ รีบขายของ รีบรื้อถอน
ของออกจากใจ คือกิเลส เมื่อเก็บเอาได้แล้ว
นั่นแหละ เป็นผู้ขายของขาด ถึงไม่หมดก็
แปลว่าขาดนั่นแหละ รีบพายเรือ

ตะวันจะสาย คือมันจะแก่ นั่นแหละ รีบ
ทำคุณงามความดี ร่างกายนี้มันจะแก่

ตลาดจะวาย สายบัวจะเน่า ก็คือ ตาย
ร่างกายเปรียบเสมือนสายบัว วายคือตาย
สายบัวมันก็เน่า เปื่อยเน่าเท่านั้น เมื่อถึง
สภาพเปื่อยเน่า แล้วก็ไม่มีอะไรเป็นของๆ
เราแท้

...หลวงปู่ขาว อนาลโย





"..การทำความเพียรของผู้ตั้งใจจะข้ามโลก ไม่ขอเกิดมาแบกหามกองทุกข์นานาชนิดอีกต่อไป ต้องเป็นความเพียรชนิดเอาตายเข้าแลกกัน เฉพาะผมเองก่อนที่จะมาเป็นอาจารย์สอนหมู่คณะ มิได้นึกว่าชีวิตจะยังเหลือเดนมาเลย เพราะความมุ่งมั่นต่อธรรมแดนหลุดพ้นมีระดับสูงเหนือชีวิตที่ครองตัวอยู่ การทำความเพียรทุกประโยคและทุกอิริยาบถได้ตั้งเข็มทิศไว้เหนือชีวิตทุกระยะ ไม่ยอมให้ความอาลัยเสียดายในชีวิตเข้ามากีดขวางในวงความเพียรเลย นอกจากความบีบบังคับของจิตที่เต็มไปด้วยความหวังต่อทางหลุดพ้นเท่านั้น เป็นผู้บงการแต่ผู้เดียวว่า ถ้าขันธ์ทนไม่ไหวจะแตกตายไปก็ขอให้แตกไป เราเคยตายมาแล้วจนเบื่อระอา ถ้าไม่ตายขอให้รู้ธรรมที่พระองค์รู้เห็น อย่างอื่นไม่ปรารถนาอยากรู้อยากเห็น เพราะเบื่อต่อการรู้เห็นมาเต็มประดาแล้ว บัดนี้เราอยากรู้เพียงอย่างเดียวคือสิ่งที่เรารู้แล้วไม่ต้องกลับมาลุ่มหลงเกิดตายอีกต่อไป สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ปรารถนาอย่างยิ่งของเราในบัดนี้.."

ภูริทตฺตธมฺโมวาท
พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร (พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)






#ผู้มีเมตตาจิตต่อเพื่อนมนุษย์

"... และสัตว์ผู้อาภัพด้วยการให้ การเสียสละแบ่งปัน
มากน้อยตามกำลังของวัตถุเครื่องสงเคราะห์ที่มีอยู่​
จะเป็นวัตถุทาน ธรรมทาน หรือวิทยาทานแขนงต่างๆก็ตาม ที่ให้เพื่อสงเคราะห์ผู้อื่นโดยมิได้ หวังค่าตอบแทนใดๆ..

... นอกจากกุศล คือความดีที่เกิดจากทานนั้น
ซึ่งเป็นสิ่งตอบแทนให้เจ้าของทานได้รับอยู่โดยดีเท่านั้น
ตลอดอภัยทานที่ควรให้แก่กัน ในเวลาอีกฝ่ายหนึ่งผิดพลาดหรือล่วงเกิน ..."

#คนมีทานหรือคนที่เด่นในการให้ทานย่อมเป็นผู้สง่าผ่าเผย
#และเด่นในปวงชน_โดยไม่นิยมรูปร่างลักษณะ
---------------------------------------------
#โอวาทธรรม ...
#พระครูวินัยธร (มั่น ภูริทตฺโต)
"อาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนา"
วัดป่าสุทธาวาส ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง
จ.สกลนคร (พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)








" รีบพายเรือ ตะวันจะสาย ตลาดจะวาย
สายบัวจะเน่า "

รีบพายเรือ คือ รีบเดินจงกรม เดินภาวนา ยืน
ภาวนา นั่งภาวนา อดนอนผ่อนอาหาร
พิจารณาธาตุขันธ์ น้อมลงสู่ไตรลักษณ์เห็น
แจ้งประจักษ์ทุกเมื่อ จิตจะรวมลงสู่ภวังคภพ
อันแน่นแฟ้นแล้วเห็นของจริง อะไรบ้าง อยู่
ในตลาดนี้

ร่างกายนี้เปรียบเหมือนตลาดนั่นแหละ มีทุก
อย่างทุกประการ รีบขายของ รีบรื้อถอน
ของออกจากใจ คือกิเลส เมื่อเก็บเอาได้แล้ว
นั่นแหละ เป็นผู้ขายของขาด ถึงไม่หมดก็
แปลว่าขาดนั่นแหละ รีบพายเรือ

ตะวันจะสาย คือมันจะแก่ นั่นแหละ รีบ
ทำคุณงามความดี ร่างกายนี้มันจะแก่

ตลาดจะวาย สายบัวจะเน่า ก็คือ ตาย
ร่างกายเปรียบเสมือนสายบัว วายคือตาย
สายบัวมันก็เน่า เปื่อยเน่าเท่านั้น เมื่อถึง
สภาพเปื่อยเน่า แล้วก็ไม่มีอะไรเป็นของๆ
เราแท้

...หลวงปู่ขาว อนาลโย







“เที่ยงแท้แต่พระนิพพาน นอกนั้นบ่เที่ยงจักอย่างหลานเอ๊ย”

หลวงปู่จื่อ พนฺธมุตฺโต
พระอริยสงฆ์ผู้งดงามแห่งวัดเขาตาเงาะ จ.ชัยภูมิ






"หายโกรธก็ตามแต่จิตเสียไปแล้ว"

เวลาโกรธ จิตมันเสีย ธาตุมันก็เสีย
เวลาหายโกรธแล้ว ธาตุมันก็ยังเสียอยู่
เหมือนตอไม้ที่ไฟไหม้ เมื่อไฟดับแล้ว
ตอก็ยังเป็นสีดำอยู่ (เป็นวิบาก)

ท่านพ่อลี ธมฺมธโร






ท่านพ่อลี สอนว่า ....

"คิดภายนอก ต้องเลือกคิด คิดดีจึงคิด ห้ามคิดเป็นโทษ อย่าคิดถึงมัน ภายในคิดได้ทุกอย่าง ดีชั่วเก่าใหม่ก็ใช้ได้ทั้งนั้น (คือมีสติสัมปชัญญะ) เหมืนอกับแกงที่อยู่ในหม้อมีฝาปิด ไม่มีแมลงวันมาตอม จืดเค็มกินได้ทั้งนั้น"






" มีสติ_ทำกุศล_ให้ถึงพร้อม "

ทุกอย่างบนโลกล้วนเกิดขึ้นตามวาสนาบารมีที่เคยบำเพ็ญมา หาใช่สิ่งที่มันปรุงแต่งขึ้นมาเองไม่ บนโลกนี้สิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความผิดหวังก็ดี สมหวังก็ดี การพลัดพรากก็ดี การไม่ได้ในสิ่งที่ตนปรารถนาก็ดี ทุกอย่างเกิดขึ้นตามกระแสแห่งกรรม ที่ผู้รับนั้นได้เคยกระทำไว้ในกาลหนหลัง ไม่มีสิ่งใดที่จะมาหักล้างกันได้ ถ้าสิ่งที่เรากำลังเจอนั้นเป็นวิบากของกรรมแล้ว เทพองค์ใดก็ไม่สามารถช่วยได้....

สิ่งที่ช่วยได้ คือการมี สติ และเผชิญหน้ากับมัน การทำกุศลให้ถึงพร้อม นี่แหละ วิธีการรับมือกับวิบากกระแสแห่งกรรม.

โอวาทธรรมคำสอนพ่อแม่ครูอาจารย์
พระเดชพระคุณ พระราชวชิรมงคลมุนี
หลวงปู่สุธัมม์_ธัมมปาโล
วัดเทพกัญญาราม อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร

หลวงปู่ผู้มีความเมตตาและ #สมฺติ
อายุรัตญญูกาลเข้า 101 ปี
ศิษย์ในหลวงปู่มั่นรูปสุดท้าย
20 มิถุนายน พ.ศ. 2468 - ถึงปัจจุบัน






"การตำหนิติเตียนผู้อื่น...
ถึงเขาจะผิดจริง ก็เป็นการก่อกวนจิตใจ
ตนเอง ให้ขุ่นมัวไปด้วย
ความเดือดร้อนวุ่นวายใจ ที่คิดตำหนิผู้อื่นจนอยู่ไม่เป็นสุขนั้น...นักปราชญ์ถือเป็นความผิด และบาปกรรม ไม่มี...ดีเลย
จะเป็นโทษ ให้ท่านได้สิ่งไม่พึงปรารถนา
มาทรมานอย่างไม่คาดฝัน

การกล่าวโทษผู้อื่น
โดยขาดการไตร่ตรอง เป็นการสั่งสมโทษ และบาปใส่ตนให้ได้รับความทุกข์
จึงควรสลดสังเวช ต่อความผิดของตน งดความเห็นที่เป็นบาปภัยแก่ตนเสีย...

ความทุกข์...
เป็นของน่าเกลียดน่ากลัว แต่สาเหตุที่ทำ
ให้เกิดทุกข์ ทำไม ? พอใจสร้างขึ้นเอง"

โอวาทธรรม
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 12 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO